3 ธ.ค. 2558 จากกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แถลงดำเนินคดีกลุ่มบุคคลที่เตรียมก่อเหตุป่วนงานสำคัญๆ ในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะ Bike for Dad และมีความต้องการจะลอบประทุษร้ายบุคคลสำคัญในรัฐบาล ภายหลังปรากฎว่า 1 ใน 9 ของผู้ถูกกล่าวหา ยังเป็นนักโทษอยู่ในเรือนจำขอนแก่นในคดีขอนแก่นโมเดล (อ่านรายละเอียด) อย่างไรก็ตามมีการชี้แจงว่า แม้นักโทษจะอยู่ในเรือนจำก็ยังใช้โทรศัพท์จากภายในเรือนจำติดต่อกับบุคลภายนอกนั้น
ล่าสุด เมื่อวันที่ 2 ธ.ค.ที่ผ่านมา มติชนออนไลน์ รายงานว่า นายกฤษณ์ วงษ์เวช ผบ.เรือนจำกลางขอนแก่น ได้นำนายนรินทร์ พรหมสาขา ณ สกลนคร นักวิชาการยุติธรรมชำนาญการ รักษาการในตำแหน่งยุติธรรม จ.ขอนแก่น น.ส.ศกุลตรา นนตรี ผอ.สนง.คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ภาค 2 ขอนแก่น กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ นางปราณี (ภรรยาของธนกฤต) และนางจิบมา ชารีหนองหว้า พร้อมคณะกรรมการอีก 3 คน เดินทางเข้าพบตัว ธนกฤต ทองเงินเพิ่ม ซึ่งตกเป็นผู้ต้องขังในคดีขอนแก่นโมเดล เพื่อทำการสอบสวนเกี่ยวกับประเด็นกระแสข่าวว่ามีการใช้โทรศัพท์จากภายในเรือนจำติดติดต่อกับบุคคลภายนอก ซึ่งกรรมการได้มีการสอบถามต่อหน้าผู้เกี่ยวข้องที่เดินทางเข้าร่วมรับฟังการสอบถาม
ธนกฤต ได้กล่าวปฏิเสธว่า ตนไม่ได้มีการโทรศัพท์ออกจากภายในเรือนจำแต่อย่างใดและไม่สามารถที่จะกระทำอย่างนั้นได้ เนื่องจากเรือนจำกลางขอนแก่นแห่งนี้หรือที่เรือนจำอื่นๆ มีกฎระเบียบห้ามไม่ให้มีการใช้โทรศัพท์อยู่แล้ว หรือหากมีการแอบใช้ก็น่าจะทำได้ยาก เนื่องจากในเรือนจำขอนแก่นแห่งนี้ มีเครื่องตรวจจับและตัดสัญญาณโทรศัพท์ แต่กระแสข่าวการใช้โทรศัพท์ของตนเองนั้น ตนขอชี้แจงว่าได้ขอใช้โทรศัพท์จำนวน 2 ครั้ง แต่เป็นการขอใช้โทรศัพท์พูดคุย ขณะอยู่ที่ศาลทหารภายใน มทบ.23 อ.เมือง จ.ขอนแก่น ซึ่งการพูดคุยครั้งที่ 1 นั้น เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 58 ส่วนครั้งที่ 2 คือวันที่ 25 ก.ย.58 ซึ่งเป็นการคุยกับญาติและกับนางปราณี ทูลธรรม ซึ่งเป็นภรรยา โดยขณะที่โทรศัพท์นั้นจะมีการพูดผ่านไมโครโฟนและมีเจ้าหน้าที่ทหารท่านได้ฟังทุกคำพูด ซึ่งตนก็บอกกับญาติและภรรยาว่า ขอให้มาเยี่ยมหน่อยนะ ซึ่งน่าจะเป็นความเข้าใจผิดว่าตนเองนั้นได้ใช้โทรศัพท์โทรออกมาจากภายในเรือนจำ
ด้านนางปราณี ภรรยาของธนกฤตกล่าวถึงเหตุการณ์ที่สามีได้มีการโทรศัพท์พูดคุยในวันที่ 25 ก.ย.58ว่า ขณะนั้นตนเองอยู่ที่บ้านพักใน ต.ท่ากระเสริม อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น ได้พูดคุยกับนายกฤติเพียงแค่ว่า สามีคิดถึงและขอให้ตนไปเยี่ยม ซึ่งด้วยความไม่รู้จึงนึกว่านายกฤติโทรมาจากภายในเรือนจำ จึงให้ข่าวกับสื่อมวลชนไปอย่างนั้น
ขณะที่นายกฤษณ์ วงษ์เวช ผู้บัญชาการเรือนจำกลางขอนแก่น ได้กล่าวถึง ระบบการป้องกันการใช้หรือลักลอบใช้เครื่องมือสื่อสาร โดยทางเรือนจำจะไม่อนุญาตให้มีการนำอุปกรณ์สื่อสารประเภทโทรศัพท์มือถือเข้าไปภายในเรือนจำโดยเด็ดขาด นอกจากนั้น ยังได้มีการนำเอาเครื่องตรวจจับสัญญาณโทรศัพท์ มาสาธิตให้คณะกรรมการได้ชม โดยการนำเอาโทรศัพท์มาสาธิตร่วมด้วยเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งเมื่อเจ้าหน้าที่ได้ทดลองโทรศัพท์ออก ก็จะเกิดเสียงสัญญาณเตือนดังออกมาจากเครื่องตรวจจับพร้อมไฟกระพริบ โดยทางเจ้าหน้าที่จะมีการติดตั้งเครื่องตรวจจับสัญญาณโทรศัพท์รัศมีอย่างน้อย 40 เมตร ซึ่งมีอยู่จำนวน 5 เครื่อง ไว้ที่เรือนพักนักโทษทั้งชายและหญิง
"นอกจากนั้นยังมีเครื่องตัดสัญญาณโทรศัพท์ที่มีการติดตั้งไว้ภายในเรือนจำอีกด้วย จึงเป็นเรื่องยากที่นักโทษจำนวนประมาณ 4,000 คน ที่อยู่ภายในเรือนจำแห่งนี้จะกระทำความผิดด้วยการใช้เครื่องมือสื่อสารติดต่อกับบุคคลภายนอก" ผบ.เรือนจำกลางขอนแก่น กล่าวตอนท้าย
มติชนออนไลน์ ยังรายงานด้วยว่า วันเดียวกัน นายกฤษณ์ วงษ์เวช ผู้บัญชาการเรือนจำกลางขอนแก่น ได้ทำรายงานการสอบสวนถึงนายวิทยา สุริยะวงค์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ หลังจากได้ตรวจสอบเรื่องต่าง ๆ แล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น