วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554


1เดือนผ่านไปสมยศไม่ได้ประกันตัว 112คุกคามประชาชน!

โดย นักข่าวอิสระ
31 พฤษภาคม 2554



เมื่อวานนี้( 30 พฤษภาคม 2554)เนื่องในวันครบรอบหนึ่งเดือนการคุมขังนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ที่หน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ได้มีกลุ่มพี่น้องเสื้อแดงและสมาชิกกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย ได้ร่วมกันวางดอกไม้รำลึกถึงคุณสมยศ พฤกษาเกษมสุข ผู้ถูกจับกุมในข้อหา 112 และปล่อยนกพับสีแดงเป็นเครื่องหมายเพื่อแสดงถึงสิทธิ เสรีภาพ ของความเป็นมนุษย์ พร้อมทั้งเรียกร้องให้ได้สิทธิในการประกันตัวเพื่อต่อสู้คดีเนื่องจากคดียังไม่มีคำพิพากษา ย่อมถือว่าผู้ถูกกล่าวหาย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์และต้องได้รับสิทธิในการประกันตัว


สืบเนื่องมาจากกรณีที่คุณสมยศ พฤกษาเกษมสุข ถูกจับกุมที่ด่านชายแดน-กัมพูชา ขณะพานักท่องเที่ยวทัวร์ประเทศกัมพูชาซึ่งเป็นธุรกิจที่คุณสมยศ ได้ดำเนินมาเป็นครั้งที่ 5 แล้ว โดยการที่ถูกจับกุมครั้งนี้เป็นการเข้า-ออก ช่องทางตามปกติของผู้ผ่านแดนทั่วไป แต่กลับถูกเจ้าหน้าที่นำไปอ้างว่าจะทำการหลบหนีออกนอกประเทศทั้งที่มีการเดินทางเข้า-ออกโดยปกติมาหลายครั้งแล้ว

ซึ่งคงจะมองเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากว่าเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง เนื่่องจากคุณสมยศ ได้เคลื่อนไหวต่อต้านความเป็นธรรมที่เกิดจากอำนาจรัฐมาโดยตลอด อีกทั้งอำนาจรัฐเองอยังกล่าวอ้างว่ากลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย เคลื่อนไหวภายใต้การกำกับของพรรคเพื่อไทยและ นปช. ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย เคลื่อนไหวต่อต้านความไม่เป็นธรรม มาตั้งแต่สมัยยังไม่มี นปช.และพรรคเพื่อไทยถือกำเนิดขึ้นเสียด้วยซ้ำ

นายทรงชัย วิมลภัตรานนท์ ประธานกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย ได้กล่าวถึงเรื่่องนี้ว่าจะต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมให้กับคุณสมยศ และผู้ถูกกล่าวหาทุกคนที่ไม่ได้รับสิทธิในการประกันตัวเพื่อต่อสู้คดีให้ถึงที่สุด โดยเริ่มแรกก็จะมีการชุมนุมหน้าเรือนจำทุกวันในช่วงเย็นเพื่อเรียกร้องเรื่องสิทธิการประกันตัว และการแยกขังนักโทษการเมืองกับนักโทษทั่วไป เพื่อความปลอดภัย เพราะผู้ถูกกล่าวหานั้นยังถือว่้าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ อีกทั้งคุณสมยศ และคุณสุรชัย มีโรคประจำตัวควรได้รับการดูแลเยี่ยงมนุษย์ปุถุชนพึงกระทำ

*****

สนับสนุนกิจกรรมนักข่าวอิสระได้ที่ บ/ช ธนาคารไทยพานิชย์ เลขที่ 102-242846-8 (ออมทรัพย์) ชื่อ บ/ช ปัญญา (กิจจา)
http://redusala.blogspot.com

แดงสหภาพยุโรปรวมพลหอไอเฟลสานเจตนารมณ์วีรชน
ขานรับกระแสฟีเวอร์ไพร่อินเตอร์กาเบอร์1
ข้าพเจ้าเห็นความรักมากมายที่คนเสื้อแดงยุโรปมีให้กับทักษิณ และโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะส่งผ่านความรักนั้นมายังยิ่งลักษณ์ น้องสาวทักษิณเช่นกัน ข้าพเจ้าได้แต่หวังว่าทั้งทักษิณ ยิ่งลักษณ์ รวมทั้งว่าที่ สส. และแกนนำพรรคเพื่อไทยจะรักพวกเขาได้แม้เพียงครึ่งหนึ่งของความรักที่คนเสื้อแดงไกลบ้านเหล่านี้ได้มอบให้กับพวกเขา

ความฝันอันยิ่งใหญ่ของทุกคนที่นี่คือ ต้องการร่วมต่อสู้เพื่อให้ประเทศไทยหลุดพ้นไปจากอำนาจที่อยุติธรรมและสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริง พร้อมกับนโยบายสวัสดิการสังคมที่ดีเช่นเดียวกับที่พวกเขาได้รับในหลายประเทศในยุโรป
โดย จรรยา ยิ้มประเสริฐ
31 พฤษภาคม 2554
ที่มา Time Up Thailand

22 พฤษภาคม 2554 เครือข่ายนปช. ยุโรป นัดรวมตัวหน้าหอไอเฟล ฝรั่งเศส เพื่อร่วมรำลึกครบรอบเหตุการณ์สังหารโหดประชาชน ณ ศูนย์กลางย่านการค้า กลางเมื­องหลวงกรุงเทพฯ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2553
หลังจากกลับจากฝรั่งเศสข้าพเจ้าต้องช่วยเพื่อนทำนิทรรศการศิลปะที่เมือง Turku ที่ได้รับเลือกจากสหภาพยุโรปให้เป็นเมืองศูนย์กลางวัฒนธรรมยุโรปประจำปี 2554 ที่มีกำหนดเปิดงานในวันที่ 28 พฤษภาคม จึงทำให้การเขียนถ่ายทอดเรื่องราวกิจกรรมรำลึกพฤษภาเลือด 2553 ของกลุ่ม นปช. ยุโรป ต้องล่าช้าไปด้วย ต้องขออภัยพี่ๆ น้องๆ นปช, ยุโรปและแดงยุโรป ทุกคนมา ณ ที่นี้ด้วย

ต่อไปนี้เป็นบันทึกประสบการณ์การเดินทางเข้าร่วมกิจกรรมกับกลุ่ม นปช. ยุโรประหว่างวันที่ 21-24 พฤษภาคม 2554





การเดินทางเพื่อมาทำความรู้จักกับ นปช. ยุโรป

นับตั้งแต่ออกเดินทางจากฟินแลนด์ในช่วงบ่ายของวันที่ 21 พฤษภาคม ข้าพเจ้าได้รับไมตรีจิตรและมิตรภาพจากคนแปลกหน้าและคนที่เพิ่งรู้จักกัน ครั้งแรกตลอดการเดินทางครั้งนี้ โดยเฉพาะเมื่อต้องลงเครื่องกลางดึก ณ มหานครปารีสที่กว้างใหญ่ พร้อมกับความหวาดวิตกว่าจะเดินทางไปบ้านพี่มนูญ มิ่งชัย ประธานกลุ่ม นปช. ยุโรป ที่พวกเราที่มาจากต่างแดนจะไปพักกันที่นั่นได้อย่างไร โชคดียิ่งนักที่คนหนุ่มสาวฝรั่งเศสที่มารับเพื่อนซึ่งเป็นนักเรียนแลก เปลี่ยนชาวอัฟริกาใต้ที่เดินทางมาเที่ยวบินเดียวกัน ได้เผื่อแผ่น้ำใจมายังข้าพเจ้า และอาสาขับรถมาส่งข้าพเจ้าถึงบ้านพี่มนูญอย่างปลอดภัย
บ้านพี่มนูญคืนนั้นคึกคัก เต็มไปด้วยคนเสื้อแดงจากฝรั่งเศสที่มาให้การต้อนรับและนำอาหารมาเลี้ยงดูคณะ จากเยอรมัน ซึ่งเป็นทีมประสานงานหลักระหว่างคนเสื้อแดงยุโรป ที่ขับรถมาจากแฟรงเฟิร์ตกันตั้งแต่เช้า และเผื่อแผ่มายังข้าพเจ้าด้วย
“นี่แหล่ะบรรยากาศการรวมตัวของพวกเราที่ยุโรป อยู่กันแบบราชประสงค์ กินนอนด้วยกันแบบนี้ ใครมีอะไรก็เอามาแบ่งปันกัน ไม่มีการพักโรงแรมหรูหรือกินอยู่อย่างหรูหราหรอก” เมย์ เยอรมันหรือแดงแจ๊ด บอกกับข้าพเจ้า
ในแฟลตสวัสดิการของรัฐบาลฝรั่งเศสที่จัดสร้างให้ผู้มีรายได้น้อยได้เช่า พักอาศัยในเมืองปารีสที่ค่าเช่าบ้านแพงหูฉี่ ที่แม้จะไม่กว้างขวางมากนัก แต่ก็สามารถจัดสรรพื้นที่รองรับทั้งเพื่อนจากแดนไกล และเพื่อนฝูงจากปารีสที่มาต้อนรับรวมกันกว่าสิบคน หลายคนมาพร้อมอาหารเพื่อมาแบ่งปันและรับประทานร่วมกัน
ทั้งนี้พี่มนูญและพี่ดาว เป็นพี่ที่แสนใจดีของทุกคนไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม นปช. ยุโรป หรือคนไทยที่เดือดร้อนในฝรั่งเศสและมาขอความช่วยเหลือ
คอมพิวเตอร์หลายตัวเปิดออนไลน์เพื่อติดตามข่าวสารของคนเสื้อแดงจาก ประเทศไทย หรือใช้คุยออนไลน์ระหว่างคนเสื้อแดงยุโรป บ้างครั้งดีเจทอมมี่ของเราที่นั่งเฝ้าหน้าจอคอมฯ เพื่อฟังคำปราศรัยต่างๆ ก็จะสลับเปิดเพลงคนเสื้อแดง ให้หลายคนได้ร้องประสานเสียงร่วมไปกับเพลงเป็นระยะๆ พร้อมกับปรมมือโห่ฮิ้วเมื่อฟังคำปราศรัยถูกใจ
บรรยากาศยามเที่ยงคืนที่ฝรั่งเศสของแฟลตกลางเมืองแห่งนี้จึงกลายเป็นช่วงเวลาค่ำคืนแห่งการต่อสู้บนท้องถนนกรุงเทพฯ ไปได้เช่นกัน
นอกจากนี้บนโต๊ะก็ยังเต็มไปด้วยอาหารนานาชนิดที่เสิร์ฟกันตลอดคืน ทั้งข้าวปั้นญี่ปุ่นหน้าต่างๆ ปลาดิบ เป็ดอบ และปลาทอด เป็นต้น ฯลฯ
จากการบอกเล่าของแดงแจ๊ด สภาพเหล่านี้คือบรรยากาศของการรวมตัวของชาวเสื้อแดงที่ยุโรป เมื่อจัดประชุมที่ไหน พวกเขาจะไปพักกันตามบ้านแกนนำหรือที่วัดไทย นอนเรียงกันเป็นตับ มีอะไรก็ทำกินกัน แบ่งกันกิน ไม่มีการนอนโรงแรมหรู ทุกคนเสีย­­สละค่าจ้าง เวลาพักผ่อนวันหยุด มาตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาเพื่อร่วมต่อสู้และติดตามประชาธิปไตยเมืองไทย ด้วยความคิดว่า “เราสู้เพื่อลูกหลานและเพื่ออนาคตที่ดีกว่าของคนไทย"
พวกเราสาวๆ จากแดนไกล นอนเรียงรายกันในห้องนอนเจ้าบ้านที่ยกให้แขกนอน และก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ห้องนอนนี้ถูกยกให้กับผู้มาเยือน มันเกือบจะกลายเป็นห้องนอนของผู้มาเยือนที่มีมาต่อเนื่องนับตั้งแต่การรวม กลุ่มคนเสื้อแดงในฝรั่งเศสเมื่อกลางปีที่ผ่านมา ที่รู้สึกสุดทนกับภาพการสังหารประชาชนอย่างโหดร้ายที่ราชประสงค์
พี่มนูญ ในฐานะประธาน นปช. ได้ดำเนินการจดทะเบียน นปช. ยุโรปที่ประเทศฝรั่งเศส และได้รับใบทะเบียนเรียบร้อยแล้วเมื่อเร็วๆ นี้

22 พฤษภาคม - วันอาทิตย์สีแดงหน้าหอไอเฟล

รุ่งเช้า ข้าพเจ้าตื่นมาพบแดงแจ๊ดนั่งหน้าคอมพิวเตอร์คุยสไกด์ออนไลน์กับแกนนำนปช. ยุโรปในหลายประเทศ และคุยกับอาจารย์ธิดา แกนนำนปช. ซึ่งเป็นการพูดคุยสื่อสารระหว่างแกนนำประเทศต่างๆ ในยุโรปและกับแกนนำ นปช. และแกนนำที่ลี้ภัยหลายคน เป็นไปแทบจะเรียกได้ว่ากิจวัตรประจำวัน หรือเป็นการพูดคุยรายวันกันเลยทีเดียว
นอกจากนี้พวกเขาจะเช็คข่าวจากสื่อข่าวอิสระออนไลน์ทั้งหลาย โดยเฉพาะไทยอีนิวส์ ซึ่งถือเป็นสื่อกลางแห่งการติดตามความเคลื่อนไหวทางเมืองไทยของแกนนำ นปช. ยุโรป
เนื่องจากทุกคนทำงานกันวันละกว่า 10 หรือ 12 ชั่วโมง โดยเฉพาะกุ๊กนี้ทำงานตั้งแต่ 10 โมงเช้ากว่าจะเลิกก็ดึกดื่นเที่ยงคืน หลายคนจึงไม่มีเวลามากนัก กลับมาถึงที่พักก็เหน็ดเหนื่อยกันมากแล้ว ส่วนใหญ่จึงเลือกเสพสื่อเสียง หรือดูคลิปวีดีโอและอ่านข่าวสั้นๆ มากกว่าการอ่านบทวิเคราะห์ยาวๆ และหลายคนมีปัญหาทางสายตา ทำให้การอ่านจากจอคอมพิวเตอร์ที่ไม่สะดวกนัก
ข่าวลือ ข่าวลวง ข่าวเท็จและข่าวจริงมากมายจากเมืองไทยจึงถูกถ่ายทอดสู่คนไทยในยุโรปอย่าง ฉับไว ด้วยระบบการสื่อสารทางอินเทอร์เนตเช่นนี้
เนื่องจากแกนนำ นปช.ยุโรป โดยเฉพาะแดงแจ๊ด เพิ่งถูกโจมตีจากนักพูดไซเบอร์อย่างหนักว่าไม่ใช่แกนนำคนเสื้อแดงที่ยุโรป หรือ นปช. ยุโรป อย่างแท้จริง อันเกี่ยวเนื่องผูกพันมากับกระแสกดดันต่างๆ จากความขัดแย้งระหว่างเสื้อแดงหลายขั้วแนวคิดและแนวทาง ที่แผ่วงกว้างมาถึงยุโรปด้วยเช่นกัน จนเกิดการวิจารณ์พาดพิงกันไปมาในโลกไซเบอร์ ที่ไม่รู้ว่าต้นตอมาจากไหน จริงหรือไม่จริง และที่ยุโรปเริ่มกระแสแรงมากขึ้นของการแบ่งขั้ว “แดงวิชาการ” กับ “แดงรากหญ้า” ซึ่งส่งผลให้ “แดงรากหญ้า” ที่มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันจากแกนนำหลายคน ทั้งหญิงและชาย ที่มาได้ดิบได้ดีจากการทำงานอย่างหนักในหลายประเทศในยุโรป ที่ต่างก็ลงแรง ลงกำลังทรัพย์ และกำลังใจไปไม่น้อยตลอดสองปีที่ผ่านมา รู้สึกเจ็บปวดกับการวิจารณ์เหล่านี้ และพวกเขาไม่พอใจและก็รู้สึกอ่อนไหวไปกับบรรยากาศแห่งการถูกแบ่งชนชั้นมาก พอดู
การพูดคุยในเช้าวันที่ 22 พฤษภาคมที่แฟลตชานเมืองปารีส จึงเต็มไปด้วยการแสดงความไม่พอใจต่อการพูดโจมตีกลุ่ม นปช. แดงยุโรป ที่พวกเขาบอกว่าไม่เป็นความจริงและได้ข้อมูลไปผิดๆ
เมื่อได้พูดคุยกับหลายคนมากขึ้น ข้าพเจ้าก็ได้รับทราบถึงความอึดอัดและไม่พอใจนิดๆ ของแกนนำยุโรปบางคน ต่อการเสนอตัวของแกนนำผลัดถิ่นเพื่อเข้ามาเป็นแกนนำในหมู่คนเสื้อแดงยุโรป ซึ่งขัดแย้งกับสภาพการจัดตั้งในรูปแบบของพวกเขาซึ่งมีแกนนำในแต่ละประเทศ อยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงได้ประกาศตัวชัดเจนว่าเป็น นปช. ยุโรป เป็นคนรากหญ้า และจัดระบบการประสานงานระหว่างกัน โดยมีลักษณะการทำงานแบบ ไม่มีใครนำใคร กิจกรรมขึ้นอยู่กับความสามารถและความสะดวกในการจัดของแต่ละประเทศ
ด้วยประการฉะนี้ แกนนำและแนวร่วมหลายคน จึงรู้สึกอ่อนไหว และไม่ค่อยวางใจนักกับนักวิชาการ และคนแปลกหน้า และกลายเป็นหวาดระแวงกันไปจนถึงขั้นที่ว่า คนที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางนปช. ต้องเป็นคนที่ขายตัวให้กับอำมาตย์แล้วแน่ๆ แม้ว่าเขาเหล่านั้นจะเป็นอดีตแกนนำ นปช. ก็ตามที
วิถีการตีขลุมเหมารวมว่า “ถ้าไม่เห็นด้วยกับพวกเรา นปช. ก็ต้องขายตัวให้กับอำมาตย์” หรือ “เราไม่รู้ว่านายเขาเป็นใคร ไม่รู้ว่าเขาแปรพักตร์ไปเข้ากับอำมาตย์หรือเปล่า” จึงเป็นคอมเมนต์ที่ข้าพเจ้าได้ยินหลายครั้งจากชาว นปช.ยุโรป
“นปช. และแกนนำแดงยุโรปก็ถูกกล่าวหาว่ารับเงินทักษิณ ซึ่งทุกคนก็ยืนยันว่าไม่จริง พวกเราจึงไม่ควรไปเหมารวมว่าคนที่คิดต่างจะต้องเป็นพวกรับเงินอำมาตย์ เท่านั้น เพราะนี่เป็นประเด็นที่ นปช. เองก็ถูกโจมตีไม่ใช่เหรอ?” ข้าพเจ้าท้วงติงไปบ้างเช่นกัน
กระนั้นก็ตาม น้ำใจไมตรีและมิตรภาพของคนไทยในยุโรปก็ยังคงเอกลักษณ์แห่งความเป็นไทย ต่างก็ต้อนรับขับสู้และดูแลเพื่อนมิตรจากแดนไกลโดยไม่ขาดตกบกพร่อง

รำลึกหนึ่งปีการสังหารหมู่ประชาชน พฤษภาคม 2553

เวลาเที่ยงของวันที่ 22 พฤษภาคม พวกเราก็ทยอยออกเดินทางไปเตรียมงานที่หน้าหอไอเฟล บางคนไปกับรถขนของ หลายคนก็เดินทางด้วยรถไฟใต้ดิน โดยมีอติเทพ​หรือโอ หนุ่มลำปางอารมณ์ดี ที่มาตำส้มตำ และทำต้มยำกุ้งรสแซ่บให้พวกเราทาน และเป็นผู้นำทางพวกเราไปยังหอไอเฟล
หลายคนคงยังจำข่าวคู่รักไทย-เขมรที่จัดงานหมั้นเพื่อส่งเสริมสันติภาพไทยเขมร ท่ามกลางการพยายามยุยงของกลุ่มพันธมิตรให้ทั้งสองประเทศทำสงคราม ชายหนุ่มคนนั้นก็คือโอนี่แหล่ะค่ะ
โอเป็นอดีตครูหนุ่มจากลำปาง ตัดสินใจเดินทางมาเสี่ยงโชคที่ฝรั่งเศสตั้งแต่ประมาณปี 2530 จนตอนนี้เกือบทั้งครอบครัวของโอต่างก็เดินทางมาทำงานทีฝรั่งเศสกับเกือบหมด แล้ว ตัวโอเองก็ได้พบรักกับดาวี สาวเขมรขวัญใจชาวเสื้อแดงยุโรป และได้จัดงานหมั้น “Make Love Not War” ท่ามกลางบรรยากาศสงครามชายแดนไทยเขมร อันลือลั่นเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2554 งานแต่งงานของโอและดาวีจะจัดขึ้นวันที่ 29 พฤษภาคม 2554 ซึ่งเจ้าสาวบอกว่าได้สั่งตัดชุดแต่งงานสีแดงที่ส่งตรงมาจากเขมรกันเลยทีเดียว
โอเป็นกำลังหลักคนหนึ่งที่ขยันขันแข็งในการช่วยงาน นปช. แดงยุโรปและสมาคมรวมใจไทยในฝรั่งเศส ส่วนดาวีคู่หมั้นโอที่พูดไทยได้อย่างฉะฉาน แม้จะเป็นคนเขมรเธอก็ลงมาร่วมสู้กับคนเสื้อแดงอย่างแข็งขันจนกลายเป็นที่ ขวัญใจคนเสื้อแดงยุโรปไปด้วย เธอบอกว่า "พี่โอบอกหนูว่าเราสู้เพื่อลูกหลาน หนูก็ว่าถ้าสู้เพื่อลูกหลาน หนูสู้ด้วย"

เรามาถึงลานกว้างหน้าหอไอเฟลก่อนบ่ายสองโมงเล็กน้อย มีตำรวจสองคนที่ทำหน้าที่ดูความเรียบร้อยมายืนรอพวกเราอยู่ก่อนแล้ว และถามหาใบอนุญาตจัดงานทันที

“วันนี้คนอาจจะไม่มากนักเพราะมีคอนเสิร์ต ไผ่ พงศธร ที่ปารีสในเวลาเดียวกันกับงานของเรา ซึ่งเตรียมงานและขายบัตรไว้ล่วงหน้าก่อนที่พวกเราจะวางแผนจัดงานนี้ มันเลยซ้อนกัน และพวกเราหลายคนก็ซื้อตั๋วคอนเสิร์ตเอาไว้แล้ว” โอ และเพื่อนชาวเสื้อแดงฝรั่งเศสบอกพวกเราให้เตรียมใจไว้ล่วงหน้าว่าอาจจะไม่มีคนมากนักวันนี้
พวกเราเองก็ใจตุ้มๆ ต่อมๆ ไปด้วยเช่นกันว่าจะมีคนมาร่วมงานรำลึกกันมากน้อยแค่ไหน
หลังบ่ายสองไม่นาน คนไทยใส่เสื้อแดงทยอยเดินทางมาสมทบมากขึ้นเรื่อยๆ ป้ายต่างๆ ที่เตรียมไปจากเยอรมันและทำในฝรั่งเศสทยอยนำออกมาแจกจ่ายให้กับทุกคนไปถือ ยืนเกาะกลุ่มกันตรงจุดที่เห็นหอไอเฟลเด่นตระหง่าน
การเปิดงานก็เริ่มขึ้นแล้ว โดยผู้อาวุโสชาวไทยที่อยู่ฝรั่งเศสมานานทั้งที่ปรึกษาสมาคม และประธานสมาคมทยอยกล่าวปราศรัย ส่วนใหญ่เป็นการปราศรัยเป็นภาษาไทย และมีนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นแวะเวียนเข้ามาถ่ายรูปเป็นระยะๆ บางคนข้าพเจ้าก็เข้าไปอธิบายให้ฟังว่าพวกเรามาทำอะไรกัน เธอคนหนึ่งบอกว่าไม่เห็นข่าวคนเสื้อแดงในหน้าหนังสือพิมพ์ของฝรั่งเศสเลย และคิดว่าน่าจะมีการประชาสัมพันธ์กับนักข่าวกันมากกว่านี้
พอถึงช่วงเวลาประมาณบ่ายสามกลุ่มพวกเราก็ไม่ใช่กลุ่มเรียกร้อง ประชาธิปไตยให้กับประเทศบ้านเกิดเพียงกลุ่มเดียวที่มาใช้หอไอเฟลเป็น สัญลักษณ์ส่งเสียงเรียกร้องประชาธิปไตยให้กับประเทศบ้านเกิดเมืองนอน ชาวโมรอคโคกว่า 30 คนพร้อมป้ายภาษาอาหรับกับภาษาฝรั่งเศสก็มาใช้พื้นที่ตรงกลางลาน เพื่อประท้วงระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในโมรอคโค และเรียกร้องประชาธิปไตยเช่นกัน
ข้าพเจ้าเดินเข้าไปทักทายแกนนำชาวโมรอคโค และสอบถามสาเหตุที่มาประท้วงวันนี้ จึงได้ทราบว่าพวกเขาก็มาต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย แกนนำชาวโมรอคโคบอกว่า “เราต้องการการเปลี่ยนแปลง”
เราจับมือประสานและให้กำลังใจกันและกัน และรู้ว่าในขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เราจำเป็นจะต้องสมานฉันท์ระหว่างกัน
ประมาณหนึ่งชั่วโมงหลังจากตะโกนคำขวัญเรียกร้องประชาธิปไตย กลุ่มโมรอคโคได้เคลื่อนขบวนออกเดินไปตามท้องถนน หลังจากนั้นก็มีกลุ่มจากเอเชียใต้มาใช้พื้นที่บริเวณหอไอเฟลประท้วงอีกกลุ่ม หนึ่งเช่นกัน แต่ไม่ใช่เรื่องประชาธิปไตย เท่าที่อ่านป้ายประท้วงน่าจะเป็นเรื่องเสรีภาพทางศาสนา

กลับมาที่กลุ่มคนเสื้อแดง พอประมาณบ่ายสี่ พวกเราก็กลายเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดในที่นั่น คาดว่าจะมีประมาณ 150 คนได้ แดงแจ๊ดเริ่มนำตะโกนเรียกร้อง "เราต้องการประชาธิปไตย อภิสิทธิ์ออกไป และเพื่อไทยเบอร์หนึ่ง ฯลฯ"

ทอมมี่กับเพื่อนชาวเสื้อแดงฝรั่งเศส ใส่ชุดนักโทษจำลอง ที่ถูกล่ามโซ่ตรวน เพื่อแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีนักโทษการเมืองและนักโทษคดีหมิ่นฯ
ตะโกนกันพอสมควรก็ได้เวลาถ่ายรูปหมู่และเต้นรำกันนิดหน่อยก่อนจะต้องยุติการ ประท้วงในเวลา 5 โมงเย็นตรงเปะตามเวลาที่ขอไว้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เคร่งครัดมากและมายืน กำกับเวลาพวกเราให้ยุติตรงเวลากันทีเดียว แต่ตำรวจก็ไม่มีท่าทีคุกคามอะไร
หลังจากยุติการชุมนุม หลายคนก็ควักข้าวเหนียว ไก่อบ และกุ้งเต้นมาแจกจ่ายแบ่งปันกันทาน เป็นบรรยากาศการประท้วงของคนไทยจริงๆ ที่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนท้องก็ไม่เคยหิว และมีการพกพาอาหารมาแบ่งปันกันทาน

พวกเราพากันเดินทางกลับไปบ้านพี่มนูญเพื่อไปพูดคุยกันต่อ และทานอาหารค่ำรวมกันก่อนที่ทีมเยอรมันจะต้องขับรถกว่า 6 ชั่วโมงกลับไปยังแฟรงเฟิร์ต
อาหารค่ำนี้ปรุงด้วยแม่ครัวและพ่อครัวมือหนึ่งหลายคน จึงเอร็ดอร่อย แซบหลายถูกใจหลายคน และบรรยากาศการพูดคุยก็เป็นไปอย่างสนุกสนาน จนกระทั่งถึงเวลาแห่งการร่ำลากับกลุ่มแดงแจ๊ด พี่น้ำปิง พี่แห้งและทอมมี่
หลังจากทีมจากเยอรมันเดินทางกลับไปแล้ว พวกเรายังคงพูดคุยกันต่อจนดึก ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ปัญหาแรงงานไทยในฝรั่งเศสเยอะมากจากการพูดคุยกับพี่ๆ เหล่านี้ ที่มีทั้งอดีตแม่ค้าก๋วยเตี๋ยวจากลำปางที่เจ๊งจากวิกฤติการเมืองรัฐประหารปี 2549 จนตัดสินใจมาฝรั่งเศสพร้อมกับสามี หมอนวดแผนโบราณมือทองขวัญใจทุกคนที่คิวจองตัวยาวเหยียด โอและดาวีที่เป็นที่รักของทุกคน และก็พี่ที่มาทำงานตัดเย็บเสื้อผ้าและงานบ้านที่ฝรั่งเศส รวมทั้งคนไทยลาวที่มาเป็นตำรวจอยู่ที่ฝรั่งเศสกว่ายี่สิบปี

เราจำเป็นต้องสร้างวุฒิภาวะในขบวนการคนเสื้อแดง

เวลาสี่วันแห่งการทำความรู้จักกับ นปช. ยุโรปและชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยในฝรั่งเศส ข้าพเจ้าได้เรียนรู้มากมายเกี่ยวกับชีวิตคนไทยในยุโรป และได้เข้าใจความมุ่งมั่นของพวกเขาที่ต้องการมีส่วนร่วมหรือช่วยอะไรได้บ้าง จากแดนไกล เพื่อทำให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง เป็นความมุ่งมั่นที่ไม่ได้ผูกโยงประโยชน์ส่วนตัว และทุกคนได้เสียสละกันมากตลอดสองปีที่ผ่านมา ทั้งรวบรวมเงินทองส่งไปช่วยเหลือการต่อสู้ในเมืองไทย และออกค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการจัดกิจกรรมที่ยุโรป รวมทั้งดูแลนักสู้จากเมืองไทยที่แวะเวียนมากันอย่างไม่ขาดสาย
ในสภาวะที่พวกเขาจำนวนไม่น้อยคือคนที่อยู่ฐานล่างสุดของค่าแรงขั้นต่ำที่ ยุโรป แต่โชคดีที่มีสวัสดิการหลายตัวคุ้มครองทำให้สภาพความเป็นอยู่ที่นี่ไม่ได้ ลำบากมากนัก
ประเด็นปัญหาจึงเป็นเรื่องของการไม่สามารถแยกแยะข้อมูล และสามารถใช้วิจารณญาณและสติปัญญาอย่างรอบด้าน ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะในสภาพการเมืองไทยที่วุ่นวายมาหลายปีนับตั้งแต่ปลายปี 2548 เอาเข้าจริงแม้แต่คนที่อยู่ในเมืองไทยที่แม้จะอยู่ใกล้กับแหล่งข้อมูลตรงก็ ไม่สามารถแยกแยะได้แล้วว่าอะไรจริง อะไรเท็จ และมันก็ไม่ใช่เป็นปัญหาที่เกิดเฉพาะจากคนรากหญ้าเท่านั้น แต่เป็นการขาดวุฒิภาวะมาตั้งแต่ชนชั้นสูง พวกอำมาตย์และขั้วอำนาจนำในสังคไทย ที่นำพาบ้านเมืองบอบช้ำกันมาหลายปี
มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ชาว “แดงรากหญ้า” เองก็ประสบปัญหาเรื่องการไม่ไว้วางใจใครง่ายๆ รวมทั้งไม่รู้ว่าใครเป็นใคร และมักจะเหมารวมว่า “ถ้าไม่ใช่พวกเรา ก็ต้องเป็นพวกอำมาตย์” ซึ่งเป็นโรคติดแห่งความหวาดระแวงที่แผ่ซ่านมาจากเมืองไทยมาสู่พวกเขาด้วยเช่นกัน
ข้าพเจ้าไม่ได้รู้สึกว่าปัญหาเหล่านี้ี่เป็นปัญหากับเฉพาะ นปช. ยุโรป เพราะทุกขบวนการก็มีความขัดแย้งกันอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าแกนนำแต่ละกลุ่มจะหนักแน่น และพยายามขับเคลื่อนมวลชนและแนวนโยบายอย่างมีสติและเหตุผลเพื่อบรรลุเป้าหมายได้อย่างไร ปัญหาจึงไม่ใช่เรื่องที่ว่ามัน “มีความขัดแย้ง หรือแตกแนวคิดเป็นหลายกลุ่ม หลายขั้ว” แต่ปัญหาคือแนวคิดที่ว่า “ทุกกลุ่มต้องสลายแนวคิดแล้วมาเดินร่วมกันในจุดยืนของ นปช, ซึ่งประกาศชัดว่าหนุนและปฏิบัติตามแนวนโยบายจองพรรคเพื่อไทยเท่านั้น”
บางคนพยายามบอกทำนองว่า “สื่อต้องมีสติมากที่สุด จะมาให้เราเป็นฝ่ายใช้วิจารณญาณไม่ได้”
ข้าพเจ้าแย้งว่า “ทุกคนต้องมีวิจาณญาณให้มากที่สุด ในการแยกแยะระหว่างปัจเจกกับอุดมการณ์รวม ให้ได้ ให้สื่อทำอย่างเดียวไม่ได้ เพราะสื่อนี่แหล่ะที่หลายครั้งเป็นตัวต้องการเห็นประเด็นความขัดแย้งเพื่อไป สร้างสีสันข่าว”
มันเป็นสภาวะแห่ง “การไร้วุฒิภาวะและความสำนึกร่วม” ซึ่งเป็นปัญหาไปทั่วทั้งสังคมไทยในยามนี้ และเป็นหนึ่งในต้นตอปัญหาของทุกขบวนการทางสังคม ที่มักติดกับการจ้องจับผิดตัวบุคคลมากกว่า “การแสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง” และการมุ่งหน้าแก้ปัญหาการเมืองและภาวะไร้ซึ่งจุดยืนและวุฒิภาวะเหล่านี้ไปให้หมดไปจากสังคมไทยเสียที

ข้าพเจ้าเห็นความรักมากมายที่คนเสื้อแดงยุโรปมีให้กับทักษิณ และโดยไม่รังเลแม้แต่น้อยที่จะส่งผ่านความรักนั้นมายังยิ่งลักษณ์ น้องสาวทักษิณเช่นกัน ข้าพเจ้าได้แต่หวังว่าทั้งทักษิณ ยิ่งลักษณ์ รวมทั้งว่าที่ สส. และแกนนำพรรคเพื่อไทยจะรักพวกเขาได้แม้เพียงครึ่งหนึ่งของความรักที่คนเสื้อ แดงไกลบ้านเหล่านี้ได้มอบให้กับพวกเขา

ความฝันอันยิ่งใหญ่ของทุกคนที่นี่คือ ต้องการร่วมต่อสู้เพื่อให้ประเทศไทยหลุดพ้นไปจากอำนาจที่อยุติธรรมและสร้าง ประชาธิปไตยที่แท้จริง พร้อมกับนโยบายสวัสดิการสังคมที่ดีเช่นเดียวกับที่พวกเขาได้รับในหลายประเทศ ในยุโรป

คนอีสานและคนเหนือที่ฝรั่งเศส

ข้าพเจ้าอยู่ฝรั่งเศสต่ออีกสองวันเพื่อทำความรู้จักกับคนไทยทีฝรั่งเศส และพบเจอกับเพื่อนฝูง จากการพูดคุยกับพี่มนูญและพี่น้องคนไทยหลังจากนั้น ข้าพเจ้าได้เรียนรู้เรื่องปัญหาคนไทยในฝรั่งเศสเพิ่มขึ้น และก็เป็นข้อมูลที่น่าตกใจมากเช่นกันว่ามีคนไทยที่อยู่อย่างถูกกฎหมายที่ฝรั่งเศสเพียงประมาณแปดพันคน แต่ที่อยู่เกินวีซ่า (บางคนกว่ายี่สิบปี) มีร่วมสี่หมื่นคน
หลังจากการลุกขึ้นสู้ของคนเสื้อแดง พี่มนูญจึงเริ่มหันมาสนใจการเมืองไทย และตั้งสมาคมรวมใจไทยที่ฝรั่งเศษเมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2553
“พวกเรารวมตัวกันจัดตั้งสมาคมรวมใจไทยที่ฝรั่งเศส เพื่อเป็นที่รวมของคนเสื้อแดงและช่วยเหลือคนเสื้อแดงและคนไทยที่มีปัญหาที่ ฝรั่งเศส” พี่มนูญเล่าให้ฟังถึงที่มาที่ไปของการรวมตัว และจดทะเบียนสมาคม “รวมใจไทยในฝรั่งเศส” เมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว
“ตอนนี้เรามีสมาชิกประมาณสองร้อยกว่าคน และก็ดำเนินการช่วยเหลือสมาชิกที่ต้องทำเรื่องขอสถานภาพที่ถูกกฎหมายที ฝรั่งเศส รวมทั้งหาครูอาสาสมัครมาสอนภาษาฝรั่งเศสให้กับสมาชิกและผู้สนใจ”
มีคนไทยที่ฝรั่งเศสประมาณ 50,000 คน ร่วมสี่หมื่นคนเดินทางเข้ามาด้วยวีซ่านักท่องเที่ยวแล้วหนีวีซ่า ส่วนใหญ่คือคนอีสาน และคนเหนือ เป็นคนรากหญ้า ขาวไร่ชาวนาที่เดินทางมาตายเอาดาบหน้าที่ฝรั่งเศสตั้งแต่ช่วงปี 2526 และหลังเหตุการณ์จากความวุ่นวายการเมืองในปี 2548-2549 พวกเขามาเป็นแรงงานเย็บผ้า แม่บ้านและดูแลเด็ก ก่อสร้าง พ่อครัวและพนักงานร้านอาหารไทย จีน ญี่ปุ่นที่ปารีส พวกเขาที่ไม่มีวีซ่าทำงานอย่างถูกต้องต้องอยู่อย่างหลบซ่อน ถูกโกงค่าแรง หรือไม่ได้รับค่าแรงตามกฎหมาย
พี่มนูญเป็นกุ๊กในร้านอาหารจีนที่มีชื่อกลางย่านชอง เอลิเซ่ และเป็นคนที่อยู่มานาน จึงเป็นที่รู้จักในหมู่คนไทย และเป็นพี่เลี้ยงคนสำคัญในการให้คำแนะนำและช่วยเหลือเพื่อนฝูงในกระบวนการ ดำเนินเรื่องวีซ่าและใบอนุญาตอยู่อาศัยในฝรั่งเศส และได้รับเลือกเป็นประธานสมาคมรวมใจใทยฝรั่งเศส และประธาน นปช. ยุโรป
คนไทยจำนวนไม่น้อยที่อยู่เกินวีซ่า นี่เกินกันยาวนานโดยไม่ได้กลับบ้าน เป็นสิบปี ยี่สิบปี ที่ไม่เคยกลับเมืองไทยเพราะกลัวว่าเมื่อออกไปแล้ว จะเดินทางเข้าฝรั่งเศสอีกไม่ได้ พ่อตาย แม่ตายก็ไม่ได้กลับไปเผาศพ
พี่มนูญเดินทางเข้าฝรั่งเศสในปี 2528 กว่าจะทำเรื่องขอสถานภาพผู้พักอาศัยได้สำเร็จ ซึ่งสามารถทำเรื่องขอได้หลังจากอยู่ในประเทศฝรั่งเศสมากกว่าสิบปีขึ้นไป ก็ทำให้ได้เดินทางกลับเมืองไทยครั้งแรกในปี 2550 เป็นเวลาถึง 21 ปี
พี่มนูญ ชายวัยกลางคน ที่ผ่านความเจ็บปวด และความยากลำบากมายาวนานหลายปี ในยามที่ข้าพเจ้าได้พบและทำความรู้จักจึงเป็นพี่ชายที่อ่อนน้อมถ่อมตน สุขุม และมีใจที่ต้องการจะช่วยเหลือคนไทยที่เผชิญปัญหาเช่นเดียวกับพี่มนูญและพี่ ดาว ภรรยาพี่มนูญ ที่เป็นอีกหนึ่งกำลังที่สำคัญในหมู่คนเสื้อแดงที่ฝรั่งเศส
พี่น้อย ที่มาฝรั่งเศสในช่วงปี 2526 หรือ 2527 เพื่อมาทำงานเย็บผ้า เล่าว่าในช่วงแรกๆ นี่สุดโหด นั่งเย็บผ้ากันในห้องใต้ดิน ไม่ได้ออกไปไหน เพราะนายจ้างและพวกเรากลัวถูกตำรวจจับ ต้องฉี่ในขวดใส่น้ำดื่ม ตอนนี้พี่น้อยทำงานเป็นกุ๊ก และมีสภาพความเป็นอยู่ดีขึ้น และเป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญของคนเสื้อแดงฝรั่งเศส
เรื่องของพี่มณี (นามสมมุติ) ทำให้ข้าพเจ้าเศร้าลึกในหัวใจ พี่มณีเดินทางมาฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 2545 โดยจ่ายค่าหัวคิว 250,000 บาท เพื่อมาทำงานแม่บ้านและเลี้ยงเด็ก เนื่องจากต้องอยู่อย่างไร้วีซ่าทำงาน พี่มณีโดยกดค่าแรง บางครั้งก็ถูกโกงค่าแรง ทำให้พี่มณีต้องใช้เวลาสามปีแรกไปกับการหาเงินเพื่อส่งไปไถ่ถอนโฉนดที่ดิน ของแม่ ที่เอาไปค้ำประกันเงินกู้ออกมาจ่ายค่านายหน้า
พี่มณีได้รับเงินเดือนเพียงเดือนละ 350 ยูโร ซึ่งพี่ก็ออกมาหานายจ้างใหม่ที่ให้ค่าแรงเพิ่มขึ้นบ้าง เป็น 500 ยูโร และปัจจุบันตกงานอีกครั้งหนึ่งและร่อนเร่ไปทำงานบ้านชั่วคราวให้กับบ้านโน้น บ้านนี้ ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ของที่มีเพียงน้อยนิดก็ฝากไว้กับบ้านเพื่อน
หลังจากไถ่ถอนที่นาให้แม่แล้ว เงินทองพี่มณีก็ถูกใช้ซื้อรถปิ๊กอัพให้น้องชายวิ่งขายของ และก็ส่งเสียลูกเรียน พี่มณีไม่รู้ว่าทางบ้างจะตระหนักถึงความยากลำบากของชีวิตที่ฝรั่งเศสหรือไม่ และเมื่อกลับไทยแล้วน้องชายหรือลูกที่พี่มณีส่งเสียเลี้ยงดูจะเลี้ยงดูพี่ มณีหรือไม่?
พี่มณีคืออีกหนึ่งหญิงไทยใจกล้าหาญแห่งดินแดนอีสานที่แห้งแล้งและห่างไกล งบประมาณ ที่เดินทางไปขายแรงงานยังต่างแดนเพื่อชีวิตครอบครัว เป็นต่อเนื่องมานานหลายศตวรรษ เป็นผู้หญิงที่นักรบไซเบอร์ปากเปราะเอาไปด่าเล่นสนุกปากว่าพวก "กะหรี่" ก็ไม่ใช่เพราะ "จิ๋มและแรงกาย" ของผู้หญิงไทยจำนวนมากหรอกหรือที่นำพาประเทศไทยรอดวิกฤติเศรษฐกิจมาครั้ง แล้ว ครั้งเล่า นับตั้งแต่สงครามเย็น
นี่คือสาเหตุว่าทำไมคนไทยที่ต่างแดนจึงออกมาร่วมต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เพราะพวกเขาก็ไม่อยากใช้ชีวิตที่อดสู อยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ ในต่างแดน ทุกคนรักบ้านเกิดและก็อยากกลับบ้านเกิดที่มีนโยบายดูแลสวัสดิการประชาชนเช่น ที่ประเทศต่างๆ ในยุโรปมีให้กับประชาชนของพวกเขา และนี่ก็คือความหวังของพวกเขาในการเลือกพรรคเพื่อไทยว่าจะ "สร้างการเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริง"

แม้ในขณะที่เขียนบันทึกนี้ นัยน์ตาเศร้าและใบหน้าที่หม่นหมองของพี่มณียังตรึงตราอยู่ในความรู้สึกของข้าพเจ้า

หมายเหตุ

ก่อนเดินทางออกจากฝรั่งเศส ข้าพเจ้าแนะนำผู้ประสานงานเครือข่ายรณรงค์เพื่อคนงานในอุตสาหกรรมตัดเย็บ เสื้อผ้า (Clean Clothes Campaign) ที่รู้จักกันมาหลายปีให้รู้จักกับพี่มนูญ เพื่อที่จะได้ช่วยประสานความช่วยเหลือคนงานไทยในฟรั่งเศสได้บ้าง

ตอนต่อไป สัมภาษณ์ “แกนนำ นปช. ยุโรป และ Thai Red EU"


********
เรื่องเกี่ยวเนื่อง:แดงสหภาพยุโรปรวมพลหอไอเฟลสานเจตนารมณ์วีรชน ขานรับกระแสฟีเวอร์ไพร่อินเตอร์กาเบอร์1
http://redusala.blogspot.com

จดหมายน้อยโรเบิร์ตถึงเทพเทือก
สำนักงานกฎหมายผมรวมรวมข้อมูลของการกระทำหลายอย่างของพรรคท่านและกองทัพที่ใช้บั่นทอนเจตจำนงของประชาชน เราแนะนำให้ท่านอย่าเดินซ้ำรอยประวัติการใช้ความรุนแรงที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และกดขี่ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอย่างเผด็จการของพรรคท่าน เราแนะนำให้ท่านร่วมมือตามบทบาทของท่าน โดยให้ยุติกิจกรรมในพรรคของท่านที่เคลื่อนไหวร่วมกันทหาร โดยใช้กองทัพเพื่อรักษาไว้ซึ่งอำนาจครอบงำการเมืองอย่างผิดกฎหมาย

ที่มา เวบไซต์โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม



จดหมายเปิดผนึกถึงนายสุเทพ เทือกสุบรรณ

เรียน รองนายกรัฐมนตรีสุเทพ

ตามที่สื่อมวลชนไทยรายงาน เราได้รับทราบมาว่าเมื่อไม่นานมานี้ ท่านได้ข่มขู่ผมในฐานะที่ผมเป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายของสมาชิกฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองในประเทศไทย และมันไม่ใช่แค่เพียงข่มขู่จะดำเนินคดีกับผม แต่ยังมีคำขู่แบบไม่เฉพาะเจาะจงว่าวันหนึ่งผมต้อง “เจอ”

หากพิจารณาการกระทำก่อนหน้านี้ของสมาชิกรัฐบาลท่านและตัวท่านเอง ผมมีเหตุผลอย่างดีที่จะแสดงออกถึงความกังวลใจเป็นพิเศษในเรื่องการใช้กระบวนการกฎหมายป้ายสีผม การกระทำเหล่านี้เข้าใจได้ว่า เป็นวิธีการข่มขวัญที่รัฐบาลคุณใช้จัดการกับผู้วิพากษ์วิจารณ์ชาวต่างชาติ รวมถึงการจับกุมพลเมืองสหรัฐฯ และรังควาญนักวิชาการต่างชาติเมื่อไม่นานมานี้ด้วย

ผมเกรงว่าคำขู่ของท่านจะถูกเปิดโปงต่อกลุ่มคนที่ติดตามผลงานของเรามาตลอด การวิจารณ์และเรียกร้องให้ผู้นำพรรคประชาธิปัตย์รับผิดต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน ไม่ใช่การโจมตีประเทศไทยหรือสถาบันต่างๆของประเทศ หากมันเป็นการโจมตีประเทศไทยจริง ไม่ใช่เพียงตัวแทนกฎหมายของเราควรจะถูกท้าทายเท่านั้น แต่องค์กรระหว่างประเทศอย่าง ฮิวแมนไรท์วอซซ์ และคณะกรรมาธิการนักกฎหมาย (Commission of Jurists) ที่เน้นย้ำให้เห็นถึงการทำลายสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลท่านควรจะถูกท้าทายด้วยเช่นกัน

เราทำงานใกล้ชิดร่วมกับกลุ่มนักกฎหมายไทยมาตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อประกันว่าการดำเนินงานของเราจะมีความสอดคล้องกับกฎหมายของไทยและกฎหมายระหว่างประเทศ และเรายังคงทำเช่นนั้น ทั้งยังให้ความสนใจกับรายละเอียดและเคารพกฎหมายไทยอย่างเคร่งครัด

ทีมงานและพยานทำงานอย่างหนักเพื่อช่วยเรารวบรวมและเผยแพร่หลักฐานอาชญากรรมของรัฐบาลท่าน ในทางกลับกัน เรายังรอให้รัฐบาลท่านแสดงหลักฐานพิสูจน์ข้อกล่าวหาต่อบุคคลที่ขัดขืนการปกครองของคุณ

การสร้างสภาพแวดล้อมอันเป็นปรปักษ์ต่อที่ปรึกษากฎหมายของฝ่ายตรงข้ามในการทำงาน ที่สำคัญเพื่อสนับสนุนระบบนิติรัฐเป็นสิ่งที่ทำลายประเทศไทย คำขู่ของท่านและรัฐบาลท่านเกี่ยวกับการคุกคามทางการเมือง มีส่วนทำให้ชื่อเสียงของประเทศไทยแย่ลงในสายตาของประชาคมโลก

การกระทำของท่านและพรรคประชาธิปัตย์ที่ใช้ศาลยุติธรรมเป็นเครื่องมือกดขี่ฝ่ายตรงข้ามและปกปิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่องได้ถูกเปิดโปงแล้วทั้งในประเทศและนอกประเทศ

ในวันที่ 2 มิถุนายน ศาลจะไต่สวนแกนนำเสื้อแดง 17 คน และหลายคนกลัวว่าสิ่งที่แย่ที่สุดจะเกิดขึ้น: นั้นคือเรื่องพรรคประชาธิปัตย์จะใช้วิธีการแบบเผด็จการและไม่ชอบด้วยกฎหมายคุมขังแกนนำฝ่ายตรงข้ามเหล่านี้ด้วยข้อหาจอมปลอม ซึ่งจะกระทบกับความชอบธรรมและความน่าเชื่อถือของการเลือกตั้งทั่วไปที่กำลังจะมาถึง เพื่อให้เข้าใจในบริบทที่กว้างหว่า ผมขอเชิญทุกท่านให้อ่านคำขู่ของท่านต่อผม ร่วมกับคำแถลงการณ์ร่วมของผมกับแกนนำเสื้อแดง นางธิดา ถาวรเศรษฐ

ความพยายามของท่านและรัฐบาลท่านที่จะกดขี่และทำให้คนเสื้อแดงท้อแท้นั้นไม่เป็นที่ประสบความสำเร็จ ประชาชนชาวไทยสมควรได้รับการเลือกตั้งที่อิสระและยุติธรรม สำนักงานกฎหมายผมรวมรวมข้อมูลของการกระทำหลายอย่างของพรรคท่านและกองทัพที่ใช้บั่นทอนเจตจำนงของประชาชน เราแนะนำให้ท่านอย่าเดินซ้ำรอยประวัติการใช้ความรุนแรงที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และกดขี่ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอย่างเผด็จการของพรรคท่าน เราแนะนำให้ท่านร่วมมือตามบทบาทของท่าน โดยให้ยุติกิจกรรมในพรรคของท่านที่เคลื่อนไหวร่วมกันทหาร โดยใช้กองทัพเพื่อรักษาไว้ซึ่งอำนาจครอบงำการเมืองอย่างผิดกฎหมาย

ในวันสุดท้ายของการดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ผมแนะนำให้ท่านประพฤติตัวด้วยความเอื้ออารีและมีศักดิ์ศรี เพื่อให้สมกับตำแหน่งในระดับสูงของท่าน

โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม

*******
เรื่องเกี่ยวเนื่อง

-จวกยับ‘โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม’ทำลายชาติ ‘เทือก’ลั่นเอากิ้งกือลงท่อด่าขึ้นไอ้

-ร้องศาลอาญาระหว่างประเทศฉบับใหม่ ใช้ผลสอบฮิวแมนไรต์ว็อท์ชชี้ชัด'ทหารฆ่า'ลากคอฆาตกรชดใช้
http://redusala.blogspot.com

หลุมพราง “ผังล้มเจ้า”
น้ำตาจรเข้-ธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีDSIน้ำตาคลอ หลังจัดฉากให้ลูกน้องในDSIมอบดอกไม้ให้กำลังใจ โต้กระแสข่าวโดนลูกน้องล่าชื่อขับไล่ฐานทำตัวรับใบสั่งทำงานรับใช้นักการเมือง ทำลายฝ่ายปฏิปักษ์ นี่ถ้าวันไหนโดนจับขังคุกตีตรวนโทษฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ท่าทางต้องหาปี๊บหลายใบมาใส่น้ำตา

โดย หรี่ฟุน
31 พฤษภาคม 2554

สื่ออินเตอร์เน็ต / เว็บไซต์ นปช.ยูเอสเอ / องค์กรเสื้อแดงระหว่างประเทศ หรือ Red Shirt International Organization / สื่อสิ่งพิมพ์ เช่น หนังสือพิมพ์ความจริงวันนี้ Thai Red News, Voice of Thaksin รวมถึงวิทยุชุมชน

ทุกท่านให้จำรายชื่อที่ผมเกริ่นไว้น่ะครับ แล้วตามผมมา ผมจะเปิดปากท่อ ที่ ศูนย์อับเฉา กับกรมสอบสวนคดีปั้นน้ำเป็นตัว วางแผนขุด “หลุมพราง” วางล่อไว้ เพื่อให้บรรดาบุคคลที่มีรายชื่อตาม “ผังล้มเจ้า” หลวมตัวเดินเข้ามาตกหลุม

ประเด็นแรก ถามว่า ทำไม โฆษกไก่อู ที่อยู่ดีๆต้องดันทะลึ่งออกมาให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับคดีล้มเจ้า ในห้วงระยะเวลาใกล้การเลือกตั้ง และเรื่องที่ออกมาพูดมันก็ดันทะลึ่งไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ที่โฆษกไก่อูเคยให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อตอนกำลังบ้าอยู่ในศูนย์อับเฉา กับการแถลงต่อศาลเพื่อไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาท หลังจากวางแผนร่วมกับจำเลยที่ 1 (มาร์ค) กับจำเลยที่ 2 (เทพเทือก) กันอย่างดีในการโยนขี้ให้กับธาริต DSI ตามคำให้สัมภาษณ์ของทั้งสองตัว ดังนี้ครับ


เริ่มต้นจากการให้สัมภาษณ์ขณะมีอำนาจของ โฆษกไก่อู

วันที่ 26 เมษายน 2553 เวลา 18.30 น. ณ แหล่งสมาคมนายทหาร กองพลทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11รอ.) พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ในฐานะโฆษก ศอฉ.ได้แถลงข่าวประจำวัน ดังต่อไปนี้

เป็นความพยายามที่จะสร้างความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชน เพื่อส่งผลกดดันต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐ กลุ่มแกนนำคนเสื้อแดงเองก็บอกว่าพยายามจะยกระดับการชุมนุม ซึ่งโดยปกติผิดกฎหมายอยู่แล้วไปสู่การก่อการร้าย อย่างที่เห็นเป็นการซ่องสุมอาวุธกันเป็นจำนวนมาก แล้วก็พยายามที่จะผูกโยงเรื่องราวต่าง ๆ โดยใช้ข้อมูลอันเป็นเท็จมุ่งโจมตีสถาบันเบื้องสูง อันเป็นที่รักเคารพของคนไทยทุกคน

มีการดำเนินการกันแบบเป็นระบบ ผ่านทางกลุ่มบุคคลทั้งที่เป็นแกนนำหลัก แกนนำรอง ซึ่งผู้ที่คุ้นชื่อมีคดีติดตัว บางคนก็อยู่ในระหว่างการพิจารณาว่าจะมีคดีหรือไม่ ก็หนีไปก่อน เช่น ดา ตอร์ปิโด สุชาติ นาคบางไทร จักรภพ เพ็ญแข ชูพงษ์ ถี่ถ้วน ที่เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่ามีพฤติกรรมอย่างไร ไม่ว่าจะผ่านทาง สื่ออินเตอร์เน็ต เว็บไซต์ นปช.ยูเอสเอ องค์กรเสื้อแดงระหว่างประเทศ หรือ Red Shirt International Organization สื่อสิ่งพิมพ์ เช่น หนังสือพิมพ์ความจริงวันนี้ Thai Red News, Voice of Thaksin รวมถึงวิทยุชุมชนต่างๆ คนรักแท็กซี่ของนายชินวัฒน์ หาบุญพาด เหล่านี้คือสื่อสีแดงที่ให้ข้อมูลข่าวสารในลักษณะที่หมิ่นเหม่ และจาบจ้วงต่อสถาบันเบื้องสูงอันเป็นที่รักเคารพของคนไทยอยู่ตลอดเวลา

การโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีลักษณะเป็นเครือข่ายเชื่อมโยง มีลำดับขั้นทั้งระดับบงการ ปฏิบัติการ และแนวร่วม จะปรากฏทั้งในลักษณะการเผยแพร่โดยตรง เช่น การให้สัมภาษณ์สื่อต่างชาติ การปราศรัย การเผยแพร่บทความและใบปลิว และการเผยแพร่ทางอินเทอร์เนต เช่นการทำเว็บไซต์ คลิปวิดีโอ อีเมล์ และสื่อออนไลน์อื่นๆ โดยขณะนี้ได้ตรวจสอบผู้ต้องสงสัยว่าจะกระทำผิดในช่วงปี 2549 – 2553 ทั้งในเชิงการข่าว ด้านเทคโนโลยี และการเงินผ่านทางชุดปฏิบัติการ โดยถ้ามีพฤติกรรมเป็นกระบวนการ ทางคณะกรรมการก็จะรับมาดำเนินการเป็นคดีพิเศษ

โดยในการแถลงข่าว พ.อ.สรรเสริญ ได้แจกแผนผังให้กับผู้สื่อข่าวด้วย โดยแผนผังที่ พ.อ.สรรเสริญแจก มีลักษณะเป็นแผนที่ความคิด (Mind Map) แบบที่ครูในโรงเรียนประถม และมัธยมใช้สอนนักเรียนเพื่อลำดับความสัมพันธ์เชื่อมโยงของเรื่องต่างๆ ในการเรียน

โดยในแผนผังของ พ.อ.สรรเสริญ นอกจากมีการเขียนรายชื่อนักการเมือง แกนนำคนเสื้อแดง เชื่อมโยงกับ นปช. ว่าจาบจ้วงสถาบันฯ แล้ว ยังมีการกล่าวหาว่านายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ถือเป็นผู้นำทางความคิดของขบวนการผ่านการแสดงความเห็นในเว็บไซต์สนทนาอินเทอร์เน็ตแห่งหนึ่งด้วย

ข้อมูลอันเป็นเท็จล่าสุดคือเรื่องของท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีฆะระ รองราชเลขาธิการ ในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถท่านผู้หญิงฯ เป็นผู้ถวายงานรับใช้ใกล้ชิด มีหน้าที่ที่จะนำพระมหาเมตตา พระมหากรุณาธิคุณมาสู่พี่น้องปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ไม่แบ่งสีไม่แบ่งฝ่าย ซึ่งการทำงานของ ศอฉ. ที่ผ่านมาก็เป็นการประสานงานกันอย่างแน่นแฟ้น ระหว่างเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และข้าราชการพลเรือน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องชี้นำจากกลุ่มบุคคลใด หรือจากบุคคลใด การใส่ร้ายโจมตีท่านผู้หญิงจรุงจิตต์นั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่เป็นข้อมูลอันเป็นเท็จทั้งสิ้น และเป็นสิ่งที่ไม่บังควร ซึ่งทางแกนนำ นปช. ก็พยายามที่จะหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาสร้างความสับสนให้กับสังคม บิดเบือนข้อเท็จจริง มุ่งที่จะโจมตีไปยังท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ หรือหลายคนอาจจะมีความคิดว่า มีวัตถุประสงค์อื่นใดที่สูงไปกว่านี้

การให้สัมภาษณ์เมื่อหมดอำนาจ

วันที่ 22 มี.ค. 2554 ศาลอาญา นัดพร้อมเพื่อประนอมข้อพิพาท หรือนัดไต่สวนมูลฟ้อง ศาลดำเนินการไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาทแล้ว จำเลยที่ 3 (ไก่อู) แถลงว่า

“ ประการที่หนึ่ง ศอฉ. ในขณะนั้นเชื่อมั่นว่ามีขบวนการจ้องจะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์จริง

“ ประการที่สอง ในช่วงเวลานั้น มีข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอินเตอร์เน็ตกล่าวหาในลักษณะทำนองว่า ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ โทรศัพท์มาสั่งการ ศอฉ. อยู่ตลอดเวลา ให้ดำเนินการนานับประการกับกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งมิได้เป็นความจริง ศอฉ. มีความจำเป็นที่ต้องชี้แจงข้อมูลข่าวสารให้สังคมได้รับทราบความจริงเป็นเช่นไร นอกจากนั้นแล้ว ศอฉ. ได้ขยายความลงไปเพราะว่าทางราชการมีหน่วยงานทางด้านความมั่นคง ที่สำนักนายกรัฐมนตรีได้จัดตั้งขึ้น โดยมีหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องเป็นตัวขับเคลื่อน ซึ่งหน่วยงานด้านความมั่นคงก็มีการรวบรวมข้อมูลข่าวสารของขบวนการที่จ้องจะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์มาโดยตลอดจึงนำข้อมูลทั้งหลายเหล่านี้มาประกอบ เพื่อใช้ในการชี้แจงทำความเข้าใจกับสังคม

“ ประการที่สาม ในช่วงเวลา เช้าของวันเกิดเหตุข้าฯได้แถลงข่าวให้สังคมรับทราบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ว่าไม่เป็นความจริงตามข้อมูลที่พยายามกล่าวหาใส่ร้ายท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ โดยแถลงกำกับตอบไปด้วยว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการล้มเจ้านั้น ในขณะนั้นมีคุณดาตอร์ปิโดกับคุณจักรภพ เพ็ญแข ซึ่งทั้ง 2 คนนี้มีหมายจับแล้ว ในช่วงเวลาเย็นเกิดจากการประชุมในช่วงบ่ายของศอฉ. ได้มีมติของศอฉ. ที่ต้องการจะให้นำเสนอข้อมูลข่าวสารแก่สังคมเป็นลายลักษณ์อักษรอีกทางหนึ่ง เพื่อให้สังคมพิจารณา

“ ข้าฯ ได้รับมอบหมายให้นำเอกสารเหล่านั้นไปแจกแก่สื่อมวลชน ซึ่งเอกสารที่ไปแจกนั้น ศอฉ. มิได้หมายความว่าผู้ที่มีชื่อในเอกสารเป็นผู้เกี่ยวข้องในฐานะอยู่ในขบวนการ ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่เป็นความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ในลักษณะต่างๆ ซึ่งให้สังคมพิจารณาและวินิจฉัยเอาเอง ซึ่งมีรายละเอียดอยู่ในเอกสารว่าแต่ละคนเกี่ยวข้องกันในฐานะอะไร เช่น เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในฐานะญาติพี่น้อง เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในฐานะผู้ทำธุรกิจร่วมกันอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมิได้แถลงเลยว่า บุคคลทั้งปวงเหล่านั้นมีความสัมพันธ์ในฐานะที่เป็นผู้อยู่ในขบวนการ และมิได้ให้หมายความเช่นนั้น

“ แต่หลังจากนั้นมีสื่อมวลชนนำเรื่อง ราวต่างๆ เหล่านี้ไปขยายผล ขยายความ ซึ่งอาจจะส่งผลต่อผู้ที่เกี่ยวข้องในแผนผังดังกล่าว ทำให้ได้รับความเสียหายจากมุมมองของสังคม เพราะเป็นเรื่องที่สังคมจะต้องตัดสิน ส่วนผู้ที่ได้รับความเสียหายที่เกิดขึ้นจะฟ้องร้องกับผู้ที่นำไปขยายความใน ทางที่ผิดจากเจตนารมณ์ของศอฉ. ก็สุดแล้วแต่บุคคลเหล่านั้นจะพิจารณา”

การให้สัมภาษณ์ของนาย ธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดี ดีเอสไอ และ กรรมการ ศอฉ. ในขณะนั้น,10 ก.ค.2553

นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ และ คณะกรรมการ ศอฉ.เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีเกี่ยวกับการกระทำที่เป็นภัยของรัฐ โดยมุ่งร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือ คดีล้มเจ้า ว่าหลังจากที่ปฏิบัติการออกเป็น 9 ชุด ร่วมทำงาน 18 หน่วยงาน ตนเองได้ตั้งพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เป็นหัวหน้าชุดทั้ง 9 เพื่อสะดวกในการประสานงานสั่งการ ซึ่งชุดปฏิบัติการทั้ง 9 ได้เริ่มสืบสวนสอบสวน โดยอาศัยแนวจากแผนผังรายชื่อของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. ทั้งนี้ เตรียมประสาน ศอฉ. เพื่อให้ข้อมูลในกรอบรายชื่อดังกล่าวในเร็ว ๆ นี้โดยแต่ละชุดปฏิบัติงานจะมีการประชุมร่วมกัน เพื่อสอบถามความคืบหน้าทุกๆ สัปดาห์ เพื่อรายงานต่อที่ประชุมใหญ่คดีล้มเจ้า ที่จะมีการประชุมร่วมกันเดือนละครั้ง

การให้สัมภาษณ์ในฐานะ อธิบดี ดีเอสไอ

วันที่ 26 พ.ค.54 นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ชี้แจงการดำเนินคดีล้มเจ้า หลัง พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ให้การต่อศาลในคดีที่ถูกฟ้องหมิ่นประมาท โดยระบุแผนผังล้มเจ้าเป็นแค่ข้อมูลการเชื่อมโยง ไม่ได้บอกว่าใครล้มเจ้า ว่า ดีเอสไอดำเนินคดีล้มเจ้า เนื่องจากทาง ศอฉ.เสนอให้เป็นคดีพิเศษ จากนั้น คณะกรรมการ กคพ.พิจารณาแล้ว และมีมติรับไว้เป็นคดีพิเศษ ดีเอสไอจึงเรียกให้ ศอฉ.ส่งคนมาชี้แจงเรื่องแผนผังล้มเจ้าที่ ศอฉ.ได้จัดทำขึ้น โดยทาง ศอฉ.ก็ได้ชี้แจง และได้อธิบายถึงความเชื่อมโยงตามแผนผัง มีการยืนยันตัวบุคคลที่เกี่ยวข้อง จากนั้นดีเอสไอได้ตรวจสอบรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดี

"ขอยืนยันว่าข้อมูลนี้จัดทำโดยฝ่ายความมั่นคง และดีเอสไอได้ดำเนินการไปแล้วหลายคดี ล่าสุดก็เป็นคดีล้มเจ้า ที่เรานัดผู้ต้องหามารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 2 มิ.ย.นี้" นายธาริตกล่าว

อธิบดีดีเอสไอกล่าวว่า การที่ พ.อ.สรรเสริญถูกฟ้องหมิ่นประมาท หลังจากนำข้อมูลมาเปิดเผย น่าจะเข้าใจว่า พ.อ.สรรเสริญไม่ใช่พนักงานสอบสวน เมื่อนำแผนผังดังกล่าวไปเผยแพร่ ก็ส่งผลอาจทำให้ถูกฟ้องหมิ่นประมาทได้

"สำหรับดีเอสไอที่นำแผน ผังดังกล่าวมาแถลงนั้น สามารถกระทำได้ เนื่องจากเป็นพนักงานสอบสวนคดีนี้โดยตรง เป็นการพูดทางคดี จึงไม่ผิดแต่อย่างใด ส่วนผู้ที่มีรายชื่อในแผนผังล้มเจ้าจะมีความเกี่ยวข้อง เข้าข่ายมากน้อยแค่ไหน หรือเกี่ยวพันกันทั้งหมดหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการสอบสวนต่อไป"

ส่วนกรณีพ.อ.สรรเสริญ ระบุว่า รายชื่อตามผังของศอฉ.ไม่ได้ระบุถึงพฤติกรรม แต่ระบุถึงความเกี่ยวข้องระหว่างกลุ่มคนต่างๆ นั้น นายธาริตกล่าวว่าพ.อ.สรรสริญมีสถานะเป็นเพียงโฆษก ศอฉ. ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องในการให้ข้อมูลชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินคดี แต่ดีเอสไอหรือเจ้าหน้าที่หน่วยความมั่นคงที่มีหน้าที่โดยตรงสามารถให้ข้อมูลได้ และสื่อมวลชนที่นำข้อมูลไปเผยแพร่ต่อก็ไม่มีความผิดเช่นกัน

ประเด็นที่สอง ที่ผมบอกว่าให้ทุกท่านจำรายชื่อที่เกริ่นไว้ คือ สื่ออินเตอร์เน็ต / เว็บไซต์ นปช.ยูเอสเอ / องค์กรเสื้อแดงระหว่างประเทศ หรือ Red Shirt International Organization / สื่อสิ่งพิมพ์ เช่น หนังสือพิมพ์ความจริงวันนี้ Thai Red News, Voice of Thaksin รวมถึงวิทยุชุมชน ก็เพราะเหตุว่า ดีเอสไอ มันได้รวบรวมหลักฐานไว้มากพอสมควร หลักฐานแต่ละอย่างค่อนข้างสมบูรณ์

ที่ว่าสมบูรณ์ ก็เพราะปัจจุบันอุปกรณ์ทันสมัย ระบบเทคโนโลยีที่ทันสมัย เจ้า ดีเอสไอ มีค่อนข้างพร้อมและมีประสิทธิภาพกว่าหน่วยข่าวด้านความมั่นคงอื่นๆ การดักฟังทางโทรศัพท์แล้วบันทึกเทป การเก็บรวบรวมหลักฐานทางเว๊ป ทางวิทยุ ทางสื่อสิ่งพิมพ์ ที่สำคัญการสร้างพยานทั้งจริงและเท็จ ในรูปแบบ การให้สินบน การข่มขู่คุกคาม ล้วนเป็นหลักฐานสำคัญที่พอจะดำเนินคดีกับบุคคลและเครือข่ายตามผังล้มเจ้าได้อย่างสบายสบาย เจ้าธาริต มันถึงได้ทำท่าแอ๊คอ๊ร์าตอยู่ทุกวันนี้ เว้นแต่บุคคลที่ไม่มีพฤติกรรม หรือพลั้งเผลอไปพูดไปแสดงความคิดเห็น ไปวิเคราะห์ เกี่ยวกับสถาบัน ก็รอดตัวไป อย่างเช่นอาจารย์ สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ

ดังนั้น บุคคลที่มีรายชื่อตามผังล้มเจ้า ที่ไม่มีพฤติกรรมอย่างที่ผมพูดถึง ทุกท่านสามารถฟ้องศาลแบบอาจารย์สุธาชัย ได้เลย ดูซิว่า ไอ้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และ จำเลยที่ 3 มันจะแถลงต่อศาลอย่างไร

แต่ควรฟ้องพวกมันหลังวันที่ 3 ก.ค.54 เพราะตอนนั้น จำเลยที่ 1 (มาร์ค) จำเลยที่ 2 (เทพเทือก) มันจะได้เป็นจำเลยตัวจริง เสียงจริง เสียที เอาให้หนักเลย ครับ อาจารย์สุธาชัย ฟ้องเรียกค่าตกใจตอนแรกเพียง 3 แสนกว่าบาทเท่านั้น พวกท่านหลายควรเรียกแม่งงง ให้หงายท้องไปเลย ส่วนจำเลยที่ 3 ที่ทำงานเก่งมาก ให้มันไปอยู่จังหวัดชายแดนใต้ซ่ะ จะได้โดนระเบิดยัดปากซ่ะบ้าง

พอพูดถึงไอ้ไก่อู ก็พบความกวนโอ๊ยยของมันอีกเรื่อง ครับ

(26 พ.ค.54) พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณีที่นายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ออกมาแถลงถึงกรณีที่ศาลมีคำสั่งถอนฟ้องตนเองในข้อหาหมิ่นประมาท ที่ไปพูดถึงนายสุธาชัย อยู่ในขบวนการล้มเจ้า ซึ่งเกิดจากการที่ตนเองไปขอให้ถอนฟ้องและเป็นฝ่ายขอยอมความนั้น ไม่เป็นความจริง และขอยืนยันว่าการออกมาชี้แจงครั้งนี้เป็นการพูดในฐานะส่วนตัวเพราะถูกพาดพิง จาก อ.สุธาชัย โดยไม่อยากอธิบายความให้มากนัก เพราะช่วงนี้ใกล้เลือกตั้งอาจถูกบางฝ่ายนำประเด็นไปเกี่ยวข้องกับการเมือง

อยากกราบวิงวอนขอเชิญอาจารย์สุธาชัย ออกมาแถลงข่าวเล่าความจริงให้สังคมไทยได้รับทราบหน่อยครับ อย่าปล่อยให้ไอ้เด็กเมื่อวานซืนที่หลงตัวเองนึกว่าเป็น ผบ.ทบ. มาท้าทายเลยครับ

ไก่อูเอ๋ย อย่าเก่งแต่ในรูเลยลูก อย่าลืมตน ลูกยังมีพ่อมีแม่มีพี่มีน้องมีเมีย มีอนาคต อย่าบ้าไปกับสิ่งที่ไม่จิรังเลยลูก จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ ทำตัวเป็นทหารที่ดีของประชาชนดีกว่าลูก ลูกจะได้นอนตายตาหลับน่ะลูกน่ะ.........
http://redusala.blogspot.com

‘ร.ย.-ย.ล.’ทดสอบสปิริตชายไทย

               รายงาน(วันสุข)
         จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้ วันสุข
         ปีที่ 6 ฉบับที่ 312 ประจำวัน จันทร์ ที่ 30 พฤษภาคม 2011
         โดย วิษณุ บุญมารัตน์
            http://www.dailyworldtoday.com/newsblank.php?news_id=10876
         ก่อนเข้าบทความวันนี้ ผู้เขียนขอฝากถึงกองกำลังติดความรู้ชาวไทยภาคอีสานเพื่อต่อสู้กับลูกจีนรักชาติของพลตรีจำลอง ศรีเมือง ว่า “เชื่อว่าทุกคนเคยแพ้ เชื่อว่าทุกคนเคยล้มเหลว แต่คนแพ้ไม่ใช่คนที่ล้มเหลว คนล้มเหลวคือคนที่ล้มเลิกต่างหาก สุดท้ายพวกเราจำไว้เสมอว่าจะชั่วจะดีเราก็เป็นคนไทย ไม่ใช่พวกลูกจีนรักชาติของพลตรีจำลอง ศรีเมือง”

ระยะนี้ผู้หญิงกำลังเป็นหัวข้อวิพากษ์ของสังคมอย่างน้อย 2 คน 2 ประเด็น หนึ่งคือ “เรยา” ตัวละครจากเรื่อง “ดอกส้มสีทอง” ที่เพิ่งจบไป ส่วนอีกคนหนึ่งคือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัครรับเลือกตั้งระบบบัญชีรายชื่อหมายเลข 1 ของพรรคเพื่อไทย ผู้ถูกคาดหมายว่าอาจเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศ


ในวันนี้ไม่ได้คิดจะชูธงเป็นกลุ่มสตรีนิยมหรือเฟมินิสต์ (Feminist) แต่กระแสข่าวผู้หญิงทั้งสองเรื่องก่อให้เกิดกรอบความคิดบางอย่างเกี่ยวกับสังคมไทย โดยเฉพาะกรอบความคิดของผู้ชายในปัจจุบันที่สะท้อนออกมาอย่างน่าสนใจโดยผ่านผู้หญิงทั้งสอง


ผู้หญิงคนแรก “เรยา” นั้นผู้เขียนไม่ได้ดูละครเรื่องดอกส้มสีทองตั้งแต่แรก มาดูในตอนท้าย เพราะอยากทราบว่าเหตุใดสังคมจึงพูดถึงเรื่องดังกล่าวแทบทุกสาขาอาชีพ จึงพบว่าเรื่องนี้มีองค์ประกอบที่ส่งเสริมกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นการเขียนบทที่แต่งเติมจากนิยายจนเข้มข้น หรือนักแสดงซึ่งรับบทโดยอารยา เอ ฮาร์เก็ต ที่เรื่องนี้ต้องยอมรับว่าเธอแสดงได้ดีจริงๆ ทำให้คนดูรู้สึกคล้อยตามอย่างมาก จนกระทั่งผู้ปกครองกลุ่มหนึ่งต้องออกมาเรียกร้องให้เซ็นเซอร์ภาพที่คิดว่าไม่เหมาะสมออกไป เพราะกลัวลูกหลานจะเอาอย่าง


แต่ลืมถามตัวเองไปว่าเลี้ยงลูกเหมือนกับที่แม่ของเรยาเลี้ยงหรือไม่ ดังที่ในตอนท้ายละครเรื่องนี้ได้ยกคำของ “ท่าน ว.วชิรเมธี” มาเตือนใจผู้ปกครองว่าถ้าหากใช่ก็สมควรจะกลัว เพราะในอนาคตจะมีคนแบบเรยาเกิดขึ้นในสังคมอีกมาก แต่หากไม่ใช่ เหตุใดจึงต้องกลัว ในเมื่อคำโบราณที่ว่า “รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี” ยังใช้ได้ทุกสมัย แต่ต้องใช้ด้วยเหตุผล


ผู้เขียนคิดว่าละครเรื่องนี้ให้แง่คิดไม่เพียงเรื่องการเลี้ยงดูบุตรเท่านั้น ขณะเดียวกันเรยาก็ไม่ใช่เพียงสะท้อนการลุกขึ้นมาเรียกร้องขอเป็นที่หนึ่งแทนเมียหมายเลขหนึ่งเพียงอย่างเดียว ในมุมกลับกัน “เรยา” กลับสะท้อนภาพบางอย่างที่สามารถสอนใจผู้ชายไทยได้เป็นอย่างดี เพราะหากมองในเชิงสัญลักษณ์ “เรยา” คือบททดสอบความมีหิริโอตตัปปะของผู้ชายไทยนั่นเอง
“สินธร” ผู้ชายคนแรกของเรยา ยอมมีอะไรกับหญิงอื่นทั้งที่ตัวเองมีภรรยาอยู่แล้ว ยอมทุ่มเททรัพย์สมบัติที่ไม่ใช่ของตัวเองให้กับหญิงผู้มิใช่ภรรยาของตน แม้จะเลิกคบกับเรยาแล้วแต่ก็ยังไม่เลิกไขว่คว้าหาหญิงอื่นอีก ปล่อยให้กิเลสตัณหาพาชีวิตหาความสุขที่ไม่ถูกต้องไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้บทเรียนที่ต้องจดจำไปตลอดชีวิต


“ก้องเกียรติ” ผู้ชายคนที่ 2 ตกกระไดพลอยโจนไปกับกิเลสตัณหาที่เรยายื่นให้ แม้จะโดยไม่ตั้งใจและรำลึกเสมอว่าตนมีภรรยาแล้ว แต่ก้องเกียรติก็ไม่ยอมยุติความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกต้อง เพราะถูกครอบงำจากประเพณีความเชื่อที่ต้องการมีบุตรสืบสกุล จึงทำให้กลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับสิ่งที่ตนกระทำ หากเขากล้าที่จะแหวกม่านประเพณี ปัญหาครอบครัวคงไม่เกิดขึ้น


สุดท้าย เกียรติกร ผู้ชายที่ใช้เหตุผลเหนืออารมณ์ แม้จะรักเรยา แต่เมื่อทราบภูมิหลังของหญิงที่ตนรักก็ยังมีสติคิดใคร่ครวญความถูกต้องเหมาะสม ทำให้ไม่ตกเป็นเหยื่อของตัณหา และสามารถช่วยเหลือพี่ชายแก้ไขปัญหาได้อีกด้วย หากเกียรติกรเป็นผู้ชายที่ใช้อารมณ์เหนือเหตุผลอาจทำให้ต้องผิดใจกับพี่ชายและเกิดปัญหารักสามเส้าขึ้นได้


ในสังคมไทยสามารถหาผู้ชายที่เหมือนกับคนทั้งสามได้ไม่ยาก โดยเฉพาะสินธร ซึ่งมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะศีลธรรมของเราลดน้อยลงตามลำดับ
ผู้ชายหลายคนจึงติดตามเรื่องนี้เพื่อต้องการทราบว่าท้ายที่สุดแล้วก้องเกียรติแก้ปัญหาอย่างไร เผื่อจะได้นำไปใช้แก้ปัญหาของตัวเองบ้าง


จากตัวละครลองหันมาดูคนจริงๆบ้าง การลงสมัครในระบบบัญชีรายชื่อหมายเลข 1 พรรคเพื่อไทยของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ถูกจับตามองว่าเป็นนอมินีที่อดีตนายกรัฐมนตรี พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ส่งเข้าประกวด เพื่อเรียกคะแนนเสียงจากกลุ่มผู้สนับสนุนอดีตนายกฯให้มาท้าชนกับพรรครัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ จนทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้กลายเป็นการเลือกข้างระหว่างพรรคของหนุ่มหล่อกับพรรคของสาวสวย


แต่ยังไม่ทันที่จะมีการทำผลสำรวจว่าประชาชนส่วนใหญ่คิดจะเลือกพรรคใด พรรคประชาธิปัตย์ดูเหมือนจะแทบยอมรับในทันทีว่าการส่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ลงสมัครกลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดผู้สนับสนุนอดีตนายกฯได้เป็นอย่างดี เพราะไม่ว่าจะเป็นนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค หรือนายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ออกมาปรามาสฝีมือการบริหารประเทศของ น.ส.ยิ่งลักษณ์เสียแล้ว


ยังไม่รวมสมาชิกคนอื่นที่ร่วมกันขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ออกมาสู่สาธารณะ เช่น นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ที่ถามถึงการถือหุ้นของสามีและบุตรของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ หรือการปล่อยข่าวเรื่องการแจ้งถือหุ้นเท็จเพื่อช่วยเหลือพี่ชาย ล้วนเป็นความพยายามเพื่อลดความน่าเชื่อถือ (Discredit) น.ส.ยิ่งลักษณ์ทั้งสิ้น


น.ส.ยิ่งลักษณ์คงต้องทำใจว่านับแต่วินาทีที่ลงสมัครรับเลือกตั้งจะต้องถูกการเมืองจากฝ่ายตรงข้าม “เล่น” อีกหลายยก ตราบเท่าที่กระแสข่าวคาดหมายผู้ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรียังคงเป็น น.ส.ยิ่งลักษณ์หากพรรคเพื่อไทยสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้


ผู้หญิงคนที่ 2 นี้จึงเป็นสัญลักษณ์ของความเท่าเทียมทางเพศในสังคมไทย ความเท่าเทียมกันทางการเมืองไทย นั่นคือความเท่าเทียมที่ผู้หญิงจะถูกการเมือง “เล่นงาน” เท่ากับผู้ชาย โดยที่ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องเรียกร้อง แต่สามารถได้มาอย่างง่ายดายหากลงสมัครรับเลือกตั้ง ยังไม่นับการถูกขู่ฆ่า การลอบยิงขณะหาเสียงของผู้สมัครหญิงคนอื่นๆที่ประสบมาแล้ว


ความเป็นสุภาพบุรุษถูกเก็บไว้ชั่วคราวจนกระทั่งหลังเลือกตั้ง และขอให้ติดตามต่อไปว่าหากดวงประเทศไทยจะมีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกจริง นักการเมืองชายทั้งหลายจะยอมรับได้หรือไม่


สปิริตคือคำตอบสุดท้ายครับ



ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 312 
วันที่ 28 พฤษภาคม – 3 มิถุนายน พ.ศ. 2554 หน้า 12  
คอลัมน์ หอคอยความคิด โดย วิษณุ บุญมารัตน์
http://redusala.blogspot.com

ทางออกวิกฤตกองทัพ-ไพร่-อำมาตย์?

               รายงาน(วันสุข)
         จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้ วันสุข
         ปีที่ 6 ฉบับที่ 312 ประจำวัน จันทร์ ที่ 30 พฤษภาคม 2011
           http://www.dailyworldtoday.com/newsblank.php?news_id=10883
         เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้จัดการสนทนาแบบเปิดและการประชุมนโยบายโต๊ะกลมครั้งที่ 1 ในหัวข้อ “สัญญาทางสังคมใหม่ : ทางออกของวิกฤตการเปลี่ยนแปลง” (First International Conference on International Relations, Human Rights and Development) มีผู้ร่วมสนทนาได้แก่ ศ.ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ ศ.ดร.ดันแคน แมคคาร์โก ศ.ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร และ รศ.ดร.เกษียร เตชะพีระ ดำเนินรายการโดย รศ.ดร.ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์ ซึ่งหลายประเด็นเป็นปัญหาที่ฝังรากลึกในสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมทางการเมือง บทบาทของกองทัพไทย ความชอบธรรมทางการเมือง สถาบันตุลาการ และการสังหารประชาชน ซึ่ง “เว็บไซต์ประชาไท” นำมาเรียบเรียงดังนี้

ดร.เกษียรกล่าวถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นว่า คือการเปลี่ยนแปลงที่จะเปลี่ยนวิธีคิดแบบเก่า ในระยะ 4-5 ปีที่ผ่านมาคล้ายๆกับมีอะไรเกิดขึ้นมากมาย มีการสะสมการเปลี่ยนแปลงทางปริมาณและทางคุณภาพ พอสะสมมาจุดหนึ่งก็เกิดการระเบิดเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่โต โดยมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ 3 ประการ ได้แก่ 1.มีการเปลี่ยนย้ายที่ตั้งของอำนาจ (Power shift) 2.มีการขยับเปลี่ยนจากการเมืองของชนชั้นนำ (Elite politics) สู่การเมืองภาคมวลชน (Mass politics) 3.มีนโยบายกระจายความมั่งคั่งเกิดขึ้น


ทั้งหมดนี้คือทิศทางทางการเมืองที่จะเกิดขึ้น การเปลี่ยนทางปริมาณเราค่อนข้างเห็นได้ชัด เป็นเรื่องวิธีการต่อสู้ทางการเมืองโดยมีมวลชนเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างมาก อีกทั้งในกระบวนการต่อสู้นั้นมีการใช้รัฐธรรมนูญและมีความพยายามใช้อำนาจของสถาบันที่นอกเหนือจากการเลือกตั้งและรัฐธรรมนูญ โดย 1.อีลิตที่ต้องการรักษาระเบียบเก่า พึ่งอีลิตด้วยกันไม่ได้ต้องพึ่งมวลชน 2.เพื่อรักษาระเบียบเก่าต้องมีการรัฐประหาร ตลอดจนการรักษาระเบียบใหม่ 3.ทั้งสองฝ่ายพยายามดึงสถาบันมาใช้เพื่อความชอบธรรมทางการเมืองของฝ่ายตน


ดร.เกษียรเสนอว่า สิ่งที่สังคมไทยต้องการตอนนี้คือ 



1.รัฐธรรมนูญวัฒนธรรมฉบับใหม่ ฉบับเก่าเป็นการเมืองของอีลิต ซึ่งไม่เคยเตรียมพร้อมกับการที่มวลชนจะกระโดดเข้ามาเล่นการเมืองภาพใหญ่ ดังนั้น ต้องทำให้การเมืองภาคมวลชนมีความศิวิไลซ์ ไม่อย่างนั้นเราจะไม่สามารถออกจากกับดักได้

“ข้อคิดสำหรับรัฐธรรมนูญวัฒนธรรมฉบับใหม่คือ เราต้องยอมรับกระบวนการโลกาภิวัตน์ของความขัดแย้ง (Globalization of conflict) ให้ได้ คนไทยมีแต่รักใคร่กลมเกลียว รักกันนะ เราต้องทำให้การทะเลาะเป็นเรื่องปรกติธรรมดา ถกเถียงพูดคุยกันได้ แต่ไม่นำไปสู่ความรุนแรง สิวเป็นเรื่องธรรมชาติ conflict ก็เป็นเรื่องธรรมชาติ!”


2.ลดเป้าหมายการเมืองสุดโต่ง การตกอยู่ภายใต้เป้าหมายการเมืองสุดโต่งแล้วปฏิเสธเป้าหมายอื่นทั้งหมดเป็นเรื่องที่น่ากลัว 3.ต้องมีจริยธรรม การโกหก การใส่ร้ายป้ายสี การกล่าวหา การด่าทอ ฯลฯ ไม่นำไปสู่การบรรลุเป้าหมายที่ดีได้ ถามว่าผ่านไป 4-5 ปี คนไทยรู้รักสามัคคีขึ้นไหม สถาบันมั่นคงขึ้นไหม เราต้องคิดว่าวิธีการนั้นสำคัญกว่าเป้าหมาย 4.ต้องเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หากเราไม่เข้าใจคนที่มีความคิดเห็นแตกต่างก็จะไม่สามารถทำให้มวลชนมีความศิวิไลซ์ได้ และไม่สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีได้


สถาบันกองทัพ-ตุลาการ


ศ.ดร.ผาสุกกล่าวว่า กระบวนการที่จะทำให้เกิดการตกลงกันได้ต้องทำให้มีสัญญาสังคมอันใหม่ โดยต้องพูดถึง actor สำคัญที่ปรับตัวไม่ทัน เพราะวิกฤตของเศรษฐกิจ สังคม การเมือง มีกระบวนการพลิกผันตัวเองอย่างหน้ามือเป็นหลังมือภายในระยะเวลาหนึ่งชั่วอายุคนหรือ 30 ปี เป็นภาวะที่คาดการณ์ได้ว่ายุ่งยากมาก รวดเร็วมาก จนกระทั่งกลับตัวไม่ทัน


“ในการเปลี่ยนแปลงแบบม้วนตัวเองนี้ สถาบันต่างๆที่มีอายุยืนยาวมามากกว่า 100-200 ปี และได้รุ่งเรืองขึ้นมาหลังสงครามเย็นนี้เองจนกลายเป็นสถาบันที่แน่นหนามาก และอาจทำให้กลายเป็นสถาบันที่ปิดกั้นการตกลงใหม่ที่ไม่มีความรุนแรง ดิฉันพูดถึงกองทัพไทย”


นอกจากนั้นยังมีอีกสถาบันหนึ่งที่มีความสำคัญในการเปลี่ยนแปลงสังคมไปสู่การตกลงกันใหม่คือ สถาบันตุลาการ เพราะในระยะเวลาที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมาก แต่ไม่เป็นไปในทิศทางที่ดี สถาบันตุลาการเป็นสถาบันที่กุมอำนาจ มีความชอบธรรมที่จะใช้ความรุนแรงได้ จนถูกวิจารณ์ว่าสถาบันนี้ดูเหมือนไม่มีหลักที่ประชาชนเชื่อถือได้ และมีหลักการที่จะปกป้องผลประโยชน์ของมวลชน ถ้าเราไม่มีระบบสถาบันตุลาการที่ให้ความคุ้มครองประชาชนแล้วจะมาตกลงอะไรกันได้


บทบาทกองทัพมากดีหรือไม่?


วิกฤตการเมืองไทยขณะนี้มีความยุ่งยากมาก เพราะมีปฏิกิริยาของสองฝ่ายซึ่งกำลังงัดข้อกันอยู่ มีความจำเป็นที่สองฝ่ายนี้จะต้องมีการเจรจาเพื่อหากรอบข้อตกลงร่วมกัน ฝ่ายหนึ่งคือฝ่ายที่ต้องการรักษาระเบียบเก่า หรือหากเกิดการเปลี่ยนแปลงก็ขอให้เปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ กับอีกฝ่ายหนึ่งคือฝ่ายที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงโดยทันที มาถึงจุดที่จะต้องข้ามพ้นสะพานนี้ คลองนี้ให้ได้ รออีกไม่ได้แล้ว


ความยุ่งยากที่เกิดขึ้นเพราะปฏิกิริยาของพวกที่ต้องการระเบียบเก่าสามารถอ้างอิงกับสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยมีอำนาจด้านกายภาพจากฝ่ายกองทัพ บวกกับแรงสนับสนุนของสังคมและชนชั้นกลางบางส่วน ยุทธศาสตร์หนึ่งของฝ่ายนี้คือ ทำให้ฝ่ายที่จะสร้างระเบียบใหม่ดูประหนึ่งว่าไร้ความชอบธรรม เช่น มีวาทกรรมไร้การศึกษา ถูกซื้อได้ง่าย คิดเองไม่เป็น


ทั้งที่มีงานเชิงประจักษ์หลายชิ้นของหลายคนที่ชี้ให้เห็นว่าประชาชนต่างจังหวัดมีความตื่นรู้ทางการเมืองอย่างเป็นระบบ สามารถคิดเอง ทำเอง และหาทางเข้าสู่ข้อมูลข่าวสารด้วยตนเองได้ ทั้งยังมีนักวิชาการญี่ปุ่นท่านหนึ่งที่ศึกษาประวัติศาสตร์และการเมืองในเมืองไทยสรุปไว้อย่างน่าสนใจว่า


“ความยุ่งเหยิงทางการเมืองในปัจจุบันเป็นขั้นตอนหนึ่งของพัฒนาการประชาธิปไตยของสังคมไทย ประเทศไทยกำลังประสบกับความเจ็บปวดของการเกิดใหม่ เมื่อระบบการเมืองไทยพร้อมที่จะก้าวต่อไปข้างหน้า แต่การที่จะก้าวต่อไปข้างหน้าก็ต้องมีการยอมรับว่าคนไทยได้เปลี่ยนไปแล้วจากทั้งสองฝั่ง และทั้งสองฝั่งที่ขัดแย้งกันต้องพร้อมที่จะเสวนากัน มาพูดคุยกัน และการพูดคุยกันนั้นอาจต้องมีการแลกหมูแลกแมว แปลได้ว่าจะต้องมีการสูญเสียของทั้งสองกลุ่มด้วย ต้องมีการแลกหมูแลกแมว ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ต้องใช้เวลา”


ศ.ดร.ผาสุกในฐานะประชาชนคนหนึ่งจึงอยากแสดงความคิดเห็นต่อสถาบันหนึ่งที่น่าจะมีบทบาทสำคัญที่จะทำให้กระบวนการเจรจาเป็นไปในแนวทางที่สร้างสรรค์มากขึ้น หรือมีการพูดจาถกเถียงกันมากขึ้นหากสถาบันนี้มีการปรับเปลี่ยน นั่นคือสถาบันกองทัพไทย เพราะนับจากการรัฐประหาร พ.ศ. 2549 กองทัพไทยได้ขยายบทบาทในสังคมไทยอย่างกว้างขวาง จนเป็นที่กล่าวขานกันว่า “หากรัฐบาลใดที่ได้รับการเลือกตั้งแต่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากทหารก็จะอยู่ไม่ได้”


แต่ยังไม่มีการตั้งคำถามว่าหากทหารมีบทบาทมากเช่นนั้นดีหรือไม่ดี และแนวโน้มในอนาคตจะเป็นอย่างไร?


ผู้นำกองทัพสวมหมวกหลายใบ?


สิ่งที่เห็นเป็นรูปธรรมว่าสถาบันทหารมีการขยายบทบาทสูงมากนั่นคือ 



1.งบประมาณกระทรวงกลาโหมได้เพิ่มขึ้นในปี 2550-2552 ถ้าเปรียบเทียบงบประมาณระหว่างประเทศ พบว่ากระทรวงกลาโหมของสหรัฐ 4.3% ของจีดีพี ของไทย 1.8% ของจีดีพี เกือบครึ่งหนึ่งของสหรัฐ มากกว่าเยอรมนีที่เป็นพี่ใหญ่ของอียูที่ใช้ 1.3% ของจีดีพี อินโดนีเซีย 1% ของจีดีพี ญี่ปุ่น 0.9% ของจีดีพี จีน 2% ของจีดีพี และถ้าหากดูสัดส่วนทหารต่อประชาชน สหรัฐ 79 คนต่อประชาชน 1,000 คน ญี่ปุ่น 2.2 คนต่อประชาชน 1,000 คน ของไทย 10 ต่อ 1,000 คน อันนี้รวมทหารนอกประจำการด้วย

2.มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญหลัง พ.ศ. 2549 คือการแต่งตั้งโยกย้าย ก่อนรัฐประหารนั้นโผทหารจะถูกพิจารณาโดยนายกรัฐมนตรีก่อนเสนอให้ทรงลงพระปรมาภิไธย นับจากปี 2551 มีการแก้ไขให้โผทหารประจำปีอยู่ในกำกับของกองทัพแทบจะสิ้นเชิง โดยมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาในการตั้งผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และผู้บัญชาการเหล่าทัพต่างๆ คณะกรรมการประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงกลาโหม ฯลฯ


3.บทบาทของผู้นำฝ่ายทหารของไทยมีหลายบทบาท มีหมวกหลายใบ มีการตั้งข้อสังเกตว่าภายใน 2 สัปดาห์ที่ผ่านมามีการออกมาแสดงความคิดเห็นของฝ่ายทหารชั้นผู้ใหญ่ต่อสื่อบ่อยมาก เช่น ผบ.ทบ. เสนอว่ารัฐบาลควรมีนโยบายต่างประเทศกับกัมพูชาอย่างไร ทั้งยังมีการออกมาพูดทำนองว่าให้ออกมาเลือกตั้งมากๆ เพื่อปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ จริงๆแล้วเป็นผลดีที่ชักชวนให้คนออกมาเลือกตั้ง แต่ก็มีการออกคำสั่งให้ปิดเว็บไซต์มากขึ้น เว็บไซต์ที่มีความเกี่ยวโยงกับความมั่นคงของประเทศ ซึ่งนิยามของคำว่า “ความมั่นคง” อาจไม่ใช่นิยามที่คนทั่วไปต้องการ


ศ.ดร.ผาสุกให้ข้อมูลว่า เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคมที่ผ่านมามีรายงานว่า ผบ.ทบ. ในฐานะผู้อำนวยการ กอ.รมน. เสนอให้ กอ.รมน. มีลักษณะเป็นกระทรวงเพื่อดูแลความมั่นคงภายในเหมือนกับของสหรัฐหลังจากเหตุการณ์ 9/11 ซึ่งรัฐบาลสหรัฐกำลังถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าใช้งบประมาณเป็นจำนวนมาก มีการใช้อำนาจมืดในการปิดเว็บไซต์ การแสวงหาข้อมูลจนเกินเลย ด้วยเหตุผลที่ว่าต้องการรักษาความมั่นคงภายในของสหรัฐเพื่อต่อต้านขบวนการก่อการร้าย และยังใช้อำนาจจับกุมผู้ต้องสงสัยและทำทารุณกรรมกับชาวต่างประเทศ เป็นสิ่งที่ไม่คิดว่าจะเป็นการกระทำของประเทศที่ได้ชื่อว่ามีเสรีนิยมและสิทธิมนุษยชนมากอย่างสหรัฐ


ในรายงานฉบับดังกล่าวระบุว่า ผบ.ทบ. ต้องการขยายขอบข่ายงานของ กอ.รมน. เพื่อจัดการกับกรณีที่ประเทศไทยถูกคุกคาม อีกทั้งกฎกระทรวงใหม่ยังให้อำนาจในการดูแลปัญหาภัยพิบัติจากธรรมชาติ ปัญหาภาคใต้ และปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ต้องจัดตั้งงบประมาณใหม่หากมีการตั้งกระทรวงขึ้นมา


ในรายงานบอกอีกว่า ผบ.ทบ. ได้เสนอความคิดนี้ต่อนายกฯอภิสิทธิ์แล้ว ซึ่งนายกฯก็เห็นด้วย ผบ.ทบ. จึงสั่งการให้มีคณะกรรมการเพื่อศึกษาวางแผนที่จะเสนอการตั้งกรมใหม่ให้แก่รัฐบาลต่อไป ขณะที่ กอ.รมน. ถูกวิจารณ์ว่ากำลังใช้อิทธิพลต่อการเลือกตั้งครั้งใหม่ด้วยการส่งทหารไปทำด้านการพัฒนาให้ความรู้ประชาชนทั่วประเทศ แต่ กอ.รมน. ปฏิเสธว่าไม่ได้ทำ


“สถาบันกองทัพไทยเป็นองค์ประกอบสำคัญของฝั่งปฏิกิริยาของผู้ที่ต้องการรักษาระเบียบเก่า และเป็นองค์ประกอบอันหนึ่งของความยุ่งยากในทางการเมือง เคยมีการพูดถึงการปฏิรูปสถาบันทหารให้มีขนาดกะทัดรัดแต่มีประสิทธิภาพ ขณะนี้ไม่มีใครพูดถึงสิ่งเหล่านี้แล้ว กลายเป็นว่ากองทัพกำลังเพิ่มบทบาท โดยเฉพาะจากการรัฐประหาร 2549 ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะต้องมีการพูดคุยกันว่าการขยายตัวของกองทัพเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี มีผลกระทบอย่างไร และแนวโน้มเป็นอย่างไร ถ้าเราต้องการหาทางออกให้กับประเทศ เราจะต้องเสวนาพูดคุยกันในเรื่องนี้” ศ.ดร.ผาสุกกล่าวปิดท้าย


ความชอบธรรม “ไพร่-อำมาตย์”?


ศ.ดร.แมคคาร์โกกล่าวถึงวิกฤตแหล่งที่มาของความชอบธรรมทางการเมืองว่ามี 3 แหล่งคือ 1.ความชอบธรรมจากกติกาใหญ่สุดของสังคมคือรัฐธรรมนูญ มีความเชื่อกันว่าหากมีกฎเกณฑ์สังคมดีพร้อมก็จะสามารถแก้ปัญหาต่างๆได้ง่าย 2.ความชอบธรรมจากการเลือกตั้ง ภายหลัง ค.ศ. 2000 เมื่อเกิดระบอบทักษิณก็มีแหล่งความชอบธรรมอีกแหล่งเกิดขึ้น นั่นคือความชอบธรรมจากการเลือกตั้ง เป็นความท้าทายต่อความชอบธรรมจากรัฐธรรมนูญ ซึ่งหากผู้ใดได้รับการเลือกตั้งก็จะมีความชอบธรรม แม้จะคอร์รัปชันก็ตาม และ 3.ค่านิยมดั้งเดิมของคนไทยคือความชอบธรรมจากนักปกครองที่ดี นั่นคือพระมหากษัตริย์ ถือเป็นความนิยมอำนาจนอกรัฐธรรมนูญ


ศ.ดร.แมคคาร์โกคิดว่าประเทศไทยยากที่จะมีเสถียรภาพทางการเมือง เพราะรัฐไม่มีฐานอะไรที่เป็นที่ยอมรับ การปกครองโดยคนดีมีคนท้าทายเยอะ อย่างที่ ศ.ดร.ผาสุกบอก แนวคิดเรื่องความชอบธรรมจากผู้ปกครองที่ดีเกิดขึ้นในกรุงเทพฯ คนกรุงเทพฯเชื่อเรื่องความดีของผู้นำมากกว่าคนต่างจังหวัด แนวคิดความชอบธรรมที่มาจากการเลือกตั้งเป็นแนวคิดที่มาจากกลุ่มคนที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย เป็นแนวคิดที่สนับสนุนความชอบธรรมที่ต่างกัน เลยเกิดความไม่ไว้วางใจในการเลือกตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณไม่ไว้ใจคนอื่นให้มาเป็นหัวหน้าพรรค เลยให้น้องสาวคือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาเป็นผู้นำในพรรคเพื่อไทยแทน


เมืองไทยมีการเปลี่ยนแปลงในวงกว้างและเชิงโครงสร้างใน ค.ศ. 2010 คนเสื้อแดงเกิดขึ้นจำนวนมาก คนที่มาร่วมชุมนุมส่วนใหญ่เป็นคนชั้นกลางระดับล่าง การศึกษาไม่สูงมาก ไม่มีความมั่นคงในการทำงาน แทบไม่มีข้าราชการหรือมีน้อย อาจารย์เอนก เหล่าธรรมทัศน์ เคยกล่าวไว้ว่ามีการแตกแยกกันระหว่างเขตเมืองกับต่างจังหวัด แต่คิดว่าไม่ถึงขั้นนั้น เพราะฝ่ายที่อยู่ในเมืองก็เป็นคนต่างจังหวัดมากเหมือนกัน


เวลานี้คนต่างจังหวัดเริ่มมีความกว้างขวางของแนวคิดเพิ่มมากขึ้น ชาวบ้านได้เข้ามาอยู่ในระบบตลาดแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณให้อะไรกับเขาหลายอย่าง ทำให้เขาเคารพและสนใจในอำนาจเก่าน้อยลง ทำให้เขารู้สึกมีเกียรติ ไม่รู้สึกถูกกดขี่เหยียดหยาม สิ่งที่เกิดขึ้นปีก่อนบ่งบอกว่าประเทศไทยเปลี่ยนแปลงมาก มีการถกเถียงกันในหมู่เสื้อแดงเรื่องอำมาตย์กับไพร่ มีการวิเคราะห์กันอย่างละเอียดถึงความต้องการของผู้ชุมนุม คือความต้องการเป็นส่วนหนึ่งของนายทุนแต่ไม่ต้องการล้มระบบ


เสื้อแดงมีเสียงสนับสนุนมากในภาคเหนือและอีสาน เขาได้ไปทำงานที่ 3 จังหวัดภาคใต้ วิกฤตด้านความชอบธรรมของคนทางใต้นั้นมีความรู้สึกว่าเหมือนถูกล่าเมืองขึ้นจากส่วนกลาง ไทยเสียพื้นที่ให้ต่างชาติหลายครั้ง ทำให้คนไทยส่วนกลางเกิดความไม่มั่นใจขึ้นมา ตัวคนที่อยู่ในพื้นที่ทางใต้เองก็คิดว่ามาอยู่ผิดที่หรือไม่


ความขัดแย้งที่มีสีเสื้อมาแบ่งจึงไม่ดีเลย เพราะเป็นความขัดแย้งเชิงภูมิภาค ไม่ใช่เชิงอุดมการณ์เพียงอย่างเดียว อีสานมีอัตลักษณ์ของเขา มีความภูมิใจมานาน ในช่วง ค.ศ. 1950 มีความรู้สึกแปลกแยกออกจากรัฐไทย มีการต่อสู้ของคอมมิวนิสต์ มีการคัดค้านไม่เห็นด้วยกับการปกครองของรัฐบาลกลาง เนื่องจากรัฐบาลกลางเข้าไปล่าเมืองขึ้นที่อีสาน นี่คือสิ่งที่อธิบายว่าทำไม พ.ต.ท.ทักษิณถึงดัง เพราะเขาไม่ได้เข้าไปเหมือนล่าเมืองขึ้น


“ลักษณะการล่าเมืองขึ้นจากส่วนกลาง จนถึงเวลานี้ก็ยังไม่เปลี่ยน มีแต่การเปลี่ยนรูปแบบใหม่เฉยๆ ไม่ได้มีการกระตุ้นให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเมือง ผมรู้สึกอย่างนั้น...ผมมาจากอังกฤษตอนเหนือที่มีเรื่องราวลักษณะนี้เหมือนกัน มีอะไรก็พูดกันอย่างตรงไปตรงมา ขวานผ่าซาก ผมมีความเชื่อว่าสำหรับประเทศไทยจะต้องมีการปรับเปลี่ยนใหม่ เพื่อที่ประเทศไทยจะได้รับความชอบธรรมอย่างแท้จริง ภาคใต้ต้องมีการปกครองที่เป็นเอกเทศมากขึ้น เพราะที่บ้านผมก็มีปัญหาเหมือนกัน ฉะนั้นผมอยากบอกว่าหากคุณอยากจะมีรัฐเดี่ยวในศตวรรษที่ 21 ควรที่จะให้มีการขยายคำจำกัดความของรัฐเดี่ยวให้ยืดหยุ่นมากกว่านี้ ความตึงเครียดก็จะลดลง โดยใช้แนวนโยบายที่ผ่อนคลาย และควรทำอย่างเร่งด่วนด้วย”


สัญญาประชาคม?


ด้าน ศ.ดร.ชัยวัฒน์ได้ย้อนวันครบรอบ 1 ปีที่รัฐบาลใช้กำลังปราบคนเสื้อแดงจนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ เกิดความรุนแรงอีกครั้งใจกลางกรุงเทพฯ สิ่งที่น่าสนใจคือญาติของเหยื่อเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 ก็ยังตามหาญาติที่หายไป ที่จนบัดนี้ยังไม่เจอมา 19 ปีแล้ว


“ผมเชื่อว่าผู้ที่นั่งฟังอยู่ตรงนี้เป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญการเมืองการปกครองไทยทั้งนั้น แต่ถ้าจะให้ผมสอนการเมืองไทย ผมสอนไม่ได้ ไม่อาจเอื้อม ไม่กล้าสอน ผมไม่เข้าใจ มันยุ่งเหยิง ให้สอนการเมืองอังกฤษเสียจะดีกว่า”


ศ.ดร.ชัยวัฒน์กล่าวว่า การคิดถึงสัญญาประชาคมใหม่ภายใต้สภาพแวดล้อมปัจจุบัน ทำให้หวนกลับไปพิจารณาว่าอะไรคือฐานของทฤษฎีสัญญาประชาคมในปรัชญาการเมืองยุคใหม่ พื้นฐานของสัญญาประชาคมคือความไว้วางใจ และเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ต้นทฤษฎีสัญญาประชาคมในศตวรรษที่ 17 ความไว้วางใจยังมีลักษณะเป็นปัจเจกบุคคลและเป็นรากฐานของสังคมประชาธิปไตยที่ทำงานได้ แต่ในสังคมไทยได้เกิดความรุนแรงในระยะเวลาที่ผ่านมา จึงจำเป็นต้องรื้อฟื้นความไว้วางใจขึ้นมาอย่างยิ่ง คำถามสำคัญที่ต้องถามคือ เราจะฟื้นความไว้วางใจได้อย่างไรหลังจากที่มันแตกไปแล้ว


ศ.ดร.ชัยวัฒน์กล่าวถึงข้อถกเถียง 5 ข้อคือ 



1.เมื่อย้อนกลับไปดูสัญญาประชาคมหรือกำเนิดของสังคมการเมืองมักจะอธิบายว่าเกิดจากสิ่งที่เรียกว่าสภาพธรรมชาติที่มนุษย์เห็นคนอื่นเป็นศัตรู ทุกคนพร้อมที่จะแย่งชิงทำร้ายกันทุกอย่าง แต่แล้ววันหนึ่งมนุษย์ในสภาพธรรมชาติตัดสินใจว่าอยู่แบบนี้ไม่ได้ เกิดการตกลงทำสัญญาประชาคมพร้อมกัน วางอาวุธพร้อมกัน การจะทำแบบนี้ได้ต้องเกิดจากการไว้ใจกัน ในที่สุดเราละวางบางอย่างในสภาพธรรมชาติพร้อมกัน แล้วเดินเข้าสู่สังคมการเมือง เกิดสัญญาประชาคมในทางปรัชญาการเมือง

2.Trust หรือความไว้วางใจ เป็นฐานของชีวิตปรกติ ไม่ว่ามนุษย์จะเดินทางไปไหน เช่น การซื้อตั๋วรถก็ต้องมีความไว้วางใจว่าเราจะต้องได้เดินทาง รถต้องออกตรงเวลา ฯลฯ เรียนหนังสือก็ต้องมี trust ระหว่างอาจารย์กับศิษย์ คนรับทุนกับคนให้ทุน เป็นต้น


3.มีนักวิชาการต่างชาติคนหนึ่งกล่าวว่า สิ่งที่ทำให้สังคมประชาธิปไตยทำงานได้คือ Trust Network หรือเครือข่ายความไว้วางใจ และเครือข่ายนี้ก่อให้เกิดกลุ่มคนต่างๆ เช่น กลุ่มสมาคมนักเรียนเก่า สมาคมศาสนา สมาคมกีฬา เป็นต้น แสดงให้เห็นว่าของพวกนี้เป็นฐานสำคัญของสังคม


4.อีกประเด็นหนึ่งคือ อภัยวิถี มีนักปรัชญาเยอรมันอธิบายไว้ว่าชีวิตมนุษย์มีปัญหา 2 ด้าน ด้านหนึ่งคือปัญหาของอดีต ทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วหวนคืนไม่ได้ ด้านหนึ่งคือปัญหาของอนาคต ทุกอย่างที่จะเกิดล้วนไม่แน่นอน การที่มนุษย์จะอยู่กับอดีตที่หวนคืนมาไม่ได้ต้องอาศัยการให้อภัย แต่สำหรับอนาคตคือสัญญา ซึ่งสัญญาจะเกิดขึ้นได้ถ้ามีความไว้วางใจ กล่าวได้ว่า Trust เป็นฐานของชีวิตมนุษย์ในการเดินต่อในอนาคต และ 



5.จะทำอย่างไรเมื่อ Trust หักพังไปแล้ว?

“ในชีวิตครอบครัว หากใครดูดอกส้มสีทอง ภรรยาซึ่งสามีไปมีชู้อาจยกโทษให้ได้ แต่ไม่สามารถกลับไปมีความสัมพันธ์แบบเดิมได้เพราะ trust หายไป แล้วจะฟื้นมันอย่างไร บอกได้เลยว่าโคตรยาก”


ในทางการเมืองเวลาพูดถึงสถาบันตุลาการ ปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อมีการเรียกร้องเรื่องสองมาตรฐานอยู่เต็มเมือง ความไว้วางใจต่อสถาบันที่ให้ความยุติธรรมนั้นหายไป โอกาสที่จะจัดการกับความขัดแย้ง โอกาสที่จะจัดการกับอดีตจึงเป็นเรื่องที่ยาก ครั้งหนึ่งที่เคยทำอะไรได้นับวันจะทำอะไรได้น้อยลง แก้ปัญหาได้น้อยลง คุ้มครองป้องกันสังคมได้น้อยลง


“อริสโตเติลกล่าวว่า สิ่งที่สำคัญสำหรับสังคมการเมืองคือ มิตรภาพ “Without friends no one would choose to live” หากไม่มีมิตรสหายก็ไม่มีผู้ใดเลือกที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป เพราในมิตรสหายมีความไว้วางใจ และความไว้วางใจนั้นเป็นรากฐานของสัญญาประชาคมใหม่ ซึ่งผมคิดว่าเป็นสิ่งที่สังคมไทยกำลังต้องการในตอนนี้” ศ.ดร.ชัยวัฒน์กล่าวทิ้งท้าย



ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 312 
วันที่ 28 พฤษภาคม – 3 มิถุนายน พ.ศ. 2554 หน้า 5-7 
คอลัมน์ รายงานพิเศษ โดย ทีมข่าวโลกวันนี้
http://redusala.blogspot.com