วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554


“คนไทย ‘เงี่ยน’ สงคราม!!!”
http://vattavan.com/detail.php?cont_id=242
วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

มติชนออนไลน์ เมื่อ 24 กรกฎาคม 2553 เขาลงข่าวเรื่องพล.ท.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน แม่ทัพภาคที่ 3 กล่าวถึงกรณีที่กองทัพบกมีแนวคิด ตั้งกองพลทหารราบที่ 7 (พล.ร.7) ขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือ จ.เชียงใหม่ ซึ่งนอกจากเรื่องการจัดตั้งกองพลดังกล่าวแล้ว แม่ทัพยังให้สัมภาษณ์ ถึงกรณีที่หากประเทศของเรา ต้องรบกับฝ่ายกัมพูชา โดยกล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า
หากเป็นกัมพูชา เราเอา F 16 ฝูงเดียวก็น่าจะได้แล้ว แต่กับพม่าไม่แน่ เพราะเขามีทั้งเครื่องบินมิก มีรัสเซียหนุนหลัง และยังพัฒนานิวเคลียร์กับเกาหลีเหนือ"
ผมฟังแล้วคิดว่า

หากฝ่ายเขมรได้ยินคำพูดอย่างนี้ จากปากแม่ทัพฝ่ายไทย เชื่อได้ทันทีว่า เขาย่อมจะเกิดความไม่พอใจ และถ้าคิดไปไกลอีก
สักนิด ก็เสมือนว่า
ทหารฝ่ายไทยพูดแสดงความหยามเหยียด ในความด้อยศักยภาพในด้านกำลังรบของชาติเพื่อนบ้าน ที่ประเทศเขามีขนาดเล็กกว่า ทั้งยังด้อยกว่าด้วยจำนวนพลเมือง และศักยภาพทางเศรษฐกิจ
แต่...ผมต้องขอบอกว่า
ความคิดอย่างนี้ ก็ใช่จะถูกต้องเสมอไป เพราะบทเรียนในอดีตก็มี เช่น ในกรณีการรบกับประเทศลาว ซึ่งเป็นชาติที่เล็กกว่าและด้อยกว่าไทยในทุกๆมิติ ที่สมรภูมิบ้านร่มเกล้า เมื่อ ปี พ.ศ.2531 ผลกลับปรากฏว่า



รบกันเพียงไม่กี่วัน ทหารไทยต้องเสียชีวิต และบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก เครื่องบินขับไล่ เอฟ-5 อี ของไทยลำหนึ่งถูกยิงตก ขณะบินปฏิบัติการเหนือยุทธภูมิร่มเกล้า โดยจรวดแซม 7(อย่างที่เห็นในภาพ) ซึ่งทำจากโซเวียต
เครื่องบินถูกยิงที่บริเวณส่วนหาง และเครื่องยนต์ด้านขวา ทำให้เครื่องยนต์ระเบิดกลางอากาศ ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ไม่สามารถบังคับเครื่องบินต่อไปได้ นักบินจำเป็นต้องสละเครื่องบิน เหนือพื้นที่ที่ฝ่ายตรงข้ามครอบครองอยู่ และสามารถลงสู่พื้นดินได้โดยปลอดภัย แต่ก็ไม่รอดพ้นจากการถูกจับ และควบคุมตัวเป็นเชลย โดยกำลังฝ่ายตรงข้าม
นับเป็นความสูญเสีย ที่สำคัญอีกครั้งของฝ่ายไทย แต่มี
ข่าวกรองบางกระแส แจ้งว่า
ทหารเวียดนามเป็นผู้สอยเครื่อง F ของไทย โดยใช้จรวดแซม 7 ยิงแบบหวังผลเด็ดขาด คือยิงพรวดเดียวพร้อมๆกัน ถึง 7 กระบอก ทำให้ฝ่ายเราต้องสูญเสีย เครื่องบินราคาแพงไปอย่างน่าเสียดาย
นอกจากกองทัพไทย ต้องสังเวยด้วยเครื่องบินตระกูล F ในการรบครั้งนั้นแล้ว ไทยเรายังเสียเครื่อง OV 10 ไปอีก 1 เครื่องด้วย แถมเครื่อง F 5 อีกเครื่องหนึ่ง เพราะโดนจรวดแซมยิงเสยเข้าที่เครื่องยนต์ท้าย ระหว่างบินโจมตีทิ้งระเบิดต่อเป้าหมาย แต่นักบินสามารถนำเครื่องกลับมาลงที่สนามบิน ได้อย่างปลอดภัย และกองทัพอากาศทำการแก้ไข ซ่อมแซมนำกลับไปบินได้อีกครั้ง
ที่นำเรื่องนี้มาเล่า ก็เพื่อบอกกับท่านผู้อ่าน และพี่น้องประชาชนคนไทยให้ทราบด้วยว่า

เมื่อลาวรบกับไทยนั้น มีทหารเวียตนามจำนวนหลายหมื่นนาย เคลื่อนเข้าสู่สมรภูมิ ทำการสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับทหารลาวด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นว่า
กองทัพลาวมีเพื่อน หรือมีชาติพันธมิตร มาคอยช่วยเหลือ เขาไม่ได้รบแบบ...คนเดียวโดดๆ!
ฉะนั้น หากไทยจะต้องรบกับเขมรแล้วไซร้ ขอบอกเอาไว้ตรงนี้เลยว่า
ไทยเราจะไม่มีชาติพันธมิตรที่ไหน มาร่วมรบด้วยอย่างแน่นอน เพราะรัฐบาลโลซกของประเทศไทย มันดันทะลึ่งไปทะเลาะเบาะแว้ง กับประเทศเพื่อนบ้านเขาไปทั่ว แต่ฝ่ายเขมรนั้น เขามีเพื่อน โดยเฉพาะชาติพันธมิตรในกลุ่มอินโดจีน ที่เคยเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสมาด้วยกัน ซึ่งมีความสัมพันธ์กันอย่างแน่นเหนียว ตรงข้ามกับไทย แบบฟ้ากับเหวเลยทีเดียว
ผมจะไม่แปลกใจเลยแม้แต่นิด ถ้าทันทีที่เราก่อศึกกับกัมพูชา แล้วเห็นภาพทหารเวียตนาม ลาว เดินเข้าสู่ยุทธบริเวณ
ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ กับฝ่ายเขมรด้วย!
นอกจากนั้น ประเทศยักษ์ใหญ่อย่างจีน ที่ปัจจุบันทั้งลงทุนในกัมพูชามากมาย ทั้งยังเคลื่อนย้ายคนจีน ไปทำงานในประเทศนั้นอีกหลายแสนคน
เมื่อมีผลประโยชน์ในเขมรอย่างนี้ จีนคงจะไม่ปล่อยให้เขมรรบ โดยเป็นเสียเปรียบ หรือเป็นรองไทย อย่างแน่นอน
ดังนั้น มหาอำนาจอย่างจีน คงจะต้องสนับสนุนกัมพูชาด้วยการส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ ที่มีอานุภาพสูง สามารถต่อต้านเครื่องบินตระกูล F ที่แม่ทัพภาค 3 พูดถึงได้ อย่างแน่นอน
เผลอๆเครื่องบินมิก (Mig) ของเวียตนาม อาจกระโจนเข้าสู่สมรภูมิ ช่วยเขมรร่วมตะบันไทยอีกด้วย
พูดภาษานักเลง ให้เข้าใจกันง่ายๆ ก็คือ
ไทยเราจะต้องโดนรุม... “กินโต๊ะ!”

ฟังแม่ทัพภาค 3 พูดแล้ว ทำให้ผมนึกถึงสำนวน ที่พูดกันว่า “ปากสดายุ” ซึ่งท่านผู้อ่านที่อายุยังไม่มาก และไม่ได้เรียนวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์มาก่อน อาจไม่ทราบที่มาที่ไป
จึงขอเล่าย่อๆ ให้ฟังว่า
เมื่อครั้งพระรามต้องออกเดินดง ไปปลูกอาศรมอยู่ในป่านั้น วันหนึ่งท้าวเธอเสด็จออกจากอาศรม ทิ้งให้นางสีดาอยู่คนเดียว ทศกัณฐ์จึงฉวยโอกาส ลักนางสีดาแล้วพาเหาะไป
ฝ่ายพญาสดายุ ซึ่งเป็นพญาปักษาชาติ (นก) และเป็นสหายกับท้าวทศรถ (พระชนกของพระราม) ผ่านมาเห็นเหตุการณ์เข้า จึงบินเข้าสกัดกั้น แต่ทศกัณฐ์มีทีเด็ด ถอดแหวนนางสีดาขว้างออกไป ต้องกายพญานกถึงกับปีกหัก ตกลงมายังพื้นดินแต่ยังไม่ตายทีเดียว รอคอยแจ้งเหตุกับพระราม ที่ออกติดตามหานางสีดา



เหตุที่ถูกขว้างด้วยแหวนของนางสีดา ก็เพราะพญานก
สดายุนั้นปากไม่ดีเอง ดันไปคุยโอ่ว่า ใครฆ่าก็ไม่ตาย แต่กลับโม้เปิดช่องว่า จะตายได้อย่างไร ดังปรากฏตามบทร้อยกรองต่อไปนี้

เมื่อนั้น สดายุใจหาญชาญสมร
บินขวางหน้าท้าวยี่สิบกร สำแดงฤทธิ์รอนดั่งลมกัลป์
กางปีกแผ่หางพลางเย้ย ว่าเหวยอสุรีโมหันธ์
สิบเศียรสิบพักตร์กุมภัณฑ์ ยี่สิบหัตถ์อันชิงชัย
พุ่งซัดอาวุธเป็นห่าฝน จะต้องปลายขนก็หาไม่
ถึงทั้งสามภพจบแดนไตร กูจะเกรงผู้ใดอย่าพึงคิด
กลัวแต่พระสยมภูวนาถ พระนารายณ์ธิราชจักรฤษณ์
กับธำมรงค์พระอิศวรทรงฤทธิ์ ที่ตัดนิ้วน้อยนางมาฯ

เพราะความ ‘ขี้คุย’ ของพญาสดายุแท้ๆ ที่บอกศัตรูเสร็จสรรพว่า ตัวเองนั้น จะตายได้ก็โดยพระนารายณ์ผู้เป็นเจ้า หรือด้วยแหวนของพระอิศวร ที่นางสีดาสวมใส่เท่านั้น
ทศกัณฐ์ได้ยินเข้า แค่นั้นก็ได้เรื่อง จอมอสุราจึงถอดแหวนจากนิ้วนางสีดา ขว้างสดายุเปรี้ยงเข้าให้ เท่านั้นเองพญานกที่ถึงฆาตเพราะปากเป็นพิษ ตกลงสู่พื้นมานอนแอ้งแม้ง
เท่งทึงไปเลย!

คราวนี้เราลองย้อนกลับมาพิจารณา คำพูดของแม่ทัพภาคที่ 3 กันบ้าง
จากคำให้สัมภาษณ์ ท่านบอกเสร็จสรรพว่า รบกับเขมรนั้น เราแค่เอาเครื่องบิน F 16 ไปเท่านั้น ก็เรียบร้อย ซึ่งน่าจะหมายความว่า
ไอ้เจ้า F 16 ของไทย จะบินไปถล่มกรุงพนมเปญ ให้ราบเป็นหน้ากลองลงได้ หรือจะใช้ถล่มกำลังทหารเขมร ระหว่างที่เข้ารบติดพันกับไทย ให้ย่อยยับลงไป (ประมาณนั้น) ซึ่งใครฟัง ก็คงแปลโดยสรุปคือ ท่านแม่ทัพพูดโอ่ว่า...ทหารไทยนั้น เหนือกว่าเขมรมาก!
แต่ผู้เขียนกลับไม่คิดอย่างนั้น ทำไมน่ะหรือครับ?....เหตุผลของผม ก็คือ

พอทหารเขมรฟังแม่ทัพไทยพูดอย่างนั้น ฝ่ายเขาก็ต้องเล่นบททศกัณฐ์ คือต้องไปพึ่งพาอาวุธจากลูกพี่ เหมือนทศพักตร์ยักษา ต้องพึ่งแหวนจากนางสีดา ยังไงยังงั้น ทีเดียวเชียว
ลูกพี่ของเขมรที่ว่านั้น ก็คงไม่พ้นเวียตนาม จีน หรือแม้กระทั่งญาติผู้ใหญ่อย่างฝรั่งเศส เขมรคงต้องขอให้จัดอาวุธจำพวกจรวดอานุภาพสูง เอาไว้ต้อนรับ หรือดักถล่มเครื่องบินรบตระกูล F ของไทย อย่างไม่ต้องสงสัยเลย
ยิ่งไปกว่านั้น ท่านแม่ทัพภาคที่ 3 ยังคุยฟุ้งเปะปะไปถึงประเทศพม่าเพื่อนบ้านอีกด้วย ว่า
“...แต่กับพม่าไม่แน่ เพราะเขามีทั้งเครื่องบินมิก มีรัสเซียหนุนหลัง และยังพัฒนานิวเคลียร์กับเกาหลีเหนือ"
พูดอย่างนี้ เข้าใจเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย นอกจากจะต้องแปลว่า
แม่ทัพไทยนั้น ได้แสดงความยำเกรงพม่า ออกมาโต้งๆ!

ส่วนพม่านั้น ไม่เคยแสดงเกรงกลัวไทยเลยแม้แต่สักนิด เพราะในประวัติศาสตร์ รบกันทีไร ก็เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะเสียเป็นส่วนใหญ่ ถึงขั้นเอาไทยลงเป็น “ขี้ข้า” ได้ ถึงสองครั้งสองครา
ทุกวันนี้ขัดใจกันเมื่อไหร่ พม่าแสดงความเหนือกว่า โดยยกปืนมาตั้ง ส่งกำลังทหารประชิด ปิดด่านชายแดน ฝ่ายประเทศไทยเราเสียอีก ต้องกลับเป็นฝ่ายงอนง้อ เสียแทบจะทุกครั้งไป
มาถึงปัจจุบัน พม่ามีเกาหลีเหนือสนับสนุน ทั้งสองชาติกำลังมีความสัมพันธ์กันลึกซึ้งเหนียวแน่น ก็ยิ่งไปกันใหญ่เลย ถึงขั้นโสมแดงจะช่วยให้พม่า มีอาวุธนิวเคลียร์ไว้ในครอบครอง ด้วยซ้ำไป!
แต่ที่น่ากลัว ยิ่งไปกว่านั้น ก็คือ
เกาหลีเหนือนั้น ยังคงพกความแค้น และขุ่นเคืองรัฐบาลไทยไว้อย่างเต็มพิกัด เพราะจับเครื่องบินขนอาวุธของพวกตน
ดังนั้น โสมแดงอาจเห็นเป็นโอกาสดี ที่จะได้ล้างแค้นฝ่ายไทยให้จั๋งหนับ ด้วยการเดินเกมสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์ ให้กับฝ่ายเขมรอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นจรวดต่อต้านอากาศยาน หรือจรวดติดหัวรบ พิสัยใกล้ กลาง และไกล ที่สามารถยิงจากทุกจุดที่ตั้งในทุกพื้นที่ ของฝั่งกัมพูชา...

...เข้าถล่มกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่-น้อย ของประเทศไทยได้ง่ายดาย!

ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ไม่ได้มีความมุ่งหมายให้คนไทยเรา เกิดความเกรงกลัวในการสู้รบ เพียงแต่อยากเตือน ผู้ที่มีหน้าที่ดูแลบ้านเมือง ให้ตระหนักว่า
การบริหารบ้านเมือง หรือกองทัพ พึงต้องระมัดระวังคำพูดคำจาเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อต้องไปพาดพิงถึงชาติอื่นเขา
การพูดเพียงเพื่อปลุกปลอบขวัญคนในชาติ หรือที่เรียกว่าพูดเพื่อ domestic consumption ถ้าไม่เปิดเผยต่อสื่อ ก็ยังพอจะทำกันได้ แต่หากดันไปพูด หรือให้สัมภาษณ์ ออกสื่อสารมวลชน ในทำนองข่ม ดูหมิ่นถิ่นแคลน หรือพูดจาเป็นเชิง ‘ท้าตี-ท้าต่อย’ กับประเทศเพื่อนบ้านแล้วไซร้
มันก็จะกลายเป็นเรื่อง ‘การเพาะศัตรู’ อย่างโง่เขลาที่สุด!

ฉะนั้น นักการเมืองก็ดี นักการทหารก็ดี ให้พึงระลึกไว้เสมอว่า ยุคนี้การสื่อสารมันฉับไว ให้สัมภาษณ์สื่อไปเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น ข่าวก็จะกระจาย อื้ออึงไปทั่วโลกแล้ว
ถ้าขืนไปพูดจาทำนองออกลูก ‘ข่ม’ หรือหมิ่นแคลนประเทศอื่นเอาไว้อย่างไร ปฏิกิริยาโต้ตอบ ก็จะคืนกลับมาอย่างรวดเร็ว รุนแรง ในอัตราส่วนที่ไม่แตกต่างกันเลย
ผมไม่เห็นว่า จะมีผลดีอะไรขึ้นมาเลย!

ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ
บ้านเมืองของเรานั้น ยามนี้มันดูพิกลๆอย่างไร ก็ไม่ทราบได้ เพราะฟังวิทยุชุมชนของพวกพันธมาร หลายครั้งที่ผมต้องยกมือขึ้นลูบอก เมื่อได้ยินไอ้พวกนี้มันพูดยั่วยุ ทั้งปลุกทั้งปั่นผู้คน เข้มข้นรุนแรงยิ่งขึ้นทุกวันๆ ราวกับว่าพวกมันนั้น ‘กระหาย’ สงครามกัน ซะจริงเชียว
ทำเหมือนไม่รู้ว่า ‘สงคราม’ นั้น จะนำมาซึ่งความเสียหายทั้งชีวิตผู้คน และทรัพย์สินมหาศาล!

จอมปราชญ์ชาวจีน ซุนวู ปรมาจารย์นักยุทธศาสตร์คนสำคัญ กล่าวไว้แต่โบราณ นานกว่าสองพันปีแล้วว่า
“การสงครามนั้น เป็นความเป็นความตายของประเทศ ผู้นำคนใดจะนำชาติเข้าสู่สงคราม ต้องใคร่ครวญให้จงหนัก”
ดังนั้น การจะรบกับชาติอื่น แม้จะเป็นชาติที่เล็กกว่า ต้องคิดว่ามันไม่ง่ายดาย เหมือนการซุ่มยิงประชาชนคนชาติเดียวกัน ที่มาชุมนุมทางการเมือง หรือฆ่าคนแก่ ขอทาน คนจรจัดฯลฯ ที่ไร้ทางสู้!
ต้องจำใส่กะโหลก กันไว้บ้างก็ดี!!

จึงไม่อยากให้บรรดานักการเมือง นักการทหาร ไม่ว่าจะเป็นแม่ทัพหรือนายกองคนไหน ดันทะลึ่งไปพูดจาในทำนองสนับสนุน แสดงความเห็น หรือยุยงให้เกิดอาการกระเหี้ยนกระหือรือ ให้เรียกร้องหาสงคราม สร้างความสับสน ให้มากขึ้นไปกว่านี้อีก

เดี๋ยวสื่อต่างชาติ เขาจะนินทาว่ากล่าวพี่น้องผองไทยเรา ให้ได้อับได้อาย ว่า...

“คนไทย ‘เงี่ยน’ สงคราม!!!”

.................

***หมายเหตุ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีเรื่องที่เกี่ยวกับการจาบจ้วง ด้วยการพูดจากาลีไม่มีหูรูด จนดังอื้ออึงไปทั้งประเทศ นั่นคือกระแสคำว่า
“อภิสิทธัตถะ”
ดูจะแรงมากจริงๆ เพราะชาวพุทธที่ปกติใจเย็น ถึงกับทนไม่ได้ และมีแฟนคอลัมน์ถามผมว่า...มีความเห็นอย่างไรในเรื่องนี้?
ก็ตอบเขาไปสั้นๆว่า
“ลองถามไอ้คนพูดมันว่า แม่ “อภิสิทธัตถะ” ชื่อ “สดใสมหามายากล” พ่อชื่อ “อรรถสุทโธ่เถอะนะ” ใช่หรือปล่า?”
แค่นี้ คนถามก็ฉีกยิ้มกว้าง...หัวร่อครื้นเครงไป!

คนไทยเรานั้น มีภาษิตว่า “เรือล่มเมื่อจอด ตาบอดเมื่อแก่” พอฟังอีตาคนพูดแล้ว ก็ยกเป็นตัวอย่างตามภาษิตที่ว่าได้ทันทีเพราะแก่เฒ่าจวนจะเข้าโลงแล้ว แต่ไม่รู้ว่า...
ทำไมจึง ‘ทะลึ่ง’ หรือ ‘เพี้ยน’ ไปได้ปานฉะนี้?
เลยโดนผู้คนเขาทั้งด่า ทั้งสาป ทั้งแช่งกัน...สนั่นเมือง!
ชาวบ้านเขาไม่ได้ถอนหงอก ก็เพราะไอ้คนพูดเป็นประเด็นนั้น ไม่มีหงอก ให้ผู้คนเขาถอนแล้ว!!
ทำไมน่ะหรือ?...
ก็เพราะมันคิดอัปรีย์-จังไร อย่างนี้น่ะซีครับ นรกเลยพาลกินกบาลเอาตั้งแต่ตอนยังเป็นๆ จนหัวหูเกลี้ยงเกลา เพราะผมเผ้าหลุดร่วงไปหมดแล้ว!!

ทุเรศ...ชิบหาย!!!

(บทความตอน “คนไทย ‘เงี่ยน’ สงคราม!!!” ออนไลน์ เสาร์ ที่ 7 ส.ค.2553)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น