DSI สรุปข้อกล่าวหา "มาร์ค-เทือก" ฐานร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนา และ ฆ่าผู้อื่น
วันที่ 6 ธันวาคม 2555 (go6TV) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า
ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ
ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีการเสียชีวิตของประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐ จำนวน 99 ศพ
ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อเดือน เม.ย.-พ.ค.2553
เป็นประธานการประชุมคณะพนักงานสอบสวนคดีดังกล่าว ร่วมกัน 3
ฝ่าย ประกอบด้วย อัยการ ตำรวจ และดีเอสไอ
เพื่อประชุมหารือและลงมติร่วมกันในกรณีการแจ้งข้อหากับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ และอดีต ผอ.ศอฉ. ฐานร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 ,83 ,84 และ มาตรา 288
คือ ผู้ใดฆ่าผู้อื่น ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุก ตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 15
ปีถึง 20 ปี โดยใช้เวลาประชุมประมาณ 1
ชั่วโมง
จากนั้นเวลา 14.00 น.
นายธาริต แถลงผลการประชุม ว่า
สืบเนื่องจากศาลยุติธรรมได้มีคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150
ในคดีการไต่สวนเหตุการณ์ตายของนายพัน คำกอง ว่าการตายของนายพัน
เกิดจากกระสุนปืนของทหารที่เข้าปฎิบัติการตามคำสั่งของศูนย์อำนายการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน
(ศอฉ.) และศาลได้ส่งสำนวนการพิจารณาไต่สวนทั้งหมดพร้อมคำสั่งมายังตำรวจนครบาล
และถึงดีเอสไอ
ซึ่งคณะพนักงานสอบสวนจำเป็นต้องยึดถือเอาข้อเท็จจริงอันเป็นยุติโดยการไต่สวนของศาลดังกล่าว
นายธาริต กล่าวต่อว่า
พยานหลักฐานอันสำคัญที่ทำให้คณะพนักงานสอบสวนทั้ง 3
ฝ่าย ต้องมีมติให้แจ้งข้อหาแก่บุคคลทั้ง 2
มาจากพยานที่ได้จากการไต่สวนและคำสั่งของศาลดังกล่าวรวมทั้งพยานหลักฐานที่การสอบสวนได้เพิ่มเติม
เช่นการสั่งใช้กำลังทหารที่มีอาวุธปืนเข้าปะทะกับกลุ่มผู้ชุมนุม
โดยที่ศอฉ.เรียกว่าการกระชับพื้นที่และการขอคืนพื้นที่ การสั่งใช้อาวุธปืน
การสั่งใช้พลซุ่มยิงและอื่นๆ โดยมีการออกคำสั่งเป็นลายลักษณือักษรจาก
ผอ.ศอฉ.คือนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และได้อ้างไว้ในคำสั่งด้วยว่า
เกิดจากการสั่งการของนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อย่างชัดเจน
ซึ่งสอดคล้องกับพยานบุคคลที่ร่วมอยู่ใน ศอฉ.ว่านายอภิสิทธิ์ฯ ในฐานะนายกรัฐมนตรีได้รับรู้ร่วมสั่งการ
และพักอาศัยอยู่ในศูนย์ปฎิบัติการของ ศอฉ.ตลอดเวลา
“ประการ
สำคัญคือ
การสั่งการของบุคคลทั้งสองกระทำอย่างต่อเนื่องหลายครั้งหลายคราแม้เกิดการ
สูญเสียชีวิตของประชาชนแล้วก็หาได้ระงับยับยั้งหรือใช้แนวทางอื่นใดแทน
รวมถึงพยานแวดล้อมกรณีอื่นๆ อีก
จึงเป็นการบ่งชี้ได้ว่าเป็นเจตนาเล็งเห็นผลได้ว่าการร่วมกันสั่งการเช่นนั้น
ย่อมทำให้เกิดการตายของประชาชนจำนวนมากและต่อเนื่องหลายวัน”
อธิบดีดีเอสไอ กล่าว
อธิบดีดีเอสไอ กล่าวอีกว่า
คดีเช่นนี้ถือเป็นคดีที่สำคัญของสังคมเพราะการตายเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ
กฎหมายจึงบัญญัติไว้เป็นกรณีพิเศษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150
ที่ต้องมีการไต่สวนเหตุการณ์ตายโดยศาลยุติธรรม
เพื่อให้ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติโดยเป็นธรรมจากการสืบพยานไต่สวนโดยศาลซึ่ง
พิจารณาโดยเปิดเผยทุกฝ่ายสามารถทำพยานหลักฐานเข้ามาสืบได้
แล้วในที่สุดศาลก็จะได้มีคำสั่งว่าผู้ตายเป็นใคร
ใครทำให้ตายและมีพฤติการณ์หรือสาเหตุอย่างไร
ซึ่งในคดีนี้ศาลก็ได้มีคำสั่งครบถ้วนเช่นนั้นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนจึง
ต้องดำเนินการต่อตามผลของการไต่สวนและคำสั่งของศาลอาจกล่าวโดยง่ายๆ
ว่าต้องดำเนินการตามข้อเท็จจริงที่ได้ยุติชั้นศาลแล้วนั้นเอง
คดีนี้ศาลได้สั่งว่าเหตุการตายเกิดจากกระสุนปืนของฝ่ายทหารที่เข้าปฎิบัต
ิการตามคำสั่งของ
ศอฉ.พนักงานสอบสวนก็ต้องมาต่อยอดว่าผู้มีอำนาจสั่งการของ
ศอฉ.ที่เป็นต้นเหตุของการสั่งการจนมีการตามเป็นใคร
และมีรายละเอียดพร้อมพยานหลักฐานว่าได้กระทำผิดเช่นใด
“ส่วนทหารที่ได้เข้าปฎิบัติการนั้น
ศาลก็ไม่ได้ระบุว่าเป็นผู้ใด และโดยผลการสอบสวนก็ไม่อาจระบุตัวตนได้ด้วย
แต่ก็ได้รับผลตามประมาลกฎหมายอาญา มาตรา 70
ว่าเมื่อเป็นการปฎิบัติตามการสั่งการซึ่งเชื่อว่าต้องปฎิบัติก็ย่อมได้รับการคุ้มครองโดยไม่ต้องรับโทษ
ดังนั้นในชั้นนี้จึงไม่แจ้งข้อหาแก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร” นายธาริต
กล่าว
นายธาริต กล่าวต่อว่า
ในวันนี้เมื่อสิ้นสุดการประชุมคณะพนักงานสอบสวนฯ
ตนในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนก็ได้ลงนามในหนังสือแจ้งให้บุคคลทั้ง 2
คือ นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ มารับทราบข้อหาดังกล่าว ในวันที่ 12
ธ.ค.เวลา 14.00 น.
ทั้งนี้เมื่อบุคคลทั้งสองเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อรับทราบข้อหาและสอบสวนเสร็จก็จะใช้ดุลพินิจปล่อยตัวไปโดยไม่ขอศาลให้ฝากขัง
เนื่องจากบุคคลทั้งสองเป็นอดีตข้าราชการฝ่ายการเมืองชั้นผู้ใหญ่
จึงใช้การออกหนังสือเชิญแทนการออกหมายเรียก
นายธาริต กล่าวยอมรับว่า การเชิญ นายอภิสิทธิ์
และนายสุเทพ
มาแจ้งข้อหาในช่วงเวลานี้ก็เพื่อจะได้นำตัวเข้ามาในคดีอันเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินคดี
เพราะหากพ้นวันที่ 20ธ.ค.นี้ไปแล้วบุคคลทั้งสองจะได้รับเอกสิทธิ์คุ้มครองตามกฎหมายทันที
เนื่องจากเปิดประชุมสภา
และเชื่อว่าบุคคลทั้งสองจะมาตามนัดหมายโดยไม่ถ่วงเวลาจนเปิดประชุมสภา ในวันที่ 21
ธ.ค.55
“การดำเนินการสืบสวนสอบสวนคดีที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ความไม่สงบและความรุนแรง
ในช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค.55
นั้นดีเอสไอไม่ได้ทำคดีตามกระแสหรือใบสั่งของฝ่ายการเมือง เพราะเป็นเรื่องใหญ่มาก
คดีทุกคดีต้องไปจบที่ศาล พนักงานสอบสวนไม่อาจกลั่นแกล้งใคร หรือช่วยเหลือใครได้
การสอบสวนก็ร่วมกันถึง 3 ฝ่าย ประกอบด้วย ตำรวจ อัยการ และดีเอสไอ”
นายธาริต กล่าว และ ว่า
คดีทุกคดีจึงเป็นไปตามข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง และที่สำคัญเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นมีผู้เข้าข่ายกระทำผิดทั้ง
2 ฝ่าย
จนถึงขณะนี้กลุ่มฮาร์ดคอร์ของผู้ชุมนุมได้ถูกดำเนินคดีมีการฟ้องคดีต่อศาลไปแล้วถึง
62 คดี โดยมีผู้ถูกฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลถึง 295คน
ส่วนกลุ่มผู้สั่งการของ ศอฉ.เพิ่งจะถูกดำเนินคดีนี้เป็นคดีแรก
ซึ่งความจริงก็ดำเนินการมาแต่แรกคู่ขนานกันแต่คดีของกลุ่มผู้สั่งการของ
ศอฉ.ต้องรอการไต่สวนของศาลก่อนจึงดูล่าช้า
อธิบดีดีเอสไอ กล่าวด้วยว่า
ดีเอสไอได้ดำเนินคดีทั้ง 2 ฝ่ายเท่าเทียมกัน
และก็เป็นธรรมชาติที่ผู้ถูกดำเนินคดีหรือผู้ที่ตกเป็นผู้ต้องหาทุกฝ่ายจะต้องไม่ชอบใจดีเอสไอ
มีการต่อว่าต่าง ๆ นานา
ซึ่งเราเองก็พร้อมรับเพราะถือว่าทำตามหน้าที่ในฐานะหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย
ด้านสำนักข่าวเอเอฟพี สื่อต่างประเทศชื่อดัง
รายงานข่าวดังกล่าวไปทั่วโลกเช่นกัน โดยพาดหัวข่าวว่า "Ex-Thai PM ′to
face murder charge′"
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น