ปชป. เริ่มบรรเลงเพลงเลือด...?! | |
ปฏิบัติการณ์ยื่นถอดถอน และฟ้องยุบพรรคเพื่อไทยละลอกใหม่เป็นปฏิบัติการณ์ “เริ่มอีกแล้ว”ของพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เพื่อจะบรรเลงบทเพลงเลือดตามแบบฉบับที่ถนัด ปฏิบัติการณ์แบบนี้มันคือสัญญาณที่จะก่อกระแสให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างพรรคต่อพรรค และประชาชนต่อประชาชน โดยหวังว่าจะสามารถะเปลี่ยนขั้วการเมืองได้สำเร็จดังที่เคยกระทำเมื่อครั้งปล้นอำนาจมาจาก ฯพณฯ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นั้นคือการ “ยุบพรรคพลังประชาชน” แล้วได้งูเห่าเนวิน (งูเห่าภาค ๒) เอามาช่วยหนุนให้ ปชป. ได้เป็นรัฐบาล ซึ่งตัวอย่างในครั้งนั้น กำลังจะถูก “ขึ้นรูป” [Political Fabricate] ใหม่อีกครั้งโดยจะอาศัยการยื่นถอดถอน และฟ้องให้ยุบพรรคเพื่อไทยเป็นช่องทางไปสู่การเปลี่ยนแปลง ถ้าศาลรัฐธรรมนูญมีแนวโน้มว่าจะสามารถ “ยุบพรรค” ได้สำเร็จ การตระเตรียมที่จะรับ ส.ส. งูเห่าภาค ๓ ก็จะมีขึ้นอย่างเป็นขั้นเป็นตอน หากสามารถคว้า ส.ส. งูเห่าภาค ๓ ได้มากกว่า ๑๒๐ คน ก็จะสามารถเปลี่ยนขั้วทางการเมืองได้อีกครั้ง และนั่นย่อมหมายถึงพรรคเพื่อไทยจะกลายไปเป็นพรรคฝ่ายค้านเหมือนเช่นเคย การกระทำของพรรคประชาธิปัตย์ในครั้งนี้ ถือว่าเป็นการขึ้นรูปเพื่อจะให้เกิดความสับสนกับพรรคเพื่อไทยอย่างตรงประเด็น แต่จะสำเร็จหรือไม่ ต้องคอยดู? เพลงเลือดที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นเจ้าตำรับ ได้ก่อความเสียหายให้แก่สังคมไทยสุดที่จะประเมินค่าได้ อย่างเช่นการเข่นฆ่าประชาชนนั้นมิใช่แต่จะทำให้ครอบครัวของคนที่ถูกฆ่าได้รับความเจ็บปวดบอบช้ำเท่านั้น ยังได้บ่อนทำลาย “ภาวะวิสัย” ของสังคมให้ปั่นป่วน ถึงขั้นฉุดประเทศไทยให้จมดิ่งลงไปสู่ความขัดแย้งทั้งในสถาบันครอบครัวไปจนถึงสถาบันเบื้องสูง ปัญหาที่เกิดกับสถาบันเบื้องสูงนั้น เห็นชัดมากจากกรณีข้อกล่าวหาร้ายแรงไปกองอยู่กับ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร และคนเสื้อแดงว่าจะล้มเจ้า ไม่รักเจ้าเหมือนพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวหาอยู่แบบนี้ดังกระหึ่มไปทั่วประเทศ แต่หลังจากการเลือกตั้งผ่านไป ปรากฏว่าฝ่ายที่รักเจ้ากลายเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้แก่พรรคเพื่อไทย เรียกว่าแพ้หมดรูป ความพ่ายแพ้อย่างหนักเช่นนี้ย่อมกระเทือนสถาบันไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งจึงเท่ากับว่าสถาบันอยู่ของท่านด้วยความสดชื่นแจ่มใสมาโดยตลอด ไม่เคยมีอาการสั่นสะเทือนใดๆทั้งสิ้น แต่ต้องมาแบกความพ่ายแพ้ร่วมไปกับพรรคประชาธิปัตย์ไปด้วย จึงมีคำถามว่าถ้ามีการ “เลือกตั้งใหญ่” อีกครั้ง หลังจากนั้นพรรคประชาธิปัตย์ก็ตกที่นั่งลำบาก พ่ายแพ้อีกครั้ง สถาบันก็ต้องพ่ายแพ้ตามอย่างไม่มีทางเลี่ยงใช่ไหมเล่า ? ถ้าสถาบันพ่ายแพ้ สองครั้งสองหนติดต่อกัน จะทำให้พระเกียรติยศของสถาบันเสื่อมลงขนาดไหน เรื่องแบบนี้เหตุไรเล่าพรรคประชาธิปัตย์จึงไม่ไตร่ตรองให้ดี ถ้าจะให้ผมวิจารณ์ ผมก็ต้องกล่าวว่าพรรคประชาธิปัตย์คือตัวการ “ทำให้เจ้าล้ม” รวมทั้งเป็นตัวการทำให้คนไทยแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ถ้าประเทศไทยจะมีไทยเหนือ-ไทยใต้เหมือนเกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้ หรือเวียดนามเหนือ-เวียดนามใต้ ฟันธงได้เลยว่าจะเกิดจากความชั่วของพรรคประชาธิปัตย์ ผมอยากเรียนกับท่านผู้อ่านว่าผมสงสัยพรรคประชาธิปัตย์ว่ามีฐานะเป็นพรรคของประชาชนคนไทยอยู่หรือเปล่า หรือว่าเป็นพรรคการเมืองของคนกลุ่มหนึ่งที่กำลัง “สูบเลือด” ประเทศไทย ซึ่งคนกลุ่มนั้นได้แก่พวกมหาอำมาตย์ และพวกเจ้าสัวผู้มั่งคั่งไปด้วยเงินทอง มีธนาคารอยู่ในความครอบครองเป็นกะตั๊ก แถมเป็นเจ้าของวิสาหกิจใหญ่โต ครอบงำความเป็นอยู่ประชาชนได้เต็มประเทศ สงสัยว่าพรรคประชาธิปัตย์ตกเป็นสมบัติของคนพวกนั้นชนิดโงหัวไม่ขึ้น ที่ผมมีความเห็นอย่างนี้ก็เพราะผมเรียนรู้ “เจตจำนง” ของพรรคประชาธิปัตย์ดั้งเดิมนั้นเป็นพรรคที่ตั้งขึ้นมาเพื่อจะได้เป็นศูนย์รวมของคนไทยทุกชนชั้น มีความเมตตาสงสาร เข้าใจในความทุกข์ยาก และเข้าใจในปัจจัยต่างๆว่าอะไรคือปัญหาของชาติ ครั้นเอาเข้าจริง ธาตุอันงดงามของพรรคประชาธิปัตย์ที่เคยถือเป็นอุดมการณ์กลับไม่มีอะไรเหลือ ถ้าเหลือจะไม่ออกคำสั่งให้ทหารฆ่าคนเสื้อแดงเหมือนสั่งเชือดสุนัขรอขายที่นครพนม ถ้าเป็นประชาธิปัตย์แท้ จะไม่มีนิสัยเถื่อน-ถ่อยแบบนี้ สิ่งที่ได้พบเห็นในวันนี้ พรรคประชาธิปัตย์อ้างรัฐธรรมนูญเอาขึ้นมาใช้เป็นเครื่องมือยื่นถอดถอนนายกรัฐมนตรี (น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) และยื่นถอดถอน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล พร้อมกับประกาศยื่นฟ้องให้ยุบพรรคเพื่อไทยด้วย จริง..ไม่เถียงดอกว่าทำไปตามรัฐธรรมนูญ...แต่ขอให้ดูให้ดีก่อน ปชป. ว่าทั้งสองท่านดังกล่าวนั้นยังไม่ได้กระทำความผิดต่อรัฐธรรมนูญเลย แล้วไปยื่นถอดถอนเขาได้อย่างไร ? รวมทั้งการฟ้องยุบพรรคนั้นมันเจ๊าะแจ๊ะอย่างไม่น่าเชื่อ ? พวกท่านต่างหากที่อ้างรัฐธรรมนูญแบบเอาเป็นเอาตาย โดยมิได้ใส่ใจว่าเราทั้งสองฝ่าย น่าจะร่วมมือกันก่อให้เกิดความราบรื่นในสังคมไทย เรากำลังจะหาทางออกให้กับประเทศไทย มิใช่หรือ ? การกระทำของพรรคประชาธิปัตย์ (แบบนี้) ตีความได้สถานเดียวว่าพวกท่านยังคงเอาพรรคและ ตัวตนไปรับใช้อำนาจมืดอย่างไม่ลืมหูลืมตา ซึ่งคนพวกนั้นมีจุดยืนอย่างไรก็รู้กันดีแล้วทั้งประเทศ จุดยืนเกี่ยวกับการ “ยุบพรรค” ในประเทศไทยมิใช่เป็นการยุบเพื่อการพัฒนา แต่เป็นการสั่งยุบอันเกิดจากความหวั่นวิตกว่าฐานอำนาจของตัวเองจะหมดไป จึงวางแผนที่จะรักษาอำนาจด้วยการยุบพรรค ซึ่งมีวิธีการ ๒ อย่าง คือ : (๑)รักษาอำนาจเอาไว้ด้วยการให้ทหารทำรัฐประหาร ล้มล้างรัฐธรรมนูญ (๒) รักษาเอาไว้ด้วยการยุบพรรค แล้วเปลี่ยนขั้วทางบการเมือง ตัวละครของเรื่องนี้ เกี่ยวกับตัวบุคคล คือ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่ายของทักษิณ อันได้แก่ นปช. และคนเสื้อแดง ฝ่ายหนึ่ง กับพวกเสื้อเหลือง สันติอโศก-พันธมิตร อีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเป็นตัวละครที่โลดแล่นอยู่คนละฝั่ง ที่สมควรจะหาหนทางปรองดองกัน แต่พรรคประชาธิปัตย์ได้จุดไฟเข้าใส่ทันทีที่เลือกตั้งแล้วเสร็จ ว่ากันตามเนื้อผ้า ฝ่ายคนเสื้อแดง และพรรคเพื่อไทยไม่ได้แตะต้องพรรคประชาธิปัตย์อะไรเลย แต่ทางฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ อย่าว่าแต่แตะต้องเลย พรรคประชาธิปัตย์แทบจะเอายาพิษกรอกปากให้ม่องเท่งกลางถนน คนที่พรรคประชาธิปัตย์เล่นงานไม่เลิกได้แก่ ฯพณฯ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร นายกปู...เป็นน้องสาว จึงเป็นลูกข่างแทนพี่ชาย ! เมื่อพิจารณาดูเหตุและผลที่พรรคประชาธิปัตย์รีบเร่งยื่นถอดถอนรวมทั้งการฟ้องให้ยุบพรรค เป็นสัญญาณทางการเมืองที่ไม่แตกต่างจาก ๔-๕ ปีผ่าน กล่าวคือพวกเขายังคงมุงหน้าที่จะทำลาย โดยอาศัยถ้อยคำว่าต้องการรักษารัฐธรรมนูญเป็นใบเบิกทางแต่แท้ที่จริงแล้ว พวกเขายังคง “มั่นหมาย” ที่จะทำลายพรรคเพื่อไทยอย่างไม่เลิกราโดยจะใช้กลยุทธ์แบบเดิมๆอย่างไรก็อย่างนั้น กล่าวให้ชัดก็คือตราบใดทักษิณยังอยู่ ตราบนั้นไม่หยุดการไล่ล่า ดังนั้น เพื่อจะให้เข้าใจเรื่องนี้ จำเป็นจะต้องกลับไปดูอดีตตั้งแต่ยุคไทยรักไทยก็จะพบว่าพรรคไทยรักไทยได้พบกับปรากฏการณ์อันน่าตกใจ กล่าวคือบริหารประเทศอยู่ดีๆก็มี “ม็อบออกมาขับไล่” ทักษิณ ออกไป ...ทักษิณ ออกไป ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่คาดไม่ถึง มิใช่แต่เท่านั้น หลังจาก พ.ต.ท.ดร. ทักษิณ ชินวัตร ถูกทหารยึดอำนาจไปแล้ว แทนที่เรื่องจะจบ กลับผันไปสู่การกระทำอีกหลายอย่าง อันล้วนแล้วแต่มุ่งไปที่ตัวของ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ทั้งสิ้น การกระทำที่เห็นชัด ได้แก่การกระทำกับ ฯพณ นายสมัคร สุนทรเวช กระทำต่อ ฯพณฯ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์และกระทำต่อคนเสื้อแดง ด้วยการฆ่า จับยัดคุก ล่ามโซ่ ตีตรวน ! เราคิดว่าการกระทำน่าจะหยุดลงได้ด้วยการหันหน้าเข้าหากัน แต่การที่เขารีบร้อนฟ้องร้องให้ถอดถอน และฟ้องให้ยุบพรรค ได้แสดงให้เห็น“เจตจำนง” ยังคงตั้งอยู่อย่างไม่เสื่อมคลาย พวกเขานิ่งเพื่อหาจังหวะที่จะทำลายใหม่อีกครั้ง มิใช่นิ่งเพื่อความปรองดอง ภาพที่ออกมามันดูดีในมุมเล็กๆ แต่ในมุมกว้างใหญ่ที่แท้จริง ยังคงแฝงเร้นไปด้วยแสงอำมหิต สาเหตุเกิดมาจากการเลือกตั้งเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ได้ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่พวกอำมาตย์อย่างรุนแรงที่สุด แต่พวกเขาไม่รู้จะทำอย่างไรดีจึงจะสามารถระงับยับยั้งได้ จึงจำใจปล่อยให้มีการประชุมรัฐสภา เลือกตั้งประธานสภา เลือกตัวนายกรัฐมนตรี และฟอร์มทีมคณะรัฐมนตรีขึ้น ซึ่งจะมีการแถลงนโยบายแนวทางบริหารประเทศในวันที่ ๒๓ – ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๔ นี้ มองตามรูปการคล้ายกับว่าบรรยากาศแสนจะสดใสและกำลังจะมีความปรองดองเกิดขึ้น ซึ่งเป็นบรรยากาศที่สังคมไทยเข้าใจว่าสภาวะจะเป็นไปอย่างนั้น ประชาชนทั้งหลายจึงเฝ้ามองด้วยความอบอุ่นใจแต่ในอีกมุมหนึ่ง มันไม่เป็นเช่นนั้น ทั้งนี้ก็เพราะว่าได้มีความเพียรพยายามที่จะ “หักขา” พรรคเพื่อไทยอยู่ทุกลมหายใจ ดังเช่นการยื่นฟ้องคดีอาญา ให้ถอดถอน และให้ยุบพรรคเพื่อไทย การทำครั้งนี้มิใช่เกิดจากความริษยาดังแต่เก่าก่อน แต่เกิดจาก “ยุทธวิธี” ประเภทภาคบังคับ ว่าจะต้องหาทางทำลายพรรคเพื่อไทยให้ได้การยื่นถอดถอนและการฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรค เป็นวิธีการในรัฐธรรมนูญที่ได้เขียนเอาไว้ ซึ่งหมายถึงพรรคประชาธิปัตย์ปฏิบัติถูกต้องตามแนวทางของรัฐธรรมนูญ แต่บนความเป็นจริงนั้นรัฐธรรมของประเทศไทยสร้างขึ้นมาแบบหมกเม็ด มีการซุกซ่อนในหลายมาตราเพื่อจะเป็นเครื่องมือรักษาอำนาจของผู้ยิ่งใหญ่เอาไว้ รัฐธรรมนูญของประเทศไทยมีการวางหมากเอาไว้ยุบพรรค ก็เพื่อจะได้ใช้เป็นดาบ “เชือดรัฐบาล” แทนการใช้อำนาจทหารทำรัฐประหารกล่าวคือถ้ายุบพรรคได้ก็ไม่ทำรัฐประหาร ถ้ายุบพรรคไม่ไดก็จะทำรัฐประหาร ซึ่งเป็น “แนวทาง” หมกเม็ดอย่างแยบยล เพื่อการรักษาอำนาจไม่ให้หลุดจากมือ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ทหารยึดอำนาจเพราะยุบพรรคไม่สำเร็จ หลังจากยึดอำนาจแล้ว กลัวเขาจะกลับมามีอำนาจอีก จึงหาทางยุบพรรค ยุบพรรคแล้ว ก็หาทางสร้างงูเห่า เพื่อจะเปลี่ยนมือรัฐบาลจากเครือข่ายของ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ไปให้ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ซึ่งได้ตั้งรัฐบาลในค่ายทหารเป็นสำเร็จ หลังจากนั้นก็ดำเนินการทางการเมืองตามแบบฉบับของเผด็จการ ด้วยการใช้อำนาจบาตรใหญ่ไล่ฆ่าคนเสื้อแดงที่เป็นเครือข่ายของทักษิณ ฆ่าได้แล้วก็บริหารประเทศชาติตามแนวทางเผด็จการต่อไป จนเกิดความเชื่อมั่นว่าจะรักษาอำนาจได้ จึงประกาศยุบสภาเปิดให้มีการเลือกตั้งใหญ่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ผลออกมาก็คือ..มันไปกันใหญ่..พรรคประชาธิปัตย์ ยิ่งพ่ายแพ้หนักไปกว่าเดิม พรรคประชาธิปัตย์กลายเป็นพรรคฝ่ายค้าน อย่างไม่มีทางสู้ทำให้อำมาตย์กลายเป็นฝ่ายค้านตามไปด้วย จึงไม่แปลกที่จะได้เห็น “ประธานฝ่ายกฎหมายของพรรคประชาธิปัตย์” รีบร้อนฟ้องให้ถอดถอนนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นี้เป็นนัยยะทางการเมืองชนิดไม่ให้กระพริบตา กล่าวคือ ถ้าถอดถอนได้ทั้ง ๒ คนก็จะเดินไปสู่การยุบพรรค ถ้ายุบพรรคได้ก็จะมี “งูเหา” ภาค ๓ เกิดขึ้น ตามสไตล์เดิม มาถึงจุดนี้ ทำให้มองเห็นภาพชัดว่าฝ่ายอำมาตย์นั้นกำลังวางแผนที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองอีกครั้ง จะไม่ให้เวลาแก่พรรคเพื่อไทยบริหารประเทศชาติ มากไปกว่า ๖ เดือนหรือ ๑ ปี ถ้ามากไปกว่านี้ อกอีแป้นแตกตายแน่ ?! การที่พรรคประชาธิปัตย์ยื่นเรื่องฟ้องร้องถอดถอนและฟ้องยุบพรรคในหนนี้ ถ้าพวกเขาสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้แล้วละก็..นั้นแหละคือสัญญาณ“บรรเลงเพลงเลือด” ได้ก่อตัวขึ้นแล้ว ท่านผู้อ่านครับ อย่าคิดว่าข้อเขียนนี้เป็นนิยายน้ำเน่าแท้ที่จริงมันเป็นนิยายที่เต็มไปด้วยน้ำตาและความผิดหวังอย่างร้ายแรงที่คนไทยใหญ่โต เล่นเอาเถิดกับชาติของตนเอง โดยมิคำนึงว่าความยุติธรรมกับความเป็นธรรมคืออะไร ? ผมอยากให้คนเสื้อแดงอ่านเรื่องนี้เอาไว้ตั้งแต่วินาทีนี้ หรือว่าหากท่านผู้ใดมีความสามารถที่จะถ่ายสำเนาแจกจ่าย ก็ขอให้ถ่ายส่งต่อไปให้มากๆ เราต้องเตรียมพร้อมที่จะลุกขึ้นสู้อีกครั้งหนึ่ง สู้คราวหน้านี้ต้องเบ็ดเสร็จ อย่าให้มีหนามหัวใจหลงเหลืออยู่ต่อไป ขอส่งสารถึงพรรคประชาธิปัตย์ว่า ท่านจะเริ่มบรรเลงเพลงเลือดก็เริ่มไปเถิดครับ ไม่มีใครเข้าห้ามพวกท่านได้ กรรมเวร มีจริง...โปรดรับทราบเอาไว้ด้วย ?! สอาด จันทร์ดี ๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๔ | |
http://redusala.blogspot.com |
ดาวน์โหลดคลิ๊ปคนเสื้อแดง
วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2554
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น