"เทือก" โชว์แมน! กางปีกปกป้อง "มาร์ค" อ้าง "ตนลงนามในทุกคำสั่ง มาร์คไม่เกี่ยว"
วันที่ 7 ธันวาคม 2555 (go6TV) นาย
อภิสิทธิ์
เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรับมนตรี
ร่วมกันแถลงข่าวที่บริเวณลานพระแม่ธรณีบีบมวยผม หลังจากที่นายธาริต
เพ็งดิษฐ์อธิบดี ดีเอสไอ แถลงต่อสื่อมวลชนเพื่อให้รับทราบข้อกล่าวหา
โดยเจ้าหน้าที่ได้นำเอกสารดังกล่าวมามอบให้กับบุคคลทั้งสองที่พรรคจากการ
ประสานงานของนายสุเทพ
ที่โทรศัพท์ไปหานายธาริต ในเรื่องตั้งข้อหานายอภิสิทธิ์ และตน
เป็นผู้สั่งการให้ฆ่าคนตาย
ซึ่งตนและนายอภิสิทธิ์ได้รับทราบจากสื่อมวลชนและประชาชนที่ห่วงใยว่า
ประกาศออกหมายเรียก พร้อมกับถามว่านายอภิสิทธิ์และตนอยู่ที่ไหน
ตนจึงเห็นว่ามีความตั้งใจปฏิบัติตามกฎหมายและคาดการณ์ว่าจะมีการตั้งข้อหาตน
กับนายอภิสิทธิ์
หลังปิดสมัยประชุมเอาช่องว่างช้วงนี้มาดำเนนคดีกับตนทั้งสองคน
ซึ่งเชื่อว่าคนไทยก็เห็นชัดเพราะมีการแถลงเป็นระยะ นำโดย ร.ต.อ.เฉลิม
และนายธาริต
ก็ให้สัมภาษณ์เป็นระยะ
ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนกับประชาชน
เพราะดีเอสไอกับรัฐบาลอาจไปแอบอ้างว่าตนและนายอภิสิทธิ์หลบหนีหมาย
ไม่ยอมรับหมายจึงโทรศัพท์ไปหานายธาริต ซึ่งเคยทำงานร่วมกับตนในช่วงที่เป็นกรรมการ
ศอฉ. ซึ่งไม่เคยติดต่อมาก่อนหลังออกจากตำแหน่ง
โดยสอบถามถึงการยื่นหมายให้ตนและนายอภิสิทธิ์รับด้วยตัวเอง
จึงขอให้มายื่นหมายที่พรรคประชาธิปัตย์ แต่นายธาริตไม่มา ให้พนักงานชั้นผู้น้อย
ร.ต.อ.ปิยะ รักสกุล พนักงานสอบสวนคดีพิเศษชำนาญการของดีเอสไอ มาคนเดียวน่าสงสาร
แต่ตอนแถลงข่าวประกาศใหญ่โต ตนขอบคุณนายธาริตที่ไม่ออกข่าวว่าตนหลบหนีไม่รับหมาย
และขอบคุณที่ทำถูกต้องในการแถลงว่าจะไม่ดำเนินคดีกับทหาร
ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย มุ่งดำเนินคดีกับตนและนายอภิสิทธิ์
เพราะดีเอสไอได้สร้างความทุกข์ใจให้ครอบครัวของตำรวจและทหารที่เข้ามาช่วยคลี่คลายสถานการณ์ในช่วงปี
2552-2553
และมีการแสดงอาการข่มขู่เรียกไปสอบให้กล่าวหาตนและนายอภิสิทธิ์
ดังนั้นการที่นายธาริต
พูดชัดเจนว่าไม่ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่จึงรู้สึกขอบคุณและขอร้องว่าอย่า
สร้างความทุกข์ยากให้กับเจ้าหน้าที่เพราะเรื่องนี้มุ่งเป็นการเมือง
ตนกับนายอภิสิทธิ์จะมอบตัวรัทราบข้อกล่าวหา
พิสูจน์ข้อเท็จจริงตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า
เมื่อวานปฏิบัติภารกิจอยู่ที่แม่สอด
รับทราบข่าวจากสื่อมวลชนจึงประสานมายังนายสุเทพ
และไม่อยากให้ประชาชนสับสนเพราะนายธาริตลงลึกในเนื้อหาสาระข้อกฎหมาย
รวมถึงเหตุการณ์ปี 53
ซึ่งเป็นการแถลงที่ไม่ครบถ้วนอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด ตนและนายสุเทพ
ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกฯและรองนายกฯ
ในขณะนั้นเกิดการชุมนุมรัฐบาลดำเนินการทางกฎหมายโดยขออำนาจศาล
เช่นเดียวกับผู้ชุมนุมขอให้ศาลให้ความคุ้มครอง
ซึ่งศาลวินิจฉัยว่าการชุมนุมเกินเลยขอบเขตรัฐธรรมนูญ ตนและนายสุเทพ
มีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยในบ้านเมืองกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
เมื่อสถานารณ์ลุกลามก็ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ดำเนินการตามโครงสร้างของกฎหมาย
มอบนโยบายให้เจ้าหน้าที่ชัดเจนว่าไม่มีการสลายการชุมนุม
หลีกเลี่ยงความเสี่ยงต่อการเกิดความสูญเสียของชีวิตประชาชนไม่ว่าจะเป็นกลุ่มใดก็ตาม
ซึ่งนายธาริตน่าจะทราบดีเพราะเป็นกรรมการ ศอฉ.ด้วย
สำหรับ
การปิดล้อมเพื่อไม่ให้คนเข้าไปชุมนุมด้วยการตั้งด่านประกาศเป็นเขตหวงห้าม
แต่มีรถตู้พยายามฝ่าด่านเข้ามา นายพัน คำกอง
ซึ่งเป็นผู้เสียชีวิตวิ่งออกมาดูเหตุการณ์และเสียชีวิตที่ศาลมีคำสั่งเบื้อง
ต้นว่าเป็นกระสุนทางราชการ
เมื่อประชาชชนทราบข้อเท็จจริงก็จะทราบว่ากรณีเช่นนี้เป็นการเจตนาฆ่าตามที่
มีการกล่าวหาหรือไม่
ตนยืนยันไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย
ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม
และในขณะเป็นนายกฯก็ยังได้ตั้ง
คอป.ตรวจสอบความจริงพบว่ามีชายชุดดำติดอาวุธแฝงตัวในผู้ชุมนุม
อย่างไรก็ตามเมื่อดีเอสไอออกหมายเชิญให้รับทราบข้อกล่าวหาตนกับนาบสุเทพไม่
หนียอมรับกระบวนการยุติธรรมและใช้สิทธิตามกระบวนการยุติธรรมด้วย
แต่ในวันที่ 12
จะกลับมาถึงกรุงเทพ เพราะมีกำหนดการไปต่างประเทศล่วงหน้า และวันที่ 13
ดีเอสไอให้ไปให้ถ้อยคำเรื่อการบริจาคเงินน้ำท่วม
จึงแจ้งว่ามีกี่คดีให้เชิญไปในวันที่ 13 เพราะทราบว่าจะมีหลายคดี วันที่ 13 เวลา 13.30
น.จะไปดีเอสไอเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่ให้ความร่วมมือ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า
เรื่องที่เกิดไม่น่าแปลกใจเพราะตั้งแต่ต้นปีมีการส่งสัญญาณมาถึงตนโดยตรงและโดยอ้อมว่าจะต้องดำเนินการตนและนายสุเทพ
โดยสอบถามว่าคิดอย่างไรกับการออกกฎหมายนิรโทษกรรม ผ่านหลายช่องทางหลายบุคคล
จึงทราบว่าถ้าตนและนายสุเทพ ยืนยันว่าต้องการให้ระบบกฎหมายมาก่อน
ก็จะมีความพยายามต่อรองทางการเมืองด้วยการดำเนินคดีกับตนและนายสุเทพ ตั้งข้อสังเกตถ้อยแถลงของนายธาริตแทบจะล้อข้อความของ
ร.ต.อ.เฉลิมแบบคำต่อคำ คือมีธงล่วงหน้า ทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย
เป็นขบวนการจึงอยากฝากบอกไปยังคนคิดวางแผนเรื่องนี้และคิดว่าจะได้ประโยชน์
ขอบอกว่าไม่มีผลเพราะอย่างไรตนและนายสุเทพ ไม่ต่อรองผลประโยชน์เรื่องคดีความ บืนยันคนผิดต้องรับผิด
กระบวนการปรองดองแท้จริงต้องแสวงหาข้อเท็จจริง ความรับผิดชอบ
ไม่แลกเปลี่ยนกับคนโกงชาติโกงแผ่นดิน
ถ้าศาลตัดสินให้รับโทษประหารชีวิตหรือติดคุกกฌพร้อมน้อมรับ
แต่ไม่ยอมให้มีการล้างผิดให้คนโกง เพื่อรักษาระบบกฎหมายของบ้านเมือง
นายสุเทพ ทุกคำสั่งลงนามผู้เดียวอภิสิทธิ์ไม่เกี่ยวข้องกับการลงนามในคำสั่ง
เพราะเป็น ผอ.ศอฉ.ไม่ควรดึงนายอภิสิทธิ์มาเป็นผู้ต้องหาร่วมกับตน
แต่เพราะถ้าตนเป็นผู้ต้องหาคนเดียวไม่มีพลังพอที่จะข่มขู่ต่อรองประชาชนให้ออกกฎหมายล้างผิดคนโกง
เผาเมือง จึงต้องลากนายอภิสิทธิ์ มาเป็นผู้ต้องหาร่วมด้วย ซึ่งนายอภิสิทธิ์
พูดกับตนแต่ต้นว่าถ้าจะมาต่อรองบีบบังคับเราให้เห็นชอบกับกฎหมายล้างความผิดเราไม่ยอม
ยอมติดคุกดีกว่าให้เสียงข้างมากกดขี่คนไทยทำลายนิติรัฐ นิติธรรม
แม้โทษสูงสุดประหารชีวิต ยินดีรับโทษทัณฑ์ อย่ามาต่อรองไม่มีประโยชน์
เพราะพวกตนจะไม่ยอมให้ระบบบ้านเมืองเสียหายโดยเด็ดขาด
และจะสู้เคียงข้างประชาชนอย่างถึงที่สุด ฝากบอกประชาชนว่าอย่ายอม
ถ้าจะต้องติดคุกช่วยพวกตนก็ขอให้ส่งข้าว ส่งน้ำให้แทน
ขณะที่นายอภิสิทธิ์
ย้ำจุดยืนพรรคประชาธิปัตย์ว่าจะต่อต้านการรื้อรัฐธรรมนูญล้างผิดคนโกงอย่างถึงที่สุดทั้งในและนอกสภา
และอยากให้ประชาชนมีความมั่นใจต่อระบบรัฐสภาเพราะเป็นคนละส่วนกับตัวบุคคล
ทั้งนี้ตนและนายสุเทพ
พร้อมออกมาเคลื่อนไหวในฐานะประชาชนเพื่อรักษาหลักการของบ้านเมือง
ซึ่งไม่ถือว่าเป็นการเล่นนอกสภา เพราะจะไม่มีการปลุกปั่นทำร้ายบ้านเมือง
แต่จะเคลื่อนไหวในกรอบของกฎหมายเพื่อรักษาบ้านเมือง
ทั้งนี้ยังเตรียมที่จะรักษาสิทธิตามกฎหมายของตัวเองจากการดำเนินคดีของดีเอสไอด้วยเช่นเดียวกันว่าเป็นการกลั่นแกล้ง
หรือดำเนินการโดยมิชอบหรือไม่
ทั้งนี้มั่นใจว่าประชาชนมีความเข้าใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและไม่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของตนให้ต้องมีมลทินหรือมัวหมอง
เนื่องจากตลอด 20
ปีบนเส้นทางการเมืองได้พิสูจน์ตัวเองมาโดยตลอดว่ายึดประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง
สิ่งที่เกิดขึ้นประชาชนก็เห็นชัดเจนว่ารัฐบาลชุดนี้มีเจตนากลั่นแกล้งตนตั้งแต่กรณีการปลดออกจากราชการ
มาจนถึงการดำเนินคดี ซึ่งเชื่อว่ายังมีอีกหลายคดีที่จะตามมาเพื่อให้มีมลทินติดตัว
แต่ยืนยันว่าไม่หวั่นไหว และไม่กลัว พวกตนในฐานะเป็นฝ่ายนโยบายพร้อมรับผิดชอบ
ไม่มีทางหลบหนีแน่นอน
“การ
ดำเนินการของรัฐจะทำให้การเมืองเข้มข้นขึ้น
เพราะรัฐบาลได้สร้างความอึดอัดสะสมกับประชาชนจนอาจเกิดวิกฤตรอบใหม่
และผมได้ขอรายละเอียดเกี่ยวกับขั้นตอนการสอบสวนและบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อ
มาพิจารณาในการดำเนินคดีด้วยหากพบว่ามีการกลั่นแกล้งหรือทำผิดกฎหมาย
เพราะการเมืองไทยยุคนี้คนมีอำนาจมีนิสัยอย่างนี้
พวกเรารู้ดีว่าการบริหารงานมีความเสี่ยงในการรับผิดชอบต่อบ้านเมืองเหตุการณ
ที่เกิดขึ้นก็เป็นการคืนความสงบให้กับประเทศโดยไม่มีการสลายการชุมนุม
พวกผมต่อสู้ตามระบบ
กฎหมายยอมรับกระบวนการยุติธรรมไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร” นายอภิสิทธิ์
กล่าว
อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า
จะทำหน้าที่ตรงไปตรงมายึดผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก ถ้าวันนี้กระบวนการยุติธรรมไทยบอกว่าพวกตนผิด
ถึงขั้นจะต้องถูกประหารชีวิตตนก็ยอมเพราะถือว่าทำหน้าที่ตรงไปตรงมาต้องรับผิดชอบกับการกระทำของตนเอง
ซึ่งตนมั่นใจว่าเป็นไปเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม
ใครจะมาเอาชีวิตตนไปต่อรองอะไรตนไม่สนใจ ยืนยันต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม
และประชาชนเห็นชัดเจนว่ารัฐบาลทำเพื่อประโยชน์ทางการเมือง
ทำให้การต่อสู้เข้มข้นขึ้นเพราะประชาชนรับไม่ได้กับความไม่ยุติธรรม
ความพยายามที่จะฉ้อฉลอำนาจและจะมีการออกมาเรียกร้องมากขึ้น
ตนเตือนรัฐบาลมาแต่ต้นว่าควรแก้ปัญหาให้ประเทศอย่าสร้างผมเงื่อนความขัดแย้งใหม่แต่รัฐบาลไม่สนใจ
แต่พวกตนจะทำหน้าที่ต่อไปในการตรวจสอบรัฐบาลซึ่งควรไปดูแลประชาชน ปัญหาภาคใต้
อย่ามาเสียเวลากับพวกตน ให้เป็นหน้าที่ของศาลและกระบวนการยุติธรรมเป็นผู้ตัดสิน
และทั้งหมดก็เป็นเครื่องยืนยันแล้วว่าที่นายกรัฐมนตรี
ระบุในสภาว่าจะแก้ไขไม่แก้แค้นสร้างความปรองดองนั้น เป็นเพียงแค่คำพูดเท่านั้น
สร้างความอึดอัดให้ประชาชนมากขึ้นเพราะรัฐบาลไม่นำพาต่อปัญหาประเทศสนใจแต่ปัญหาของนายใหญ่ใช้อำนาจกลไกรัฐ
หน่วยงานด้านความมั่นคง กระบวนการยุติธรรมเป้นเครื่องมือการเมือง
ถือเป็นสัญญาณอันตราย ซึ่งตนเตือนหลายครั้งแล้วด้วยความหวังดีเพราะไม่ต้องการเห็นความขัดแย้งในบ้านเมืองแล้ว
แต่คนไทยคงยอมให้ความอยุติธรรม ความไม่ถูกต้องมาครอบคลุมบ้านเมืองไม่ได้ |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น