วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2554


สะกิดทหารเลิกเล่นบทปกป้องสถาบันกษัตริย์ดาบสองคมฉุดตกต่ำ

http://www.dailyworldtoday.com/newsblank.php?news_id=10410

นักวิชาการออกโรงสะกิดเตือนกองทัพอย่าเปิดหน้าเล่นเรื่องปกป้องสถาบัน ชี้เป็นดาบสองคม แทนที่จะช่วยเชิดชูกลับยิ่งฉุดให้ตกต่ำ และจะเป็นตัวเร่งให้กระแสเรียกร้องยกเลิกหรือแก้ไขมาตรา 112 รุนแรงมากขึ้น แนะอย่าพยายามแสดงบทบาทว่าอยู่เหนือการเมืองเหมือน 30 ปีที่แล้ว “ประยุทธ์” ยืนยันต้องทำหน้าที่และใช้สิทธิฟ้องร้องตามกฎหมาย ผิดถูกให้ไปว่ากันในศาล เตือนกำลังพลตบเท้าแสดงพลังได้แต่อย่าออกมานอกหน่วย แม่ทัพภาคที่ 1 กร้าวกองทัพรับไม่ได้กับการพาดพิงสถาบัน “จตุพร” เชื่อหวังผลการเมือง มุ่งทำให้คนเสื้อแดงเป็นจุดอ่อนของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้ง ถ้ารักสถาบันจริงต้องดำเนินการกับทุกกลุ่มให้เท่าเทียมกัน “ณัฐวุฒิ” ระบุ นปช. เลิกตอบโต้วาทกรรมหมิ่นหรือล้มสถาบัน ต่อไปใครกล่าวหาฟ้องแหลก

หลังมีการนำเรื่องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาเป็นประเด็นกล่าวหาโจมตีกันทางการเมือง และมีการดำเนินคดีกันมากขึ้น ทำให้นักวิชาการต้องออกมาเตือนสติผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหลายว่าการใช้ประเด็นนี้เป็นเครื่องมือทำลายล้างกันทางการเมืองจะเป็นดาบสองคม

ทหารแสดงบทบาทเหนือการเมือง

ดร.เกษม เพ็ญภินันท์ อาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การแสดงออกของทหารและกองทัพเป็นการแสดงให้เห็นว่ากองทัพกำลังก้าวเข้ามามีบทบาทเหนือการเมืองเหมือนในช่วง 30 ปีที่แล้ว แต่สถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันพัฒนาไปไกลเกินกว่าที่กองทัพจะแสดงบทบาทพวกนี้แล้ว สิ่งที่กองทัพแสดงออกจะไม่เป็นผลดีกับใครทั้งสิ้น

ชี้ไม่เป็นผลดีต่อสถาบันกษัตริย์

“แน่นอนที่สุดคือไม่เป็นผลดีต่อประชาธิปไตย เพราะต่อไปจะทำให้สังคมไทยมีข้อห้ามอะไรใหม่ๆออกมามากขึ้น และจะไม่เป็นผลดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เอง เพราะการนำสถาบันมาเกี่ยวข้องกับการเมืองจะทำให้สถาบันแปดเปื้อนมากขึ้น โดยหลักการแล้วสถาบันต้องอยู่เหนือการเมือง ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองในทุกกรณี”

ดร.เกษมกล่าวอีกว่า การแสดงออกเช่นนี้จะไม่เป็นผลดีต่อกองทัพเอง เพราะหน้าที่หนักของกองทัพไม่ใช่การปกป้องสถาบัน แต่เป็นการปกป้องอธิปไตยของประเทศ สิ่งที่กองทัพกำลังแสดงออกสะท้อนให้เห็นว่ากำลังทำผิดหน้าที่
ดาบสองคมจะทำลายสถาบันเสียเอง

“ผมเป็นห่วงว่าการเคลื่อนไหวของกองทัพจะกลายเป็นดาบสองคมที่จะย้อนกลับไปทำลายกองทัพและสถาบันพระมหากษัตริย์เอง และสุดท้ายคือคำถามที่มีต่อปัญหาที่เกี่ยวกับกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือมาตรา 112 รวมทั้งการที่มีภาคประชาชนเสนอให้มีการยกเลิกหรือปฏิรูปกฎหมายฉบับนี้จะมีน้ำหนักมากขึ้น ประเด็นที่น่าสนใจคือขณะนี้มีความพยายามเคลื่อนไหวให้มีการปฏิรูปหรือยกเลิก ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มมีเป้าประสงค์ที่ต่างกัน และการทำผิดหน้าที่ของกองทัพจะทำให้คนเห็นว่ากฎหมายมาตรา 112 มีปัญหาในตัวเองมากขึ้น”

ระบุแค่อ้างปกป้องผลประโยชน์อำมาตย์

ดร.เกษมกล่าวอีกว่า ประเด็นสำคัญอีกประเด็นหนึ่งของการออกมาแสดงบทบาทของกองทัพครั้งนี้ย่อมหนีไม่พ้นที่จะทำให้คนมองว่าเป็นการปกป้องระบอบอำมาตยาธิปไตย ซึ่งฝ่ายอำมาตย์อาจได้ประโยชน์ แต่ไม่ใช่ประโยชน์ในระยะยาว อาจเป็นประโยชน์เฉพาะในการสกัดคู่ต่อสู้หรือฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง เช่น การที่กองทัพพูดถึงการฟ้องข้อหาหมิ่นกับกลุ่มคนเสื้อแดงถือเป็นการดิสเครดิตพรรคเพื่อไทยในช่วงที่ใกล้จะมีการยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่
อย่าทำให้เกิดปัญหาดีกว่า

“ผมขอย้ำว่าถ้ากองทัพไม่หยิบเอาสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นประเด็นทางการเมืองปัญหาจะไม่เกิด แต่ที่กองทัพหยิบมามันอีนุงตุงนัง เมื่อเป็นเช่นนี้จะไม่ส่งผลดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ตรงนี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาความผุกร่อนภายในสนิมเนื้อในของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่อนุญาตให้กลุ่มดังกล่าวเข้ามาใช้เกราะป้องกันเกียรติยศของสถาบันมาทำลายคู่แข่งทางการเมือง”

ซัด ผบ.ทบ. ปลุกปั่นทหารหวังเปลี่ยนแปลง

นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน กล่าวว่า การแจ้งดำเนินคดีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กับแกนนำในข้อหาหมิ่นเบื้องสูงเป็นการล็อกเป้าเพื่อเอาคำพูดไม่กี่คำไปปลุกปั่นทหารเพื่อต้องการให้เกิดความเปลี่ยนแปลง


มุ่งให้คนเสื้อแดงเป็นจุดอ่อนของเพื่อไทย

“คำปราศรัยเมื่อวันที่ 10 เม.ย. ไม่มีอะไรใหม่ เป็นเรื่องที่เคยพูดที่เวทีราชประสงค์มาแล้ว แต่เป็นเพราะใกล้เลือกตั้งเลยหยิบเอาประเด็นนี้มาเล่น กลัวว่าหากปล่อยให้เลือกตั้งกันตามปรกติพรรคประชาธิปัตย์จะสู้พรรคเพื่อไทยไม่ได้ เมื่อกลุ่มคนเสื้อแดงเป็นจุดแข็ง จุดขายของพรรคเพื่อไทย จึงต้องทำให้เป็นจุดอ่อน” นายจตุพรกล่าวและว่า มีการกระทำของคนอื่นอีกมากมายที่เข้าข่ายหมิ่นและแอบอ้างสถาบัน ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงจ้องเล่นงานแต่คนเสื้อแดง
นปช. เลิกตอบโต้เล็กใช้กฎหมายจัดการ

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. กล่าวว่า จากนี้ไป นปช. จะยุติการตอบโต้วาทกรรมที่กล่าวหาว่าหมิ่นหรือล้มสถาบันในทุกกรณี หากมีการกล่าวหาอีกจะให้ฝ่ายกฎหมายรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินการกับทุกคน
“ผมยืนยันว่าแนวทางการสู้ของ นปช. ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสถาบันเลย เพราะสถาบันเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการเมือง ข้อกล่าวหาอะไรต่างๆพวกผมพร้อมพิสูจน์ตามกระบวนการยุติธรรม”

ย้ำต่อต้านพวกขวางเลือกตั้ง

นายณัฐวุฒิยืนยันว่า คนเสื้อแดงไม่ได้ไม่พอใจ พล.อ.ชวลิต ยงใยยุทธ ที่ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย พวกเราเคารพการตัดสินใจ ส่วนการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นพวกเรายินดีสนับสนุน เพราะถือเป็นจุดเริ่มของการสร้างความสามัคคีของคนในชาติ และจะต่อต้านขัดขวางใครก็ตามที่ต้องการล้มการเลือกตั้ง

ผบ.ทบ. ชี้ให้โอกาสแล้วไม่หยุด

ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. กล่าวว่า ที่ต้องแจ้งความดำเนินคดีกับนายจตุพรและแกนนำเสื้อแดงเพราะยังไม่หยุดพฤติกรรมจาบจ้วงสถาบันทั้งที่ให้โอกาสและกล่าวเตือนมาหลายครั้งแล้ว แต่สุดท้ายผลจะออกมาอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับกระบวนการยุติธรรม

ยืนยันไม่ได้ทำเพื่อหวังการเมือง

“ยืนยันว่าเป็นการทำเพื่อปกป้องสถาบัน ไม่ได้ทำเพื่อหวังผลอะไรทางการเมืองหรือทำเพื่อให้เกิดประโยชน์กับพรรคการเมืองใด ส่วนที่มีพรรคการเมืองบางพรรคเอาสถาบันมาหาเสียงนั้นเป็นเรื่องที่ผู้เกี่ยวข้องต้องพิจารณาความเหมาะสม” ผบ.ทบ กล่าวและว่า พยายามเตือนลูกน้องให้เข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการกระทำของคนบางคนเท่านั้น ต้องให้ความเป็นธรรมกับคนส่วนใหญ่ ยอมรับว่าทหารไม่พอใจ แต่เมื่อ ผบ.ทบ. ทำหน้าที่แล้วทุกคนต้องนิ่ง การแสดงความเห็น แสดงกำลังทำได้ แต่ต้องไม่ออกมาแสดงนอกหน่วย

แม่ทัพภาค 1 ย้ำทหารรับไม่ได้

พล.ท.อุดมเดช สีตบุตร แม่ทัพภาคที่ 1 กล่าวว่า ใครก็ตามที่พาดพิงสถาบันกองทัพยอมไม่ได้ ไม่เพียงแต่ทหาร แต่ประชาชนทุกคนยอมรับไม่ได้ สิ่งที่ ผบ.ทบ. ดำเนินการไปนั้นทหารทุกคนสนับสนุน

ดีเอสไอยันมีอำนาจถอนประกัน

นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ยืนยันว่า ดีเอสไอมีอำนาจยื่นถอนประกันตัวแกนนำ นปช. ที่อ้างว่าในเงื่อนไขประกันตัวไม่มีข้อห้ามเรื่องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเป็นการเข้าใจผิด เพราะแม้ไม่ได้ระบุเรื่องนี้เอาไว้แต่เงื่อนไขกำหนดชัดเจนว่าต้องไม่ไปกระทำความผิดอื่นอีก ซึ่งการปลุกระดมมวลชนและปราศรัยพาดพิงสถาบันจนกลายเป็นคดีความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ ถือเป็นการกระทำความผิดเพิ่มเติมขึ้นจากความผิดเดิม ดีเอสไอจึงสามารถยื่นถอนประกันตัวได้ ส่วนบุคคลที่ยืนอยู่รอบนายจตุพรตอนปราศรัย แม้หลายคนจะไม่ได้พูดอะไรเลยแต่พฤติการณ์ที่แสดงออกถึงการสนับสนุนหรือเห็นพ้องด้วยภาษากาย ตามกฎหมายความมั่นคงถือเป็นตัวการร่วมหรือผู้สนับสนุน

“ผมจะไม่ตอบโต้รายวันเรื่องที่ว่าถ้อยคำในการปราศรัยหมิ่นหรือไม่หมิ่น เอาเป็นว่าใครมีพยานหลักฐานอะไรก็ไปแสดงกันในศาล”

พร้อมยืดหยุ่นวันรับข้อกล่าวหา

ส่วนการออกหมายเรียกแกนนำและแนวร่วม นปช. 18 คน มารับทราบข้อกล่าวหาหมิ่นสถาบันนั้น นายธาริตกล่าวว่า ได้แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม อย่างไรก็ตาม หากแกนนำหรือแนวร่วมคนใดมีภารกิจ ไม่สามารถมาตรงตามวันเวลาที่นัดหมายก็สามารถแจ้งขอเลื่อน โดยจะมาก่อนหรือหลังวัดนัดก็ได้ ดีเอสไอพร้อมพิจารณาให้

************************
http://redusala.blogspot.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น