วันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2557

คืนความจริงกับวิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง : การจะไปเอาเป็นเอาตายกับงานศิลปะมันบ้าไปหน่อย


เมื่อวันที่ 29 ก.ย. ที่ผ่านมา เฟชบุ๊กแฟนเพจ ‘คืนความจริง’ โพสต์วิดีโอคลิปชื่อ “วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง : การจะไปเอาเป็นเอาตายกับงานศิลปะมันบ้าไปหน่อย” ซึ่งเป็นบทสัมภาษณ์ ‘วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง’ ผู้กำกับภาพยนตร์และนักเขียนบทภาพยนตร์ ที่เติบโตมาจากงานโฆษณา เช่นเดียวกับ เป็นเอก รัตนเรือง, นนทรีย์ นิมิบุตร ฯลฯ ซึ่งถือเป็นคลื่นลูกใหม่ของวงการภาพยนตร์ไทย งานของ วิศิษฏ์ จะมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง แนวจินตนาการเหนือจริงและใช้สีสันฉูดฉาด และในหลายฉากที่เขากำกับมักจะยกย่องความคลาสสิกของหนังไทยในยุคเก่าอยู่เสมอๆ อย่างเช่นในเรื่อง ฟ้าทะลายโจร
วิศิษฏ์ : ศิลปะจริงๆ แล้วก็คือสิ่งเดียวกับเสรีภาพอยู่แล้ว เพราะว่างานศิลปะจริงๆ มันมีทั้งผู้ผลิตหรือผู้ส่งสารกับผู้รับสาร จริงๆ มันไม่ได้จบแค่คนผลิต คือ คนรับสารจะต้องไปตีความต่อจากนั้น ศิลปะก็คือแต่ละคนก็ตีควากันไปคนละทาง เวลาเสพงานเดียวกันเราสามารถคิดไปคนละทางได้ อันนั้นมันคือเสรีภาพอยู่แล้ว
อันดับแรกคนทำงานศิลปะต้องการเสรีภาพในการคิดก่อน เสรีภาพในการผลิตชิ้นงานเพื่อจะสื่อสารให้คน คนทำงานส่วนใหญ่เขาไม่ได้สนใจขนาดว่า คนรับสารคนดูต้องคิดแบบที่เขาคิด เขาต้องการให้งานเผยแพร่ออกไป แต่เขาไม่เคยไปบังคับว่าจะต้องคิดแบบนี้ นั่นคือเสรีภาพในการตีความ ขณะเดียวกันคนทำงานเขาก็ต้องการเสรีภาพในการสร้างผลงานเหมือนกัน ไม่ใช่แบบว่า คนรับสารมาบอกว่า “เห้ย มึงทำแบบนี้ดิ กูชอบดู” คนดูไม่มีสิทธิที่จะให้คนสร้างงานมาบอกว่า “ทำแบบนี้สิ”
เหมือนกัน คนคนสร้างงานก็ไม่มีสิทธิจะบอกคนดูว่า “มึงคิดแบบกูนะ มันถึงจะถูกต้อง” เพราะฉะนั้นในระหว่างคนทำงานกับคนเสพงานมีอิสระภาพ มีเสรีภาพ ที่จะทั้งทำและตีความอยู่แล้ว
ส่วนตัวรู้สึกว่างานศิลปะมันเป็นงานที่ เรียกว่ามันถูกแปลงสารอยู่แล้ว ทุกอย่างมันไม่ได้เอามาเป็นดุ้นๆ เป็นชัดๆ ขนาดนั้น งานศิลปะมันถูกแปลงศาลทุกครั้งอยู่แล้ว ภาพมันไม่ใช่มีความหมายแค่นั้น เพราะฉะนั้นผมรู้สึกว่าจะไปเอาเป็นเอาตายกับงานศิลปะมันบ้าไปหน่อย คือหมายความว่ามันถูกแปลงจนกระทั่งเรียกว่าบางทีมันไม่ได้มีพิษภัยอยู่แล้ว หรือบางทีมันเป็นนัยยะที่ซ่อนอยู่ มันไม่ได้ร้ายแรง มันไม่ได้เป็นของร้ายแรง มันไม่เหมือนเอาปืนไปยิงคน มันแน่นอน อันนั้นไม่ต้องสงสัยว่ามันเป็นเรื่องร้ายแรงแน่ๆ แต่นี่มันเป็นงานศิลปะ มันเป็นภาพวาด เป็นการแสดงละครที่พูดภาษาชาวบ้านคือติ๊ต่างว่า ติ๊ต่างขึ้นมา มึงจะเอาอะไรกับการติ๊ต่าง มันคือบ้าไปหน่อย
ผมคิดว่าการที่ทำให้คนได้เสพงานได้รับรู้กับมันแล้วก็ได้เอาไปคิดต่อมันไม่ได้ทำให้อะไรได้พังทลายลงไปหรอกครับ เพราะถ้ามันพังทลายโลกนี้มันพังทลายหมดแล้ว เพราะว่างานทั้งโลกนี้มันเต็มไปด้วยการพยายามจะวิพากษ์สังคม พยามจะวิพากษ์สิ่งต่างๆ พยายามจะให้คนคิด คือผมคิดว่ามันก็ทำให้โลกพัฒนาขึ้นในแง่ความคิด แต่มันไม่ได้ทำให้โลกแตกไป เพราะฉะนั้นเกี่ยวกับกรณีเรื่องเฉพาะบางเรื่องมันก็ไม่ได้มีผลกับสิ่งนั้น ต่อให้เราวิพากษ์ภูเขายังไง ด่าไปให้ตาย ภูเขาก็ไม่ล่มแตกสลายลงมา แต่เราอาจจะได้มุมมองใหม่ๆ เกี่ยวกับภูเขาบ้าง
ในแง่ของเมืองไทยจริงๆ งานศิลปะของเรานี่หน่อมแน้มมาก มันไม่เคยท้าทายอำนาจรัฐประหาร มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว มีบ้างแต่ไม่มาก ตัวผมก็ไม่ได้ทำงานท้าทายอำนาจหรือวิพากษ์สังคม แต่ผมก็ไม่เห็นด้วยกับการจำกัดการทำงานศิลปะ เพราะงานศิลปะมันก็แค่ชิ้นงาน มันไมได้ทำร้ายใคร ยกเว้นจะเอากรอบรูปไปตีหัวใครมันถึงจะเกิดอันตราย เพราะฉะนั้นงานศิลปะควรจะมีเสรีภาพในการแสดงออกต่อให้เป็นสิ่งที่เราไม่เห็นด้วย เราก็ควรให้เขาได้แสดงออก
โลกนี้ไม่ใช่มากำหนดด้วยตัวเรา มันเป็นโลกของทุกคน ทุกคนมีสิทธิที่จะกำหนด Subject ของตัวเอง เราไม่ชอบก็เดินหนีไปไม่ต้องดู ไม่ใช่ไม่ชอบก็เอามันออกไปจากตรงนี้ กูต้องไม่เห็นมัน หายไปจากโลก หายไปจาประเทศ คนทำงานศิลปะคนนั้นที่กูไม่ชอบมึงต้องออกไปเลย ไล่ไปแบบนี้ ไม่ได้ มันไม่มีสิทธิ ผมก็ไม่ชอบงานของคนตั้งเยอะ แต่ผมก็ไม่ได้ไปไล่เขา
เพราะฉะนั้นภายใต้รัฐประหารนี้ มันยิ่งต้องแสดงออก เราไม่ได้เป็นคนทำงานด้านสังคม พูดง่ายๆ เราทำงานบรรเทิงหน่อมแน้มไปตามเรื่อง ทำงานโฆษณา แต่เมื่อถูกควบคุมเราจะเริ่มรู้สึกว่าเราไม่ได้เสพบางอย่าง หรือเวลาเราพูดอะไรออกไปเราต้องเซ็นเซอร์ตัวเองอันนี้น่ากลัวที่สุด ภายใต้ประชาธิปไตยเราพูดอะไรได้เต็มที่เรามีสิทธิที่จะพูด โอเคถ้าไปกระทบใครเดี๋ยวเขาฟ้องเราเอง ไม่ต้องห่วง แต่ภายใต้รัฐประหารนี่บางทีเราพูดว่า “กูอยากกินแซนด์วิช” ไม่รู้กูจะโดนจับหรือเปล่า มันกลายเป็นเราต้องเซ็นเซอร์ตัวเอง ตอนนี้คนทำงานศิลปะอาจจะเริ่มรู้สึกแล้วว่าสิ่งที่มันหายไป คือมันมีคนทำงานศิลปะที่มันเสือกไปเรียกร้องรัฐประหารเยอะมาก (หัวเราะ) อาจจะคิดว่าทำสิ่งที่ถูกต้อง ไม่เป็นไร แต่วันหนึ่งเขาห้ามมึงาดรูปขึ้นมา ต่อให้เราวาดรูปเชียร์รัฐประหารยังไง แต่เขาไม่ชอบขึ้นมา เขาก็สั่งเอารูปคุณออกได้ เมื่อนั้นคุณจะรู้สึกว่า เสรีภาพที่มึงต้องการมันหายไปแล้ว
ที่บอกว่า “อย่าให้รัฐประหารเสียของ” จำคำนี้เอาไว้ให้ดี มันก็เหมือนกับถ้าผู้หญิงโดนข่มขืน แล้วบอกว่าอย่าให้มันเสียของเลยแล้วกัน เมื่อโดนข่มขืนก็มันกับมันไปด้วยเลย(หัวเราะ) มันเลวไหมคำนี้ คำนี้มันแย่ที่สุด คือ “อย่าให้รัฐประหารเสียของ” มีหลายคนเลยที่พูดแบบนี้ ไหนๆ ก็ทำแล้ว ก็อย่าให้มันเสียของ เราก็พยายามทำให้มันสร้างสรรค์ นั่นก็เหมือนกับว่าโดนข่มขืนแล้วก็มันไปกับการโดนข่มขืนไปด้วยเลยแล้วกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น