วัฒนา เมืองสุข เป็นอดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคไทยรักไทย เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมาแล้ว 3 กระทรวงทั้งกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงพาณิชย์ และเขายังเกี่ยวดองกับตระกูลธุรกิจยักษ์ของไทยหรือที่สื่อมักเรียกเขาว่า ‘เขยซีพี’ โดยบุคลิก พูดกันว่าเขาเป็นคนโผงผาง ตรงไปตรงมา และไม่ค่อยจะเกรงกลัวใคร มีฐานเสียงชนิดเสริมใยเหล็กในพื้นที่แถบปราจีนบุรี ซึ่งนั่นทำให้เขามีความสนิทสนมกับสายบูรพาพยัคฆ์
การเคลื่อนไหวทางการเมืองของเขานับจากการรัฐประหาร 2557 ทำให้เขาทุกควบคุมตัวถึง 4 รอบและถูกดำเนินคดี ก็แน่นอน เลี่ยงไม่ได้ที่วัฒนาจะถูกตั้งคำถามจากฝ่ายตรงข้ามและชื่นชมจากฝ่ายที่เห็นด้วย
ประชาไทมีโอกาสสนทนายาวๆ กับวัฒนา เมืองสุข หลังจากเขาได้รับการปล่อยตัวไม่นาน เริ่มต้นการพูดคุยตั้งแต่สถานการณ์การถูกควบคุมตัวทั้ง 4 รอบ จุดประสงค์ของสิ่งที่เขาทำ จนถึงความเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทย และการเมืองไทยหลังจากนี้ เขายืนยันว่าบ้านเมืองเข้าสู่สภาวะประชาธิปไตยเมื่อใด เขาจะฟ้องคดีกับผู้ที่ทำรัฐประหารครั้งที่ 13 ไม่ว่าจะกับศาลภายในหรือนอกประเทศ
ประชาไทมีโอกาสสนทนายาวๆ กับวัฒนา เมืองสุข หลังจากเขาได้รับการปล่อยตัวไม่นาน เริ่มต้นการพูดคุยตั้งแต่สถานการณ์การถูกควบคุมตัวทั้ง 4 รอบ จุดประสงค์ของสิ่งที่เขาทำ จนถึงความเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทย และการเมืองไทยหลังจากนี้ เขายืนยันว่าบ้านเมืองเข้าสู่สภาวะประชาธิปไตยเมื่อใด เขาจะฟ้องคดีกับผู้ที่ทำรัฐประหารครั้งที่ 13 ไม่ว่าจะกับศาลภายในหรือนอกประเทศ
ประชาไท: คุณถูกทหารควบคุมตัว 4 รอบแล้ว ช่วงชีวิต บรรยากาศ ตอนที่ถูกคุมตัวและถูกกักอยู่ในค่ายทหารเป็นอย่างไรบ้าง
วัฒนา: บรรยากาศของประเทศวันนี้ไม่ดีอยู่แล้ว มันไม่มีประชาธิปไตย ไม่มีอิสระ ไม่มีเสรีภาพ แล้วยิ่งมาเจอบรรยากาศที่คุณถูกกดดันด้วยกองกำลัง ผมใช้คำว่า “กองกำลัง” เพราะว่าทุกครั้งที่เขาจะมาเอาตัวคุณ เขาใช้กำลังทหารมา มันก็เป็นบรรยากาศที่...ผมว่าทุกคนคงเข้าใจ ในสภาพที่คุณไม่สามารถจะอาศัยกฎหมายบ้านเมืองได้ เพราะมันไม่มี เนื่องจากกฎหมายเขาเขียนเอง มันก็เป็นบรรยากาศแบบนั้นแหละ ไม่รู้จะบรรยายยังไง
ผมเห็นว่าการไปเอาตัวผมมามันไม่ถูกต้อง เพราะการที่ผมแสดงความคิดความเห็นเป็นสิทธิของผม ผมก็เลยประท้วงโดยการอดอาหารในครั้งล่าสุด สี่ครั้งที่ผมถูกเรียก ครั้งแรกผมถูกโทรศัพท์เรียกให้ไปกองทัพภาคที่หนึ่ง ผมก็ไป ก็ไปคุยกันได้สักสองสามชั่วโมง เขาก็ให้ผมกลับ
ครั้งที่สองคือครั้งที่ผมวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของพลเอกประวิตร (พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี) ซึ่งผมเห็นว่าการที่เขาไปตอบถึงอดีตนายกรัฐมนตรีแบบนั้นมันเป็นการไม่ให้เกียรติผู้หญิง ผมก็ถูกทหารมาล้อมบ้าน แล้วก็พาตัวผมไปที่ มทบ.11 เอาตัวผมไปจากบ้านประมาณ 10 นาฬิกา ปล่อยผมประมาณสี่ทุ่ม แล้วก็เอามาแจ้งความในข้อหาโพสต์ข้อความอันเป็นเท็จ ก็มีกองกำลังมาล้อมบ้านผมอย่างที่เป็นข่าว ครั้งนี้ก็ไม่ได้คุยอะไรกัน ก็เป็นปกติเวลาที่ไปส่วนใหญ่ก็จะพูดทำนองว่าไม่อยากให้เสนอความเห็น อยากให้ให้โอกาสเขาทำงาน อยากให้เงียบ เพราะฉะนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องปรับทัศนคติอะไรอย่างที่พยายามพูดให้ดูดีหรอก เอาไปก็คือใช้วิธีขอให้คุณเงียบ ขอให้คุณให้โอกาสเขาทำงาน
ครั้งที่สาม ผมโดนเนื่องจากผมเขียนบทความสนับสนุนวรชัย เหมะ ที่บอกว่าถ้ารัฐธรรมนูญไม่ผ่าน ประยุทธ์ต้องลาออก ซึ่งประยุทธ์ก็โกรธวรชัย แล้วให้ทหารมาเอาตัววรชัยไป ผมก็แสดงความเห็นว่าสิ่งที่วรชัยพูดน่ะถูกแล้ว เพราะคุณประยุทธ์เป็นนักการเมือง วิธีการแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองคือการลาออกหรือยุบสภา แต่คุณยึดอำนาจมา คุณจึงไม่มีสภาให้ยุบ มันก็เหลือวิธีเดียวคือลาออก ซึ่งเป็นวิธีแบบอารยะ คสช. (คณะรักษาความสงบแห่งชาติ) ก็เลยใช้คนมาควบคุมตัวผม คราวนี้มาตอนเย็น พอดีผมไม่อยู่บ้าน ผมก็เลยบอกว่าวันรุ่งขึ้นผมจะไปเจอเขาที่ มทบ.11 ผมก็ไป คราวนี้ผมควบคุมตัวผมสามวัน ก็เอาไว้ในห้องเฉยๆ ถึงเวลาก็มาถามว่าจะกินอะไรมั้ย ก็ไม่ได้คุยอะไรกัน แต่ผมรู้ว่าที่ผมโดนเพราะผมไปสนับสนุนสิ่งที่วรชัยพูด ไม่ถูกใจท่านผู้นำ ครบสามวันก็ปล่อยตัวผมกลับ
ครั้งสุดท้ายคือที่ผมโพสต์ข้อความแสดงความเห็นว่าผมไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ผมแสดงความเห็นตอนเช้า ช่วงบ่ายเขาก็ส่งทหารมาวันที่ 13 เมษายน แต่บังเอิญผมไปต่างจังหวัดและนัดเขาว่าเดี๋ยวจะมาเจอกัน ตอนแรกนัดว่าวันที่ 14 พอดีไม่สะดวก เลยเลื่อนเป็นวันที่ 18 ตามที่เป็นข่าว วันที่ 14 เขาก็ส่งทหารมาที่หน้าบ้าน แต่ไม่เจอตัวผม จนกระทั่งวันที่ 18 จะไปรับตัวผมที่หน้าบ้าน ผมก็บอกพวกเขาว่าถ้าจะมาเอาตัวผมไป คุณก็ต้องแจ้งข้อหาผม เพราะว่าอยู่ดีๆ คุณจะมาเอาตัวผมไปไหนมาไหน มันต้องมีเหตุ ซึ่งคำสั่งที่ให้อำนาจคุณ ที่คุณอ้างว่าเป็นกฎหมายคือคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 ที่ออกแทนกฎอัยการศึกว่า จะมีความผิดอยู่ 4 ฐานที่ให้อำนาจนายทหารยศร้อยตรีขึ้นไป มีอำนาจที่จะจับกุมและควบคุมตัวคุณไว้ได้ไม่เกิน 7 วัน หนึ่งคือความผิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ สองคือความผิดต่อความมั่นคง สามคือความผิดเกี่ยวอาวุธปืน สี่คือความผิดฐานขัดคำสั่ง คสช. เพราะฉะนั้นคุณต้องบอกว่าผมทำผิดอะไรกับการที่ผมไปโพสต์ข้อความ ไม่อย่างนั้นอยู่ดีๆ คุณจะมาเอาตัวผมไป ผมไม่ไป
นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น วันที่ 18 เขาก็เลยไม่กล้ามา ท้ายสุดเขาก็เลยให้ผมไปรายงานตัวที่ มทบ.11 แทนโดยใช้คำสั่ง คสช. ผมก็ต้องไป เพราะถ้าผมไม่ไปก็ขัดคำสั่งอีก ก็ไปรายงานตัว ไปถึง 11 นาฬิกา ผมก็บอกพวกเขาว่าผมมารายงานตัวนะ เมื่อเสร็จสิ้นการรายงานตัวต้องให้ผมกลับบ้าน ถ้าคุณมาควบคุมตัวผมไว้ ผมถือว่าใช้อำนาจในการกักขังหน่วงเหนี่ยวผม ซึ่งคุณไม่มีอำนาจ 15 นาฬิกา ผมให้เวลาแค่นั้น ถ้าไม่ให้ผมออกมา ผมดำเนินคดีทุกคนแน่นอน
พอเข้าไปรายงานตัวเสร็จ ผมจะขอกลับ เขาบอกเขาต้องควบคุมตัวผมไว้ ตอนนั้นใกล้ๆ เที่ยง และถามผมว่าจะกินอะไร ผมบอกว่าผมประกาศอดอาหารจนกว่าจะได้อิสรภาพ ตอนนั้น 12 นาฬิกาของวันที่ 18 ผมก็เริ่มอดอาหารตั้งแต่วันนั้นมา เขาก็เอาไปไว้ที่ห้องเดิมที่ มทบ.11
จนกระทั่งเวลาประมาณสี่โมงครึ่งก็มีทหารพระธรรมนูญมาพบผม เดิมอ้างว่าผมทำผิดคำสั่ง คสช. ฉบับที่ 13/2559 ที่มีความผิดหลายๆ ฐานน่ะ ค้าผู้หญิงอะไรเยอะแยะไปหมด ต่อมาก็บอกว่าผมขัดคำสั่ง คสช. ที่ห้ามเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งผมก็บอกว่าไม่ใช่ เพราะความผิดฐานเคลื่อนไหวทางการเมืองมันเป็นการแสดงออกทางกายภาพ แต่สิ่งที่ผมทำเป็นการแสดงความคิดเห็น ซึ่งรัฐธรรมนูญคุ้มครอง เขาก็บอกว่าแสดงความคิดเห็นก็คือการเคลื่อนไหวทางการเมือง เขาก็มีความจำเป็นต้องควบคุมตัวผมไว้ แล้วเดี๋ยวเขาจะไปแจ้งความ เมื่อเขาพร้อมจะแจ้งความเมื่อไหร่ เขาจะพาตัวผมมาที่ตำรวจและส่งศาล เพราะฉะนั้น สรุปแล้วการควบคุมตัวผมครั้งสุดท้ายก็ไม่ได้ควบคุมตัวผมเพื่อสอบถามข้อมูล ข้อเท็จจริงอะไรหรอก เก็บไว้รอความพร้อมว่าเขาไปแจ้งความตำรวจได้เมื่อไหร่ เขาก็ค่อยเอาตัวผมไปส่งตำรวจแล้วก็ส่งศาล
วันที่ 18 ช่วงเย็นนั่นแหละ ผมเข้าใจว่าเขาถูกกดดันมาก เขาก็เลยส่งตัวผมไปที่กองพลทหารราบที่ 9 กาญจนบุรี มีรถมารับผมไป ก็ออกจาก มทบ.11 เกือบๆ 17 นาฬิกา ผมก็ถูกนำตัวขึ้นรถตู้ แล้วก็มีรถปิดหัวปิดท้ายไปที่จังหวัดกาญจนบุรี เดิมผมคิดว่าจะเป็นกองพลทหารราบที่ 9 ก็ขับเลยไป เอาตัวผมไปไว้ที่ศูนย์เกษตรกรรมอะไรสักอย่าง ซึ่งเป็นของพล 9 ที่อำเภอไทรโยค เอาไปเก็บไว้ที่นั่นสามคืนสามวัน ผมก็อดอาหาร
ระหว่างนั้นเขาก็ต้องเอาหมอมาดูแลผมตลอดเวลา เช้า กลางวัน เย็น ผมต้องอยู่กับหมอ วัดความดัน เพราะเขากลัวผมตาย กลัวผมเป็นอะไร เพราะถ้าผมเป็นอะไรไปเขาก็ต้องรับผิดชอบผม ต้องเข้าใจว่าหน่วยปลายทาง ไม่ว่าจะเป็น มทบ.11 ก็ดีหรือว่าพล 9 เขาไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไร เขามีหน้าที่ดูแลผม คุมตัวผม ถ้าเป็นอะไรไป เวรก็ต้องตกกับเขา หมอที่ดูแลผมก็มาขอร้องว่าอยากให้ผมได้ดื่มน้ำหวานหรืออะไรก็ได้ เขากลัวน้ำตาลในเลือดผมต่ำ แล้วจะเป็นลม เพราะผมเริ่มอดอาหารมาตั้งแต่วันที่ 18 วันที่ 19 หรือวันที่ 20 เขาก็มาขอร้องผมว่าควรจะกินน้ำหวาน เป็นรุ่นน้องที่โรงเรียนด้วย เขาบอกว่าเอาอย่างนี้แล้วกัน ถ้าน้ำหวานผมไม่อยากกินก็ขอให้ผมกินน้ำมะพร้าว ก็เอาน้ำมะพร้าวมาให้ผมวันละ 2 ลูก กินไป 4 ลูก
อยู่จนถึงวันที่ 21 ตอนเช้า ประมาณตี 5 เขาก็มาปลุกผมว่า เขาได้รับคำสั่งให้พาผมไปส่งตัวที่ มทบ.11 ก็ออกจากกาญจนบุรีตี 5 มาถึง มทบ.11 ประมาณเก้าโมง เขาก็ให้ผมรอพนักงานสอบสวนจากกองปราบ กลางวันก็ขอให้ผมทานข้าวเพราะถือว่าปล่อยผมแล้ว ผมก็ทานข้าวตอนกลางวันที่ มทบ.11 เป็นอันจบกระบวนการอดอาหาร ประมาณ 14 นาฬิกาเขาก็พาผมออกจากห้องประชุมไปพบพนักงานสอบสวนจากกองปราบ ซึ่งเขาพามาที่นั่น ทำการแจ้งข้อหาอะไรต่างๆ ว่าผมขัดคำสั่ง คสช. มีการเคลื่อนไหวต่างๆ พอเสร็จกระบวนการที่พนักงานสอบสวนพิมพ์มือ ทำอะไรเสร็จ เขาก็ส่งตัวผมมาที่ศาลทหารกรุงเทพ เพราะความผิดฐานขัดคำสั่ง คสช. ต้องขึ้นศาลทหาร มาที่ศาลทหารก็มีการยื่นขอประกันตัว แล้วส่งตัวผมไปที่เรือนจำ ประมาณ 19 นาฬิกาก็ได้รับอิสรภาพ
ไม่มีเรื่องการปรับทัศนคติใดๆ ทั้งสิ้น?
ไม่มีครับไม่มี จริงๆ แล้วคำสั่ง คสช. เขาไม่ได้ให้อำนาจเอาใครไปปรับทัศนคติ ไม่มี อำนาจเขียนไว้ว่า เจ้าพนักงานตั้งแต่ร้อยตรีขึ้นไปมีอำนาจควบคุมตัวบุคคลไว้เพื่อสอบถามข้อมูลเท่าที่จำเป็น สิ่งที่เขาต้องทำคือถามคุณ ไม่ใช่มาพูดกรอกหูคุณ มาปรับทัศนคติคุณ เขาไม่ได้ให้อำนาจ ตีความกันผิดเอง
ไม่มีครับไม่มี จริงๆ แล้วคำสั่ง คสช. เขาไม่ได้ให้อำนาจเอาใครไปปรับทัศนคติ ไม่มี อำนาจเขียนไว้ว่า เจ้าพนักงานตั้งแต่ร้อยตรีขึ้นไปมีอำนาจควบคุมตัวบุคคลไว้เพื่อสอบถามข้อมูลเท่าที่จำเป็น สิ่งที่เขาต้องทำคือถามคุณ ไม่ใช่มาพูดกรอกหูคุณ มาปรับทัศนคติคุณ เขาไม่ได้ให้อำนาจ ตีความกันผิดเอง
21 เม.ย.2559
การที่คุณไปออกคำสั่งห้ามคนพูด คำสั่งนั้นมันใช้บังคับไม่ได้ เพราะอะไร มันไปขัดกับรัฐธรรมนูญที่คุณเขียนเองและยังไปขัดกับกฎหมายระหว่างประเทศอีก
เหตุผลที่คุณทำสิ่งเหล่านี้
วัฒนา: มันเป็นเสรีภาพของผมในการแสดงความคิดเห็น เป็นเสรีภาพของคน ต้องเข้าใจกฎหมายในประเทศและกฎหมายระหว่างประเทศ ทุกประเทศมีกฎหมายภายในของตนเองและมีกฎหมายระหว่างประเทศที่เขาต้องผูกพัน ซึ่งกฎหมายระหว่างประเทศที่ทั่วโลกต้องผูกพันคือกฎเกณฑ์ของสหประชาชาติ เป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความเป็นคน ถ้าการปกครองของคุณมีการไปละเมิดสิทธิของความเป็นคน ที่เขาเรียกว่าสิทธิมนุษยชน เขาถือว่านี่ไม่ใช่เรื่องของคุณแล้ว มันเป็นเรื่องของมนุษยชาติ ถ้าคุณไปกระทำการใดๆ ก็แล้วแต่ที่เป็นความผิดต่อมนุษยชาติ มันเป็นความผิดต่อสากล ทุกประเทศในโลกจะเข้ามายุ่งกับคุณได้ว่าคุณทำแบบนี้ไม่ได้ และถ้ามันเลยเถิดขนาดเป็นอาชญากรรม คุณก็ต้องขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ ดังนั้น คุณก็ต้องไปดูกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชนมีอะไรบ้าง
อย่างแรกคือปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ทุกประเทศในโลก ถ้าใครเป็นสมาชิกต้องรับเอาตรงนี้ไปปฏิบัติ ถือว่าเป็นกฎเกณฑ์รวม ประเทศไทยก็ยอมรับตรงนี้มาตั้งแต่ 2491 แล้ว เราจึงมีพันธะต้องปฏิบัติตาม ยังมี ICCPR (กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง) สิ่งที่ผมทำคืออะไร สิ่งที่ผมทำมันอยู่ในข้อ 19 ของปฏิญญาสากลฯ ซึ่งเขียนว่า สิทธิในการแสดงความคิดเห็น การแสดงออก เป็นสิทธิที่คุณจะไปจำกัดห้ามไม่ได้ กฎเกณฑ์นี้จึงถูกนำไปใส่ไว้ในรัฐธรรมนูญของแทบทุกประเทศ รัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับต้องใส่สิทธิในการแสดงความคิดเห็น เพื่อล้อข้อความเหล่านี้มาและยอมรับมัน
รัฐธรรมนูญของ คสช. เองก็เขียนไว้ในมาตรา 4 ว่าสิทธิทั้งหลายที่ชนชาวไทยเคยมีภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีอยู่แล้ว ได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แปลว่าอะไร สิทธิที่คนไทยเคยมีตามประเพณีการปกครองมีอะไรบ้าง สิทธิในการพูด การแสดงความคิดเห็นต้องมี รัฐธรรมนูญทุกฉบับคุ้มครองมา มันเป็นสิทธิที่เกิดมาพร้อมกับความเป็นคน คุณไปละเมิดไม่ได้ เขาเรียกสิทธิของความเป็นคน สิทธิมนุษยชน ใครก็แล้วแต่ที่ล่วงละเมิดต่อสิทธิดังกล่าวคือการก่ออาชญากรรมที่ละเมิดต่อความเป็นคนที่เขาเรียกว่า Crime Against Humanity เป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ถ้ามีการกระทำแบบนี้นานาชาติจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับคุณ เพราะคุณเป็นสมาชิกของประชาคมโลก คุณมีหน้าที่ปฏิบัติตามข้อบังคับของประชาคมโลก ถ้าคุณไม่อยากทำตามก็ลาออกจากยูเอ็นไป
ผมก็แสดงความเห็นผมตามรัฐธรรมนูญ ก็ทำไมไม่เขียนว่าประเทศไทยเป็นเผด็จการ ห้ามแสดงความเห็น ก็เขียนไว้ดิ คุณไปดูรัฐธรรมนูญชั่วคราวของ คสช. สิ มาตรา 2 ว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ผมก็มีสิทธิจะแสดงความเห็น แต่ถ้าคุณเขียนว่าประเทศไทยเป็นเผด็จการ ห้ามแสดงความเห็น ผมก็ทำไม่ได้ ทำไปคุณก็ใช้อำนาจที่เหนือกว่ากับผม เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่ผมทำ มันก็คือการแสดงความเห็น ซึ่งมันเป็นสิทธิของผมที่ผมพึงกระทำได้ตามรัฐธรรมนูญของคุณเองและตามพันธกรณีที่คุณผูกพันไว้
เขาให้มีเสรีภาพในการแสดงออก ถ้าการใช้เสรีภาพของคุณมันล่วงเลยจุดที่พอเหมาะพอสม มันไปละเมิด มันก็มีกฎหมายภายในอยู่แล้ว ก็มีข้อหาหมิ่นประมาทที่จัดการผมได้อยู่แล้ว คุณไม่ต้องมาห้ามผม หรือผมไปพูดอะไรที่กระทบความมั่นคงภายในหรือยุยงปลุกปั่น มันก็มีกฎหมายภายในอยู่แล้ว ดังนั้น การที่คุณไปออกคำสั่งห้ามคนพูด คำสั่งนั้นมันใช้บังคับไม่ได้ เพราะอะไร มันไปขัดกับรัฐธรรมนูญที่คุณเขียนเองและยังไปขัดกับกฎหมายระหว่างประเทศอีก
นั่นคือสาเหตุว่าทำไมเคสของผม ประชาคมโลกเข้ามาเกี่ยวข้อง ปกติเขาเกี่ยวข้องไม่ได้ แต่เพราะผมแสดงความเห็น แล้วคุณมาจับผม คุณกำลังละเมิดต่อความเป็นคนของผม คุณกำลังกระทำอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ประชาคมโลกเขาเข้ามา หนังสือของข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ เขาพูดเรื่องผม การจับผมไปควบคุม ผิดกฎบัตรสหประชาชาติ อีกเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับผมคือข้อ 9 เขาเขียนว่าคุณจะจับกุมคนไปคุมขังตามอำเภอใจไม่ได้ คุณทำกับผม ก็คือคุณกำลังละเมิดความเป็นคนผม รวมถึงข้อ 5 เขาห้ามทำอะไรที่ทำให้ศักดิ์ศรีความเป็นคนลด คุณอ้างเอาผมไปปรับทัศนคติให้คิดเหมือนคุณ ไม่ได้ นี่มันกำลังลดความเป็นคน ผมมีสิทธิจะคิดไม่เหมือนคุณ จะบังคับให้ผมนิยมชมชอบ คสช. ได้ยังไง ไม่เคย ผมไม่คิดจะชอบ และไม่มีทางจะชอบ
ผมประกาศแล้วว่า ประเทศไทยเข้าสู่ภาวะปกติเมื่อไหร่ ผมเอาคุณเมื่อนั้น
จะฟ้อง คสช.?
ผมเอาแน่ อะไรก็แล้วแต่ ผมใช้สิทธิของผม ผมประกาศต่อสาธารณะ ไม่ได้มาพูดลับหลัง ผมไม่กลัวพวกคุณอยู่แล้ว
แต่ในรัฐธรรมนูญเขียนนิรโทษกรรม คสช. ไว้
ผมทำไม่ได้ในวันนี้ ในประเทศนี้ ผมต้องไปขึ้นศาลโลกหรือที่ไหน ผมก็จะเอาคุณ ก็อย่าออกไปนอกประเทศแล้วกัน
การที่คุณออกมาเคลื่อนไหวทำนองนี้มันมีราคาที่ต้องจ่ายอะไรบ้าง
ก็ผมสูญเสียเสรีภาพ อิสรภาพมาหลายทีแล้วไง ก็ไม่แปลก ทุกการต่อสู้มันก็ต้อง... ฝรั่งใช้คำว่าไม่มีอาหารฟรี ธรรมดา คุณขึ้นไปชกมวย ไม่มีใครให้คุณชกฝ่ายเดียว เขาก็ต้องสู้คุณ แพ้ชนะต้องแลกกับความเจ็บตัวทั้งนั้น วันนี้ก็เหมือนกัน การต่อสู้เพื่อสิทธิและเสรีภาพในโลก มีที่ไหนที่เขาเอาดอกกุหลาบโรยให้คุณเดิน ไม่มี ผมไม่ให้ใครมาจำกัดเสรีภาพผมอยู่แล้ว ผมสู้เพื่อสิทธิและเสรีภาพของผม แล้วถ้าผมได้เสรีภาพ คนไทยทุกคนก็ได้ หลักการมันก็แค่นั้นเอง
บางคนมองแง่ลบ บางสื่อ เป็นเรื่องการเมือง สร้างคะแนนนิยม เป็นเรื่องเอาใจคุณทักษิณ?
พูดเรื่องการเมือง สิ่งที่ผมทำก็การเมืองแน่นอน ผมกำลังสู้กับนักการเมือง ไม่ใช่เรื่องการเมืองแล้วเรื่องอะไรล่ะ สิทธิที่ผมกำลังพูดถึง มันถูกบัญญัติไว้ในกฎเกณฑ์ของสหประชาชาติ มันก็คือเรื่องการเมือง คนที่บอกว่าผมเคลื่อนไหวทางการเมือง ก็ถูกแล้ว ทำไมผมต้องไปปฏิเสธ ก็มันใช่ ถ้าคุณบอกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องการเมืองแล้วจะเป็นเรื่องอะไร ผมไม่ได้สู้กับเมียผม เรื่องสิทธิที่จะกลับบ้านดึก นั่นมันเรื่องการบ้าน
แล้วเรื่องท่านทักษิณ ต้องมองทีละมิติก่อน...ความจริงเรื่องนี้ผมไม่ค่อยอยากพูด มันเป็นเรื่องส่วนตัว ผมอยากใช้คำพูดของอาจารย์คึกฤทธิ์ ปราโมทย์ คือจะเป็นภูเขาทองอย่ากลัวสุนัขปัสสาวะรด บางทีคุณไปใส่ใจกับคำพูดของคน มันไม่เกิดประโยชน์ ผมไม่อยากไปแก้ตัวให้คนเหล่านี้ฟัง ถ้าคนเหล่านี้คิดได้แค่นี้ ผมถือว่าเป็นอย่างที่พระพุทธเจ้าบอก เป็นบัวใต้ตม เสียเวลาอธิบาย แต่ถ้าจะพูดกับประชาชนทั่วไปที่ถือว่าอยู่ในบัวสามเหล่าได้เห็น มันดูไม่ยากกับสิ่งที่ผมทำ
ประเด็นที่ว่าผมทำเพื่อเงิน เพื่อทองหรือเปล่า คุณก็ต้องรู้แบคกราวน์ผมว่าผมมาจากไหน เป็นใคร จะคิดว่าผมทำเพื่อเงินก็ไม่ได้แปลก แต่ถ้ารู้ว่าผมมีที่มาที่ไปยังไง คนที่เขาเข้าใจ เขาก็ไม่คิด อันที่สอง ผมทำเพื่อชื่อเสียงเกียรติยศ ผมมีชื่อของผมมาตั้งนานแล้ว ผมเป็นรัฐมนตรีมาตั้งแต่ปี 2545 ผมเป็นรัฐมนตรีพาณิชย์ที่เด็กที่สุดในอาเซียน คุณคิดว่าผมไม่มีชื่อเสียง ต้องมานั่งสร้างชื่อเสียงเหรอ หลายคนบอกว่าผมกลัวชาวบ้านจะจำไม่ได้ ชาวบ้านรู้จักผมยิ่งกว่ารู้จักคุณอีก บางคนเพิ่งมาโผล่เอาวันนี้ มันไม่ใช่เรื่องของการทำเพื่อเงิน เพื่อชื่อเสียง เพื่อตำแหน่ง ทุกครั้งที่มีการก่อตั้งรัฐบาล ผมก็มีตำแหน่งสำคัญมาตลอด ได้มาด้วยความสามารถของผม ถ้าพูดถึง Rank ในพรรค คุณว่าผมอยู่เบอร์อะไรล่ะ ผมก็อยู่แถวหน้ามาตลอด สมัยท่านนายกฯ ทักษิณที่ซูเปอร์วีไอพีทั้งนั้นที่อยู่ในพรรค คุณรู้มั้ยปาร์ตี้ลิสต์ของผมเบอร์อะไร เบอร์ 11 ผมจึงไม่มีความจำเป็นต้องไปนั่งอธิบาย เพราะถ้าใครก็แล้วแต่ที่เรื่องแค่นี้ไม่เข้าใจ แล้วต้องไปอธิบาย ก็เหมือนไปพูดให้คนมีอคติฟัง ไม่เกิดประโยชน์ ความจริงผมไม่ต้องมานั่งดิ้นรน ผมมีความเป็นอยู่ที่สุขสบาย ผมแต่งงานอยู่ในตระกูลไหนทุกคนก็รู้อยู่ การที่ผมมาดิ้นรนแบบนี้มันทำความเดือดร้อนให้คนรอบตัวด้วยซ้ำ
ครอบครัวคุณว่าอย่างไรกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองของคุณ
ต้องแยกกันระหว่างผมกับครอบครัว การเคลื่อนไหว การต่อสู้ของผม มันเป็นเรื่องทางการเมือง ผมเป็นนักการเมือง มันมีเรื่องเดียวคือผมเป็นนักการเมือง วันนี้การเมืองมีปัญหา ถ้าผมไม่ต่อสู้ทางการเมือง แล้วผมจะเรียกตัวเองว่านักการเมืองได้ยังไง เอาอย่างนี้ก่อน ประเด็นแรก
ประเด็นที่สอง ผมเป็นนักการเมืองที่หน้าไม่หนา ผมเป็นคนมีความอาย ถ้าผมไม่ต่อสู้ เมื่อถึงเวลาบ้านเมืองปกติ ผมลงไปหาเสียง ชาวบ้านถามผม ผมจะตอบเขาว่ายังไง เฮ้ย เวลานั้นคุณหายไปไหน ทำไมไม่สู้เพื่อประชาชน ผมอายเขา อันนี้เรื่องใหญ่สำหรับผม คือเวลาที่คุณจะทำอะไรสักอย่าง มันต้องมีสิ่งที่เรียกว่าความชอบธรรม มันจะปกป้องคุณทุกอย่าง อำนาจถ้าไม่มีความชอบธรรม คุณก็หมด ผมลงไปหาเสียง ถึงเวลาไปหาเสียง ถึงเวลาชาวบ้านถาม วันนั้นที่เขายึดอำนาจ เขาต่อสู้กันเรื่องสิทธิเสรีภาพ คุณไปอยู่ไหน แล้วคุณจะให้ผมตอบชาวบ้านยังไง วันนี้ผมไม่อายใคร ผมบอกผมสู้ให้แล้ว ถึงมันจะไม่ได้อย่างที่ผมสู้ แต่ผมก็สู้เต็มความสามารถของผมแล้ว โดนหิ้วไปขังไม่รู้ตั้งกี่ที เหลืออย่างเดียวคือเขาไม่ให้ผมไปยิงเป้า ผมไม่อายประชาชน
ถามว่าทำเพราะอะไร แค่นี้ หนึ่ง เป็นนักการเมือง สอง วันนี้การเมืองมีปัญหา ผมก็ต้องต่อสู้ทางการเมือง สาม สิทธิเสรีภาพถูกละเมิด ก็ต้องต่อสู้เพื่อสิทธิและเสรีภาพ คุณจำกัดสิทธิเสรีภาพผม ผมจะนั่งงอมืองอเท้าได้ยังไง ผมก็สู้กับคุณ
ลูกเมียผมเข้าใจ บ้านผมมีนิสัยคล้ายๆ กันคือดื้อ ถ้ามั่นใจว่าสิ่งที่ตนเองทำถูกต้องแล้วล่ะก็ ไม่สนใจ ไม่ว่าผม ลูกผม คิดเหมือนกันหมด ก็ทรงเดียวกัน เป็นทรงที่ไม่กลัวคนเหมือนกัน
ตอนที่ลูกสาวคุณต้องออกมาเคลื่อนไหว ออกมายื่นหนังสือเพื่อเรียกร้องให้ทหารปล่อยตัวคุณ…
เป็นห่วง แต่คุณต้องให้เขาทำ คุณต้องคิดถึงเขาด้วย วันแรกที่ทหารมาล้อมบ้านผม ผมอยู่บ้านกับแม่บ้านสองคน ถ้าไม่ได้ลูกผม ผมคงลำบาก เพราะลูกผมมาช่วยผมตั้งแต่ส่งรูปทหารมาล้อมบ้าน ซึ่งทำให้โลกรู้ ถ้าสื่อมวลชนไม่มา ผมอาจจะถูกนำตัวไปไหนก็ไม่รู้ เอาไปเงียบๆ แบบที่คนอื่นโดนหิ้วไป 7 วัน แต่พอสังคมรู้ สื่อมวลชนรู้ โลกรู้ เขาทำผมไม่ถนัด
ครั้งแรกผมโทรบอกลูกผมว่าไม่ต้องเข้าบ้าน อย่าเข้ามา ลูกผมไปออกกำลัง ผมกลัวลูกกลับมาเจอ เดี๋ยวเขาตกใจ แล้วเดี๋ยวเกิดเขาเปิดบ้านเข้ามาจะเป็นช่องทางให้ทหารบุกเข้ามาในบ้านผม ผมบอกไม่ต้องมา แต่ลูกผมขอมาอยู่กับผม คุณต้องมองในมุมกลับว่าเขาเป็นลูก แล้วเขาขอทำหน้าที่ของเขา ถ้าคุณไม่ให้เขาทำ เกิดผมเป็นอะไร เขาจะรู้สึกผิดทั้งชีวิตนะ เขาโตแล้ว เขาอายุ 18 แล้ว เหมือนผมรักใครสักคน แล้วเขาอยู่ในอันตราย ผมขอไปช่วย แล้วเขาไม่ให้ไป ผมไม่ยอมนะ มันเป็นเรื่องที่ผมต้องไปช่วยเขา ถ้าผมไม่ทำผมจะรู้สึกผิดทั้งชีวิต คุณต้องคิดกลับในมุมของลูกว่าทำไมผมยอม เพราะเมื่อเขาแสดงเจตนาว่าเขาจะมาอยู่กับผม ผมไม่ให้เขาทำหน้าที่ลูกได้ยังไง
ครั้งที่สองที่ผมถูกควบคุมตัวที่ มทบ.11 เขาก็ไปเรียกร้องให้ผม ไปตามผม เพราะผมถูกเอาตัวไป ผมมียา มีทุกอย่างที่ผมต้องกิน เขาก็แค่ทำหน้าที่ลูก เขาไปตามหาพ่อเขาน่ะ รวมถึงครั้งที่สาม ผมถูกควบคุมตัวไปไว้ไหนไม่รู้ คุณเป็นลูกคุณจะไปตามมั้ย สิ่งที่เขาทำไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ถ้าไม่ไปตาม ไม่ไปสู้ให้พ่อเขาสิ คนต้องมองเขาว่าคิดยังไงหรือพ่อแม่อบรมยังไง มันเป็นความผูกพัน
แล้วที่เขาไปตามผม มันไม่ใช่เรื่องการเมือง มันเป็นเรื่องของพ่อเขา ส่วนหนังสือหนังหาที่เตรียมไว้ให้เขาคือหนังสือที่ผมทำไว้ ผมมีเวลา ทหารจะมาเอาตัวผมวันที่ 14 ผมขอเวลาเป็นวันที่ 18 ผมมีเวลาตั้งสี่ห้าวัน ผมทำทุกอย่างไว้ให้ว่า โอเค วันนี้เขากำลังละเมิดความเป็นคนของพ่อ ซึ่งมันไปละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับความเป็นคน เพราะฉะนั้นวันนี้ไปตามหาพ่อที่ที่เขาควบคุมตัวพ่อก่อน ไปคุยกันดีๆ ก่อน ถ้าเขาไม่ปล่อยพ่อ ก็ไปเรียกพรรคพวกมาช่วย ลูกไปขอเขาก่อน เขาไม่ปล่อยตอนนี้ล่ะ เราก็ต้องไปหาเพื่อน วันแรก ลูกผมไปเรียกร้องให้ทหารปล่อยผม เมื่อไม่ปล่อย เขาก็ไปยูเอ็น ไปอียู ไปสหรัฐฯ ว่ากันไม่ได้ ก็เขาบอกคุณแล้ว ทำไมคุณไม่ปล่อย ถ้าคุณปล่อย เขาก็ไม่ต้องไปที่นั่น
ถ้าผมเป็นรัฐบาล ผมทำอะไรผิดพลาด ผมแสดงความรับผิดชอบได้สองอย่าง ลาออกกับยุบสภา เขาก็ยุบสภารับผิดชอบแล้ว คุณจะเอาอะไรอีกล่ะ แต่คุณไม่ให้เขาไปเลือกตั้ง คุณกำลังหาเรื่อง คุณเอาตรงนี้เป็นเงื่อนไขไปสู่การยึดอำนาจ ตรงนี้คือคำตอบว่ามันไม่ใช่เรื่องรัฐบาลผิดพลาด
ถ้าเป็นคนทั่วไปผลที่เกิดขึ้นอาจเป็นอีกอย่าง แต่กับคุณ ทหารจับปล่อยๆ
มันไม่ได้มีของดีฮะ สิ่งที่ผมมี ใจ คุณเข้าใจคำว่า ใจ มั้ย ง่ายๆ คุณไม่กลัวเขา สุดท้าย เขาก็จะกลัวคุณ เหมือนเรากับเมีย เมียไม่กลัวเรา เราก็เลยต้องกลัวเมีย เมียตัวเล็กกว่าเราหรือเปล่า แล้วทำไมเราไม่กล้ากับเขาล่ะ ก็เพราะเขาไม่กลัวเรา ก็เหมือนกัน ใจมนุษย์สำคัญที่สุด หนึ่ง ใจ เราสู้ด้วยใจของเราที่ไม่กลัว ผมพูดได้ ผมไม่เคยแสดงความขลาดกลัวกับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง สอง เราสู้ด้วยปัญญา เราไม่ได้สู้ด้วยกำลัง ผมไม่เคยใช้กำลังกับคนพวกนี้ ผมสู้เขาไม่ได้ ผมไม่มีปืนเหมือนเขา แต่ผมมีใจที่เหนือเขา อาจจะบอกผมมีปัญญาที่เหนือพวกเขาแล้วกัน
ทำยังไง เมื่อทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องที่ประชาคมโลกต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง ผมเป็นเคสแรกที่ประชาคมโลกทุกคนเข้ามา มันก็อยู่ที่คุณทำให้มันเข้ากับข้อกฎหมายระหว่างประเทศ ถ้ามันไม่เข้ากับกฎหมายระหว่างประเทศ เขาก็ไม่มีบันไดจะเดินเข้ามา ทำไมเรื่องผม ข้าหลวงใหญ่ว่าด้วยสิทธิมนุษยชนเข้ามา องค์กรแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเข้ามา ทำไมสหรัฐฯ อียู แคนาดา ออสเตรเลีย สวิตฯ เข้ามาอยู่ข้างผม เขามาได้เพราะสิ่งที่ คสช. ทำกับผมมันเข้าเงื่อนไขที่เขาจะเดินเข้ามาได้ ตรงนี้ถึงบอกว่าผมสู้ด้วยปัญญา
มีการตั้งข้อสังเกตว่า เพราะฐานเสียงคุณอยู่ปราจีน ซึ่งก็เป็นถิ่นบูรพาพยัคฆ์ และคุณก็ผูกพันกับบูรพาพยัคฆ์ ยังมีความสนิทสนมกันอยู่ จึงยังมีความเกรงอกเกรงใจกัน
ไม่มี ผมสนิทสนมกันมาก่อน ถูกต้อง ไม่ปฏิเสธ แต่วันนี้มันเป็นเรื่องของบ้านเมือง เขาทำหน้าที่เขา ผมทำหน้าที่ผม คุณคิดว่าเขาออมมือให้ผมเหรอ ส่งกำลังมาทีอย่างกับมาจับบิน ลาเดน ผมเป็นคนแรกที่ถูกจับแบบนี้ เต็มที่ก็โทรศัพท์ไปหา เชิญตัวมา ของผมคุณเห็นมั้ย อย่างกับยุทธการอะไรสักอย่าง เอาเป็นว่าสำหรับผม คสช. เขามองผมว่าเป็นภัยคุกคามหมายเลข 1 ของเขาแล้วกัน ผมว่าเคสผมเป็นเคสที่ตึงมือเขาที่สุด
คุณออกมาเคลื่อนไหวครั้งนี้ในฐานะตัวบุคคลหรือพรรค
พรรค ผมเป็นสมาชิกของพรรค มันหนีคำนี้ไม่ได้หรอกครับ ถึงแม้จะเป็นตัวบุคคล แต่ผมเป็นนักการเมือง นักการเมืองสังกัดอะไรล่ะ วันนี้ผมเป็นนักการเมือง ผมเคลื่อนไหวหรือแสดงความคิดเห็นทางการเมือง เมื่อมันเป็นเรื่องการเมือง มันก็ผูกพันกลับไปที่พรรค เพราะผมจะทำอะไรที่ฝืนมติพรรคไม่ได้ เช่น พรรคมีมติไม่เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญนี้ ผมจะไปแสดงว่ารับไม่ได้ คุณเห็นมั้ย สิ่งที่ผมเคลื่อนไหวหรือแสดงความคิดเห็น ไม่ได้อยู่ตรงข้ามกับพรรค
แต่ทำไมพรรคเพื่อไทยจึงเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยน้อยกว่าที่คนเสื้อแดงหรือฐานเสียงคาดหวัง
ผมก็ไม่ได้ทำให้ถูกใจใครคนใดคนหนึ่ง ผมไม่ใช่เสื้อแดงนะฮะ ผมไม่เคยขึ้นเวทีเสื้อแดง ผมเป็นนายวัฒนา ผมเป็นนักการเมือง สิ่งที่ผมเคลื่อนไหวและต่อสู้ ผมต่อสู้เพื่อการเมืองในระบอบรัฐสภา ผมไม่เคยขอให้ประชาชนออกมา ผมต่อสู้ตามสิทธิว่าผมต้องการรัฐธรรมนูญที่มีความเป็นประชาธิปไตย การเคลื่อนไหวของผมอาจจะไปถูกใจคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่ผมไม่ได้ทำเพื่อให้ถูกใจคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ผมคือตัวผม ผมเห็นว่าวันนี้ผมต้องมีเสรีภาพ คนไทยต้องมีเสรีภาพ และผมจะไปสู้เพื่อตัวผมคนเดียว คนอื่นไม่ต้อง เพราะเวลาให้ต้องให้เหมือนกันหมด ได้เหมือนกันหมด และในเวลาใดเวลาหนึ่ง เรามีคนร้อยคน แต่อาจมีคนเดียวออกไปสู้ มันไม่ได้แปลว่าคน 99 คนไม่คิดจะสู้ อาจยังไม่พร้อมหรือว่าใจ เข้าใจคำว่าใจมั้ย บังเอิญผมอาจจะเป็นคนบ้าไม่กลัวคน หรือคนอื่นอาจจะมีความกังวล ก็ไม่แปลก ในสถานการณ์ที่อาวุธมันจี้หัว
มองในฐานะสมาชิกพรรคหรือในฐานะประชาชนก็ตามแต่ คุณคิดว่าพรรคเพื่อไทยควรมีแอคชั่นมากกว่านี้หรือเปล่า
ในนามของพรรคการเมือง จะทำอะไรต้องอยู่ในกรอบของกฎหมาย คุณจะบอกว่าวันนี้พามวลสมาชิกไปรบกับทหารเลยไม่ได้ แล้วคุณต้องฟังมวลสมาชิกส่วนใหญ่ด้วย คุณจะทำในนามพรรคต้องมีความเห็นของสมาชิกรองรับ สมมติสมาชิกยังไม่เห็นพ้องหรือยังไม่เห็นด้วยว่าเป็นเวลาที่สมควรที่จะทำ พรรคก็ขยับไปมากกว่านั้นไม่ได้ แต่การที่พรรคได้ทำให้ผม ไม่ว่าจะเป็นการแถลงการณ์หรือเรียกร้องให้ปล่อยผม เขาก็ทำหน้าที่ของเขาแล้ว ผมก็พอใจแล้ว
ถอยกลับไปช่วงก่อนรัฐประหาร คุณคิดว่ารัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ก้าวพลาดในทางการเมืองอะไรไปหรือเปล่า เช่น นิรโทษกรรมเหมาเข่ง
คืออย่างนี้ รัฐบาลเพื่อไทยอาจจะทำอะไรผิดพลาดบ้าง แต่การรัฐประหารไม่ได้เกิดจากความผิดพลาด มันเกิดจากการหาเรื่อง การที่รัฐบาลผิดพลาดเขาก็รับผิดชอบด้วยการยุบสภาแล้ว ถูกมั้ย นี่คือประเพณีทั่วโลก ถ้าผมเป็นรัฐบาล ผมทำอะไรผิดพลาด ผมแสดงความรับผิดชอบได้สองอย่าง ลาออกกับยุบสภา เขาก็ยุบสภารับผิดชอบแล้ว คุณจะเอาอะไรอีกล่ะ แต่คุณไม่ให้เขาไปเลือกตั้ง คุณกำลังหาเรื่อง คุณเอาตรงนี้เป็นเงื่อนไขไปสู่การยึดอำนาจ ตรงนี้คือคำตอบว่ามันไม่ใช่เรื่องรัฐบาลผิดพลาด เพราะฉะนั้นพรรคเพื่อไทยทำผิดทำถูก ไม่รู้ แต่สิ่งที่พรรคเพื่อไทยทำ ทำในระบอบรัฐสภาที่มีฝ่ายค้าน มีการตรวจสอบ ไม่ได้แอบทำเหมือน คสช. ทำ สอง เมื่อสิ่งนั้นเห็นว่าผิด สังคมอาจจะไม่ยอมรับ และเป็นสังคมของคนส่วนน้อยด้วย เพราะคนที่มาเรียกร้องเป็นคนส่วนน้อยนะ เป็นฝ่ายที่แพ้การเลือกตั้ง ท่านนายกฯ ก็ได้แสดงความรับผิดชอบด้วยการยุบสภาแล้ว แล้วคุณคิดว่าผมต้องทำอะไรอีกในทางการเมือง มันต้องจบไม่ใช่เหรอ แล้วมันไม่จบเพราะอะไร ดังนั้น การถูกยึดอำนาจ มันไม่ใช่เรื่องของพรรคเพื่อไทยทำผิด มันเป็นเรื่องที่พวกคุณอยากจะทำอยู่แล้ว และนี่เป็นหนึ่งในข้ออ้าง
คืออย่างนี้ รัฐบาลเพื่อไทยอาจจะทำอะไรผิดพลาดบ้าง แต่การรัฐประหารไม่ได้เกิดจากความผิดพลาด มันเกิดจากการหาเรื่อง การที่รัฐบาลผิดพลาดเขาก็รับผิดชอบด้วยการยุบสภาแล้ว ถูกมั้ย นี่คือประเพณีทั่วโลก ถ้าผมเป็นรัฐบาล ผมทำอะไรผิดพลาด ผมแสดงความรับผิดชอบได้สองอย่าง ลาออกกับยุบสภา เขาก็ยุบสภารับผิดชอบแล้ว คุณจะเอาอะไรอีกล่ะ แต่คุณไม่ให้เขาไปเลือกตั้ง คุณกำลังหาเรื่อง คุณเอาตรงนี้เป็นเงื่อนไขไปสู่การยึดอำนาจ ตรงนี้คือคำตอบว่ามันไม่ใช่เรื่องรัฐบาลผิดพลาด เพราะฉะนั้นพรรคเพื่อไทยทำผิดทำถูก ไม่รู้ แต่สิ่งที่พรรคเพื่อไทยทำ ทำในระบอบรัฐสภาที่มีฝ่ายค้าน มีการตรวจสอบ ไม่ได้แอบทำเหมือน คสช. ทำ สอง เมื่อสิ่งนั้นเห็นว่าผิด สังคมอาจจะไม่ยอมรับ และเป็นสังคมของคนส่วนน้อยด้วย เพราะคนที่มาเรียกร้องเป็นคนส่วนน้อยนะ เป็นฝ่ายที่แพ้การเลือกตั้ง ท่านนายกฯ ก็ได้แสดงความรับผิดชอบด้วยการยุบสภาแล้ว แล้วคุณคิดว่าผมต้องทำอะไรอีกในทางการเมือง มันต้องจบไม่ใช่เหรอ แล้วมันไม่จบเพราะอะไร ดังนั้น การถูกยึดอำนาจ มันไม่ใช่เรื่องของพรรคเพื่อไทยทำผิด มันเป็นเรื่องที่พวกคุณอยากจะทำอยู่แล้ว และนี่เป็นหนึ่งในข้ออ้าง
สิ่งที่เรากำลังคิดจะทำต่อไปคือการปฏิรูปพรรคเพื่อให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมเป็นเจ้าของพรรคมากขึ้น ให้เหมือนเป็นบริษัทมหาชนที่ผู้ถือหุ้นมีความหลากหลาย ไม่อยู่ในตระกูลใดตระกูลหนึ่ง
พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคใหญ่ที่สุดตอนนี้...
และก็เป็นพรรคเดียวที่ต่อสู้กับเผด็จการในวันนี้
แล้วก็คาดว่าก็คงจะได้รับเลือกเข้ามาไม่น้อยในการเลือกตั้งครั้งหน้า แต่ก็มีข้อวิพากษ์วิจารณ์ที่เป็นมาตลอดว่า พรรคเพื่อไทยยังคงผูกติดกับคุณทักษิณ ในอนาคตจะพัฒนาพรรคเพื่อไทยให้เป็นสถาบันที่ไม่ผูกติดกับบุคคลได้อย่างไร
เราได้คุยกันนะครับ คุณต้องแยกเรื่องนี้ออกเป็นสองเรื่องก่อน คุณทักษิณก็เป็นประชาชนคนหนึ่ง เหมือนผมชอบรีพับลิกัน ไม่ชอบเดโมแครต คุณมองว่าผมผิดมั้ย แล้วทำไมคุณทักษิณจะชอบพรรคเพื่อไทยไม่ได้ มันไม่ใช่เรื่องแปลก การที่ทักษิณจะชอบพรรคเพื่อไทยกับพรรคเพื่อไทยจะเป็นสถาบันหรือไม่ มันคนละเรื่องกันนะ สอง พรรคเพื่อไทยถูกมองว่าไม่เป็นสถาบันเพราะอะไร อย่างแรกเพราะไปอิงอยู่กับคุณทักษิณมากเกินไปหรือเปล่า ก็บอกว่าไม่ วันนี้ผมออกมาเคลื่อนไหวก็ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณทักษิณ
ในวันที่ท่านเป็นหัวหน้าพรรค เราก็ต้องอิงท่าน เราไม่ฟังหัวหน้าพรรคแล้วเราจะไปฟังแมวฟังอะไรที่ไหน สอง พรรคการเมืองมันมีเรื่องของความนิยม ทำไมเดโมแครตต้องเอาคลินตันออกมาหาเสียง ไม่เห็นแปลกเลย รีพับลิกันเอาจอร์จ บุช ออกมาช่วย ยังไม่เห็นแปลก แล้วทำไมคุณทักษิณที่เป็นที่นิยม เราจะไปอ้างท่านซึ่งเป็นคนที่ประชาชนรักไม่ได้ แต่บ้านเรามีมิจฉาทิฐิ มีอคติ ก็ในเมื่อคุณทักษิณเป็นที่รักของคน ผมเป็นพรรคการเมืองต้องการได้รับความนิยม การที่ผมไปพูดถึงคุณทักษิณหรือเอาคุณทักษิณมา มันไม่เห็นแปลกเลย การขายสินค้ายังเอาดาราที่ได้รับความนิยมมาเป็นพรีเซ็นเตอร์เลย เขาก็ทำกันทั้งโลก ทำไมถึงมาแปลกในเมืองไทย ก็ลองวันใดวันหนึ่งคุณทักษิณไม่ได้รับความนิยมขึ้นมา เราไปพิงได้ยังไง ผมก็ต้องกระโดดหนี ในมุมของพรรค ถูกหรือเปล่า
พรรคเพื่อไทยจะเป็นสถาบันการเมืองมั้ย เป็นแน่นอน มันเป็นพรรคการเมืองที่เป็นพรรคเบอร์หนึ่งเบอร์สองของประเทศ มันไม่เป็นสถาบันไม่ได้หรอก ถูกมั้ยฮะ การเป็นสถาบันคืออะไร มันก็ต้องมีการปฏิรูป เรามีการคิดกัน การเป็นสถาบันกับการที่เรายังอิงคุณทักษิณ คนละเรื่องนะ แต่ไม่ใช่เพียงการพิงแล้วเราจะได้รับความนิยม พรรคการเมืองยังมีคำว่านโยบาย ต้องถูกใจประชาชน มันมีหลายปัจจัย พรรคเพื่อไทยเป็นสถาบันอยู่แล้ววันนี้ การที่พรรคออกมาต่อสู้กับเผด็จการ คุณว่ามันไม่มีจุดยืนเหรอ มันเป็นสถาบันทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยสถาบันเดียวในประเทศไทยในวันนี้ พรรคอื่นไม่เห็นออกมาสู้ล่ะ มีพรรคการเมืองไหนออกมาสู้กับเผด็จการบ้าง เหลือพรรคเพื่อไทยพรรคเดียว แล้วคุณว่าพรรคเพื่อไทยไม่เป็นสถาบันเหรอ เป็นสถาบันเป็นแบบไหนต้องยอมเผด็จการแบบทุกพรรคยอมเหรอ พรรคเพื่อไทยเป็นสถาบันการเมืองในระบอบประชาธิปไตยพรรคเดียวในวันนี้ ถ้าความเป็นสถาบันคือต้องไปก้มหัวให้เผด็จการ ผมไม่ขอเป็น
สอง สิ่งที่เรากำลังคิดจะทำต่อไปคือการปฏิรูปพรรคเพื่อให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมเป็นเจ้าของพรรคมากขึ้น ให้เหมือนเป็นบริษัทมหาชนที่ผู้ถือหุ้นมีความหลากหลาย ไม่อยู่ในตระกูลใดตระกูลหนึ่ง แน่นอน คนอาจจะมองว่าพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคของตระกูลชินวัตรหรืออะไรก็แล้วแต่ ซึ่งจริงๆ มันไม่ใช่ พวกผมออกมาเคลื่อนไหวชินวัตรมาห้ามอะไรพวกผมได้ล่ะวันนี้ แต่พรรคเพื่อไทยต้องพุ่งไปตรงนั้น เรามีความคิดเรื่องการปฏิรูปพรรคอยู่แล้ว เพียงแต่วันนี้ยังทำไม่ได้ ไปเรียกประชุมก็ติดคุกกันหมดสิ
การปฏิรูปมันไปได้ทั้งนั้น อะไรที่ทำแล้วประชาชนเกิดความนิยม เราต้องทำ เราจะรู้ว่าผู้สมัครของเรา ประชาชนรัก ประชาชนนิยมแค่ไหน เราก็ต้องให้เขาเลือก ไม่ใช่เราเลือกไป ถึงเวลาเขายี้ มันเปลืองค่าใช้จ่ายพรรคด้วย ถ้าเราทำไพรมารี่โหวต เรารู้เลยว่านี่คือคนที่ประชาชนเอา ส่งไปเลือกตั้งก็ชนะ การทำไพรมารี่โหวตเป็นเรื่องที่ดีกับพรรค แล้วทำไมจะไม่ทำ แต่ตอนนี้มันค่อยๆ ไป ทำอะไรมากเดี๋ยวสีเขียวก็บุกพรรคคุณ
คุณวิเคราะห์การเมืองหลังจากนี้อย่างไร
ในมุมการเมือง ประชาชนอดทนกับ คสช. มานานแล้ว ใช้คำนี้ก่อน แม้แต่พรรคการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามา บริหารมาสองปีก็หืดแล้วนะ มันคือครึ่งชีวิตทางการเมือง เพราะฉะนั้นจากนี้ไป คสช. จะอยู่ได้ไม่ได้ มันอยู่ที่ความดีที่เขาทำ ถ้าเขาทำความดีคนก็ทนได้ แต่สองปีนี่ ประชาชนเอือมแล้ว ถามผม ผมก็รู้สึกแบบที่ผมพูด เอือม เพราะฉะนั้นวันที่ 7 สิงหาคมที่จะลงประชามติ เท่ากับเขาอยู่มา 2 ปีกว่านะจาก 22 พฤษภาคม 2557 ประชามติผ่าน ไม่ผ่าน มันมีผลมาก ถ้าผ่าน การเมืองก็ไปแบบที่เขาออกแบบ แต่ถ้าไม่ผ่าน เขาจะทำแบบที่เขาอยากจะทำ ไปตั้งนั่นตั้งนี่ กูจะอยู่ของกูแบบนี้ ผมไม่เชื่อว่ามันจะง่ายแบบนั้น ทนมาขนาดนี้แล้ว ถึงเวลามันปึงขึ้นมา จะมาทำแบบเดิม คุณยอมเหรอ
เกรงกันว่าจะนำไปสู่ความรุนแรงในอนาคต
มันขึ้นอยู่กับ คสช. เองว่าเขาตระหนักขนาดไหน ผมเชื่อว่าเขาก็รู้ ถ้าคุณต้มน้ำโดยไม่มีรูออก ถึงเวลามันเดือด แรงดันก็ทำให้หม้อระเบิด ก็ต้องถามว่าคุณเปิดรูออกอะไรไว้บ้าง การเมืองก็แค่นั้น มันไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินคิด
พรรคเพื่อไทยจะเป็นสถาบันการเมืองมั้ย เป็นแน่นอน มันเป็นพรรคการเมืองที่เป็นพรรคเบอร์หนึ่งเบอร์สองของประเทศ มันไม่เป็นสถาบันไม่ได้หรอก ถูกมั้ยฮะ การเป็นสถาบันคืออะไร มันก็ต้องมีการปฏิรูป เรามีการคิดกัน การเป็นสถาบันกับการที่เรายังอิงคุณทักษิณ คนละเรื่องนะ แต่ไม่ใช่เพียงการพิงแล้วเราจะได้รับความนิยม พรรคการเมืองยังมีคำว่านโยบาย ต้องถูกใจประชาชน มันมีหลายปัจจัย พรรคเพื่อไทยเป็นสถาบันอยู่แล้ววันนี้ การที่พรรคออกมาต่อสู้กับเผด็จการ คุณว่ามันไม่มีจุดยืนเหรอ มันเป็นสถาบันทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยสถาบันเดียวในประเทศไทยในวันนี้ พรรคอื่นไม่เห็นออกมาสู้ล่ะ มีพรรคการเมืองไหนออกมาสู้กับเผด็จการบ้าง เหลือพรรคเพื่อไทยพรรคเดียว แล้วคุณว่าพรรคเพื่อไทยไม่เป็นสถาบันเหรอ เป็นสถาบันเป็นแบบไหนต้องยอมเผด็จการแบบทุกพรรคยอมเหรอ พรรคเพื่อไทยเป็นสถาบันการเมืองในระบอบประชาธิปไตยพรรคเดียวในวันนี้ ถ้าความเป็นสถาบันคือต้องไปก้มหัวให้เผด็จการ ผมไม่ขอเป็น
สอง สิ่งที่เรากำลังคิดจะทำต่อไปคือการปฏิรูปพรรคเพื่อให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมเป็นเจ้าของพรรคมากขึ้น ให้เหมือนเป็นบริษัทมหาชนที่ผู้ถือหุ้นมีความหลากหลาย ไม่อยู่ในตระกูลใดตระกูลหนึ่ง แน่นอน คนอาจจะมองว่าพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคของตระกูลชินวัตรหรืออะไรก็แล้วแต่ ซึ่งจริงๆ มันไม่ใช่ พวกผมออกมาเคลื่อนไหวชินวัตรมาห้ามอะไรพวกผมได้ล่ะวันนี้ แต่พรรคเพื่อไทยต้องพุ่งไปตรงนั้น เรามีความคิดเรื่องการปฏิรูปพรรคอยู่แล้ว เพียงแต่วันนี้ยังทำไม่ได้ ไปเรียกประชุมก็ติดคุกกันหมดสิ
การปฏิรูปมันไปได้ทั้งนั้น อะไรที่ทำแล้วประชาชนเกิดความนิยม เราต้องทำ เราจะรู้ว่าผู้สมัครของเรา ประชาชนรัก ประชาชนนิยมแค่ไหน เราก็ต้องให้เขาเลือก ไม่ใช่เราเลือกไป ถึงเวลาเขายี้ มันเปลืองค่าใช้จ่ายพรรคด้วย ถ้าเราทำไพรมารี่โหวต เรารู้เลยว่านี่คือคนที่ประชาชนเอา ส่งไปเลือกตั้งก็ชนะ การทำไพรมารี่โหวตเป็นเรื่องที่ดีกับพรรค แล้วทำไมจะไม่ทำ แต่ตอนนี้มันค่อยๆ ไป ทำอะไรมากเดี๋ยวสีเขียวก็บุกพรรคคุณ
คุณวิเคราะห์การเมืองหลังจากนี้อย่างไร
ในมุมการเมือง ประชาชนอดทนกับ คสช. มานานแล้ว ใช้คำนี้ก่อน แม้แต่พรรคการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามา บริหารมาสองปีก็หืดแล้วนะ มันคือครึ่งชีวิตทางการเมือง เพราะฉะนั้นจากนี้ไป คสช. จะอยู่ได้ไม่ได้ มันอยู่ที่ความดีที่เขาทำ ถ้าเขาทำความดีคนก็ทนได้ แต่สองปีนี่ ประชาชนเอือมแล้ว ถามผม ผมก็รู้สึกแบบที่ผมพูด เอือม เพราะฉะนั้นวันที่ 7 สิงหาคมที่จะลงประชามติ เท่ากับเขาอยู่มา 2 ปีกว่านะจาก 22 พฤษภาคม 2557 ประชามติผ่าน ไม่ผ่าน มันมีผลมาก ถ้าผ่าน การเมืองก็ไปแบบที่เขาออกแบบ แต่ถ้าไม่ผ่าน เขาจะทำแบบที่เขาอยากจะทำ ไปตั้งนั่นตั้งนี่ กูจะอยู่ของกูแบบนี้ ผมไม่เชื่อว่ามันจะง่ายแบบนั้น ทนมาขนาดนี้แล้ว ถึงเวลามันปึงขึ้นมา จะมาทำแบบเดิม คุณยอมเหรอ
เกรงกันว่าจะนำไปสู่ความรุนแรงในอนาคต
มันขึ้นอยู่กับ คสช. เองว่าเขาตระหนักขนาดไหน ผมเชื่อว่าเขาก็รู้ ถ้าคุณต้มน้ำโดยไม่มีรูออก ถึงเวลามันเดือด แรงดันก็ทำให้หม้อระเบิด ก็ต้องถามว่าคุณเปิดรูออกอะไรไว้บ้าง การเมืองก็แค่นั้น มันไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินคิด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น