วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2558

ศาลฎีการับฟ้อง 'ยิ่งลักษณ์' คดีจำนำข้าว พิจารณานัดแรก 19 พ.ค.นี้


19 มี.ค. 2558 กรุงเทพธุรกิจ รายงานว่า สุรศักดิ์ ตรีรัตน์ตระกูล อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน รองหัวหน้าคณะทำงานอัยการ ที่รับผิดชอบคดีโครงการจำนำข้าวและระบายข้าว เดินทางไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดีที่นายตระกูล วินิจนัยภาค อัยการสูงสุด ยื่นฟ้อง นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย
ล่าสุด ศาลฎีกานักการเมือง สั่งรับคดีอัยการสูงสุด ฟ้องอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ปฏิบัติหน้าที่มิชอบโครงการจำนำข้าว นัดพิจารณาครั้งแรกเพื่อสอบคำให้การ 19 พ.ค. นี้
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดฟังคำสั่งว่าจะประทับรับฟ้อง กรณีละเลยไม่ดำเนินการยับยั้งโครงการรับจำนำข้าวจนทำให้รัฐเสียหายกว่า 6 แสนล้านบาทหรือไม่ ในวันที่ 19 มี.ค. ว่า การดำเนินการในวันที่ 19 มี.ค. เป็นเรื่องระหว่างศาลกับพนักงานอัยการ ในกรณีที่ศาลจะพิจารณาคำฟ้องของพนักงานอัยการว่าจะประทับรับฟ้องหรือไม่ ซึ่งกฎหมายไม่ได้กำหนดให้ผู้ถูกกล่าวหาต้องไปที่ศาล ดังนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ และทีมทนายความ จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเดินทางไปที่ศาล แต่จะรอฟังผลการพิจารณาของศาลก่อนว่าจะออกมาอย่างไร จากนั้นจึงค่อยมาว่ากันอีกทีว่า ทีมทนายความจะดำเนินการในขั้นตอนต่อไปอย่างไร


ยิ่งลักษณ์แถลงผ่านเฟซบุ๊ก สิทธิในกระบวนการยุติธรรมที่ขาดหายไป
วันเดียวกัน เมื่อเวลา 11.26 น. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แถลงผ่านเฟซบุ๊ก ตั้งข้อสังเกตถึงประเด็นสิทธิในกระบวนการยุติธรรม
 มีรายละเอียด ดังนี้
"ตามที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้มีคำสั่งประทับรับฟ้องคดีที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ฟ้องดิฉันในคดีเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายโครงการรับจำนำข้าวในวันนี้นั้น
ตลอดระยะเวลาที่ดิฉันปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีนั้น ดิฉันทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต รับใช้พี่น้องประชาชนตามที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาด้วยอุดมการณ์ที่เชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และได้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่อย่างครบถ้วนถูกต้องเป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ข้อกฎหมาย ตลอดจนกฎระเบียบ ข้อบังคับ ของทางราชการทุกประการ และต้องการเห็นประเทศชาติเจริญก้าวหน้า ทุกคนมีโอกาสที่เท่าเทียมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวไร่ชาวนาที่ถูกเอารัดเอาเปรียบมาโดยตลอด
ดิฉันขอยืนยันอีกครั้งว่า คดีโครงการรับจำนำข้าวเปลือกที่กล่าวหาดิฉันนี้ ถือเป็นคดีแรกที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำนโยบายเศรษฐกิจพื้นฐานของประเทศ อันเป็นนโยบายที่ประชาชนได้มอบหมายความไว้วางใจตามวิถีทางในระบอบประชาธิปไตยให้ดิฉันมาดำเนินการ และเมื่อมีการเสนอนโยบายดังกล่าวต่อประชาชนและเกิดเป็น “ฉันทามติ” ของประชาชนที่ต้องการให้ “กลไกตลาด” เป็นธรรม สะท้อนความเป็นจริงและยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวนา เพราะที่ผ่านมาชาวนาเป็นผู้ผลิตไม่สามารถกำหนดราคาผลผลิตของตนเองในตลาดได้ การกำหนดราคาตกอยู่ในมือของผู้ซื้อโดยสิ้นเชิง คดีนี้จึงเป็นคดีที่จะมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ การเมือง ตลอดจนเกษตรกรและประชาชนอย่างกว้างขวาง ทั้งยังมีผลต่อบรรทัดฐานและการตัดสินใจในการจัดทำนโยบายที่จะช่วยเหลือประชาชนในอนาคต
ดิฉันขอตั้งข้อสังเกตต่อเรื่องสิทธิในกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะ “หลักนิติธรรม” ที่พึงต้องปฏิบัติต่อบุคคลที่ถูกกล่าวหาเพื่ออำนวยความยุติธรรมนั้น ได้ขาดหายไปในคดีที่เกี่ยวกับตัวดิฉัน เห็นได้จากรายงานและสำนวนคดีพร้อมความเห็นของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เองก็ระบุอย่างชัดเจนว่า “ไม่มีพยานหลักฐานว่าดิฉันกระทำการทุจริตหรือสมยอมให้ผู้ใดทุจริต” แต่ก็มีการชี้มูลความผิดกับดิฉัน และก่อนหน้าที่อัยการสูงสุดจะฟ้องคดี อัยการสูงสุดได้ชี้ข้อไม่สมบูรณ์ของคดีนี้หลายเรื่องตามที่เป็นข่าวทราบกันโดยทั่วไป และต่อมาทั้งที่ทางอัยการยังไม่ได้มีการสืบพยานหลักฐานให้เสร็จสิ้นก่อนที่จะฟ้องคดีนี้ แต่กลับมีการเร่งรีบที่จะส่งฟ้อง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่เป็นไปตามกระบวนการปกติที่ต้องให้ความเป็นธรรมกับผู้ถูกกล่าวหา

อย่างไรก็ดี แม้เมื่อศาลฎีกาฯ มีคำสั่งประทับฟ้องคดีนี้ ดิฉันมั่นใจในความบริสุทธิ์และเชื่อมั่นในพยานหลักฐานที่จะนำมาพิสูจน์ความจริงต่อศาลตามขั้นตอนกระบวนการพิจารณาคดีของศาลตามที่กฎหมายกำหนดว่า ดิฉันมิได้กระทำความผิดใดๆทั้งสิ้น
ดิฉันเพียงหวังว่าในการพิจารณาคดีในชั้นศาลฎีกาฯ ดิฉันจะมีสิทธิที่จะเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างแท้จริง และมีโอกาสเสนอข้อเท็จจริง ข้อโต้แย้ง และพยานหลักฐานของดิฉันในการต่อสู้คดีอย่างเพียงพอ

ที่สำคัญดิฉันขอให้มีการพิจารณาอย่างถูกต้อง โปร่งใส และเป็นธรรม ปราศจากอคติใดๆ เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาดิฉันเห็นว่า ดิฉันยังไม่ได้รับสิทธิในกระบวนการยุติธรรมในชั้นที่ถูกกล่าวหา และมีวัตถุประสงค์ทางการเมืองที่จะทำลายดิฉันเข้ามาแทรกซ้อนโดยตลอด
สุดท้ายนี้ ดิฉันขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายได้โปรดยุติการวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ หยุดกดดันหรือชี้นำเพื่อประโยชน์ทางการเมือง จนกว่ากระบวนการพิจารณาคดีของศาลฎีกาฯ จะเสร็จสิ้น เพื่อให้ความเป็นธรรมกลับคืนสู่สังคมไทยต่อไป"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น