วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เหยื่ออธรรม“สุวรรณมาลีอำมหิต”ดัดจริตยิ่งกว่า“ดอกส้มสีทอง”

       เรื่องจากปก
         จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้ วันสุข
         ปีที่ 6 ฉบับที่ 309 ประจำวัน จันทร์ ที่ 9 พฤษภาคม 2011
         โดย ทีมข่าวรายวัน
          “มีอีกหลายคนที่ต้องเป็นเหยื่อของความป่าเถื่อน ความคิดคับแคบเห็นแก่ตัว เพียงเพื่อรักษาอำนาจและความเป็นอภิสิทธิ์ชน ความทุกข์ทรมานและความ เจ็บปวดรวดร้าวของชีวิตครั้งนี้ไม่ใช่แค่ถูกจองจำเท่านั้น แต่ที่เจ็บปวดและคับแค้นใจก็คือไม่ ใช่แค่การใช้กฎหมายไม่เป็นธรรม รังแกผมเท่านั้น ยังบิดเบือนความ จริงอย่างน่าเกลียดอีกด้วย เช่น การไม่ให้ประกันตัว อ้างว่าผมกำลัง หลบหนีเดินทางไปต่างประเทศ”

นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย ที่ถูกจับกุมตัวเมื่อวันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมา เขียนจดหมายในห้องขังเมื่อเช้าวันที่ 2 พฤษภาคม ก่อนถูกนำตัวไปขออำนาจศาลฝากขัง ทั้งที่ทำหนังสือ พิมพ์เป็นสื่อกลางให้ผู้คนได้แสดงความคิดเห็น เป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมืองโดยปราศจากความกลัวหรือถูกจำกัดความคิด แต่กลับถูกกล่าวหาและถูกจองจำ โดยไม่ทราบมาก่อนเลยว่ามีหมายจับในข้อหาดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท ตามมาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา

นายสมยศยังตั้งคำถามถึงมาตรา 112 ว่าเป็นกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมและเป็นเครื่องมือเพื่อทำลายบุคคลอื่นทางการเมือง รวมถึงจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนหรือไม่ เพราะมีหลายคนที่กลายเป็นเหยื่อของมาตรา 112 จึงออกมาต่อสู้เรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 112 โดยจัดตั้งเครือข่ายประชาธิปไตยรวบรวมรายชื่อให้ได้ 10,000 ชื่อขึ้นไป เพื่อให้รัฐสภาแก้ไขมาตรา 112 ตามรัฐธรรมนูญ 2550

“ผมเป็นเพียง “เหยื่อ” ของกฎหมายไม่เป็นธรรม เป็น “เหยื่อ” ของเกมการเมืองที่กำลังห้ำหั่น แย่งชิงอำนาจรัฐระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยกับฝ่ายเผด็จการผ่านรูปแบบการเลือกตั้ง”

สถาบันกับการเมือง?

การจับกุมนายสมยศจึงยิ่งทำให้มีการพูดถึงมาตรา 112 ที่นอกจากแยกไม่ออกจากการเมืองไทยแล้วยังทำให้ผู้ที่มีความคิดเห็นต่างต้องปิดปากเหมือนคนเป็นใบ้ เพราะการครอบงำทางวัฒนธรรมอุดมการณ์ที่ห้ามทุกคนวิพากษ์วิจารณ์ แม้เห็นชัดเจนว่ามีคนบางกลุ่มนำสถาบันมาเป็นเครื่องมือเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง
แม้แต่การออกมา “ตบเท้า” ของกองทัพที่อ้างเป็นการปกป้องสถาบัน ขณะที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ก็ส่งทหารลงพื้นที่ต่างๆ อ้างสนับสนุนการเลือกตั้งและเผยแพร่การเทิดทูนสถาบัน แต่อีกด้านหนึ่งกองทัพบกและกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ก็ดำเนินการฟ้องร้องแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในข้อหาหมิ่นสถาบันและเป็นภัยต่อความมั่นคง

ขณะที่เจ้าหน้าที่รัฐก็สนธิกำลังกันตรวจค้นและดำเนินคดีกับวิทยุชุมชนและเว็บไซต์ของคนเสื้อแดงในข้อหาหมิ่นสถาบัน แต่กลับไม่ดำเนินคดีกับกลุ่มชนชั้นสูงที่ “วิกิลีกส์” เปิดเผยว่ามีการพูดพาดพิงสถาบันที่เกี่ยวข้องกับการเมืองชัดเจน

จึงมีคำถามว่าใครหรือฝ่ายใดที่ “ดึงฟ้าต่ำ” โดยอ้าง ความจงรักภักดี และมีเบื้องหลังและผลประโยชน์ทาง การเมืองหรือไม่ โดยเฉพาะช่วงที่กำลังจะยุบสภาและมีการเลือกตั้ง ขณะที่คนกลุ่มหนึ่งประกาศชัดเจนว่าไม่ต้องการให้มีการเลือกตั้งไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม

ปิดปากประชาชน?

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจึงออกแถลงการณ์เรียกร้องให้สังคมไทยร่วมกันปกป้องเสรีภาพในการแสดงความเห็น และร่วมกันแสดงการคัดค้านต่อบุคคล สถาบัน การกระทำ หรือกฎหมายใดๆก็ตามที่คุกคามเสรีภาพการแสดงความเห็นตามระบอบประชาธิปไตย โดยเฉพาะ การคุกคามจากผู้ถืออำนาจรัฐที่ทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ทั้งการใช้อำนาจนอกกฎหมายและอำนาจตามกฎหมายที่ปรากฏอย่างชัดแจ้งและแฝงเร้นเพื่อปิดปากประชาชน โดยอ้างเรื่องความจงรักภักดีและการปกป้องสถาบัน อย่างการเคลื่อนไหวของทหารบางกลุ่ม

ที่สำคัญผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบันมักไม่ได้รับความคุ้มครองหรือหลักประกันสิทธิอย่างเต็มที่และเสมอภาคตามกระบวนวิธีพิจารณาในฐานะคดีอาญาปรกติ นอกจากนี้ยังยัดเยียดว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐอีก เพื่อให้กลายเป็น “คดีพิเศษ” ให้ดีเอสไอสามารถรับผิดชอบและใช้วิธีการสืบสวนสอบสวนแบบพิเศษตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 ซึ่งมีบทบัญญัติยกเว้นหลักประกันสิทธิของผู้ต้องหาตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาอีกหลายประการ


แม้คดีจะขึ้นสู่กระบวนการยุติธรรมก็มีคำถามถึงบุคคลทั้งปวงที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมว่ามีการตีความอย่างไร อย่างที่ ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งออกมาเคลื่อนไหวให้ปฏิรูปมาตรา 112 ระบุว่า ต้องตีความให้สอดคล้องกับอุดมการณ์ของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ใช้และตีความเพื่อรับใช้อุดมการณ์ของการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ซึ่งพ้นสมัยไปแล้ว

สื่อไทยไม่เสรี

จึงไม่แปลกที่ล่าสุดกลุ่มฟรีดอมเฮ้าส์ องค์กรติดตามสถานการณ์สิทธิมนุษยชนทั่วโลก จะรายงานผล สำรวจเสรีภาพสื่อ 196 ประเทศประจำปี 2554 เนื่องในวันเสรีภาพสื่อมวลชนโลกว่า ประเทศไทยจัดอยู่ที่อันดับ 138 ถูกลดชั้นจากชาติกลุ่ม “กึ่งเสรี” ไปอยู่กลุ่ม “ไม่เสรี” ร่วมกับอิหร่าน อิรัก เกาหลีเหนือ พม่า คิวบา จีน โซมาเลีย อัฟกานิสถาน และอีก 63 ประเทศทั่วโลก
เนื่องจากการใช้ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และความรุนแรงทางการเมือง ประชาธิปไตยที่กำลังจะหยั่งรากจึงถูกท้าทายจากการลุกฮือทางการเมือง การแบ่งขั้วความขัดแย้งและรัฐประหาร เพราะประเทศใดก็ตามที่สื่อไม่สามารถรายงานข่าวได้ หรือถูกแทรกแซงจากรัฐบาลหรือกลุ่มใดๆ ก็หมายถึงประชาธิปไตยที่ริบหรี่นั่นเอง

ฮิวแมน ไรท์ วอทช์ ประจานไทย

แต่ที่น่าอับอายอย่างยิ่งคือเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม นายแบรด อดัมส์ ผู้อำนวยการภาคพื้นเอเชียกลุ่มสิทธิมนุษยชนสากล หรือฮิวแมน ไรท์ วอทช์ ได้แถลงข่าวที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย โดยจัดทำรายงานและเผยแพร่เหตุการณ์สลายม็อบคนเสื้อแดงช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ในชื่อ “Descent into Chaos. Thailand’s 2010 Red Shirt Protests and the Government Crack-down” หรือ “จมดิ่งสู่หายนะ” ความยาว 156 หน้า พร้อมเชิญนางพะเยาว์ อัคฮาด แม่ของ น.ส.กมนเกด อัคฮาด หรือ “น้องเกด” พยาบาลอาสา 1 ใน 6 ศพที่ถูกสังหารหมู่ในวัดปทุมวนารามมาร่วมแถลงข่าวด้วย

นายอดัมส์แถลงพร้อมทั้งเปิดคลิปเหตุการณ์ประกอบ อาทิ ภาพทหารถืออาวุธ ภาพทหารถือปืนสไนเปอร์บนที่สูง ภาพทหารอยู่บนรางรถไฟฟ้าหน้าวัดปทุมฯ ภาพผู้สื่อข่าวไทยและต่างประเทศถูกหามออกหลังจากถูกยิง เป็นต้น โดยระบุว่าการใช้สไนเปอร์ของทหารถือว่ามีความผิดชัด เพราะไม่ใช่สงคราม และการจะยิงคนต้องมีอาวุธ แต่ในภาพการตายส่วนใหญ่จะยิงคนไม่มีอาวุธและยิงบนจุดสำคัญ เช่น ศีรษะ หัวใจให้ตาย ถ้ายิงก็ไม่ควรถึงตาย และคนคนนั้นต้องมีอาวุธ แต่ที่น่าวิตกกว่านั้นคือกลุ่มผู้เสียชีวิตมีผู้สื่อข่าวและอาสาพยาบาลรวมอยู่ด้วย


โดยเฉพาะการลงพื้นที่สำรวจวัดปทุมฯเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2553 พบกระสุนไรเฟิลที่ประทับรอยอยู่ตรงสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสใกล้กับวัดปทุมฯที่แสดงว่ายิงมาในแนวราบ โดยสรุปว่ามีทหารกลุ่มหนึ่งเดินเท้าจากฝั่งตะวันตกมายังวัดปทุมฯ ส่วนกลุ่มที่สองประจำการอยู่บนรางรถไฟฟ้าบีทีเอสตรงข้ามวัดปทุมฯพอดี แต่ทหารโต้แย้งว่าเป็นการยิงปะทะกับคนเสื้อแดง พวกปล้นสะดม และมือวางเพลิง

ดีเอสไอทำงานล่าช้า

รายงานยังระบุว่า ผลการสอบสวนของดีเอสไอไม่มีความชัดเจนและล่าช้าจนสังคมมีข้อกังขา เพราะมีแต่เพียงการแถลงข่าว และการสอบสวนก็ไม่ให้ข้อมูลแก่สาธารณะ เช่น การจับคนชุดดำตามที่อ้างว่ามีจริง หรือการจับและคุมขังผู้ต้องหาก็ไม่ให้สังคมรับรู้ว่าอยู่ในสถานะอย่างไร

สถานการณ์ความรุนแรงทางการเมืองในไทย 1 ปีที่ผ่านมาฝ่ายรัฐบาลกับกองทัพและฝ่าย นปช. จึงไม่ยอมรับความจริงที่กล่าวหากันว่าใช้ความรุนแรงและละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ถ้าไม่มีการยอมรับก็ไม่อาจนำไปสู่การเอาผิดกับผู้ทำผิดได้ และทำให้การสืบสวนหาผู้กระทำความผิดไม่คืบหน้า

การสอบสวนการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ เช่น การใช้สไนเปอร์ที่วัดปทุมฯจึงล่าช้าและไม่โปร่งใส จนทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม และดูเหมือนหน่วยงานรัฐตั้งใจดำเนินคดีกับคนเสื้อแดงมากกว่า ขณะที่การเผาสถานที่สำคัญๆไม่ใช่เฉพาะห้างเซ็นทรัลเวิลด์ แต่เกิดขึ้นกว่า 30 จุดทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่แกนนำคนเสื้อแดงประกาศบนเวที และคนเสื้อแดงยอมรับการตรวจสอบในส่วนนี้ด้วย

“แม่เกด” พร้อมประณามทั่วโลก

ด้านนางพะเยาว์ชี้แจงทั้งน้ำตาว่า ตั้งแต่ลูกสาวเสียชีวิต ที่ผ่านมาถูกใส่ร้ายจากเจ้าหน้าที่รัฐว่าลูกตายเพราะฝีมือผู้ก่อการร้าย ทั้งที่เป็นอาสาสมัครพยาบาลดูแลผู้ชุมนุม ไม่เลือกสีเลือกฝ่าย แต่สิ่งที่ได้รับคือถูกยิงเสียชีวิตในวัดซึ่งเป็นเขตอภัยทาน ตามศาสนาพุทธแม้แต่สัตว์ที่อยู่บริเวณนั้นก็ห้ามทำลายชีวิต การฆ่าประชาชนจึงถือว่าโหดร้ายมาก และยังถูกยิงขณะอยู่ในเต็นท์บริการประชาชนอีกด้วย

“การที่รัฐบาลบอกสื่อต่างประเทศว่าไม่ได้ฆ่าประชาชน ดิฉันยืนยันว่าไม่ใช่ ที่รับไม่ได้คือการที่ลูก สาวดิฉันช่วยเหลือมวลชน ลูกสาวดิฉันบอกเสมอว่าไม่เป็นอะไร เพราะเป็นอาสาพยาบาล”

นางพะเยาว์เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ตั้งศูนย์ข้อมูลผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำของรัฐทั้งผู้บาดเจ็บและญาติผู้เสียชีวิตตั้งแต่ปี 2552-2553 เพื่อรวบรวมข้อมูลทำความจริงให้ปรากฏ และขอร้องกองทัพว่าอย่าหยิบปืนมายิงประชาชนอีก โดยการให้ข้อมูลของตนไม่ใช่เพียงทางวาจา แต่มีคลิปวิดีโอ อาทิ คลิปที่ลูกสาวถูกยิง และคลิปการสลายการชุมนุม ซึ่งเบื้องต้นฮิวแมน ไรท์ วอทช์ ยินดีให้การช่วยเหลือและสนับสนุนเต็มที่ หากประเทศใดสนใจข้อมูลข้อเท็จจริงพร้อมเดินทางไปชี้แจงทั่วโลก เพราะไม่มีช่องทางอื่นแล้ว ถูกกดขี่มาโดยตลอด

รัฐบาลอภิสิทธิ์ละเมิดสิทธิ

รายงานของฮิวแมน ไรท์ วอทช์ ยังสัมภาษณ์พยานผู้อยู่ในเหตุการณ์ นักข่าว นักสิทธิมนุษยชน นักการเมือง นักกฎหมาย ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ความมั่นคง และผู้มีส่วนร่วมกับเหตุการณ์ความรุนแรง รวม 94 คน โดยเนื้อหามีข้อมูลการละเมิดสิทธิมนุษยชนและเหตุรุนแรงทั้งจากรัฐบาลและกลุ่ม นปช. ซึ่งชี้ว่าส่วนใหญ่เกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ การใช้กระสุนจริงและสไนเปอร์ยิงผู้ชุมนุม

นอกจากนี้รัฐบาลไทยยังปิดกั้นสื่อและดำเนินมาตรการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นร้ายแรงหลายประการ ทั้งเมื่อสลายม็อบแล้วยังไม่ยุติการละเมิดสิทธิ อาทิ จับกุมสมาชิก นปช. โดยไม่ตั้งข้อกล่าวหา นำตัวไปคุมขังยังสถานที่ที่ไม่เหมาะสม และปล่อยให้เจ้าหน้าที่ความมั่นคงทำร้ายคนเหล่านี้

ขณะที่องค์กรสื่อไทยเรียกร้องให้รัฐบาลเลิกแทรกแซงและใช้สื่อของรัฐเป็นเครื่องมือทางการเมือง ยุติการออกกฎหมายที่มีลักษณะจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนและสื่อมวลชน โดยเฉพาะร่างแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

“สมบัติ” รวมพลเช็กกรรม

ด้านนายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บ.ก.ลายจุด แกนนำกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง กล่าวถึงกรณีที่ฮิวแมน ไรท์ วอทช์ เชิญนางพะเยาว์ร่วมแถลงข่าวและรายงาน เหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” และระบุชัดเจนว่าการเสียชีวิตของน้องเกดและคนเสื้อแดงในวัดปทุมฯถูกทหารยิงนั้นเท่ากับว่าขณะนี้องค์กรสิทธิมนุษยชนบ้าน เราไม่เหลืออะไรแล้ว ไม่สามารถเป็นที่พึ่งของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐได้อีกต่อไป จึงต้องหันหน้าไปพึ่งองค์กรสิทธิมนุษยชนต่างประเทศ

นอกจากนี้กลุ่มวันอาทิตย์สีแดงยังจะจัดกิจกรรมทางการเมืองเพื่อต่อต้านรัฐประหารในวันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม ซึ่งจะมีสมาชิกประมาณ 200 คน พร้อมบัตรเอทีเอ็มไปรวมตัวที่หน้าธนาคารกรุงเทพ สำนักงานใหญ่ย่านสีลม เพื่อเช็กยอดเงินในบัญชีของแต่ละคนว่ายังอยู่ปรกติหรือไม่ โดยไม่จำเป็นต้องถอนเงินออกมาเก็บไว้ โดยใช้ชื่อกิจกรรมว่า “ตบเท้าเช็กกรรม ต้านการ ทำรัฐประหาร” เพื่อแสดงสัญลักษณ์ต่อต้านและไม่เห็นด้วยกับการทำรัฐประหาร เพราะการออกมาตบเท้าของกองทัพทำให้ไม่มีความมั่นใจเลยว่าจะไม่เกิดรัฐประหาร

ผูกขาดความจงรักภักดี

สถานการณ์การเมืองขณะนี้จึงไม่มีใครมั่นใจว่าจะมีการเลือกตั้งหรือไม่ แม้จะมีการยุบสภา เพราะในช่วง 60 วันก่อนการเลือกตั้งถือเป็นสุญญากาศที่อะไรก็เกิดขึ้นได้ วันนี้เห็นได้ชัดเจนว่ามีการนำ “สถาบัน” มาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง โดยเฉพาะการออกมาตบเท้าของกองทัพที่ถูกถามว่าถูกต้องและเหมาะสมหรือไม่ เพราะบ้านเมืองมีกฎหมาย แต่ไม่ได้เปิดให้มีการใส่ร้ายป้ายสีใครหรือกลุ่มใดๆได้อย่างเสรี จึงไม่จำเป็นที่ทหารต้องออกมาแสดงกำลังเหมือนผูกขาดความจงรักภักดีแต่เพียงผู้เดียว เพราะคนไทยทุกคนมีความจงรักภักดีไม่น้อยไปกว่ากองทัพ

ดังนั้น หากผู้มีอำนาจรัฐจงใจใช้กฎหมายและข้อบังคับต่างๆไปในทางที่ผิดก็ไม่ต่างอะไรกับเผด็จการหรือระบอบอำนาจนิยมที่ใช้กฎหมายมากดขี่และควบคุมสิทธิเสรีภาพของประชาชน อย่างที่ฟรีดอมเฮ้าส์ระบุในผลการสำรวจเสรีภาพในการนำเสนอข่าวสารประเทศที่ถูกจัดว่า “ไม่มีเสรี” เช่นไทยว่ารัฐมีความพยายามควบ คุมช่องข่าวอิสระทางวิทยุและโทรทัศน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการควบคุมการสื่อสารรูปแบบใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ดาวเทียม อินเทอร์เน็ต หรือโทรศัพท์มือถือ ซึ่งรัฐบาลจะพยายามใช้มาตรการที่รุนแรงเพื่อให้สื่อเกิดความกลัว หรือละเว้นโทษต่อเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อ บีบให้สื่อต้องเซ็นเซอร์ตัวเองหรือลี้ภัยไปต่างประเทศ

ดัดจริตอำมหิต!

ช่วงตั้งแต่รัฐประหาร 2549 เป็นต้นมาเห็นได้ชัดเจนว่ามีการใช้มาตรา 112 เป็นเครื่องมือทำลายฝ่ายตรงข้าม นอกจากนี้กระบวนการยุติธรรมทุกระดับยัง “เลือกปฏิบัติ” หรือ “2 มาตรฐาน” โดยอ้างดุลยพินิจของผู้ถืออำนาจ ทั้งที่ตามหลักนิติรัฐและนิติธรรมผู้ทำหน้าที่ต้องมีความสุจริตและยุติธรรมอย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นแค่ตรายาง โดยเฉพาะมาตรา 112 จึงมีการเรียกร้องจากฝ่ายต่างๆให้มีการปฏิรูปเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้นำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง หรือเปิดช่องให้ใครก็ได้นำไปแอบอ้างหรืออิงแอบ จนกระทั่งรวมหัวกันตั้งศาลเตี้ยเข่นฆ่าคนไทยด้วยกันเองกลางเมืองอย่างไม่ละอาย

เป็นเพราะการใช้ “กฎหมาย” ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้มีอำนาจที่จะตีความ จึงถูกรายการ “เจาะข่าวตื้น” ทาง ihere.TV ยกตัวอย่างเสียดสีแดกดันว่าหากมีกฎหมายเขียนไว้แบบครอบจักรวาล เช่น ออกกฎหมายห้ามอุจจาระ ซึ่งไม่ได้ระบุรายละเอียดชัดเจนว่าห้ามอย่างไร ดังนั้น คนที่อุจจาระที่บ้านเหมือนกัน คนหนึ่งอาจมีความผิด แต่อีกคนไม่ผิดก็ได้ เพราะกฎหมายเปิดช่องให้เจ้าหน้าที่ใช้ดุลยพินิจว่าใครผิด ใครไม่ผิด ยังไม่นับรวมอาจใช้ดุลยพินิจได้ว่าขี้ของใครเหม็น ขี้ของใครกลิ่นหอมก็ย่อมได้

การใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐจึงต้องยึดหลักนิติรัฐด้วยความสุจริต ถูกต้อง และเป็นธรรม อย่างที่เป็นข่าวโด่งดังของละคร “ดอกส้มสีทอง” ที่นำแสดงโดยชมพู่-อารยา ในบทของ “เรยา” หญิงก้าวร้าวแม่ อยากได้ใคร่ดี ชอบแย่งผัวคนอื่น ซึ่งสะท้อนความจริงของสังคมไทย จึงสมควรที่จะถูกสังคมตำหนิ และถูกแบนไม่ให้มีบทนี้ในละคร เพราะรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่รัฐกลัวจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้กับเยาวชน ทั้งที่ในความ เป็นจริงผู้มีอำนาจหรือผู้ใหญ่ในบ้านเมืองมากมายล้วนมีเมียน้อย เมียเก็บ หรือแม้แต่เอาเมียเพื่อนมาเป็นเมีย ดู แล้วกลับน่าละอายและเป็นตัวอย่างที่เลวยิ่งกว่าละครเสียอีก

อย่างที่ “เรืองยศ จันทรคีรี” เขียนในคอลัมน์ “คิดเหนือข่าว” ของ น.ส.พ.โลกวันนี้รายวัน ว่า ดอกส้มสีทองเอามาเปรียบเทียบไม่ได้กับพฤติกรรมดอกทองทางอำนาจ แม้บทของ “เรยา” จะเป็นแบบอย่างที่เลวร้ายก็ยังไม่เลวทรามเหมือนกับอีลิต ซึ่งพยายามสมสู่ทางอำนาจอย่างไม่เลือกหน้า ไม่คำนึงถึงวิธีการปนตอแหล หน้าด้าน และดัดจริตอำมหิตอีก

ดังนั้น หากกองทัพต้องการปกป้องสถาบัน กองทัพก็ต้องไม่เป็นเครื่องมือในการแสวงหาประโยชน์ของบุคคลหรือฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เพื่อให้สถาบันอยู่เหนือการเมืองอย่างแท้จริง เพราะหน้าที่หลักของกองทัพคือการปกป้องอธิปไตยของชาติและคุ้มครองประชาชน

ที่สำคัญการจะให้ประชาธิปไตยเดินต่อไปได้อย่าง มั่นคงต้องปฏิรูปทั้งสังคมและการเมือง เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทั้งทางเศรษฐกิจ ชนชั้น และอำนาจ ทำให้เกิดกลไกระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทนที่แท้จริง
ความใจดำอำมหิตถือว่าโหดร้ายเลวทรามมากพอแล้ว นี่ยังจะ “ดัดจริต” และเอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น สร้างวาทกรรมศรีธนญชัยให้สังคมไทยสับสนขึ้นไปอีก

วันนี้สังคมไทยแตกแยกเลวร้ายอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนก็เพราะความใจดำอำมหิตดัดจริตปลิ้นปล้อนของบรรดา “คนดีแต่พูด” และ “คนดีแต่เปลือก” อวดตัวว่าเป็น “คนดี” โดยที่ไม่กล้าให้ใครตรวจสอบ

“ดอกส้มสีทอง” ก็แค่ละคร...จบตอน จบเรื่อง ก็แล้วกันไป

แต่ “สุวรรณมาลีอำมหิต” ที่สุดแสนจะดัดจริตในสังคมไทยนี่สิ...ไม่รู้เมื่อไรจะจบสิ้นไปเสียที!


ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 309 
วันที่ 7 - 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 หน้า 16-17 
คอลัมน์ เรื่องจากปก โดย ทีมข่าวรายวัน
2011-05-09
http://redusala.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น