วันศุกร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2554


กองทัพไทย ใครเป็นเจ้าของ ?
 
                คำถามที่ถามว่า “กองทัพไทย ใครเป็นเจ้าของ” ? มิใช่คำถามเพื่อการยั่วยุ และมิใช่เป็นคำถามเพื่อหวังจะให้เกิดความร้าวฉานในกองทัพ
จุดมุ่งหมายในการเขียนก็เพื่อจะบอกกล่าวแก่ “คนที่รับผิดชอบ” ต่อกองทัพว่าขอให้ตระหนักแก่ใจเถิดว่าเจ้าของ-ของกองทัพคือประชาชน    
         
         ก่อนจะเขียนเรื่องนี้ ผมได้ชมการแข่งฟุตบอลเชื่อมสัมพันธไมตรี “มิตรภาพไทย-กัมพูชา” เย็นวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๕๔ ณ สนามกีฬาโอลิมปิค ประเทศกัมพูชา ทางสถานีโทรทัศน์เอเชียอัพเดท โดยมีนักเตะคนสำคัญระดับผู้นำของประเทศร่วมสนามอย่างไม่เคยมีมาก่อน

       เช่นสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีประเทศกัมพูชา

       สมเด็จจักรพรรดิ เฮ็ง สัมริน ผู้นำอาวุโสแห่งชาติ

        นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย (ที่ถูกยุบพรรคพลังประชาชน แต่ไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง)

      ตามด้วย ส.ส. แกนนำคนเสื้อแดงคับคั่ง

      ภาพการแข่งขันฟุตบอลระหว่างไทยกับกัมพูชาในครั้งนี้ เห็นแล้วก็แปลกใจว่า “จนป่านนี้ประดาสถานีโทรทัศน์ช่องกระแสหลัก คือช่อง ๓  ๕  ๗  ๙  ๑๑ และ Thai PBS ไม่ยอมไปทำการถ่ายทอด” อันทำให้ผมเกิดความแปลกใจต่อสถานการณ์ความเชื่อของสื่อในประเทศไทย มันไม่แตกต่างจาก “การยืนอยู่คนละฝั่ง” กับรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่ชนะการเลือกตั้ง ๒๖๕ ต่อ ๑๕๙ ที่นั่ง

      
 นี่...ถ้าไม่มีเอเชียอัพเดท...รับรองได้ว่าจะไม่มีใครได้เห็นภาพการถ่ายทอด
      
    
        เป็นเพราะอย่างนี้แหละท่าน ขอม ดำดิน จึงจำเป็นต้องเขียนถามอะไรหลายอย่างที่ซ่อนซุกอยู่ในระบบต่างๆของสังคมไทย (ทั้งการเมือง-การทหาร-เศรษฐกิจ-และการปรองดอง) ?

          ผมขอกลับเข้าสู่เนื้อหาเดิมที่ต้องการถก ..ถกถึงกองทัพไทยตกเป็น “เครื่องมือฆ่าคน” ของพรรคประชาธิปัตย์กับพวกมือที่มองไม่เห็นอย่างไม่น่าเชื่อ อันแสดงให้เห็นว่ากองทัพไทยนั้นเป็นของปัจเจกชนอย่างไรก็อย่างนั้น โดยมิได้ขึ้นกับประชาชนเลย เพราะว่าถ้ากองทัพเป็นของประชาชน เขาจะไม่ฆ่าคนทิ้งซึ่งคนที่เขาฆ่าคือประชาชนผู้บริสุทธิ์

         สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ถึง ๑๙ พฤษภาคม ปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่ผ่านมา ได้ก่อให้เกิดเสียง วิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่ไปทั่วประเทศและถามว่าเหตุไรกองทัพไทยจึงเป็นเช่นนั้นไปได้ ? แล้วก็ถามต่อไปว่าทำไมกองทัพไทยจึงกลายเป็น “สมบัติส่วนตัว” ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะกับคำถามแบบเดียวกันว่าทำไมจึงเป็นสมบัติส่วนตัว “ของมือที่มองไม่เห็น” แบบเต็มจิตเต็มใจ จนก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติบ้านเมืองสุดจะประมาณได้

        ลักษณะของกองทัพไทยที่แสดงออกทางจุดยืนตลอด ๔-๕ ปีผ่าน ไม่แตกต่างจากจุดยืนของหลายประเทศ ที่เอากองทัพไปเป็นสมบัติส่วนตัว แล้วก็เห็นประชาชนเป็นฝ่ายตรงกันข้าม เช่นตูนิเซีย อียิปต์ ซีเรีย ลิเบีย เยเมน ซึ่งได้เกิดการเข่นฆ่าไม่แตกต่างจากกรณี ๑๐ เมษายน – ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓!

       ประเทศไหนที่เอากองทัพไปเป็นสมบัติส่วนตัว ย่อมจะเป็นเหตุให้กองทัพของประเทศนั้นตกเป็นเครื่องมือของพวกกระหายอำนาจ ดังเช่นกองทัพไทยตกเป็นเครื่องมือของพรรคประชาธิปัตย์ในยุครัฐบาลที่ผ่านมา ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ได้ใช้กองทัพไล่ฆ่าคนเสื้อแดงอย่างเมามัน

        ในเวลาเดียวกัน กองทัพไทยก็ได้มอบใจให้แก่มือที่มองไม่เห็น

        มือที่มองไม่เห็นเกลียดคนเสื้อแดง กองทัพไทยก็เกลียดตาม

        เรื่องแบบเดียวกันนี้เกิดที่ต่างประเทศ ถ้าพี่น้องคนไทยสนใจในข่าวต่างประเทศคงจะได้รับฟังข่าวพันเอกกัดดาฟีแห่งลิเบีย เอาทหารจากกองทัพแห่งชาติไล่ฆ่าประชาชนชาวลิเบียล้มตายปานใบไม้ร่วง ในที่สุดตัวของพันเอกกัดดาฟีก็ไม่อาจอยู่ในอำนาจได้ 
ต่อมาก็เป็นประเทศเยเมนที่เดือดปุดปุด ๓ เดือนติดต่อกัน

         ประเทศไทยของเรารอมร่อจะเป็นอย่างนั้นโชคดีตรงที่คนเสื้อแดงไม่ลุแก่โทสะ พากันเรียกร้องด้วยสันติอย่างแท้จริง คือการชุมนุมอย่างสงบ มือเปล่า ปราศจากอาวุธ แม้จะถูกทหารฆ่าทิ้งปานว่าเล่นก็ไม่มีการตั้งกองกำลังขึ้นมาตอบโต้ จึงได้ทำให้ “สถานการณ์” อันหมิ่นเหม่ต่อสงครามกลางเมืองมอดดับลง

         แม้ว่าฝ่ายกองทัพจะยั่วยุ กล่าวตู่ว่าคนเสื้อแดงมีอาวุธ เป็นพวกก่อการร้ายก็ไม่บังเกิดผล

                คนเสื้อแดงอดกลั้นและอดทน...โดยเฉพาะคือประชาชนต่างพากันอยู่ในความอดทนอย่างสูงส่ง

         ส่งผลให้บรรยากาศทางการเมืองเปลี่ยนผ่านไปสู่การเลือกตั้งจนได้ อันเป็นการ“บีบ” ให้พวกเผด็จการต้องยอมจำนนต่อกระบวนการประชาธิปไตยชนิดบีบแล้วก็คั้นให้เป็นเส้นขนมจีน ทางกองทัพจึงอยู่ในภาวะจำยอมแบบดิ้นไม่หลุดจำเป็นต้องหยุดความซ่าไประยะหนึ่ง

        และส่งผลอีกก้าวใหญ่ ทำให้ประเทศไทยได้พบกับ “ปรัชญาใหม่” ที่จะช่วยให้การนำพาประเทศก้าวผ่านวิกฤตทางการเมืองได้อย่างราบรื่น ปรัชญาใหม่ตัวนั้นได้แก่ “อุดมการณ์ประชาธิปไตย” บวกกับ “นโยบาย” ใหม่ๆหลายนโยบายที่จะสามารถนำเอามาใช้เป็นทฤษฎีชี้นำในการพัฒนาประเทศได้

       หลักทฤษฎีชี้นำ “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” จากตัวหนังสือเพียง ๖ คำ (ประโยคนี้) ดูเหมือนจะมีความเล็กน้อย-น้อยกว่าตะเกียงไขลานของชาวนาเชิงตีนเขา แต่เอาเข้าจริง...ถ้อยคำเพียง ๖ คำดังกล่าวนี้ได้สำแดงอานุภาพต่อวิถีการเมืองได้ยิ่งใหญ่กว่ามหากาพย์หลายพันเท่า ทั้งนี้เนื่องจาก “ทักษิณคิด” หมายถึงแนวคิดอันทรงพลังในทุกเรื่องที่จะสร้างประเทศไทยให้เจริญได้อย่างแท้จริงนั้นมาจากบุรุษผู้เผชิญชะตากรรมทางการเมือง “พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ ๒๓

        ผมนั่งวิเคราะห์หลายตลบ “กว่าจะเข้าใจ” ในความปราดเปรื่องของท่านทักษิณที่ออกไอเดียซื้อรถคันแรก ซื้อบ้านหลังแรก เหตุไร จึงขึ้นค่าจ้างวันละ ๓๐๐ บาท ยกระดับจบปริญญาให้ค่าตอบแทนใหม่เป็น ๑๕,๐๐๐ บาท และออกบัตร เอทีเอ็มให้แก่ชาวนา

        ผมเพิ่งจะตีบทแตก...ผมเข้าใจแล้วครับ

                กล่าวคือ (๑) นโยบายทักษิณคิดในครั้งนี้ ได้ยกระดับคนรากหญ้าและคนชั้นกลางทั้งในเมืองและนอกเมือง เรียกว่ายกระดับอย่างทั่วถึงทั่วประเทศ ไม่ยกเว้นเสื้อเหลืองหรือแดง ทักษิณคิดตรงนี้คนไทยทั้งแผ่นดินจะได้รับการ “ปรับปรุง” อย่างทั่วถึง (๒) นโยบายทักษิณคิดในครั้งนี้เป็นแนวทางทุนนิยม อันเป็นตรงกันข้ามกับ “แนวทางคอมมิวนิสต์”  ที่กำลังเป็นปัญหา-ถูกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวหาว่าเป็นลัทธิ

         ต่อมา...เมื่อส่งให้พรรคเพื่อไทยก็เลยกลายเป็นอีกประโยคว่า “เพื่อไทยทำ” ซึ่งหมายถึงการทำงานของพรรคเพื่อไทยทั้งหมดนั้น ทำตามแนวคิดของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

         พรรคเพื่อไทยจะทำอะไรบ้าง ? เป็นคำถามที่ตอบได้ไม่ยากเลย กล่าวคือ (๑) ถ้าพรรคเพื่อไทยได้บริหารประเทศชาติไปโดยตลอดรอดฝั่งไม่ถูก “กองทัพแห่งชาติ” หักขากลางคันเสียก่อน (๒)ก็จะได้พัฒนาประเทศ ก่อสร้างทางรถไฟความเร็วสูง จะมีทางรถไฟใต้ดินทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด (๓) จะได้ยกระดับชีวิตคนไทยให้หลุดพ้นไปจากความยากจน ลดช่องว่างทางสังคม และ (๔) กำจัดอำนาจมืดที่ยึดครองกองทัพเป็นสมบัติส่วนตัว ด้วยการจัดการให้เป็นกองทัพของชาติ ไม่ตกเป็นสมบัติส่วนตัวของใครอีก

        แน่นอนที่สุด แรงเสียดทานจะยังมีอยู่อย่างไม่มีทางเลี่ยง เช่นพรรคประชาธิปัตย์จะยังคงก่อความวุ่นวายในสภาผู้แทนราษฎร จะมีการ “วอล์คเอาท์” ประท้วง และจะมีการยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ฟ้องรองให้ยุบพรรคและอื่นๆตามวิสัยของพวกปัจเจกอำนาจที่เสพติดกับผลประโยชน์ผูกขาดมายาวนาน

         แน่นอนที่สุด จะมีการชุมนุมประท้วงจากกลุ่มเสื้อหลากสี มีการเคลื่อนไหวต่อต้าน และกล่าวหาว่าพรรคเพื่อไทยทำเพื่อคน-คนเดียว และยังจะมีการกล่าวหาว่าคนเสื้อแดงไม่จงรักภักดีต่อไปอย่างไม่เลิกรา ข้อกล่าวหาบ้าๆบอๆจะยังคงมีอยู่ไม่ต่ำกว่า ๔-๕ ปีติดต่อกัน

         ทั้งหลายทั้งปวงดังที่กล่าวมา...ในที่สุดก็จะถึงประตูสว่างจนได้โดยการใช้ทฤษฎี “ทักษิณคิด-เพื่อไทยทำ” ซึ่งจะก่อให้เกิดภาพวิจิตรตระการตา สวยสดงดงาม โดดเด่น ชูช่อบานไสวไปสู่โลกกว้าง จะส่งผลให้ชาวโลกได้เห็นประชาชนของประเทศไทยก้าวหน้าไปไกล หลังจากนั้นก็จะทำให้คนไทย “ยอมรับ” สิ่งที่เป็นได้จริง จากแนวคิดของทักษิณคิด-เพื่อไทยทำ

        ท่านทั้งหลายคงจะได้รับฟังคำพูดของท่านทักษิณที่พูดว่า ครั้งแรกที่ถูกทหารยึดอำนาจก็เสียใจ ครั้งต่อมา เมื่อเขายึดทรัพย์ก็เกิดอาการเครียด แต่พอขึ้นครั้งที่ ๓ ก็เริ่มปล่อยวาง และพอถึงครั้งที่ ๔ และ ๕ เกิดความรู้สึกขำ...ถึงกับอุทานออกมาว่า เรามีความดีมากมายเขาไม่ยกย่อง เขากลับไปยกย่องคนชั่ว ตัวเรานี้มันเลวสุด-สุดขนาดนั้นเชียวหรือ คิดแล้วก็ขำ ซึ่งเป็นคำบอกกล่าวที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง ถ้าเป็นอย่างนี้จริงแสดงว่าจิตของท่านทักษิณหลุดพ้นไปจากความกลัดกลุ้มนานาประการแล้ว   

        จะเหลืออยู่ก็แต่พวกสัมภเวสี เปรต อสุรกาย ที่แอบอยู่ในกองทัพ แอบอยู่กับอำนาจมืด ที่ยังไม่ยอมรับตัวเองว่าได้ถึงแก่ “ความพ่ายแพ้” อย่างย่อยยับ เมื่อไม่ยอมรับก็จะก่อกวนไม่หยุดหย่อน โดยหวังว่าจะคว้าเอาอำนาจกลับคืนมาเป็นของพวกเขาได้อีก

       พวกเขาไม่ได้พูดจาเลื่อนลอย...และไม่ใช่เป็นการเล่นหัว

       หากแต่ทุกประโยค..มันกลั่นมาจากหัวใจของพวกปัจเจกมหากาฬ ดังเช่นการประกาศบอกให้พรรคเพื่อไทยได้รู้ตัวว่า “จะให้อยู่ได้ไม่เกิน ๖ เดือน” อันหมายถึงวันนี้ (๒๔ กันยายน ๒๕๕๔) ก็จะเหลืออีก ๕ เดือนเท่านั้นสำหรับเวทีการเมืองของพรรคเพื่อไทย

        โถ...มันช่างง่ายเหลือเกินนะท่านะ...ช่างคิดง่ายเหลือเกิน ?

        ผมอยากบอกกับพวกท่านว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีชาติไทยอันเป็นที่รักคือเป้าหมาย...นั้นคือประเทศจะต้องก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่ถอยหลังเข้าคลองอีกแล้ว การที่จะก้าวไปข้างหน้าได้นั้น จะต้องทำลายพวก “สัมภเวสี” ในกองทัพให้หมดไป รวมทั้งต้องทำลายพวกนักการเมือง “เต่าล้านปี” ให้เกลี้ยงไปจากสังคมการเมืองไทยให้ได้ 

          ใช่..พวกเผด็จการคิดอยู่ตลอดเวลาจะทำลายพรรคเพื่อไทย หวังจะได้อำนาจคืนอีกครั้งหนึ่ง

         แต่คนเสื้อแดงเขาไม่ได้ตกใจดอกครับ เพราะว่าหัวใจของคนเสื้อแดงนั้นอยู่ที่การเลือกตั้ง...ต่อต้านการทำรัฐประหารทุกรูปแบบ โดยมีชาติไทยเป็นหลักให้ยึดเหนี่ยว มีเป้าหมายจะเอากองทัพไทยทั้งกองทัพมาเป็นของประชาชน จะไม่ยินยอมให้มนุษย์หน้าไหนเอากองทัพอันเกรียงไกรไปเป็นสมบัติส่วนตัว

         มันอาจจะยากเป็นของธรรมดา เพราะ “หัวโจก” ไม่เอาด้วย

        ด้วยเหตุนี้จึงมีคำถามที่ถามว่า “กองทัพไทย ใครเป็นเจ้าของ” ? ประโยคนี้เกิดขึ้น ถามเพื่อจะบอกใบ้ให้ขุนพลใหญ่ในกองทัพได้รับรู้เอาไว้ว่า ถ้าพวกคุณไม่ยอมขึ้นกับประชาชน ระวังประชาชนจะเป็นผู้จัดการให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

      อยากให้จดจำบทเรียนจากลิเบีย เยเมน และอีกหลายประเทศ ที่ผู้นำทั้งหลายหงายท้องให้แก่อำนาจของประชาชน...ถ้าไม่เชื่อให้เปิดคลิปต่างๆจาก “ยูทูป” ดูเอาเอง

      อภิสิทธิ์ – ประยุทธ์ - สุเทพ – ปณิธาน และไก่อู ทราบแล้วเปลี่ยน ?
               
                                                                                               ขอม ดำดิน
                                                                                      ๒๔ กันยายน ๒๕๕๔
http://redusala.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น