|
โครงการรับจำนำข้าวจุดตายของเผด็จการไทย? |
|
|
|
ในช่วงหลายสัปดาห์
ที่ผ่านมา
การปลุกกระแสคัดค้านโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้ดำเนินไป
อย่างเต็มที่ เริ่มต้นจากพรรคประชาธิปัตย์ พ่อค้า และผู้ส่งออกข้าว
องค์กรพัฒนาเอกชน ช่วยโหมกระพือด้วยสื่อมวลชนกระแสหลัก
รุมกระหน่ำโครงการรับจำข้าวของรัฐบาลด้วยข้อบกพร่องและข้อมูลทุจริตที่ขยาย
เกินจริง ไปจนถึงข้อมูลเท็จและข่าวลือต่างๆ
ท้ายสุดคือการเคลื่อนไหวของนักวิชาการและนักศึกษากว่า 140 คน
จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)
ร่วมกันลงชื่อยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล
ละเมิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 84 (1) นี่อาจเป็น “การข้ามเส้น”
เพราะการคัดค้านก่อนหน้านี้เป็นเพียงการวิพากษ์วิจารณ์
แต่การที่นักวิชาการกลุ่มนี้จงใจ “เปิดประตู” ให้ศาลรัฐธรรมนูญเข้ามา
เป็นการแสดงเจตนาชัดเจนว่าต้องการล้มโครงการรับจำนำข้าว
เพื่อให้มีผลกระทบต่อเนื่องเป็นการล้มรัฐบาลในขั้นต่อไป
โครงการรับจำนำข้าวมีเป้าหมายเพิ่มรายได้ให้กับชาวนาไทยผ่านการแทรกแซง
กลไกตลาดด้วยการพยุงราคาขั้นต่ำ ถึงแม้รัฐบาลจะใช้วิธีการ “รับจำนำ”
คือให้ชาวนาสามารถกลับมาไถ่ถอนคืนได้ในเงื่อนไขที่กำหนด
แต่รัฐบาลตั้งราคารับจำนำไว้สูง ผลก็คือชาวนาไม่มาไถ่ถอนคืน
ข้าวในโครงการจึงตกอยู่ในมือรัฐบาล
เท่ากับว่ารัฐบาลเป็นผู้รับซื้อข้าวโดยตรงจากชาวนาโดยไม่จำกัดจำนวนในราคา
ที่ประกาศไว้นั่นเอง
นี่คือมาตรการพยุงราคาสินค้าเกษตรที่มีอยู่ในตำราหลักเศรษฐศาสตร์พื้นฐานทุก
เล่ม
และปฏิบัติกันมานานแล้วในกลุ่มสินค้าเกษตรทั้งในประเทศไทยและหลายประเทศทั่ว
โลก
โครงการนี้มีผลทำให้ราคาตลาดปรับตัวสูงขึ้น
เพราะรัฐบาลกลายเป็นผู้รับซื้อรายใหญ่ ข้าวจำนวนมากไปอยู่ในมือรัฐบาล
บีบให้พ่อค้าต้องเสนอราคารับซื้อสูงตามไปด้วย
ผลก็คือชาวนาทั่วไปแม้ไม่ได้เข้าร่วมโครงการก็จะขายข้าวในราคาที่สูงขึ้นตาม
ไปด้วย ดังจะเห็นได้ว่าปัจจุบันข้าวเปลือกในตลาดเอกชนมีราคาสูงถึงตันละ
11,500-12,500 บาท เทียบกับสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งราคาอยู่ที่ตันละ
8,000-9,000 บาท และเหลือเพียงตันละ 6,000-7,000 บาท ในช่วงเก็บเกี่ยว
ข้อมูลกระทรวงพาณิชย์เองแสดงว่าการรับจำนำข้าวปีการเพาะปลูก 2554/55
มีชาวนาได้รับประโยชน์โดยตรงประมาณ 2 ล้านครัวเรือน เป็นเงิน 142,200
ล้านบาท และชาวนาที่ไม่ได้เข้าโครงการก็ได้ประโยชน์ด้วยประมาณ 57,000
ล้านบาท
นักวิชาการที่ออกมาคัดค้านโครงการนี้อ้างเหตุผลว่า “นี่เป็นการรับจำนำ”
ก็ต้องทำเหมือนโรงจำนำในเมืองคือ ต้องตั้งราคาจำนำที่ต่ำกว่าราคาตลาด
เพื่อบังคับให้ชาวนากลับมาไถ่ถอนคืน
นักวิชาการพวกนี้แกล้งทำเป็นไม่เข้าใจว่าการจำนำสิ่งของมีค่าในเมืองมีจุด
มุ่งหมาย “แก้ปัญหาขาดสภาพคล่องชั่วคราว” ในยามเงินขาดมือ เช่น
โรงเรียนเปิดภาคการศึกษา คนงานตกงาน เป็นต้น เมื่อผู้จำนำมีสภาพคล่องดีขึ้น
(เช่น ได้รับเงินเดือน หรือได้งานทำ) ก็นำเงินมาไถ่ถอนสิ่งของกลับไป
ส่วนโครงการรับจำนำข้าวนั้นไม่ใช่การ
“แก้ปัญหาขาดสภาพคล่องชั่วคราวของชาวนา”
หากแต่เป็นการเพิ่มรายได้ในปีการเพาะปลูกนั้นๆโดยตรง แม้จะเป็นรูปแบบจำนำ
แต่ในทางปฏิบัติคือการพยุงราคาให้สูง
หากรัฐบาลตั้งราคารับจำนำให้ต่ำกว่าราคาตลาดตามที่นักวิชาการพวกนี้เรียก
ร้องก็จะเป็นการทำร้ายชาวนาและเอื้อประโยชน์แก่พ่อค้าและผู้ส่งออกโดยตรง
เพราะราคาตลาดจะตกต่ำลงมาใกล้เคียงกับราคาจำนำในทันที
เนื่องจากพ่อค้ารู้ว่าชาวนาไม่มีทางเลือกอื่นและต้องขายให้พ่อค้าเท่านั้น
ส่วนข้อกล่าวหาว่าโครงการมีการทุจริตนั้นไม่ใช่ข้ออ้างที่จะยุติโครงการ
เพราะถ้ายึดหลักการว่าโครงการใดมีการทุจริตก็ต้องยกเลิกให้หมด
เท่ากับว่ารัฐบาลต้องยกเลิกหมดเกือบทุกโครงการในประเทศไทย
เพราะโครงการอีกมากมายก็อาจมีการทุจริตได้
ไม่เว้นแม้แต่การจัดซื้อจัดจ้างและโครงการวิจัยพัฒนาของพวกนักวิชาการใน
มหาวิทยาลัยของรัฐด้วย ทางออกจึงไม่ใช่การเลิกโครงการ
แต่เป็นการปรับปรุงการดำเนินการให้รัดกุม โปร่งใส
มีการรั่วไหลให้น้อยที่สุด ปราบปรามจับกุมและลงโทษผู้ที่ทุจริตอย่างเด็ดขาด
ส่วนการขาดทุนของโครงการรับจำนำอันเกิดจากข้าวเสื่อมคุณภาพและการระบาย
ข้าวออกในราคาต่ำนั้นอยู่ที่ฝีมือการบริหารสต็อกข้าวของกระทรวงพาณิชย์ว่าจะ
สามารถระบายข้าวออกไปได้อย่างรวดเร็วและในราคาที่ไม่ต่ำจนเกินไปได้หรือไม่
ที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์ได้ระบายออกจำนวนเพียงเล็กน้อยให้กับตลาดภายใน
ประเทศ และมีข้อผูกพันขายข้าวผ่านรัฐบาล (จีทูจี) อีก 7 ล้านตัน ในช่วงปี
2555/56
สิ่งที่รัฐบาลจะต้องทำคือเร่งระบายข้าวออกไปเพื่อเปิดสถานที่เก็บให้กับข้าว
ฤดูใหม่ปี 2555/56 และให้ได้เงินหมุนเวียนกลับมาบริหารโครงการต่อ
ตัวเลขการขาดทุนสำหรับโครงการรับจำนำข้าวปีการผลิต 2554/55
นั้นหลายฝ่ายคำนวณได้ใกล้เคียงกัน ตั้งแต่ตัวเลขขั้นต่ำ 50,000 ล้านบาท
โดยกระทรวงการคลัง ไปจนถึง 80,000 ล้านบาท โดยสมาคมโรงสีข้าวไทย
ซึ่งไม่ได้เกินกว่าความเสียหาย 90,000 ล้านบาท
ในโครงการประกันรายได้ของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนตัวเลขขาดทุนถึงกว่า
200,000 ล้านบาท ที่นักวิชาการบางค่ายกล่าวหากันนั้นก็คือตัวเลข “ยกเมฆ”
ที่สมมุติว่าสต็อกข้าวปัจจุบันของรัฐบาลนั้นเน่าเสียทั้งหมด
ซึ่งเป็นไปไม่ได้
ที่แย่ไปกว่านั้นคือการที่นักวิชาการกลุ่มนี้ไม่ได้เพียงแค่แสดงความคิด
เห็นต่างทางวิชาการเท่านั้น แต่ถึงกับใช้วิธีการยื่นศาลรัฐธรรมนูญ
ทั้งที่รู้ดีว่าศาลรัฐธรรมนูญก็คือกลไกของพวกเผด็จการที่ใช้ทำลายรัฐบาลที่
มาจากการเลือกตั้ง
และมีท่าทีชัดเจนที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลพรรคเพื่อไทยปัจจุบัน
การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการเปิดช่องให้อำนาจนอกรัฐธรรมนูญใช้ตุลาการเข้ามา
แทรกแซงอำนาจบริหารอีกครั้ง
และอาจนำไปสู่การทำลายรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่ชนะเลือกตั้งมาอย่างชอบธรรม
ดังเช่นที่ได้ทำลายรัฐบาลพรรคพลังประชาชนไปแล้วนั่นเอง
การที่ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ สื่อมวลชนกระแสหลัก พ่อค้าผู้ส่งออกข้าว
องค์กรพัฒนาเอกชน
และนักวิชาการปัญญาชนที่บูชาเผด็จการจารีตนิยมต้องเคลื่อนไหวอย่างหนัก
ก็เพราะหากนิ่งเฉยปล่อยให้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยทำโครงการนี้ต่อเนื่องได้
สำเร็จ
พรรคเพื่อไทยก็จะชนะเลือกตั้งรอบหน้าด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นเพิ่มขึ้นอีกมาก
นั่นเอง
แต่การที่คนพวกนี้อ้างเอาโครงการรับจำนำข้าวเพื่อดึงศาลรัฐธรรมนูญเข้ามา
นั้น พวกเขาก็กำลังเร่งนำความพินาศมาสู่พวกเผด็จการไทยให้เร็วยิ่งขึ้นไปอีก
คือการผลักให้ชาวนาทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวนาในภาคกลาง
ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ใช่ฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย
ให้หันมาสนับสนุนรัฐบาลพรรคเพื่อไทยและเป็นแนวร่วมของคนเสื้อแดงอย่างรวด
เร็วและได้ผลที่สุด
แล้วเราจะได้เห็นภาคจบของมหากาพย์เรื่องนี้กันเสียที!
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 8 ฉบับที่ 381 วันที่ 13-19 พ.ศ.
2555
หน้า 9 คอลัมน์ ปวงประชา โดย รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ |
|
|
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น