|
นายคณิน บุญสุวรรณ
นักวิชาการอิสระและอดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ปี 2540
ชำแหละตุลาการภิวัฒน์ไทยไม่เหมือนใครในโลกที่ประชาชนไม่สามารถตรวจสอบได้
แต่ถูกดึงลงมาเล่นการเมืองหลังปฏิวัติ 2549 ทางแก้คือต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญปี
2550 แล้วจัดระบบศาลให้เข้าที่เข้าทาง ดังนี้
+++++++++
สภาพตุลาการภิวัฒน์ในประเทศไทย
คำว่า “ตุลาการภิวัฒน์” ที่ใช้ในประเทศไทยไม่ตรงกับในทางสากล
ซึ่งในทางสากลคำว่า “ตุลาการภิวัฒน์”
คือกระบวนการในการปรับปรุงแก้ไขสังคายนาระบบและกระบวนการยุติธรรม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับบรรดาผู้พิพากษาตุลาการ
เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการนำไปใช้แก้ไขปัญหาร้ายแรงของประเทศได้
เช่น ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาทุจริต และปัญหาในองค์กรอาชญากรรม เช่น พวกมาเฟีย
การหลบเลี่ยงภาษี และการฟอกเงินอะไรต่างๆ
แต่ตุลาการภิวัฒน์ในเมืองไทยกลับตรงกันข้าม
แทนที่จะมองตัวเองกลับไปมองคนอื่น
และที่ร้ายไปกว่านั้นคือขณะที่ตุลาการภิวัฒน์ในทางสากลใช้ในการคลี่คลาย
ปัญหาหรือวิกฤตที่เกิดขึ้นในทางสังคมและอาชญากรรม
แต่ในเมืองไทยกลับเอามาใช้ด้วยเหตุผลทางการเมืองทั้งสิ้น
อย่างเช่นการเริ่มต้นตุลาการภิวัฒน์ในเมืองไทยที่พูดกันในสมัยรัฐบาล
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญปี 2540 ทำให้รัฐบาล
พ.ต.ท.ทักษิณมีเสถียรภาพมาก กลไกต่างๆในรัฐธรรมนูญไม่สามารถทำอะไรรัฐบาล
พ.ต.ท.ทักษิณได้ คนพวกนี้เลยคิดกันว่าถ้าอย่างนั้นไปใช้วิธีอื่น
ไม่ใช้วิธีตามรัฐธรรมนูญแล้ว ไปใช้วิธีดึงฝ่ายตุลาการขึ้นมา
ซึ่งฝ่ายตุลาการโดยปรกติแล้วจะไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง
แต่อันนี้เป็นแนวความคิด เป็นตรรกะวิธีการ และเป็นยุทธวิธี
พูดง่ายๆว่าจะโค่นล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ
และในการโค่นล้มแทนที่จะใช้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญกลับไปดึงเอาฝ่ายตุลาการ
เข้ามาแล้วอุปโลกน์ว่าเป็นตุลาการภิวัฒน์ แต่แท้ที่จริงไม่ใช่
ใช้ภาษาง่ายๆก็คือ มั่ว ตีขลุมเอา
และที่สำคัญที่สุดคือการเอาตุลาการภิวัฒน์ในเมืองไทยมายุ่งเกี่ยวกับการ
เมืองโดยตรง ทำให้เกิดความเสียหายมาก
เพราะถึงอย่างไรก็แล้วแต่รัฐบาลหรือรัฐสภาก็มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
และมีจุดยึดโยงกับประชาชน ในขณะที่ฝ่ายตุลาการไม่มีจุดยึดโยงกับประชาชน
และไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชนด้วย
คือเป็นข้าราชการประจำแขนงหนึ่งด้วยซ้ำไป
ที่น่าเป็นห่วงยิ่งไปกว่านั้นคือ
โดยปรกติแล้วฝ่ายตุลาการต้องปฏิบัติหน้าที่ตามพระปรมาภิไธยของพระมหา
กษัตริย์ ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงเป็นกลางทางการเมืองอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้นผู้พิพากษาที่เป็นฝ่ายตุลาการควรปฏิบัติหน้าที่โดยยึดหลักอันนี้
เนื่องจากเป็นการกระทำในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ ดังนั้น
จึงจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมืองให้มากที่สุด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความขัดแย้งและการแย่งชิงอำนาจกัน
จากความคิดตุลาการภิวัฒน์ที่ว่านี้ เมื่อมีการปฏิวัติรัฐประหารขึ้น
แน่นอนที่สุดฝ่ายตุลาการน่าจะมีส่วนด้วย
เพราะไม่เช่นนั้นแล้วคณะรัฐประหารหรือคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)
คงไม่ตั้งให้คุณชาญชัย ลิขิตจิตถะ ที่เป็นอดีตประธานศาลฎีกา
ข้ามห้วยมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
และนอกจากนั้นยังโอนลูกน้องตามมาด้วยคือ คุณจรัญ ภักดีธนากุล
ซึ่งเป็นผู้พิพากษาศาลฎีกาอยู่ ก็โอนข้ามห้วยมาเป็นปลัดกระทรวงยุติธรรม
และให้ไปเป็นกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญที่มีบทบาทสำคัญ
นอกจากนี้ยังตั้งผู้พิพากษาหลายคนเข้ามาเป็นคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำ
ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.)
หรือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
ส่วนคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็เป็นอยู่แล้วตั้งแต่ก่อนการปฏิวัติ
ทั้งคุณอภิชาต สุขัคคานนท์ คุณสดศรี สัตยธรรม หรือมีผู้พิพากษาอีก 2-3 คน
และยังมีรองอัยการสูงสุด สิ่งเหล่านี้เขาเรียกว่าเป็นตุลาการภิวัฒน์
แต่แท้ที่จริงเป็นกระบวนการที่จะโค่นล้มทำลายกันในทางการเมือง
โดยใช้ฝ่ายตุลาการเป็นข้ออ้าง
ในระหว่างการร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550
เห็นอย่างชัดเจนว่าพยายามเอาสิ่งที่เรียกว่าตุลาการภิวัฒน์มาปรับให้เป็น
กลไกตามรัฐธรรมนูญโดยเพิ่มอำนาจให้มากขึ้น
อย่างศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งเมื่อก่อนก็ไม่มี
แต่ตามรัฐธรรมนูญปี 2550
ก็ตั้งขึ้นเป็นศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง และ กกต. ก็เพิ่มอำนาจเข้าไปอีก
รวมทั้งเพิ่มอำนาจให้กับศาลรัฐธรรมนูญ และองค์ประกอบของศาลรัฐธรรมนูญจาก 15
คน ก็ลดลงเหลือ 9 คน ซึ่ง 5 ใน 9 คน มาจากศาลทั้งนั้น คือมาจากศาลฎีกา 3
คน ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดอีก 2 คน เหลืออีก 4 คน เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักนิติศาสตร์และนักกฎหมาย
อย่างนี้แสดงให้เห็นว่าตุลาการภิวัฒน์แท้ที่จริงก็คือการแลกเปลี่ยนผล
ประโยชน์ตอบแทนกัน โดยใช้บริการของศาลหรือฝ่ายตุลาการ แล้วก็ตอบแทนกันไป
แต่ในที่สุดความล้มเหลวก็เกิดขึ้น
เพราะทุกอย่างมีการจัดการและวางแผนกันเป็นกลไก
เหมือนกับว่าเอาไปโค่นล้มทำลายฝ่ายตรงกันข้ามในทางการเมือง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดการกับรัฐบาลหรือพรรคการเมืองที่ถูกรัฐประหารเมื่อ
วันที่ 19 ก.ย. 2549 แล้วตั้งองค์กรพิเศษขึ้นมา เช่น คตส.
คดีต่างๆเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็น คตส. หรือ ป.ป.ช.
หรือองค์กรต่างๆที่ได้ทำสำนวนในการไต่สวน
ก็ส่งไปที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ศาลรัฐธรรมนูญ
ซึ่งศาลและองค์กรต่างๆเหล่านี้เรียกรวมกันว่าตุลาการภิวัฒน์
แต่แท้ที่จริงไม่ใช่
เพราะเป็นกระบวนการปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจโดยไม่ใช้กำลังทหารนั่นเอง
แม้จะแพ้การเลือกตั้งเมื่อปี 2550
แต่กลับพยายามใช้ทุกวิถีทางในสิ่งที่เรียกว่าตุลาการภิวัฒน์
เพื่อพลิกกลับให้เสียงข้างน้อยได้เป็นรัฐบาล โดยไปจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร
ขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดความไร้เสถียรภาพทางการเมือง
แม้รัฐบาลจะมาจากการเลือกตั้งของประชาชนและมีเสียงข้างมากท้วมท้นแค่ไหน
แต่ก็ถูกคุกคามอยู่ตลอดเวลา
ขณะที่หน้าที่ของศาลยุติธรรมช่วงที่ยังไม่มีตุลาการภิวัฒน์
คดีที่ค้างการพิจารณาของศาลตั้งแต่ศาลยุติธรรมก็มีมากมายมหาศาล
บางคดีพิจารณาเป็นสิบๆปีกว่าจะตัดสิน
อย่างเมื่อเร็วๆนี้คดีหม่อมลูกปลาผ่านมา 10 ปีกว่า
ศาลเพิ่งจะตัดสินไม่นานมานี้ หรือคดีอาญา
คดียาเสพติดต่างๆที่ยังคั่งค้างอยู่
ทำให้เกิดความล่าช้าในกระบวนการยุติธรรม ไร้ประสิทธิภาพ
และอาจทำให้ขาดความยุติธรรมได้
สรุปว่าการใช้ตุลาการภิวัฒน์มาอ้างในการโค่นรัฐบาลและทำลายกันในทางการ
เมืองนอกจากจะประสบความล้มเหลวแล้ว
ยังทำให้ภารกิจหน้าที่หลักของศาลยุติธรรมซึ่งเป็นเสาหลักและที่พึ่งสุดท้าย
ในกระบวนการยุติธรรม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาลยุติธรรมเองและตัวผู้พิพากษาต้องประสบความเสียหายหลาย
ด้านด้วย
ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องทบทวนกัน คือถอยกลับไปเถิด
อย่านึกว่าผู้พิพากษาเป็นผู้ทรงคุณธรรมและสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆได้
อย่างน้อยที่สุดผู้พิพากษาในศาลยุติธรรมไม่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้าน
กฎหมายมหาชนเลย แต่มาอยู่ในองค์กรอิสระต่างๆ
ถึงวันนี้แทนที่จะใช้ตุลาการภิวัฒน์ในทางสร้างสรรค์เพื่อให้เกิดประโยชน์
ในทางสากล กลับกลายเป็นว่าเอามาใช้ผิดที่ผิดทาง ทำให้เกิดความเสียหาย
แค่งานด้านศาลเองก็ทำไม่ไหวแล้ว ยังจะรุกคืบไปทำงานด้านการเมืองอีก
และไม่เคยปรากฏมาก่อนว่าศาลออกมาต่อล้อต่อเถียงกับประชาชน
ขู่ฟ้องบ้างอะไรบ้าง เพราะขึ้นชื่อว่าศาลเป็นฝ่ายตุลาการ
ย่อมต้องมีความเป็นอิสระ มีความเป็นกลาง
แต่เวลานี้เหมือนกับฝ่ายตุลาการออกมาเล่นการเมือง โดยเฉพาะผู้ใหญ่ในศาล
เช่น ผู้พิพากษาศาลฎีกา
ผมขอถามว่าแล้วผู้พิพากษาระดับเล็กๆจะทำอย่างไร
เขาก็ก้มหน้าก้มตาทำงานไป เสร็จแล้วก็ต้องดูอีกว่าผู้พิพากษาระดับผู้ใหญ่
ระบบศาลจะไปอย่างไร เพราะฉะนั้นมันสร้างความกระอักกระอ่วน
และที่สำคัญที่สุดคือศาลตรวจสอบไม่ได้ นอกจากนี้ยังวิจารณ์ไม่ได้อีกด้วย
เราจึงไม่มีโอกาสรู้ความจริงเลย ขึ้นชื่อว่ามนุษย์
ไม่ว่าจะเป็นใครก็แล้วแต่
ไม่มีหรอกถ้าไม่ถูกตรวจสอบจะมีความบริสุทธิ์ผ่องใส
แม้แต่คนที่มีอำนาจอย่างฝ่ายการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนก็ยัง
ต้องถูกตรวจสอบ
กระทบต่อหลักนิติรัฐ นิติธรรมหรือไม่?
ขอบอกว่ากระทบ
เพราะหลักนิติรัฐและหลักนิติธรรมจะมีได้ก็ต่อเมื่อสังคมนั้นเป็นประชาธิปไตย
ที่บอกว่าเป็นสังคมประชาธิปไตยเพราะที่มาของกฎหมาย
คนที่ออกกฎหมายต้องมาจากประชาชนถึงจะเรียกว่าเป็นนิติรัฐได้
และคนบังคับใช้กฎหมายต้องมาตามกระบวนการของประชาธิปไตย
ซึ่งผู้วินิจฉัยกฎหมายคือผู้พิพากษาตุลาการต้องเป็นกระบวนการที่มาจากระบอบ
ประชาธิปไตย แต่ตุลาการภิวัฒน์ในประเทศไทยมาจากการรัฐประหาร
ที่สำคัญเริ่มต้นก่อนการรัฐประหารด้วยซ้ำ
มีส่วนร่วมในการที่วางแผนโค่นล้มรัฐบาลโดยการใช้กำลังทหารปฏิวัติด้วยซ้ำไป
แล้วมาบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญเป็นกลไกต่างๆ สิ่งเหล่านี้ทำลายหลักนิติรัฐ
นิติธรรมอยู่แล้ว
จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะบอกว่ากระบวนการตุลาการภิวัฒน์ในประเทศไทยถูกออกแบบมา
เพื่อสร้างหลักนิติรัฐ นิติธรรม แต่กลับตรงกันข้าม การจะสร้างหลักนิติรัฐ
นิติธรรมได้ต้องกลับไปสู่ภาวะของหลักประชาธิปไตย
คือประเทศไทยหลังการรัฐประหารดันไปตั้งประธานศาลฎีกาซึ่งเป็นประมุขของฝ่าย
ตุลาการมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แล้วจะเอาหลักนิติรัฐที่ไหน
คืนนิติธรรมเป็นเสาหลักประชาธิปไตย
ต้องกลับไปสู่กระบวนการประชาธิปไตย คือทหารต้องกลับสู่กรมกอง
ผู้พิพากษาต้องกลับบัลลังก์ศาล แล้วคืนกระบวนการประชาธิปไตยให้กับประชาชน
ตราบใดที่ยังมีการแทรกแซงกันอยู่อย่างนี้ กลายเป็นว่ากองทัพ ศาล
และพรรคการเมือง ร่วมกับนายทุนเก่า พยายามจะยึดอำนาจตลอดเวลา
ที่สำคัญถ้าศาลไม่ได้เป็นที่พึ่งสุดท้ายและไม่ได้เป็นเสาหลัก
มายุ่งเกี่ยวกับการเมือง นับวันมีแต่จะเปลืองตัว
เพราะเวลานี้คนพูดถึงศาลไม่ได้เจาะจงว่าพูดถึงศาลไหน
คิดว่าเป็นศาลเหมือนกัน
โดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญเป็นส่วนสำคัญในการทำรัฐประหาร
ที่สำคัญวางตัวเป็นหัวหอกด้วย
พูดง่ายๆเวลานี้เอาศาลออกมาเล่นการเมืองหมดแล้ว นี่คือสมรภูมิทางการเมือง
การทำรัฐประหารโดยศาลยังจะมีต่อไป
ความพยายามมีแน่นอน แต่จะล้มเหลวหมด
เวลานี้เหมือนกับว่าถ้าใช้กำลังทหารในการทำรัฐประหารได้คงทำไปแล้ว
แต่ในเมื่อทำไม่ได้ก็ต้องใช้วิธีอย่างนี้ ซึ่งนับวันจะทำให้ระบบศาล
หรือสถาบันอนุรักษ์ สถาบันดั้งเดิม เช่น กองทัพ เผชิญหน้ากับประชาชนมากขึ้น
ถามว่านักการเมืองมาจากไหน นักการเมืองก็มาจากประชาชน
แล้วเสียงส่วนใหญ่ที่เลือกนักการเมืองเข้ามาทำหน้าที่ก็เป็นเสียงของประชาชน
ระดับรากหญ้าทั้งนั้น ถ้าทำอย่างนี้ไปนานๆเข้ามีแต่จะเผชิญหน้ากับประชาชน
เมื่อก่อนไม่เคยมีใครกล้าวิจารณ์ศาล วิจารณ์กองทัพ
เดี๋ยวนี้วิจารณ์กันมาก ไปๆมาๆก็ขู่กัน เป็นลักษณะของประเทศที่ไม่มีความสงบ
ส่งผลให้ภาพลักษณ์ของระบบศาลโดยรวมเสียหายหมด
ถ้าบอกว่าต้องการตุลาการภิวัฒน์จริง
ควรมาตีแผ่ว่าตุลาการภิวัฒน์ที่แท้จริงคืออะไร
สมควรยุบศาลรัฐธรรมนูญทิ้งหรือไม่
มันมาไกลเกินไปแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดถึงเรื่องนั้น
ต้องคิดถึงการสังคายนาศาลทั้งระบบแล้วในประเทศนี้
ที่พูดกันว่าปัญหาในประเทศไทยคือการคอร์รัปชัน เรื่องนักการเมืองเลว
แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว กลายเป็นระบบศาลที่เป็นตัวปัญหา
ขอย้ำว่าสถานการณ์ขณะนี้ต้องสังคายนาปฏิรูปศาลทั้งระบบ
โดยศาลยุติธรรมเป็นคดีอาญา คดีแพ่ง คดีทั่วไป
ก็ต้องหาวิธีที่จะทำให้ผู้พิพากษาระดับสูงมีจุดยึดโยงกับประชาชน
ไม่ใช่ลอยมาจากไหนก็ไม่รู้ อย่างน้อยที่สุดต้องมีการควบคุมตรวจสอบได้
ผมขอบอกว่าศาลในประเทศไทยกลายเป็นประเทศเดียวในโลกที่ตรวจสอบไม่ได้
และไม่มีจุดยึดโยงกับประชาชน
เรื่องความล้าช้าในกระบวนการยุติธรรมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องเอามาตีแผ่
กัน อย่างศาลปกครองก็มีได้ แต่จะให้มีอำนาจถึงขนาดไปล้มรัฐบาลคงไม่ถูก
ศาลปกครองมีไว้พิจารณาคดีปกครอง ส่วนศาลรัฐธรรมนูญไม่จำเป็นต้องมี
มาถึงขนาดนี้ไม่จำเป็นต้องมีแล้ว
เพราะจริงๆแล้วองค์กรที่เรียกว่าคณะตุลาการรัฐธรรมนูญก็มีได้อยู่แล้ว
แต่พอเป็นศาลปุ๊บก็ติดขึ้นมาทันทีในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์
กลายเป็นว่าตรวจสอบวิจารณ์ไม่ได้
จะทำอย่างไรให้สังคมไทยหลุดพ้นวงจรนี้
ตุลาการภิวัฒน์ที่ว่านี้กำลังสร้างปัญหาให้กับสังคม
ถามว่าเราจะหลุดพ้นไปได้หรือไม่
ผมขอบอกว่าคงหลุดไม่ได้ตราบใดที่ศาลยังไม่ได้มองตัวเอง
เพราะเวลานี้ศาลไม่เคยมองตัวเอง มองแต่คนอื่น
และยิ่งได้ลูกยุจากฝ่ายกองทัพและและพรรคการเมืองบางพรรค
ซึ่งต้องการดันศาลออกมาข้างหน้า
ส่งผลให้สังคมไทยไม่สามารถหลุดพ้นจากวงจรนี้ได้
แต่ก็มีอีกทางหนึ่งคือแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 แล้วจัดการกันใหม่หมด
ไล่ตั้งแต่บทบาทของศาลควรเป็นอย่างไร ความสัมพันธ์
ความเกี่ยวข้องกับฝ่ายบริหารควรมีมากน้อยแค่ไหน
องค์กรอิสระจำเป็นต้องมีหรือไม่ ซึ่งความจริงไม่ต้องมีก็ได้
หากมีจะยิ่งเป็นภาระให้ประชาชนมากขึ้นไปอีก
วันดีคืนดีไปออกระเบียบเพิ่มค่าตอบแทนให้กับตัวเอง เงินเดือนตั้งเท่าไร
เงินค่าตอบแทน เบี้ยเลี้ยง เบี้ยประชุมอีก
ไม่รวมผลประโยชน์อย่างอื่นหรือสิทธิพิเศษอะไรต่างๆเยอะแยะไปหมด
รถประจำตำแหน่งราคาตั้ง 3-4 ล้านบาท แล้วในที่สุดก็ทำแต่เรื่องอย่างนี้
เวลานี้ศาลถูกตั้งฉายาหลายชื่อมาก
สะท้อนให้เห็นว่าขณะนี้เหมือนกับช่วยตัวเองไม่ได้แล้ว
เพราะตอนนี้มีคนได้ประโยชน์คือบุคลากรระดับสูงในศาล
เมื่อเป็นแบบนี้ก็ช่วยไม่ได้ ดูแล้วน่าเป็นห่วง
อย่างที่บอกว่าเป็นปัญหาพื้นฐาน ซึ่งมีมานานแล้ว
ไม่เคยได้ยินหรือที่ภาษิตกฎหมายบอกว่า
“ความล่าช้าในกระบวนการยุติธรรมก็คือความไม่ยุติธรรม”
นี่คือจุดอ่อนของศาลในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาลยุติธรรม
|
|
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น