วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

นายกรัฐมนตรีแถลงการณ์ ภายหลังรับทราบผลคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร ของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ

นายกรัฐมนตรีแถลงการณ์ ภายหลังรับทราบผลคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร ของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ


สวัสดีค่ะพี่น้องประชาชนชาวไทยที่เคารพรัก

            ตามที่เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2554 กัมพูชาได้ยื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ “ศาลโลก” เพื่อขอให้ตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารปี 2505 โดยเห็นว่าไทยและกัมพูชามีความเห็นที่ไม่ตรงกันเกี่ยวกับคำพิพากษาของคดีฯ เมื่อปี 2505 ในเรื่องของขอบเขต “บริเวณใกล้เคียงปราสาท” ซึ่งกัมพูชาเห็นว่าต้องเป็นไปตามเส้นเขตแดนระหว่างประเทศในแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ระวางดงรัก นั้น

             คณะดำเนินคดีฝ่ายไทยได้ทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ ได้ต่อสู้ในแง่กฎหมายและตามกติกาสากลอย่างเต็มที่ ดังเป็นที่ประจักษ์ในการให้การทางวาจาฯ ต่อศาลโลก เมื่อเดือนเม.ย. ที่ผ่านมานั้น รัฐบาลทราบดีว่าภารกิจการต่อสู้คดีฯ ครั้งนี้ เป็นภารกิจที่ท้าทายและยากลำบากมาก เพราะเป็นคดีที่ตีความคำพิพากษาเดิมที่ผ่านมาแล้ว 50 ปี และประเทศไทยจำเป็นต้องกลับไปต่อสู้ที่ศาลอีกครั้งหนึ่งเพื่อมิให้ศาลพิจารณาเพียงเอกสารหลักฐานและคำให้การของกัมพูชาแต่เพียงฝ่ายเดียว ดังนั้น คณะดำเนินคดีของประเทศไทยจึงได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและประชาชนในทุกด้านอย่างเต็มที่ เพื่อให้ทุกคนสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างสบายใจและมีประสิทธิภาพสูงสุด

             บัดนี้ ศาลโลกได้พิจารณาเอกสารหลักฐานของทั้งสองฝ่าย ซึ่งพี่น้องประชาชนทุกท่านคงได้มีโอกาสติดตามการถ่ายทอดสดคำพิพากษา โดยรัฐบาลเห็นว่า เป็นคำพิพากษาที่ให้ความสำคัญกับการที่ทั้งสองประเทศจะต้องเจรจากัน และมีหลายส่วนที่เป็นคุณกับประเทศไทย โดยมีประเด็นหลัก ๆ ดังนี้

             ศาลรับฟังข้อต่อสู้ของไทย และได้ตัดสินยืนยันที่จะตัดสินภายในขอบเขตของคำพิพากษาเดิมเมื่อปี 2505

            ศาลรับฟังข้อต่อสู้ของไทย โดยยืนยันว่า คำพิพากษาเดิมเมื่อปี 2505 นั้น ไม่ได้ตัดสินเกี่ยวกับประเด็นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา เพราะเป็นประเด็นที่อยู่นอกเหนือจากคำพิพากษาเดิม ซึ่งหมายความว่า ศาลไม่รับพิจารณาข้อเรียกร้องของกัมพูชาเหนือพื้นที่ 4.6 ตร.กม. และที่สำคัญศาลไม่ได้ตัดสินว่าแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ผูกพันกับไทย โดยผลของคำพิพากษาเมื่อปี 2505

             ศาลรับตีความเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวกับพื้นที่บริเวณใกล้เคียงปราสาทตามคำพิพากษาเดิมเมื่อปี 2505 โดยศาลอธิบายว่าเป็นพื้นที่ขนาดเล็กมาก ซึ่งกำหนดขึ้นตามสภาพภูมิศาสตร์ที่ประกอบขึ้นเป็นยอดเขาพระวิหาร โดยไม่ได้กำหนดเส้นเขตแดน และที่สำคัญไม่รวมพื้นที่ภูมะเขือ ซึ่งในส่วนของพื้นที่บริเวณใกล้เคียงปราสาทนี้ ทั้งสองประเทศจำเป็นต้องหารือกันในรายละเอียดต่อไปโดยกลไกทวิภาคีที่มีอยู่

               ศาลได้แนะนำให้ความสำคัญกับการที่ทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกันในกรอนุรักษ์และพัฒนาปราสาทพระวิหารในฐานะที่เป็นมรดกโลก

              ดังนั้น รัฐบาลได้สั่งให้ทีมที่ปรึกษากฎหมายศึกษารายละเอียดและสาระสำคัญของคำพิพากษาเพื่อนำข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะไปประกอบการพิจารณาดำเนินการของรัฐบาลต่อไป ต่อจากนั้น ไทยและกัมพูชาจะต้องเจรจาหารือภายใต้กลไกที่มีอยู่ระหว่างทั้งสองประเทศ เพื่อให้ได้ข้อยุติที่เป็นที่ยอมรับได้ของทั้งสองฝ่าย และจะคำนึงถึงขั้นตอนและกระบวนการตามกฎหมายและบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

              ในโอกาสนี้ ดิฉันขอเรียนยืนยันว่า การดำเนินการของรัฐบาลจะรักษาอธิปไตยและผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง รวมทั้งเกียรติภูมิของชาติ และความเป็นประชาคมอาเซียน พร้อมกันนี้รัฐบาลได้สั่งการและกำชับให้ฝ่ายทหารและเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ยังคงรักษาความสงบเรียบร้อยในบริเวณชายแดน รักษาอธิปไตย และดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ เพื่อสันติภาพ สันติสุข และความสงบเรียบร้อย ดังที่ได้ปฏิบัติมาโดยตลอด

พี่น้องประชาชนที่เคารพรัก

            ประเทศไทยและกัมพูชาเป็นประเทศเพื่อนบ้านกัน ที่นอกจากจะมีพรมแดนติดต่อกันถึงเกือบ 800 กม. ยังเป็นสมาชิกอาเซียนที่ต้องพึ่งพาอาศัยกันต่อไปเพื่อความสงบสุขและเจริญรุ่งเรือง อีกทั้งประชาชนไทยและกัมพูชาก็มีความสัมพันธ์ฉันท์ญาติมิตร มีวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ร่วมกันมาช้านาน ดังนั้น ทั้งสองประเทศจึงจำเป็นที่จะต้องร่วมมือกันเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนของทั้งสองประเทศ

          ในนามของรัฐบาล ดิฉันขอให้พี่น้องประชาชนชาวไทย มีความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะดำเนินการทุกอย่าง โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนพี่น้องคนไทยทุกคนและของชาติอย่างสูงสุด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น