วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555

โกงทุเรศ! "รัฐบาลมาร์ค" ขายข้าวให้เมียรองหัวหน้าพรรคฯ


โกงทุเรศ! "รัฐบาลมาร์ค" ขายข้าวให้เมียรองหัวหน้าพรรคฯร่วม แค่ตันละ 5,400 บ.

ภรรยารองหัวหน้าพรรคมัชฺฌิมา เป็นที่ปรึกษาให้ รมต.พาณิชย์ ทุจริตขายข้าว โดยมี รองนายกฯ ไตรรงค์ และ นายกฯ อภิสิทธิ์ ให้ความเห็นชอบการทุจริตขายสต็อคข้าวกระทรวงพาณิชย์  อ้างข้าวดีขายเป็นข้าวเก่า จากราคาตลาด 12,800 บาท/ตัน ขายเหลือแค่ราคา  5,400 บาท/ตัน 

วันที่ 21 ธันวาคม 2555 (go6TV) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ สส.ระบบบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ได้ยื่นคำร้องของส.ส.พรรคเพื่อไทย ให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตรวจสอบกรณีการระบายข้าวในสต็อกของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์รวม 4 หน้ากระดาษ ระบุว่า การดำเนินการระบายข้าวสารในสต็อกรัฐบาลในช่วงปี 2552-2553 มีการดำเนินการเป็นความลับ ไม่เปิดประมูลเป็นการทั่วไป มีการเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้ประกอบการเพียงบางราย เป็นการกีดกันผู้ประกอบการรายอื่นไม่ให้มีการเสนอราคาอย่างเป็นธรรม มีการอนุมัติหรือให้ความเห็นชอบในการจำหน่ายโดยมิชอบ และจำหน่ายในราคาต่ำกว่าราคาที่ควรจำหน่ายได้ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ อันเป็นการกระทำที่เข้าข่ายความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐหรือ ฮั้วประมูล และความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ โดยมีรายละเอียดดังนี้

1 .เมื่อวันที่ 18 พ.ค.2553 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติรับทราบมติกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) โดยเห็นชอบในหลักการให้พิจารณาระบายข้าวในสต็อกของรัฐบาลในรูปแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล โดยให้ระบายไปยังตลาดต่างประเทศที่นอกเหนือตลาดปกติของผู้ส่งออกข้าว และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้พิจารณาจำหน่ายข้าวสารในรูปแบบจีทูจี ด้วยความระมัดระวัง มิให้กระทบต่อระบบตลาดครั้งละไม่เกิน 300,000 ตัน และจำหน่ายแก่เอกชนเพื่อการส่งออกจำนวนไม่เกิน 100,000 ตัน แล้วรายงานให้กขช.ทราบก่อนลงนามสัญญากับคู่สัญญาต่อไป

2 .เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. 2553 ครม.ได้มีมติรับทราบกรอบยุทธศาสตร์การดำเนินการระบายข้าวตามโครงการแทรกแซงของรัฐบาลที่กขช.เสนอ และเห็นชอบให้คณะอนุกรรมการพิจารณาระบาบข้าวกำหนดหลักเกณฑ์และกรอบยุทธศาสตร์ รวมถึงปริมาณการจำหน่ายด้วยความระมัดระวัง โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อภาวะราคาตลาด และให้คณะทำงานดำเนินการระบายข้าวสารเป็นผู้ดำเนินการและนำเสนอประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวสารพิจารณาอนุมัติ แล้วเสนอประธานกขช.หรือรองประธานกขช.พิจารณาให้ความเห็นสอบก่อนลงนามสัญญา โดยมีข้อสังเกตว่า มติครม. 29 มิ.ย.2553 ได้แก้ไขมติครม.วันที่ 18 พ.ค. 2553 ในประเด็นสำคัญ คือ การเปลี่ยนแปลงผู้มีอำนาจในการให้ความเห็นชอบจำหน่ายข้าวในสต็อกรัฐบาล จากคณะกรรมการกขช. เป็นประธาน หรือรองประธานกขช.

3 .ระหว่างเดือน ก.ค.-ธ.ค. 2553 ได้ปรับเปลี่ยนวิธีการระบายข้าวจากเดิม มาเป็นการให้เอกชนผู้ส่งออกที่มีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศในปริมาณมาก ยื่นคำเสนอขอซื้อข้าวสารในสต็อกรัฐบาล โดยไม่มีการออกประกาศเชิญชวน เนื่องจากนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกฯ ในฐานะรองประธาน กขช. ระบุว่าการจำหน่ายข้าวในสต็อกต้องทำเป็นความลับ ทั้งนี้เมื่อเอกชนผู้ส่งออกข้าวยื่นคำขอซื้อแล้ว คณะทำงานพิจารณาระบายข้าวจะนำเสนอผลการเจรจาให้รมว.พาณิชย์อนุมัติแล้วเสนอรองประธาน กขช. ให้ความเห็นชอบ จากนั้นอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศจะมีหนังสือแจ้งให้เอกชนที่ผ่านการพิจารณาเข้าทำสัญญากับอตก.หรืออคส. โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องส่งออกข้าวไปต่างประเทศภายในเวลาที่กำหนดเท่านั้น ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวมีเอกชนเข้าทำสัญญาเพียง 9 ราย จากจำนวนผู้ส่งออกที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายจำนวน 317 ราย โดยที่ผู้ส่งออกรายอื่นไม่ได้รับสิทธิเป็นคู่สัญญาเนื่องจากไม่ทราบเรื่อง ซึ่งวิธีการดังกล่าวมีปริมาณข้าวที่ระบายออกจากสต็อกจำนวน 4,126,656 ตัน คิดเป็นมูลค่า 53,070,216,395บาท

4 .ราคาจำหน่ายข้าวขาวชนิด 5% ที่จำหน่ายจากวิธีระบายข้าวดังกล่าว มีราคาเฉลี่ยตันละ 12,000 บาท ซึ่งต่ำกว่าราคาตลาดมากกว่า 10% และต่ำกว่าราคาที่ควรจะขาย โดยมีราคาต่างจากการระบายข้าวของรัฐบาลปัจจุบันตันละ4,300 บาท จึงก่อให้เกิดความเสียหายไม่ต่ำกว่า 15,000 ล้านบาท

5 .การที่กขช.และครม.กำหนดนโยบายระบายข้าวโดยปล่อยให้มีการใช้วิธีระบายโดยให้เอกชนที่มีคำสั่งซื้อในปริมาณมากยื่นคำเสนอขอซื้อในสต็อกรัฐบาล เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เกี่ยวข้องกับการระบายข้าวสามารถเลือกช่องทางแสวงหาผลประโยชน์ได้โดยง่าย แม้จะกำหนดให้เป็นการขายแบบจีทูจี แต่ท้ายที่สุดไม่ได้มีการขายแบบจีทูจี แต่ขายให้เอกชนในประเทศเพื่อส่งออกแทน นอกจากนี้ในการทำสัญญามีการจำหน่ายข้าวมากกว่าสัญญาละ 100,000ตัน ซึ่งไม่ตรงตามมติกขช.และมติครม. จึงเป็นการดำเนินการที่เกินอำนาจ

6 .พบว่าไม่มีการตรวจสอบคำสั่งซื้อข้าวของเอกชน เป็นผลให้เอกชนหลายรายที่เป็นคู่สัญญาไม่ส่งออกข้าวออกนอกประเทศภายในเวลาที่กำหนด มีจำนวนไม่ต่ำกว่า 25% ของสัญญาส่งออกข้าว และมีการคืนหลักประกันเนื่องจากเอกสารการส่งออกไม่ครบถ้วน ทำให้รัฐได้รับความเสียหาย

7 .มีการจำหน่ายข้าวให้กับหนองลังกาฟาร์ม โดยทำสัญญาในนาม น.ส.เสาวลักษณ์ เย็นใส โดยน.ส.เสาวลักษณ์เป็นลูกจ้างของนางบุญยิ่ง นิติกาญจนา ที่ปรึกษารมว.พาณิชย์ โดยเมื่อได้รับข้าวสารแล้วได้นำส่งให้บริษัทกาญจนาอาหารสัตว์ ซึ่งเป็นบริษัทของนางบุญยิ่ง โดยมีข้อสังเกตว่ามีการจำหน่ายในราคาถูกมากเพียง 5,400 บาท/ตัน ต่ำกว่าราคาที่ควรจำหน่ายได้ในราคาตันละ 12,800 บาท ซึ่งทำให้ขาดทุนไปถึงตันละ 7,400 บาท

มีข้อน่าสังเกตว่า บริษัท หนองลังกาฟาร์ม  มีกรรมการผู้ถือหุ้นใหญ่  เป็นรองหัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย  และนางบุญยิ่ง เป็นภรรยาของรองหัวหน้าพรรคฯ คนดังกล่าว  ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โดยมีประกาศราชกิจจานุเบกษาลงวันที่  18 กุมภาพันธ์ 2552 เป็นหลักฐาน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น