หนูชิด คำกอง ภรรยาของนายพัน คำกอง (ผู้เสียชีวิต) โจทก์ร่วม (ภาพเมื่อวันที่ 17 ก.ย.2555 ซึ่งศาลมีคำสั่งว่านายพัน เสียชีวิตจากอาวุธปืนที่ใช้ในราชการสงครามที่เจ้าพนักงานทหารร่วมกันยิงไปที่รถยนต์ตู้ หมายเลขทะเบียน ฮค 8561 กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีนายสมร ไหม เป็นผู้ขับ แล้วลูกกระสุนปืนไปถูกผู้ตายถึงแก่ความตาย ในขณะเจ้าพนักงานทหารกำลังปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบ ปิดล้อมพื้นที่ควบคุมตามคำสั่งของ ศอฉ. คลิ๊ก อ่านรายละเอียดคำสังศาล)
ผู้บาดเจ็บและญาติคนตายยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นกรณีไม่มีอำนาจพิจารณาคดี ‘อภิสิทธิ์-สุเทพ’ สลายการชุมนุม นปช. ปี 53 พร้อมอุทธรณ์คำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม เปิดอ่านคำอุทธรณ์ประวัติศาตร์
เมื่อวันที่ 29 ก.ย.2557 ที่ผ่านมา ที่ศาลอาญา นายโชคชัย อ่างแก้ว ทนายความของของโจทก์ร่วม คือ นายสมร ไหมทอง อาชีพขับรถตู้ ผู้ถูกยิงบาดเจ็บสาหัสคืนวันที่ 14 ต่อวันที่ 15 พ.ค.53 และนางหนูชิด คำกอง ภรรยาของนายพัน คำกอง อาชีพขับรถแท็กซี่ ซึ่งถูกยิงเสียชีวิตในเหตุการณ์เดี่ยวกัน ช่วงสลายการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (นปช.) โดยศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) ได้ยื่นอุทธรณ์ในคดีหมายเลขดำ อ.4552/2556 และ อ.1375/2557 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและ อดีต ผอ.ศอฉ. เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าและพยายามฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 59, 80, 83, 84 และ 288 จากกรณีที่ ศอฉ. มีคำสั่งใช้กำลังเจ้าหน้าที่ในการขอคืนพื้นที่จากการชุมนุมของ นปช. ระหว่าง เม.ย.-พ.ค. 53 ส่งผลมีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตหลายราย
คดีดังกล่าวศาลอาญามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 28 ส.ค. ที่ผ่านมาว่า ศาลไม่มีอำนาจพิจารณาคดีนี้ และคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รวมทั้งยกคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมของผู้บาดเจ็บและญาติผู้เสียชีวิตด้วย
นายโชคชัย กล่าวว่า “คดีนี้อยู่ในอำนาจของศาลอาญา เพราะว่าข้อหาที่ฟ้องเป็นข้อหาความผิดต่อชีวิต ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ไม่มีอำนาจสอบสวนหรือไต่สวนเกี่ยวกับข้อหานี้ ป.ป.ช. มีอำนาจไต่สวนเฉพาะความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ และเราก็เห็นว่าศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีอำนาจรับคดีจาก ป.ป.ช. คดีที่เกี่ยวกับความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ซึ่งคดีนี้ไม่ใช่คดีความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่”
“แม้จำเลยทั้ง 2 จะกระทำในขณะที่ดำรงตำแหน่งนายกฯ และรองนายกฯ แต่ก็เป็นความผิดนอกเหนือตำแหน่งหน้าที่ เพราะไม่มีกฎหมายใดอนุญาตให้จำเลยทั้ง 2 สั่งการฆ่าผู้ใดได้ทั้งสิ้น ข้อหาฆ่าผู้อื่นตาม ป.อาญา มาตรา 288 จึงไม่ใช่ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ เพียงแต่จำเลยทั้ง 2 กระทำความผิดในขณะที่ดำรงตำแหน่งนายกฯ และรองนายกฯ” นายโชคชัยกล่าวและว่า โจทก์ร่วมทั้ง 2 ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาของศาลอาญา จึงขออุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาของศาลอาญาในประเด็นข้อกฎหมาย โดยขอถือเอาความเห็นแย้งของนายธงชัย เสนามนตรี อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาและอุทธรณ์ของพนักงานอัยการสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 1 สำนักงานอัยการสูงสุด เป็นส่วนหนึ่งของอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมทั้ง 2 ด้วย จึงขอให้ศาลอุทธรณ์โปรดพิจารณาพิพากษากลับคำสั่งของศาลอาญาและให้ศาลอาญารับคดีนี้ไว้พิจารณาและให้รับคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม
โชคชัย อ่างแก้ว ทนายความของของโจทก์ร่วม
โดยคำอุทธรณ์ของผู้บาดเจ็บและญาติผู้เสียชีวิต ดังนี้
อุทธรณ์คำพิพากษา คดีอาญา หมายเลขดำที่ อ.4552/2556 และ อ.1375/2557 หมายเลขแดงที่ อ.2911/2557 และ อ.2917/2557
ด้วยความเคารพอย่างยิ่งต่อคำพิพากษาของศาลอาญา โจทย์ร่วมทั้ง 2 ยังไม่เห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาของศาลอาญา และขออุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาของศาลอาญาในปัญหาข้อกฏหมาย ดังที่จะได้ประทานกราบเรียนต่อศาลอุทธรณ์ต่อไปนี้
1. เนื่องจากอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาได้มีความเห็นแย้งดังกล่าวข้างต้น และพนักงานอัยการสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 1 สำนักงานอัยการสูงสุด โจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์ฉบับลงวันที่ 17 ก.ย. 2557 คัดค้านคำพิพากษาศาลอาญาแล้ว โจทก์ร่วมทั้ง 2 จึงขอถือเอาความเห็นแย้งของอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาและอุทธรณ์ของพนักงานอัยการฯ ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมทั้ง 2 ด้วย
โจทก์ร่วมทั้ง 2 ขอประทานกราบเรียนต่อศาลอุทธรณ์ที่เคารพว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องและขอให้ลงโทษจำเลยทั้ง 2 ตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 288 ซึ่งเป็นความผิดในหมวดที่ 1 ว่าด้วยความผิดต่อชีวิต ในลักษณะ 10 ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกาย มีโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุกตั้งแต่ 15 ถึง 20 ปี ซึ่งความผิดที่โจทก์ฟ้องและขอให้ลงโทษดังกล่าวมิใช่ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฏหมายอาญาแต่อย่างใด
โดย พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 19(2) และ (3) ได้กำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เกี่ยวกับอำนาจการไต่สวนและวินิจฉัยโดยมีอำนาจหน้าที่ในการไต่สวนข้อเท็จจริงและสรุปสำนวนพร้อมทั้งทำความเห็นเพื่อส่งไปยังอัยการสูงสุดเพื่อฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามหมวด 6 และไต่สวนวินิจฉัยว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐร่ำรวยผิดปกติ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมเท่านั้น ซึ่งความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ตามประมวลกฏหมายอาญาหรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมปรากฏอยู่ในหมวดที่ 2 ว่าดว้ยความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ในลักษณะที่ 2 ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการปกครอง ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 147 ถึงมาตรา 166 ส่วนความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ในลักษณะที่ 3 ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการยุติธรรม ซึ่งบัญญัติไว้ในมาตรา 200 ถึงมาตรา 205
ดังนั้น ป.ป.ช. จึงไม่มีอำนาจไต่สวนการกระทำความผิดในข้อหาความผิดเกี่ยวกับชีวิตร่างกายตามประมวลกฏหมายอาญาแต่อย่างใด
อีกทั้งตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 มาตรา 9(1) และ(2) ได้กำหนดอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีขอศาลฏีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำตำแหน่งทางการเมือง ในคดีที่มีมูลแห่งคดีเป็นการกล่าวหาว่านายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ส.ส. ส.ว. หรือข้าราชการการเมืองอื่น ร่ำรวยผิดปกติ กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฏหมายอาญา หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ หรือทุจริตต่อหน้าที่ตามกฏหมายอื่น และคดีที่มีมูลแห่งคดีเป็นการกล่าวหาบุคคลตามมาตรา 9(1) หรือบุคคลอื่นเป็นตัวการ ผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุนให้กระทำความผิดทางอาญาตามมาตรา 9(1)
จึงเห็นได้ว่าศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีอำนาจพิจารณาคดีที่เกี่ยวกับนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ส.ส. ส.ว. หรือข้าราชการการเมืองอื่น เฉพาะคดีอาญาที่กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฏหมายอาญา ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ตามประมวลกฏหมายอาญาหรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ปรากฏอยู่ในหมวดที่ 2 ว่าด้วยความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ในลักษณะที่ 2 ว่าด้วยความผิดเกี่ยกับการปกครอง ส่วนความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมปรากฏอยู่ในหมวดที่ 2 ว่าด้วยความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ในลักษณะที่ 3 ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการยุติธรรม เท่านั้น
และในคดีนี้โจทก์มิได้ฟ้องจำเลยทั้ง 2 ในขอหาการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฏหมายอาญาหรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่หรือทุจริตตามกฏหมายอื่นแต่อย่างใด
แม้ศาลอาญาจะเห็นว่าความผิดที่โจทก์ฟ้องเป็นความผิดอันมีมูลมาจากการออกคำสั่งของจำเลยทั้ง 2 ในขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีก็ตาม แต่การกระทำความผิดในข้อหาที่โจทก์ฟ้องไม่อยู่ในอำนาจการไต่สวนของ ป.ป.ช. และไม่ได้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
และยังปรากฏว่าภายหลังจากศาลจากที่ศาลได้มีคำสั่งไต่สวนการตายของผู้เสียชีวิตตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 โดยเฉพาะการตายของนายพัน คำกอง สามีโจทก์ร่วมที่ 2 และผู้เสียชีวิตคนอื่นๆ และได้สั่งสำนวนไต่สวนของศาลไปยังพนักงานอัยการเพื่อส่งแก่พนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนผู้มีอำนาจสอบสวนคดี และอัยการสูงสุดได้มีคำสั่งฟ้องจำเลยทั้ง 2 ในข้อหาตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 288, 83 และ 84 อันเกิดจากการกระทำของจำเลยทั้ง 2 การฟ้องคดีของโจทก์ต่อศาลอาญา ซึ่งเป็นศาลที่มีเขตอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีนี้ จึงเป็นอำนาจและหน้าที่ของพนักงานอัยการและตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 143
และโจทก์ร่วมทั้ง 2 ซึ่งเป็นผู้เสียหายมีสิทธิขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมได้ ตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 30 จึงได้ของยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมเมื่อวันที่ 13 ก.พ. 2557 และศาลอาญาได้มีคำสั่งอนุญาตแล้ว อันเป็นการดำเนินกระบวนการพิจารณาที่ชอบด้วยกฏหมาย
2. ในส่วนที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดของจำเลยทั้ง 2 ในข้อหาความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 157 ซึ่งอยู่ในระหว่างการไต่สวนของ ป.ป.ช. และอยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นั้น
ขณะนี้ยังไม่ปรากฏผลการไต่สวนของ ป.ป.ช. และโจทก์ไม่ได้ฟ้องจำเลยในข้อหาดังกล่าวแต่อย่างใด เมื่อความผิดตามข้อหาที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้ง 2 ตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 288, 83 และ 84 ต่อศาลอาญา ซึ่งเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแล้ว ศาลอาญาจึงมีอำนาจที่จะพิจารณาคดีนี้ต่อไป ซึ่งไม่เกี่ยวกับข้อหาตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 157
โดยความผิดตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 288 และมาตรา 157 ต่างมีองค์ประกอบความผิดที่ไม่เหมือนกัน และมีอัตราโทษที่ไม่เท่ากัน ซึ่งความผิดตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 288 เป็นความผิดที่มีโทษหนักและสูงกว่า และการไต่สวนของ ป.ป.ช. ต้องดำเนินการตามอำนาจหน้าที่เฉพาะความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการเท่านั้น หากจะดำเนินคดีในข้อหาตามประมวลกฏหมายมาตรา 157 เพียงข้อหาเดียว ย่อมไม่เป็นธรรมกับผู้เสียหายและทำให้ผู้กระทำความผิดพ้นจากความผิดไป และความผิดข้อหาที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้ง 2 ในคดีนี้ แม้จำเลยที่ 1 จะกระทำในขณะดำรงตำหน่งนายกรัฐมนตรี และจำเลยที่ 2 กระทำในขณะดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ก็ตาม แต่เป็นความผิดนอกเหนือตำแหน่งหน้าที่ เพราะไม่มีกฏหมายใดอนุญาตให้จำเลยทั้ง 2 สั่งการฆ่าผู้ใดทั้งสิ้น ข้อหาฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 288 จึงไม่ใช่ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ เพี่ยงแต่จำเลยทั้ง 2 กระทำความผิดในขณะที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีเท่านั้น
ส่วนในความผิดเกี่ยวกับข้อหาตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 157 หาก ป.ป.ช. จะมีการชี้มูลหรือไม่อย่างไร ก็เป็นเรื่องการดำเนินการอีกส่วนหนึ่ง ตามอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช. ย่อมไม่เป็นการตัดสิทธิโจทก์หรือผู้เสียหายและโจทก์ร่วมทั้ง 2 ที่จะดำเนินคดีกับจำเลยทั้ง 2 ในข้อหาตามฟ้องนี้ได้
ที่ศาลอาญาวินิจฉัยชี้ขาดข้อกฏหมายเบื้องต้นแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์และให้ยกคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมทั้ง 2 โดยยังมิได้มีการฟังข้อเท็จจริงจากการสืบพยานหลักฐานของฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลยทั้ง 2 เสียก่อนว่า จำเลยทั้ง 2 กระทำโดยมีเจตนาฆ่าผู้ตายหรือไม่อย่างไร ซึ่งหากฟังว่าจำเลยทั้ง 2 สั่งการโดยมีเจตนาเล็งเห็นผลถึงการตายของผู้ตาย ย่อมไม่ใช่เป็นการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ แต่เป็นการกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่น ที่ศาลวินิจฉัยว่าการกรทำความผิดในข้อหาที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้ง 2 เป็นการกระทำความผิดกรรมเดียวกับข้อหาปฏิบัติที่มิชอบตามประมวลกฏหมาย มาตรา 157 จึงอยู่ในอำนาจการไต่สวนของ ป.ป.ช. และอยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จึงยังคลาดเคลื่อนต่อข้อกฏหมายอยู่
ด้วยเหตุที่โจทก์ร่วมทั้ง 2 ได้ประทานกราบเรียนต่อศาลอุทธรณ์มาแล้วข้างต้น ขอศ่าลอุทธรณ์ได้โปรดพิจาณาพิพากษากลับคำพิพากษาและคำสั่งของศาลอาญา ให้ศาลอาญารับคดีนี้ไว้พิจารณาและให้รับคำร้องขอเป็นโจทก์ร่วมของโจทก์ร่วมทั้ง 2 ในคดีหมายเลขดำที่ อ.4552/2556 แล้วให้ศาลอาญาดำเนินกระบวนการพิจารณาพิพาษาต่อไป
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
|
สำหรับในคดีนี้ อัยการสูงสุดยื่นอุทธรณืไปก่อนหน้า โดยเมื่อวันที่ 25 ก.ย.ที่ผ่านมา นายวันชัย รุจนวงศ์ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า อัยการสูงสุดได้ยื่นขออุทธรณ์คดีที่ศาลมีคำสั่งไม่ฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. ในความผิดสั่งสลายการชุมนุมทางการเมือง เมื่อปี 2553 จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต
โดยอัยการสูงสุดขออุทธรณ์ในประเด็นทางข้อกฎหมาย เพราะก่อนหน้านี้ ได้ยื่นฟ้องความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ไม่ได้ฟ้องในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามกฎหมายอาญามาตรา 157
หากศาลอุทธรณ์พิจารณาสำนวนคดีเสร็จสิ้นแล้ว จะส่งหมายแจ้งนัดวันให้คู่ความทั้ง 2 ฝ่ายรับทราบ เพื่อเดินทางมาฟังคำพิพากษาต่อไป ส่วนจะใช้ระยะเวลาเท่าใด ยังไม่สามารถระบุได้ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จะเสร็จสิ้นเมื่อใด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น