หลังจาก บทสัมภาษณ์ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เผยแพร่ในสื่อต่างประเทศ 2 สำนักคือ ไฟแนนเชียลไทม์ และ วอลสตรีทเจอร์นัล ซึ่งมีการวิจารณ์ร่าง รธน. ใหม่ว่าเหมือนหลอกชาวโลกว่ากำลังจะกลับคืนประชาธิปไตย แต่ที่แท้เหมือนพม่ายุคก่อนเปิดประเทศ ระวังเศรษฐกิจอยู่ในภาวะอันตราย รวมทั้ง ทักษิณ ยังเสนอการเจรจาทุกรูปแบบกับผู้มีอำนาจไม่ว่าจะเป็นการสนทนาหรือพูดคุย เพียงแต่ต้องการเห็นประเทศเดินหน้าและคืนประชาธิปไตยให้ประชาชน (อ่านรายละเอียด)
ล่าสุดวานนี้ (23 ก.พ.59) BBC Thai รายงานว่า ทักษิณ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวรอยเตอร์ที่ประเทศสิงคโปร์ กรณีที่ทางการไทยปฏิเสธที่จะเจรจาทางการเมืองด้วยว่า รัฐบาลทหารของไทยปฏิเสธการเจรจากับตน โดยอ้างถึงคดีความที่ยังติดตัวอยู่ แต่ที่จริงแล้ว การก่อรัฐประหารนั้นเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรงยิ่งกว่า แต่ตนก็ยังหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้เดินทางกลับประเทศไทย แต่ไม่ใช่การกลับไปถูกดำเนินคดี หรือถูกคุมขังในบ้านพักเพื่อป้องกันการลอบสังหารเช่นที่เคยเกิดขึ้น เพราะเขาไม่ใช่คนเลวอย่างที่ถูกกล่าวหา
ทักษิณ ยังกล่าวว่า ตนไม่เคยติดต่อเจรจาในทางลับกับรัฐบาลทหารของไทยแต่อย่างใด รวมทั้งไม่เคยทำข้อตกลงถอนตัวจากการเมือง เพื่อแลกกับการไม่ถูกยึดทรัพย์สินด้วย “ผมไม่เคยโทรศัพท์ไปหาใคร และไม่รู้ว่าจะติดต่อพวกเขาไปทำไม และไม่มีความจำเป็นจะต้องติดต่อด้วย”
นอกจากนี้ อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณยังเตือนว่า การที่ คสช. ต้องการจะอยู่ในอำนาจให้ยาวนานออกไปอีก จะยิ่งทำให้สภาพเศรษฐกิจของไทยที่ย่ำแย่อยู่แล้ว ประสบความยากลำบากยาวนานขึ้น เนื่องจากรัฐบาลทหารไม่มีวิสัยทัศน์และความสามารถที่จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้
ประยุทธ์ ฝากถึงรอยเตอร์ พูดให้ดีด้วย
ขณะที่วันนี้ (24 ก.พ. 59) มติชนออนไลน์ รายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีตอบคำถามผู้สื่อข่าวสำนักข่าวต่างประเทศ โดยผู้สื่อข่าวได้แนะนำตัวและสังกัดตามที่ทีมโฆษกรัฐบาลขอความร่วมมือ ซึ่งได้ถามถึงตัวเลขความเสียหายของโครงการรับจำนำข้าวในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดย พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า ยังไม่มีการสรุป ซึ่งคณะกรรมการจะเป็นผู้สรุปเอง “ทำไม มันต้องเอาให้ได้ใช่ไหม คุณไปบอกรอยเตอร์ เมื่อวานนี้พูดให้ดีด้วย” จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ได้จบการสัมภาษณ์ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว แล้วเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้าทันที
รมว.ต่างประเทศยันไทยปล่อยให้สื่อมีอิสระเสรีภาพมากที่สุดในภูมิภาคเอเชีย
ขณะที่วานนี้ มติชนออนไลน์ รายงานไว้ด้วยว่า ดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) กล่าวกรณีกต. กำลังคิดที่จะทบทวนการต่อวีซ่าให้ผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ว่า ตามปกติจะมีหลักสากลสำหรับนักข่าวที่เข้ามาประเทศนั้นๆ ว่ามีขอบเขตทำงานเพียงใด ที่ผ่านมาประเทศเราไม่ได้เอาใจใส่เรื่องดังกล่าว ไม่ใช้ระบบหรือระเบียบที่เรามีอยู่แต่อะลุ่มอล่วยไปเรื่อยๆ แต่ขณะนี้พิจารณาแล้วเห็นว่าควรมีการจัดระบบ ระเบียบให้เรียบร้อย ซึ่งกรมสารนิเทศ กต.กำลังดำเนินการอยู่ ผู้สื่อข่าวต่างประเทศโดยไม่น้อยที่อยู่ในต่างประเทศไม่ได้เป็นผู้สื่อข่าวที่ถูกต้อง ไม่มีสังกัด บางครั้งมีการนำเสนอข้อมูลไม่ตรงตามข้อเท็จจริง ส่งผลกระทบต่อประเทศชาติให้เกิดความเสียหาย จึงขอให้พาดหัวข่าวให้ตรงตามข้อมูลที่ได้ไป
“เชื่อว่าการจำกัดเช่นนี้ต่างประเทศจะไม่มองว่าเราไปจำกัดสิทธิสื่อต่างชาติ แต่ตรงกันข้ามไทยเป็นประเทศที่ปล่อยให้สื่อมีอิสระ เสรีภาพมากที่สุดในภูมิภาคเอเชีย เพราะคนไทยเป็นคนอะลุ่มอล่วย มีจิตใจเมตตา เราไม่เข้มงวดเท่าอินโดนีเซียหรือเวียดนาม แต่ขณะนี้เพื่อให้ทุกอย่างเป็นระเบียบมากขึ้นจึงจำเป็นต้องจำกัด และเท่าที่ทราบสื่อต่างประเทศในไทยจำนวน 500 คน มีเพียง 10 เปอร์เซ็นต์ที่มีปัญหา แต่ไม่ได้หมายความว่าต่อวีซ่าไม่ได้ทั้งหมด ทั้งนี้หาก 10 เปอร์เซ็นต์ที่มีปัญหาสามารถชี้แจงต้นสังกัดได้ ก็สามารถต่อวีซ่าได้” ดอน กล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น