|
นักโทษการเมืองก็คือคนที่คิดต่าง?
|
|
เว็บไซต์
“ประชาไท” สัมภาษณ์ “นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ”
กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ซึ่งรับผิดชอบ 4 อนุกรรมการคือ
อนุกรรมการด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง
อนุกรรมการด้านสิทธิและสถานะบุคคล
อนุกรรมการสิทธิชุมชนโดยดูแลด้านทรัพยากรทรัพยากรธรรมชาติ ลุ่มน้ำ ทะเล
ชายฝั่งและสินแร่ และอนุกรรมการที่ดินและป่า ซึ่ง นพ.นิรันดร์ให้นิยามคำว่า
“นักโทษการเมือง”
รวมทั้งการทำงานในฐานะประธานอนุกรรมการสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง
ซึ่งกำลังศึกษาผลกระทบจากการใช้กฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยยอมรับว่าตนเองเป็น
“เอ็นจีโอระดับชาติ”
เพราะมีกฎหมายรองรับและมีเครื่องไม้เครื่องมือทางกฎหมาย ซึ่ง
นพ.นิรันดร์พร้อมคณะทำงานลงพื้นที่ตรวจสอบกรณีผู้ได้รับผลกระทบถูกจับกุมคุม
ขังหลังการสลายการชุมนุมเดือนพฤษภาคม 2553 ขณะที่ความน่าเชื่อถือของ กสม.
ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก ล่าสุดนายวัชระ เพชรทอง ส.ส. บัญชีรายชื่อ
พรรคประชาธิปัตย์ โจมตี นพ.นิรันดร์ที่เข้าร่วมกิจกรรมกับกลุ่ม
“ปฏิญญาหน้าศาล” ที่ไปเป็นวิทยากรและให้ความเห็นประเด็นนักโทษการเมือง ซึ่ง
นพ.นิรันดร์ได้ตอบคำถามที่น่าสนใจหลายประเด็น ดังนี้
เรื่องมาตรา 112 และการสลายชุมนุมตอนนี้กำลังดำเนินการอย่างไรบ้าง
เรื่องมาตรา 112 ผมคิดว่าผมก็ทำงานอย่างสม่ำเสมอตลอด
แต่การทำงานประเด็นมาตรา 112 ภายใต้ความขัดแย้งก็เป็นเรื่องยาก
ต้องแยกระหว่างการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มคนที่มีความเห็นไม่ตรงกัน
ออกไป ผมทำงานโดยยึดหลักการ กรณีมาตรา 112
เรื่องที่ร้องเรียนมาก็อยู่ในความรับผิดชอบของผม ผมก็ไปตรวจสอบ
ไม่ว่าจะเป็นกรณีคุณสมยศ พฤกษาเกษมสุข กรณีอาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
หรือผู้ชุมนุมที่อยู่ในเรือนจำ ซึ่งภายหลังถูกกล่าวหาด้วยมาตรา 112
ผมตรวจสอบทุกกรณี
บางกรณีไม่ถึงศาลผมก็เชิญพนักงานสอบสวนมาแล้วก็พยายามทำให้เกิดมาตรการทำ
ความเข้าใจกัน อันนี้เป็นสิ่งที่ผมไม่ได้ออกมาสื่อต่อสาธารณะ
แต่คนที่ผมทำงานด้วยก็รับรู้ว่ากระบวนการในการตรวจสอบทำให้หน่วยงานของรัฐ
เข้าใจ แม้แต่ในส่วนของตำรวจเองก็มีคณะกรรมการกลั่นกรองและตรวจสอบกรณี 112
เราก็ไปคุยกับเขา หรือแม้กระทั่งคนที่ถูกจับเป็นผู้ต้องหา ผมก็เข้าไปเยี่ยม
ล่าสุดผมไปเยี่ยมคุณสมยศ คุณสุรชัย และอีก 5-6 คนที่เหลืออยู่
สิ่งต่างๆเหล่านี้คือสิ่งที่เราทำงานทั้งตรวจสอบและติดตาม ฉะนั้นคดี 112
จึงตั้งคณะทำงานในการศึกษาและวิเคราะห์ว่ามาตรา 112
ที่มีการประกาศใช้มีปัญหาที่ทำให้คนมาร้องเรียนอย่างไร
และเป็นปัญหาที่ทำให้เกิดการละเมิดสิทธิในการแสดงความเห็นเพราะไปพ่วงกับพระ
ราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา
เราต้องดูว่ามาตรา 112 มีปัญหาในการบังคับใช้อย่างไร
มีปัญหาในตัวบทอย่างไร ก็ตั้งคณะกรรมการศึกษาและย้อนหลังไป 10-20 ปี
เพื่อดูว่ามีมูลเหตุอะไรที่ทำให้การบังคับใช้กฎหมายไม่ถูกต้องบ้าง
เพื่อให้กฎหมายอาญามาตรา 112
เป็นกฎหมายที่รักษาพระเกียรติยศของพระมหากษัตริย์ได้
ไม่มีใครดูหมิ่นหมิ่นประมาทอาฆาตมาดร้าย
แต่ก็ไม่มีใครเอากฎหมายไปใช้เป็นเครื่องมือในการทำลายล้างกันในทางการเมือง
การทำงานขณะนี้ก้าวหน้าไปพอสมควรและจะทำโฟกัสกรุ๊ป
แต่การทำงานภายใต้ความขัดแย้งทางการเมือง แบ่งฝักฝ่ายผมเองก็ถูกลากไป
หรือถูกมองว่าเข้าข้างฝ่ายนี้ ไม่เข้าข้างฝ่ายนั้น
ซึ่งผมก็อยากจะบอกกับสังคมว่า
เรื่องอุดมการณ์ทางการเมืองนั้นเป็นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
มันไม่ควรจะเป็นเรื่องที่ทำให้เกิดแนวทางในการตัดสินว่าใครถูกใครผิดด้วยการ
ใช้กำลัง
แต่มันควรเป็นเสรีภาพที่เรารับฟังกันและดูว่ามันมีทางออกอย่างไรบ้าง
และสิ่งที่ผมจะเสนอออกมาก็ต้องมีเหตุผลที่อยู่บนพื้นฐานหลักวิชาการและ
ข้อเท็จจริงเพราะผมศึกษาไม่ใช่คิดเอาเอง แต่ผมมีกรณีร้องเรียน
มีข้อเท็จจริง มีความรู้ทางวิชาการและสรุปประสบการณ์จากต่างประเทศ
เพื่อให้ประเทศเราสามารถเป็นประชาธิปไตยและสถาบันกษัตริย์ดำรงอยู่ได้
เป็นสิ่งที่อยากให้ทุกฝ่ายเข้าใจในหลักการนี้
ไม่มองว่าผมเป็นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือมากล่าวหาว่าผมต้องการล้มสถาบันเพราะผม
ไม่เคยมีประวัติแบบนั้นมาก่อน ก็อยากให้เข้าใจ
ส่วนเรื่องอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองต้องยอมรับว่า
รับผิดชอบเฉพาะกรณีหลังการสลายการชุมนุม 19 พฤษภาคม
ส่วนกรณีที่เกิดก่อนวันที่ 19 พฤษภาคม ก่อนหน้านั้นก็อยู่ในการดูแล
แต่หลังจากนั้นมติ กสม.
ชี้ให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
ซึ่งอนุกรรมการชุดของผมก็เข้าไปติดตามตรวจสอบในเรือนจำต่างๆที่อีสานและภาค
เหนือ
หลังจากนั้นด้วยกระบวนการตรวจสอบก็ได้ไปคลี่คลายสานการณ์ที่เชียงรายในกรณี
ที่ผู้ต้องหาเป็นเด็กและเยาวชน
บางอย่างยอมรับว่าไม่สามารถไปก้าวล่วงได้ เพราะเป็นคำวินิจฉัยของศาล
แต่ก็ติดตามประเด็นอื่นๆ เช่น สิทธิประกันตัว สิทธิผู้ต้องหา
ยอมรับว่าประเด็นเหล่านี้มีเรื่องการเมืองอยู่ด้วย
ฉะนั้นการคลี่คลายก็ทำโดยการประสานงานกับหน่วยงานรัฐ เช่น
กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม เอาเงินทุนไปประกัน
บางครั้งเอาเงินไปประกันแต่ศาลไม่ให้ประกัน เราก็ทำอะไรไม่ได้
หรือบางทีติดต่อสภาทนายความไปช่วยในการดำเนินคดี
แต่เจ้าตัวบอกว่าไม่เอาทนายจากสภาทนายความ เพราะไม่เชื่อถือ
เนื่องจากเป็นคนละสี คนละฝ่ายกัน
เราก็ไปก้าวล่วงสิทธิของผู้ต้องหาเหล่านั้นไม่ได้
เพราะเขาติดในเรื่องความแตกต่างในความคิดทางการเมือง
แต่ก็พยายามคลี่คลายในกรณีต่างๆตามลำดับ และยังติดตามอยู่
คณะทำงาน 112 ในอนุกรรมการสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองจะมีข้อเสนอและข้อสรุปอะไรหรือไม่
คณะเราทำงานเพื่อยุทธศาสตร์เชิงนโยบาย เรื่องมาตรา 112
ดูเรื่องยุทธศาสตร์และนโยบายว่าจะมีข้อเสนออะไร เมื่อมีการร้องเรียนเรื่อง
112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ที่มีการละเมิดโดยข้าราชการโดยผู้ใช้กฎหมาย
ก็ต้องมาดูว่าจริงหรือไม่ และถ้าจริงจะมีข้อเสนอในการแก้ไขอย่างไร
ซึ่งเรามีทั้งมาตรการแก้ไขระยะสั้นและข้อเสนอเชิงนโยบาย
คนที่ติดคุกอยู่ตอนนี้ กสม. ดำเนินการอย่างไร
คนที่เป็นผู้ต้องหาขณะนี้เหลือประมาณ 6 คน ที่เรือนจำพิเศษมี 2
คนที่ไม่ขอพระราชทานอภัยโทษ เราก็ยังไปดูแลเรื่องสิทธิการประกันตัว
แต่ล่าสุดคุณสมยศศาลก็ไม่อนุมัติ และจะตัดสินในอีกไม่นานนี้ ส่วนอีก 4
คนได้ขอพระราชทานอภัยโทษ เข้าใจว่าคงค่อยๆลดหย่อน
ก็ต้องติดตามว่าเขามีปัญหาอย่างอื่นไหม เมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็ไปพูดคุย
และจะทำเรื่องสิทธิในการได้รับการดูแลด้านสุขภาพ
คดีการเมืองและนักโทษการเมืองในบ้านเราที่มีความเห็นทางการเมืองจริงๆควร
จะเป็นนักโทษไหม หรือไม่ควรจะถูกฆ่าอย่างกรณี 4 รัฐมนตรี
หรือกรณีฮัจยีสุหลง กรณี 112 พูดง่ายๆคือมองว่าคดี 112 เป็นนักโทษการเมือง
เพราะฉะนั้นเราก็มาขยายต่อ
โดยศึกษานโยบายเรื่องการดูแลสุขภาพของนักโทษที่อยู่ในเรือนจำและคดีนักโทษ
การเมือง
เราก็ขยายบริบทในการศึกษาต่อเพื่อที่จะมีข้อเสนอเชิงนโยบายต่อรัฐบาล
และข้อเสนอของเราไม่ใช่ลอยๆนะ จะต้องส่งให้รัฐบาลพิจารณา และต้องตอบเราด้วย
ข้อเสนอเหล่านี้ต้องเสนอต่อรัฐสภา นอกจากเสนอต่อภาคประชาชน
และต้องเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สิทธิสุขภาพ อย่างกรณีอากง
หากมีปัญหาก็ต้องเสนอต่อราชทัณฑ์ กระทรวงมหาดไทย
คือเราเป็นหน่วยงานที่สามารถประสานกับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งรัฐบาลและรัฐสภา
ช่วยอธิบายคำว่า “นักโทษการเมือง” ได้ไหม
เพราะมีคนบอกว่าบางคนติดคุกเพราะไปเผาศาลากลาง
หรือใช้ความรุนแรงในการชุมนุม หรือคนที่โดนมาตรา 112
จะให้เป็นนักโทษการเมืองได้ยังไง เพราะใช้ถ้อยคำรุนแรงกับพระมหากษัตริย์
ในทรรศนะของผม นักโทษการเมืองก็คือนักโทษที่มีความคิดต่างทางการเมือง
ซึ่งในระบอบประชาธิปไตยต้องยอมรับความเห็นต่างทางการเมืองว่าเป็นสิ่งที่ถูก
ต้อง และต้องมี ถ้าเห็นไปทางเดียวกันหมดก็เป็นเผด็จการ
ประชาธิปไตยต้องมีความคิดที่หลากหลาย
เพียงแต่สังคมไทยเรามีการจัดการความคิดที่หลากหลายและไม่ตรงกันด้วยวิธีที่
ผิดมาตลอด คือใช้อำนาจ อย่างเช่นประวัติศาสตร์เรา ผมอยู่อีสานมา 30 ปี 4
รัฐมนตรีอีสานถูกกล่าวหาว่าต้องการแบ่งแยกดินแดนแล้วก็ถูกฆ่าตาย
จนป่านนี้ยังไม่เปิดเผยด้วยซ้ำไป ทางภาคใต้
ฮัจยีสุหลงมีความคิดที่ต้องการให้เห็นถึงการปกครองที่นึกถึงเรื่องความหลาก
หลายทางชาติพันธุ์ ก็ถูกฆ่าถ่วงน้ำเหมือนกัน หรือกระทั่งเหตุการณ์ 3
จังหวัดภาคใต้
ผมคิดว่าเป็นเรื่องความเห็นที่แตกต่างในเรื่องของความไม่เป็นธรรม
ฉะนั้นการชุมนุมทางการเมืองหรือคดี 112
ก็เป็นเรื่องความเห็นต่างทางการเมืองที่หลากหลายในสังคม
เพียงแต่ใช้วิธีจัดการโดยอำนาจรัฐที่ผิด เช่น ยัดข้อหาเป็นคอมมิวนิสต์
ยัดข้อหาแบ่งแยกดินแดน 3 จังหวัดภาคใต้ก็ใช้กฎหมายความมั่นคง
คือใช้วิธีจัดการที่ไม่ถูกต้อง
มีจัดการถูกต้องอยู่อย่างเดียวคือเรื่องคอมมิวนิสต์ที่ใช้นโยบาย 66/23
แต่กรณีเสื้อสีขณะนี้ก็ใช้นโยบายที่ไม่ถูกต้อง
การชุมนุมที่ผ่านมาก็ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน, พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ
ทำให้เกิดปัญหาการใช้อำนาจละเมิดสิทธิต่างๆที่เราต้องมาดูแลอยู่ในขณะนี้
เพราะฉะนั้นหมายความว่าการจัดการกับนักโทษการเมือง
เราไม่ใช้วิธีทางการเมือง แต่ใช้อำนาจจัดการกับคนที่มีความคิดตรงข้าม
เราต้องพยายามทำให้สังคมได้สรุปบทเรียนจากประวัติศาสตร์ว่าทำอย่างนี้แก้
ปัญหาไม่ได้ ยิ่งทำให้ปัญหาหมักหมมและบานปลายมากขึ้น
เราต้องจัดการด้วยสันติวิธี ด้วยการพูดคุยและหาทางออกร่วมกัน
และยอมรับการทำงานของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ได้เสียงข้างมากในการเป็นตัวแทนเข้า
ไปบริหาร แต่คนเหล่านี้ก็ต้องรับผิดชอบกับผลที่เกิดขึ้นด้วย
นี่ต่างหากที่เราต้องสร้างบรรทัดฐานให้เกิดขึ้น
นักโทษการเมืองจึงจะไม่ถูกละเมิดหรือถูกจัดการโดยใช้อำนาจหรือความรุนแรงจน
ถึงกับเสียชีวิตเหมือนที่ผ่านมาในระบอบประชาธิปไตย
ในมุมของคนที่ได้รับผลกระทบจากการใช้กฎหมายจากความเห็นต่างทางการเมือง
อาจจะเข้าใจ
แต่กับคนที่มองจากขั้วสีที่แตกต่างอาจมองว่าคุณหมอกำลังเสนอว่านักโทษเหล่า
นี้ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลยหรือเปล่ากับความเสียหายที่เกิดขึ้น
ถ้ามองในแง่คนที่ใช้อำนาจ ใช้กฎหมาย
ก็จะมองว่าจำเป็นต้องใช้กฎหมายเพื่อเข้าไปจัดการสิ่งที่ผิดกฎหมาย
แต่เราต้องรู้ว่านักโทษการเมืองหรือการชุมนุมทางการเมืองของภาคประชาชนไม่
เคยเป็นคนริเริ่มความรุนแรงขึ้นก่อน ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ 14 ตุลา, 6 ตุลา
หรือพฤษภา 35 ก็ตาม ประชาชนหรือการชุมนุมของชาวไร่ชาวนาหลัง 14 ตุลา
สหพันธ์ชาวไร่ชาวนาก็ถูกฆ่าตาย
เพราะความกลัวเรื่องลัทธิคอมมิวนิสต์หรือสงครามเย็น
อาจารย์ในสมัยนั้นก็ถูกฆ่าตาย
เพราะฉะนั้นประเด็นเหล่านี้เราต้องดูประวัติศาสตร์ของการมีความคิดเห็นทาง
การเมือง โดยเฉพาะนักวิชาการหรือประชาชนไม่เคยใช้ความรุนแรง
แต่วิธีจัดการของรัฐต่างหากที่กระตุ้นให้ความรุนแรงเกิดขึ้น
เพราะฉะนั้นเรื่องคอมมิวนิสต์ถือเป็นเรื่องปรกติในประเทศประชาธิปไตยทั่ว
ไป แต่สำหรับประเทศไทยมี พ.ร.บ.คอมมิวนิสต์แล้วบอกว่าไอ้นี่ผิดกฎหมายไง
เรื่อง 3 จังหวัดภาคใต้ จริงๆคือเรื่องของความไม่เป็นธรรม
พอคุณประกาศตรงนั้นปั๊บก็ต้องใช้กำลังมาต่อสู้กัน
เพราะว่าใช้กำลังทหารเข้าไปแก้ไขปัญหา แล้วก็ใช้อำนาจ ทำให้เกิดคดีคุณสมชาย
นีละไพจิตร ถูกอุ้ม หรือ 4
ผู้ต้องหาจากการปล้นปืนเผาโรงเรียนตั้งแต่เดือนมกราคม 2547
ตอนนี้คดียังไม่จบเลยนะ
เราก็พบว่าเป็นการที่เขาถูกซ้อมทรมานและถูกยัดเยียดข้อหาทั้งสิ้น
การทำอย่างนี้คือการใช้อำนาจ ยอมรับว่า 3 จังหวัดป่านนี้ปัญหายังไม่จบ
ความถี่อาจจะลดลง แต่ความรุนแรงอาจมากขึ้นด้วยซ้ำไป
และอาจขยายเป็นปัญหาระดับสากลตามความต้องการของผู้ไม่หวังดีก็ได้
ในยุคของ พล.อ.เปรม ท่านเข้าใจในเรื่องของการแก้ไขปัญหาคอมมิวนิสต์
ก็ใช้นโยบายการเมือง เราก็บอกว่าเรามีประสบการณ์ที่ดีมาแล้ว
แต่เราไม่สรุปบทเรียนและแก้ปัญหาด้วยแนวทางการเมืองนำการทหารอย่างถูกต้อง
ต่างหาก นี่เป็นสิ่งที่ผมคิดว่าสังคมต้องสรุปบทเรียนจากประวัติศาสตร์
ไม่อย่างนั้นเราก็จะใช้อำนาจรัฐที่ไม่ถูกต้อง
แล้วก็เป็นประชาธิปไตยที่ย่ำเท้าอยู่กับที่
ไม่ใช่เป็นประชาธิปไตยที่อยู่บนหลักเกณฑ์ของความต้องการให้เกิดความเป็นธรรม
ยอมรับมติของประชาชนเป็นใหญ่
และยึดหลักความเป็นธรรมคือยึดหลักสิทธิมนุษยชนด้วย
เพราะฉะนั้นประชาธิปไตยไม่ใช่แค่เสียงปวงชนเป็นใหญ่
แต่ต้องยึดหลักสิทธิมนุษยชนด้วย นี่คือสิ่งที่อาจารย์ปรีดีได้ตราไว้เมื่อปี
2475 เพียงแต่ไปๆมาๆมันหดสั้นลงทุกที สิทธิมนุษยชนก็ตัดทิ้งไป
มติปวงชนเป็นใหญ่ก็หดเหลือแค่เสียงข้างมากเป็นใหญ่
ก็เลยกลายเป็นการทำลายเสียงข้างน้อย เอาเสียงข้างมากเป็นตัวกฎเกณฑ์
เป็นอย่างนี้มาตลอด
กรณีพฤษภาคม 2553 เป็นปัญหาการเมืองระดับประเทศ มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก
และสังคมจับตามอง ซึ่งเห็นได้ว่าท่าทีของ กสม.
แม้แต่การออกแถลงการณ์ก็ล่าช้า กสม. คุยกันอย่างไร
ช่วงพฤษภาคมเป็นการทำงานโดย กสม. ทุกคณะ
แต่ยอมรับว่ามีอุบัติเหตุที่ทำให้กระบวนการติดขัด เช่น
คณะทำงานนั้นคนที่รับผิดชอบไม่ใช่กรรมการ แต่เป็นเป็นสำนักงานและเลขาธิการ
กสม. ซึ่งไม่มีอำนาจในการตรวจสอบ
หากเป็นการดำเนินการโดยอนุกรรมการผมจะตรวจสอบและเชิญมาชี้แจง
แต่อย่างที่บอก
ช่วงเวลาชุมนุมเป็นส่วนที่อยู่ในกรรมการและคณะทำงานที่ผมอยู่ในตอนแรก
แต่ผมถอนตัวออกไป ยอมรับว่าการทำงานไม่ได้เข้มข้น เป็นปัญหาความน่าเชื่อถือ
มีเรื่องรายงานข้อเท็จจริงที่ไม่ใช่ของอนุกรรมการด้วยซ้ำที่รั่วออกไป
และทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อถือและเชื่อมั่น
และเมื่อเร็วๆนี้ก็มีการรั่วออกไปอีก ทั้งๆที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง
และไม่ตรงกับข้อเท็จจริงว่ามีอนุกรรมการ 9 ชุด เรามีแค่ชุดเดียว
และรายงานก็ไม่ตรงกับที่กรรมการได้อ่าน
ยอมรับว่ามีข้อผิดพลาดเรื่องการตรวจสอบและมีปัญหาเรื่องอุบัติเหตุที่รั่ว
ความล่าช้าที่ไม่ได้ใช้อำนาจตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เพราะผมก็บอกว่าชาวบ้านที่ถูกละเมิดไม่ได้หวังให้เราตรวจสอบ
แต่หวังให้เรามีมาตรการคุ้มครองเยียวยาปัญหาที่เกิดจากการละเมิดสิทธิ
ส่วนแถลงการณ์ต่างๆเป็นเรื่องที่เป็นผลออกมาทีหลัง
ต้องยอมรับว่ามีปัญหาเรื่องการที่ข่าวสื่อออกไปและไม่ตรงกับข้อเท็จจริง
ซึ่งผมเข้าใจว่านี่คงเป็นประเด็นการเมืองที่พยายามลากกรรมการสิทธิฯไปเป็น
ส่วนหนึ่งของการต่อสู้ จึงต้องเร่งทำงานรายงานการชุมนุมให้เร็วที่สุด
โดยไม่ได้ขึ้นกับว่าจะเข้ากับฝ่ายใดสีไหน
เราจะได้อ่านรายงานสถานการณ์พฤษภาคม 2553 โดย กสม. ในอนาคตอันใกล้หรือไม่
ต้องทำให้เร็วที่สุด ท่านอาจารย์อมรา (พงศาพิชญ์) ก็พยายามเร่ง
เพราะร่างฯรายงานสุดท้ายก็ต้องให้กรรมการอีก 6 ท่านดู
นอกจากนี้ยังมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ และสื่อมาช่วยดูอีกครั้ง
ซึ่งคงจะออกมาได้
การทำงานของคุณหมอ 3 ปีที่ผ่านมาให้คะแนนตัวเองและคณะทำงานอย่างไรบ้าง
ถ้าถามว่าพอใจไหม ผมพอใจ เพราะความพอใจของผม ผมคิดว่าได้ทำงานกับชาวบ้าน
ได้ทำอะไรให้กับชาวบ้าน เพียงแต่ทางสังคม หรือจากที่พี่จรัล (ดิษฐาอภิชัย)
พูดก็จะมองว่าเราไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิพลเมืองและการเมือง
ผมอยากทำความเข้าใจว่างานที่ผมทำอยู่ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยสิทธิชุมชนอย่าง
เดียว แต่ต้องทำด้านสิทธิพลเมืองและการเมืองด้วย
ยกตัวอย่างเรื่องกะเหรี่ยงแก่งกระจาน เราเข้าไปเพราะสิทธิชุมชนถูกละเมิด
แต่ขณะเดียวกันเขาต้องลุกขึ้นมาพูดให้รัฐได้เข้าใจด้วย
ปรากฏว่ากะเหรี่ยงทางภาคเหนือ พฤ โอ่โดเชา ที่เป็นลูกพ่อหลวงจอนิ
ลงไปช่วยพูดคุยให้ชาวบ้านได้รู้ว่าถูกละเมิดยังไงบ้าง
และต้องพูดคุยกับหัวหน้าอุทยาน ผู้ว่าราชการจังหวัดยังไงบ้าง
ขณะนี้เกิดโครงการที่จะพัฒนาดูแลกะเหรี่ยงแก่งกระจาน
และยอมรับว่ากะเหรี่ยงแก่งกระจานไม่ได้ตัดไม้ทำลายป่า ไม่ได้ค้ายาเสพติด
เพราะฉะนั้นคำว่าสิทธิชุมชนไม่ใช่แค่เรื่องการดูแลทรัพยากร
การมีชีวิตอยู่หรือมีสิทธิในการตัดสินใจ
แต่ต้องบวกเรื่องสิทธิการเมืองและพลเมืองเข้าไปด้วย
หรือเรื่องสถานะบุคคลต้องบวกสิทธิพลเมืองเข้าไปด้วย
ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นแค่ถูกละเมิดอย่างเดียว หรือกลายเป็นผู้ด้อยโอกาส
เวลาเรามอง เราไม่ได้มองแยกส่วน ผมถึงมองว่าการทำงานของผมใน 4
อนุกรรมการ เราคุยกันครั้งสุดท้ายเป็นการประชุมของ 4 อนุกรรมการในทุกปี
เรามองว่าต้องทำงานเชื่อมโยงในภาพรวม
ต้องทำให้สิทธิพลเมืองการเมืองอยู่ในสิทธิชุมชน
และต้องขับเคลื่อนไปถึงการแก้ไขและสร้างความเป็นธรรมได้ อันนี้ผมพอใจ
ผมทำงานอยู่ 3 อย่างในช่วง 3 ปีคือ
1.ตรวจสอบและพยายามให้การคุ้มครอง
และประสานหน่วยงานของรัฐ
2.พยายามทำงานในการเสริมสร้างศักยภาพของภาคประชาชน
โดยเข้าไปสร้างอาสาสมัครสิทธิมนุษยชนในการให้ภาคประชาชนมีความตื่นตัวในการ
ทำงานต่อสู้ และการสร้างสิทธิให้กับตัวเองได้มีความเข้าใจ
ขณะเดียวกันก็สามารถที่จะทำงาน เช่น สามารถลุกขึ้นมาฟ้องร้องได้
สามารถขึ้นมาตรวจสอบได้ในฐานะพลเมืองที่มีสิทธิทางการเมือง และ
3.พยายามเข้าไปทำงานในการเสนอเชิงนโยบายและกฎหมาย เช่น ร่าง
พ.ร.บ.แร่ฉบับประชาชน ร่าง พ.ร.บ.ประมงพื้นบ้าน
หรือเข้าไปดูนโยบายเรื่องมาตรา 112 หรือ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
หรือเรื่องของผู้อพยพต่างๆก็พยายามผลักดัน
ผมคิดว่าใน 3 ส่วนนี้ผลสำเร็จที่เกิดขึ้นคงวัดไม่ได้
เพราะผลสำเร็จที่เกิดขึ้นในฐานะกรรมการสิทธิไม่ได้หมายความว่าทุกเรื่อง
แก้ไขได้หมด แต่ผมได้เปิดพื้นที่ให้กับภาคประชาชนและสังคมรับรู้
การแก้ปัญหาเหล่านี้เป็นเชิงระบบโครงสร้าง นโยบาย
บางอย่างแก้ง่ายก็สามารถแก้ไขไปในตัว แต่เรื่องยากๆที่เป็นต้นตอปัญหามาตลอด
80 ปีก็ต้องใช้เวลา มีพัฒนาการในการแก้ไข
อีก 3 ปีที่เหลือวางแนวทางในการทำงานไว้ยังไง
ผมต้องขอเรียนว่าไม่เคยทำงานที่คลุกวงในแบบนี้
เพราะการเป็นกรรมการสิทธิฯต้องทำงานในเชิงการบริหารจัดการ ทำงานหลายส่วน
ตอนเป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่ได้ทำมากขนาดนี้ ตอนเป็นหมอก็ไม่ได้ทำมากขนาดนี้
ผมคิดว่า 3 ปีที่ผ่านมาทำให้ผมตั้งหลักได้พอสมควร อีก 3
ปีที่เหลือเราก็คุยกันใน 4 อนุกรรมการ
คืออนุกรรมการที่มาจากภายนอกและเจ้าหน้าที่ คุยกับเจ้าหน้าที่ทุกคนประมาณ
20-30 ชีวิต กับอนุกรรมการอีก 40 คน ว่าเราต้องตั้งธงในการทำงาน 3
เรื่องใหญ่ๆคือ
1.การตรวจสอบและมีกระบวนการตรวจสอบที่สามารถให้การคุ้มครอง
มีรายงานที่มีคุณภาพ ต้องทำให้เกิดรายงานที่รวดเร็วและแก้ปัญหา
ถ้ารายงานยังไม่เสร็จต้องมีมาตรการในการแก้ไขหรือนำเสนอหน่วยงานของรัฐที่
เกี่ยวข้อง อาจมีจดหมายถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีการชี้แนะหรือข้อเสนอ
เช่น กรณีคนไทยพลัดถิ่น มีกฎกระทรวงออกมา ตั้งกรรมการออกมา
แต่พอเราเห็นปัญหาในกฎกระทรวงก็มีจดหมายแสดงความคิดเห็นไปที่ปลัดกระทรวง
มหาดไทยว่าต้องมีมาตรการยังไง และต้องประสานกับหน่วยงานของรัฐ
คืออธิบดีกรมการปกครองและนักวิชาการ ขณะนี้ก็มีเรื่องของการลงทะเบียน
เราก็ให้อนุกรรมการไปลงพื้นที่ เหล่านี้คือสิ่งที่เราอยากให้เกิดขึ้นในอีก 3
ปีที่เหลือ
2.อยากทำเรื่องของภาคสังคมให้มีความเข้มแข็งในเรื่องของสิทธิ
ผมคิดว่าสังคมไทยช่วงนี้มีพัฒนาการทางการเมืองภาคประชาชน
และเป็นการต่อสู้เรื่องสิทธิที่แหลมคมมากขึ้น
คำว่าแหลมคมมากขึ้นหมายความว่าพัฒนาการที่สื่อให้เห็นถึงการตื่นตัวของภาค
ประชาชนในเรื่องสิทธิพลเมืองสูงมาก
ซึ่งอาจจะนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงอย่างมโหฬาร
หรือทำให้เกิดความคลี่คลายในทางสร้างสรรค์
ผมคิดว่าช่วง 2
ปีนี้เรามีเรื่องความคิดที่ออกมาสู่ภาคสังคมเยอะในการหาทางออกโดยสันติภาพ
หรือสันติวิธี เพียงแต่ต้องใช้เวลาให้สังคมได้เรียนรู้
ถ้าผ่านสังคมในระยะเปลี่ยนผ่านได้ มีกระบวนการที่ทุกฝ่ายยึดสิทธิมนุษยชน
เอาบทเรียนของความเจ็บปวดมาเป็นพื้นฐาน
ผมคิดว่าเราจะฝ่าข้ามไปโดยที่ยึดหลักสิทธิมนุษยชนได้
แล้วก็สามารถเสนอแก้นโยบายกฎหมายต่างๆที่ผมได้ไล่เรียงแล้ว
แต่ตรงนี้คงไม่ได้ทำคนเดียว ต้องเชื่อมกับคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย
ซึ่งเป็นองค์กรใหม่ตามรัฐธรรมนูญ หลายเรื่องเราก็ทำงานร่วมกันอยู่ เช่น
พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ พ.ร.บ.ทรัพยากรธรรมชาติ หรือจะมีการเสนอเรื่อง
พ.ร.บ.สิทธิชุมชนออกมา และการทำงานร่วมกับภาคประชาชนด้วย 3
ปีที่เหลือน่าจะทำให้เกิดเป็นรูปธรรมในแต่ละเรื่องได้
มีสิ่งหนึ่งที่ขณะนี้เป็นปัญหาที่บานปลายมากขึ้นในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา
คือเรื่องสิทธิในกระบวนการยุติธรรม คดีของภาคประชาชน คดีของคุณจินตนา
แก้วขาว (แกนนำชาวบ้านค้านโรงไฟฟ้าบ่อนอก-บ้านกรูด) คดีที่ดินลำพูน
คดีมาตรา 112 คดีการชุมนุมทางการเมือง
เหล่านี้เราทำให้เห็นว่ามีการละเมิดสิทธิในกระบวนการยุติธรรมด้วย
ทำให้เราต้องตระหนักว่าสังคมอยู่ในหัวเลี้ยวหัวต่อที่อันตราย
ถ้าหากภาคประชาชนหรือสังคมหมดที่พึ่ง
ฝ่ายบริหารหรือรัฐสภาเป็นการเมืองที่ล้มเหลว
ฝ่ายตุลาการหรือระบบยุติธรรมก็ไม่ได้เป็นที่พึ่ง แล้วประชาชนจะพึ่งใคร
เมื่อถึงตอนนั้นจะเกิดปัญหาทันที
อย่างที่บอกว่าตอนนี้ไม่มีระบบอะไรที่น่าเชื่อถือเลย
แสดงให้เห็นว่าคนมีความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น
ผมคิดว่าผมยอมรับได้และเป็นสิ่งที่ดี
แต่ถ้าไม่เชื่อในระบบ ตรงนี้จะมีปัญหา
เพราะจะทำให้ต้องหาทางออกด้วยความรุนแรงทันที
เพราะฉะนั้นนี่เป็นสิ่งที่เป็นปัญหาที่เห็นได้ชัดเจนมากขึ้น ภายใน 3
ปีนี้เราต้องทำให้เห็นการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม
เห็นปัญหาในกระบวนการยุติธรรมที่ประชาชนเห็นว่าไม่เป็นธรรม
และนำมาสู่ความเหลื่อมล้ำในทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม
ว่าต้องแก้ไขในทางนโยบายและกฎหมายอย่างไร
นี่คือสิ่งที่คิดว่าเป็นอีกงานหนึ่งที่มีความสำคัญ
แต่การขับเคลื่อนตรงนี้จะเกี่ยวพันกับหลายองค์กร ตั้งแต่ตำรวจ อัยการ ศาล
ราชทัณฑ์ นิติวิทยาศาสตร์
เพราะฉะนั้นต้องทำงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆที่พูดมาทั้งหมด
แต่เนื่องจากกรรมการสิทธิฯเป็นองค์กรกึ่งตุลาการ
เราจะใช้ความเป็นเพื่อนของความเป็นระบบตุลาการทำให้เกิดการยอมรับในข้อมูล
ข้อเท็จจริง ในองค์ความรู้ที่เราศึกษาได้อย่างไร
อันนี้ต้องวางแผนการทำงานอย่างเป็นระบบ
ผมคิดว่าเรื่องนี้จะต้องให้ความสำคัญ
แล้วตัวองค์กรกรรมการสิทธิฯเอง จากการทำงาน 3 ปีที่ผ่านมา มองว่ามีอะไรต้องปรับเปลี่ยนในโครงสร้างหรือกลไกการทำงานไหม
ผมคิดว่ากรรมการสิทธิฯชุดนี้ต่างกับชุดแรก อย่างแรกคือที่มา
ซึ่งเราได้คุยกันแล้วว่าเป็นปัญหาในเชิงโครงสร้างกฎหมายคือรัฐธรรมนูญ
ต้องเรียนว่ารัฐธรรมนูญต้องแก้ไขเรื่องการสรรหากรรมการสิทธิฯ
เพราะเราเห็นความแตกต่างของกรรมการชุดนี้ที่มาจากการสรรหาของกรรมการสรรหา
ซึ่งส่วนใหญ่ 5 ใน 7 ท่านมาจากตุลาการ
เพราะฉะนั้นก็ทำให้มีผลกระทบต่อลักษณะการทำงานของกรรมการสิทธิฯที่ต่างจาก
ชุดที่แล้วค่อนข้างชัดเจน
ประการที่ 2 คือการลดจำนวนกรรมการสิทธิลงจาก 11 คน เหลือ 7 คน
ต้องยอมรับว่าบ้านเราการละเมิดสิทธิยังเยอะอยู่
จะเทียบกับในยุโรปหรือออสเตรเลียที่กรรมการสิทธิฯแค่ศึกษาองค์ความรู้อย่าง
เดียว ทำงานส่งเสริมอย่างเดียวไม่ได้ เพราะบ้านเราการละเมิดยังเยอะมาก
ต้องใช้เวลาในการสั่งสมตรงนี้
เพราะฉะนั้นจึงเหมือนหมอที่ยังไงก็ต้องดูแลคนไข้
เพราะคนป่วยในบ้านเรายังเยอะอยู่ ถ้าจะทำงานป้องกัน ส่งเสริมอย่างเดียว
คนป่วยมาไม่ดูแลไม่ได้ ดังนั้น ผมก็เปรียบกรรมการสิทธิฯเหมือนหมอ
การดูแลเรื่องเรื่องคนป่วย กรรมการสิทธิจาก 11 คน เหลือ 7 คน
ในช่วงนี้น้อยไป ดูแลไม่ไหว
ถ้าหากลดลงแล้วสังคมมีความเข้าใจเรื่องสิทธิดีขึ้น มีพัฒนาการดีขึ้น
ผมก็ไม่ว่าอะไร เหลือ 3 คนอย่างออสเตรเลียก็พอแล้ว
แต่สังคมไทยยังเป็นอย่างนั้นไม่ได้ เหมือนกับหมอ ถ้าลดลงแล้วใครจะดูแลคนไข้
อันที่ 3 ผมว่าคนที่คิดรัฐธรรมนูญปี 2550
มีแนวคิดในเรื่องกรรมการสิทธิฯที่ไม่เหมือนผม
และผมคิดว่ามีปัญหาในเชิงหลักการ
เขาอาจมองกรรมการสิทธิฯว่าเหมือนกับบอร์ดของรัฐวิสาหกิจ (หัวเราะ)
คือไม่ต้องลงมาในเรื่องของการตรวจสอบ ไม่ต้องลงมาทำงานกับภาคประชาชน
เหมือนกับบอร์ดรัฐวิสาหกิจ
ดูแลเฉพาะนโยบายแล้วให้สำนักงานเป็นผู้ปฏิบัติงานทั้งหมด
ซึ่งผมคิดว่าไม่ใช่ อำนาจต่างๆในรัฐธรรมนูญ มาตรา 257 ให้ต่อกรรมการสิทธิฯ
แล้วคณะกรรมการสิทธิฯให้ต่อกรรมการแต่ละคนในการตั้งอนุกรรมการ
ซึ่งอนุกรรมการออกแบบดีแล้ว ประกอบด้วย กรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิจากภายนอก
คือภาคประชาสังคม หรือข้าราชการก็ได้ที่เข้าใจ ผมว่าสัดส่วนนี้ดีแล้ว
แต่การทำงานตรงนี้จะทำให้เกิดระบบการตรวจสอบอย่างไร
ระบบที่จะทำงานเชื่อมโยงยังไง จะเสนอนโยบายยังไง ซึ่งตรงนี้คือวิธีการทำงาน
อนุกรรมการชุดนี้ก็แบ่งตามกฎหมาย
คืออนุกรรมการชุดสิทธิพลเมืองและการเมือง กระบวนการยุติธรรม สิทธิชุมชน
เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม แล้วก็มีประเด็นเฉพาะของเราบ้าง เรื่องเด็ก สตรี
การศึกษา ผมเข้าใจว่าคนร่างรัฐธรรมนูญมองว่ากรรมการสิทธิฯเหมือนบอร์ด
จึงลดจำนวนลง และบอกว่าให้ตุลาการเป็นคนมาเลือกแล้วกัน
จะได้เลือกคนที่หลากหลาย
ซึ่งเจตนารมณ์ของเราต้องการกรรมการสิทธิฯที่เข้าใจจุดยืนและวัฒนธรรมด้าน
สิทธิมนุษยชน
คำว่าสิทธิมนุษยชนสามารถมีจุดยืนที่รักษาความเป็นธรรมและผลประโยชน์ของ
ประชาชน
บางคนบอกว่ากรรมการสิทธิฯเข้าข้างประชาชน ก็สิทธิเป็นเรื่องของประชาชน
(หัวเราะ) เหมือนหมอดูแลคนไข้ ก็ต้องเข้าข้างคนไข้
จะไปเข้าข้างเชื้อโรคได้ไง ถ้าเข้าข้างเชื้อโรคคนไข้ก็ตาย
ถึงยังไงกรรมการสิทธิฯก็ต้องเข้าข้างชาวบ้านก่อน
แต่เราต้องยอมรับว่าภายใต้สถานการณ์อย่างนี้มีการทำสิ่งที่เกินเลยไป
สังคมจึงต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจให้ได้
เวลาทำงานเราต้องตรวจสอบหน่วยงานของรัฐและเอกชนที่มาละเมิดประชาชน
เพราะสิทธิเป็นเรื่องของประชาชน ไม่ใช่เรื่องของหน่วยงานรัฐ
รัฐมีหน้าที่ต้องปกป้องสิทธิ อันนี้ต้องเข้าใจ และเป็นปัญหาที่รัฐธรรมนูญ
2550 ลดจำนวนกรรมการสิทธิฯลง
และทำให้การสรรหามาจากภาคตุลาการเหมือนอย่างองค์กรอิสระอื่นๆ
ตรงนี้ผมคิดว่าเป็นความผิดพลาด รัฐธรรมนูญปี 2550 ต้องแก้ไขเรื่องการสรรหา
อันที่ 2 คือ พ.ร.บ.กรรมการสิทธิฯที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2542
ขณะนี้มีปัญหาว่ากรรมการสิทธิฯเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ
แต่ตัวสำนักงานเป็นข้าราชการ กรรมการสิทธิฯมีแค่ 7 คน
แต่จริงๆสำนักงานมีความสำคัญมาก เพราะเป็นฝ่ายส่งเสริมสนับสนุน
ถ้าระบบในสำนักงานยังเป็นราชการอยู่จะมีปัญหาทันที
เพราะระบบราชการค่อนข้างแข็งตัว
การทำงานแบบราชการไม่คล่องตัวกับการทำงานกับภาคประชาชน
ผมเจอปัญหาอย่างนี้แม้กระทั่งในรัฐสภาด้วยซ้ำไป
เพราะฉะนั้นขณะนี้กรรมการสิทธิฯมี
พ.ร.บ.กรรมการสิทธิฯที่สำนักงานยังเป็นราชการอยู่ เลขาธิการต้องเป็นซี 11
หมดโอกาสแล้ว
เพราะข้าราชการที่ตำแหน่งสูงๆต้องยอมรับว่าในระบบการเมืองอย่างนี้หาคนยาก
มากที่จะนึกถึงภาคประชาชน
เพราะจะเป็นระบบเส้นสายไต่เต้าโดยเฉพาะทางการเมืองมากกว่า
ขณะเดียวกันการทำงานด้านสิทธิต้องมีจุดยืน มีประสบการณ์ด้านนี้พอสมควร
ทำให้ลักษณะกฎหมายกรรมการสิทธิฯที่ให้สำนักงานเป็นระบบราชการมีปัญหาในการทำ
งาน การสร้างระบบต่างๆที่จะมาเชื่อมโยงกันกับกรรมการมีปัญหามาก
เรื่องการเงิน
งบประมาณต่างๆในการทำงานแต่ละอย่างต้องการกฎหมายที่แยกต่างหากออกไป
ซึ่งผมไม่ได้เรียกร้องว่าเป็นกฎหมายที่พิสดารอะไร เหมือนอย่าง พอช. หรือ
สสส. ที่มีกฎหมายของตัวเอง
เขาทำงานได้คล่องตัวเยอะกว่ากรรมการสิทธิฯหรือสำนักงานกรรมการสิทธิฯอีก
อันที่ 3 ในกฎหมายกรรมการสิทธิฯฉบับใหม่ที่ร่างขณะนี้อยู่ที่สภาในอันดับ
7 หรือ 8 มีปัญหาว่าเรามีของแถมที่กรรมการสิทธิฯชุดที่แล้วไม่ได้เติม
แต่สำนักงานกฤษฎีกาเติมให้ เข้าใจว่าเป็นมาตรา 42
การไม่ให้กรรมการสิทธิฯเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ
ผมคิดว่าอันนี้เป็นการบิดเบือนเจตนารมณ์การทำงาน
เพราะกรรมการสิทธิฯเป็นองค์กรที่ต้องบอกสัจจะความจริงต่อสังคม
เราจะไม่บอกได้ 2 เรื่องคือ ความลับส่วนบุคคลและเรื่องความมั่นคง
อันนี้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเขียนกฎหมายมาปิดปากเรา
ผมคิดว่ากฤษฎีกาให้เหตุผลมาว่าข้อมูลการตรวจสอบของกรรมการสิทธิฯเป็น
ข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งเข้าใจผิด ที่เราตรวจสอบเป็นข้อมูลสาธารณะหมด
ถ้าจะเป็นข้อมูลส่วนบุคคล เป็นใครมาชี้แจง เราจะไม่เปิดเผยออกไปเลย
ขนาดเขามาขอรายงานการประชุม ผมจะให้เฉพาะผู้ที่มาชี้แจง แต่คนอื่นผมไม่ให้
ถ้าของเอกชนยิ่งระมัดระวังมากขึ้นที่จะไม่ให้ด้วยซ้ำไป
เพราะฉะนั้นเรื่องนี้เราระวังตัวอยู่แล้ว เราต้องถือรัฐธรรมนูญเป็นใหญ่
เวลาจะพิจารณากรณีร้องเรียนต้องยึดรัฐธรรมนูญ
เราต้องบอกว่าเป็นการละเมิดสิทธิข้อไหน มาตราไหน อย่างไร ปฏิญญาสากลข้อไหน
ละเมิดอนุสัญญาข้อไหน ไม่ใช่กล่าวหาลอยๆ เราทำงานภายใต้การยึดหลักกฎหมาย
เพราะฉะนั้นมาตราที่ว่าด้วยไม่ให้เผยแพร่ข้อมูลจะเป็นการล้มเจตนารมณ์
และล้มเรื่องการทำงานของกรรมการสิทธิฯ อันนี้เป็นปัญหาหลักในร่าง
พ.ร.บ.กรรมการสิทธิฯซึ่งกำลังจะเสนอในรัฐสภา |
|
|
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น