วันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555

"ส.ส.ร.40" ยัน "ศาล รธน." ล้มล้างและบัญญัติ รธน.ใหม่เสียเอง


"ส.ส.ร.40" ยัน "ศาล รธน." ล้มล้างและบัญญัติ รธน.ใหม่เสียเอง




ที่รัฐสภา เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. กลุ่มสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ 40 (ส.ส.ร.40) ประมาณ 20 คน นำโดย นายคณิน บุญสุวรรณ พล.ต.อ.สวัสดิ์ อมรวิวัฒน์ นายบุญเลิศ คชายุทธเดช นายวุฒิพงศ์ ฉายแสง ได้หารือร่วมกันถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 วรรคแรก พร้อมกับมีคำสั่งให้รัฐสภาชะลอการลงมติในวาระสามของร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม จนกว่าจะมีคำวินิจฉัย


ภายหลังการหารือกลุ่มส.ส.ร.40 ได้ออกจดหมายเปิดผนึกในนามของกลุ่มส.ส.ร.40 โดยนายคณินกล่าวว่า เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญปี 50 ส่วนใหญ่ลอกมาจากรัฐธรรมนูญปี 40 โดยเฉพาะมาตรา 68 ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาขณะนี้ ก็ลอกมาจากมาตรา 63 ของปี 40 เพียงแต่มีการเพิ่มเติมบทลงโทษไว้ในวรรคสี่ คือยุบพรรคและตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี ถือเป็นการจงใจเบี่ยงเบนเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญปี 40 ในการสัมมนาภายหลังการจัดตั้งศาลรัฐธรรมนูญเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2543 ได้กำหนดกรอบปฏิบัติของศาลรัฐธรรมนูญเป็นบรรทัดฐานมาเกือบ 9 ปี ว่าทุกเรื่องผู้ร้องจะต้องเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนที่อัยการสูงสุดจะยื่นหรือไม่ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย


นายคณินกล่าวว่า ที่ผ่านมาส.ส.พรรคไทยรักไทย เคยยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ กรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ขณะนั้นเรียกร้องขอนายกฯพระราชทานตามมาตรา 7 ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 25 พ.ค.2549 ยังปฏิเสธไม่รับคำร้อง โดยให้ไปยื่นผ่านอัยการสูงสุดก่อน การอ้างว่ารัฐธรรมนูญปี 40 ถูกยกเลิกไป ศาลรัฐธรรมนูญชุดใหม่ไม่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของชุดเดิม ถือว่าไม่ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นเราจะไม่มีบรรทัดฐานอะไรเลย ขณะที่เจตนารมณ์ดั้งเดิมของรัฐธรรมนูญ 40 คือการบัญญัติการกระทำผิดตามมาตรา 63 ว่าการกระทำอันเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข คือการใช้กำลังทหารเข้ายึดอำนาจเท่านั้น


“ดังนั้นการกระทำของศาลรัฐธรรมนูญ ถือเป็นการล้มล้างบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเสียเอง ถึงขั้นบัญญัติรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่โดยพลการ ไม่ว่าผลการตัดสินจะเป็นอย่างไรย่อมก่อให้เกิดความเสียหายทั้งขึ้นทั้งล่อง เท่ากับว่าศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจสูงสุดแต่เพียงผู้เดียว จากนี้ไปไม่ว่าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ส.ส. ส.ว. หรือแม้แต่ประชาชนที่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่า 50,000 คน ก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวแตะต้อง หรือแม้แต่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกต่อไป หมายความว่านอกจากศาลรัฐธรรมนูญจะมีอำนาจตีความแล้ว ยังมีอำนาจในการควบคุมรัฐสภา ควบคุมครม. และควบคุมประชาชนอีกด้วย ซึ่งจะเป็นชนวนนำไปสู่ความขัดแย้ง และเกิดวิกฤติครั้งร้ายแรงที่สุดจนมิอาจพยากรณ์ได้ว่าสุดท้ายจะเกิดหายนะต่อบ้านเมืองอย่างไร” นายคณิน กล่าว
http://redusala.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น