"ภารกิจสืบสานเจตนารมณ์ต่อต้านเผด็จการ
สร้างสรรค์ประชาธิปไตยยังไม่เสร็จสิ้น"
ปาฐกถา 36 ปี 6 ตุลา 2519 : ภารกิจสืบสานเจตนารมณ์ต่อต้านเผด็จการ
สร้างสรรค์ประชาธิปไตยยังไม่เสร็จสิ้น โดย นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช
เช้ามืดของวันที่ 6 ตุลาคม 2519 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตลาดวิชา
สัญญลักษณ์แห่งเสรีภาพทางปัญญา ได้แปรเปลี่ยนเป็นทุ่งสังหารอันหฤโหด ที่เข่นฆ่าทำร้ายผู้ชุมนุมต่อต้านเผด็จการกว่า 3000 คน โดยกองกำลังทหารตำรวจอาวุธครบมือ
ระเบิด กระสุนปืน และแก๊สน้ำตา ได้ถาโถมสาดใส่ผู้ชุมนุมอย่างไม่ปรานี
ตั้งแต่ 5.30 น.
จวบจนแดดเริ่มจะแก่กล้าเมื่อเวลา 9.00น.
ยังผลให้วีรชนผู้กล้าเสียชีวิตจากอาวุธสงครามอย่างโหดร้ายทารุณ
บ้างก็ถูกทุบตีและแขวนคอตาย บ้างก็ถูกราดน้ำมันจุดไฟเผาทั้งที่ยังไม่สิ้นใจ
บางรายก็ถูกลิ่มตอกอก หรือ อวัยวะส่วนอื่นจนสิ้นใจ เสียชีวิตรวมทั้งสิ้นหลายสิบราย
บาดเจ็บอีกหลายร้อยราย
ส่วนที่เหลือก็ถูกจับกุมคุมขัง โดยจับถอดเสื้อผ้าทั้งชาย-หญิง
เหลือเพียงกางเกง-เสื้อชั้นใน ถูกต้อนขึ้นรถบรรทุก รถบัส
ไปคุมขังเยี่ยงอาชญากรที่มีโทษอุกฉกรรจ์
โดยผู้ชุมนุมถูกใส่ร้ายป้ายสี ด้วยการแต่งเติมภาพกิจกรรมระหว่างการเคลื่อนไหวชุมนุม
นำลงตีพิมพ์เผยแพร่ในหนังสือพิมพ์บางฉบับ
กล่าวหาผู้ชุมนุมว่ามุ่งร้ายต่อองค์รัชทายาท
แล้วปฏิบัติการล้อมปราบผู้ร่วมชุมนุมอย่างโหดเหี้ยมด้วยอาวุธสงคราม
ติดตามด้วยการทำรัฐประหารรัฐบาลพลเรือนของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช โดยมีพลเรือเอกสงัด
ชลออยู่ เป็นหัวหน้าในวันเดียวกัน
หลังจากนั้นก็ติดตามกวาดล้างพวกที่เหลือ
ด้วยการยัดข้อหา"ภัยสังคม" ทำให้ฝ่ายประชาธิปไตยต้องหลบซ่อน อำพรางตัว
บ้างก็หลบหนีเข้าเขตป่าเขา
ต่อสู้กับอำนาจรัฐด้วยกำลังอาวุธร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
ความขัดแย้งแตกแยกในสังคมยังดำรงอยู่อีกหลายปี
จนรัฐบาลต่อๆมาต้องประกาศใช้นโยบาย 66/2523 นิรโทษกรรม
ให้โอกาสผู้รักชาติรักประชาธิปไตยที่ถูกข้อหา"ขบถ"ทะยอยกลับออกมาดำเนินชีวิตเยี่ยงปกติชน
ตุลาคม 2519
หลังชัยชนะของการต่อสู้หลั่งเลือดเพื่อประชาธิปไตยอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพฤษภาคม 2535 และบรรยากาศเริ่มเปิดกว้างให้พลังประชาธิปไตย
เพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่รอดชีวิตจากยุค 6 ตุลาคม 2519 ได้ร่วมจัดงาน"20 ปี 6
ตุลาคม"ขึ้นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อีกครั้ง
และประสบผลสำเร็จในการกอบกู้พลิกภาพลักษณ์ของ"วีรชนและวีรกรรม 6 ตุลาคม 2519"
จาก "ขบถ" เป็น"วีรชนประชาธิปไตย"
และเชื่อว่าการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของประชาชนจะยังไม่จบสิ้น
หากแต่พัฒนาต่อเนื่องเหมือนสายธารแห่งประวัติศาสตร์ เริ่มตั้งแต่การอภิวัฒน์ 2475
, การจัดสร้างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ,การต่อสู้คัดค้านเลือกตั้งสกปรก
2500, เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516
,6 ตุลาคม 2519 และพฤษภาคม 2535
จึงร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
จัดสร้างอนุสรณ์สถานแห่ง"การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์"
ในรูปงานศิลปะที่สะท้อนการต่อสู้ที่ต่อเนื่องเป็นสายธารดังได้เห็นอยู่นี้
ในวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ.2555 ,80
ปีหลังการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ,39
ปีหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ,36
ปีหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ,20
ปีหลังพฤษภาคม 2535
การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยต่อต้านอำนาจเผด็จการที่แลกมาด้วยเลือดเนื้อและชีวิตของประชาชนยังไม่เสร็จสิ้น
ประชาชนที่เชื่อมั่นในพลังประชาธิปไตยได้สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้าร่วมต่อสู้ต่อไป
การยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ด้วยรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 โดยที่ผลพวงของการรัฐประหารยังดำรงอยู่
ได้เร่งเร้าให้ประชาชนที่ยึดมั่นประชาธิปไตยเข้าร่วมเคลื่อนไหวอย่างอาจหาญเมื่อเดือนเมษายน
2552 และเมษายน-พฤษภาคม 2553
จนถูกปราบปรามอย่างเหี้ยมโหดไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าครั้งที่ผ่านๆมา
ต่างกันที่ครั้งนี้วีรชนคนกล้าฝ่ายประชาชนแตกต่างออกไปจากในอดีต ผู้เข้าชุมนุมไม่จำกัดเฉพาะปัญญาชนคนหนุ่มสาวเหมือนเมื่อ
36 ปีที่แล้ว
แต่ขยายขอบเขตออกไปถึงผู้คนตามท้องไร่ท้องนาที่มีการส่งตัวแทนสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนมาร่วมชุมนุม
ทั้งยังร่วมติดตามการเคลื่อนไหวผ่านสื่อทุกรูปแบบ ในขอบเขตทั่วประเทศและทั่วโลก
ขณะเดียวกัน คุณภาพของผู้เข้าร่วมชุมนุมก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
เยาวชนนักเรียนนักศึกษาไม่ต้องปลุกระดมชาวไร่ชาวนาให้เห็นปัญหาดังเช่นในอดีตอีกแล้ว
เพราะพวกเขากลับเป็นผู้รู้คุณค่าจากเสรีภาพและประชาธิปไตยที่เขาเคยลิ้มลองและได้รับความสุขด้วยตนเอง
จนเกิดเป็นความหวงแหนเมื่อถูกแย่งชิงไป
นักศึกษาปัญญาชนต่างหากที่ต้องไปเรียนรู้จากพวกเขา
พวกเขาต้องการเลือกที่จะมีเสรีภาพในการรับรู้ข่าวสาร
เสรีภาพในการตัดสินใจสร้างรายได้เพิ่มจากทุกโอกาสที่อำนวยให้
เสรีภาพที่จะเลือกลงทุนเพื่อสร้างรายได้จากทุนของเขาเอง
เลือกโอกาสที่จะได้รับบริกาที่ดีจากรัฐที่เก็บภาษีไปจากเขา
จึงตัดสินใจเลือกผู้แทนราษฏรของตนไปแย่งชิงอำนาจรัฐเพื่อทำประโยชน์ให้กลุ่มตนได้อย่างแท้จริง
ตามวิถีทางประชาธิปไตย
นี่
เป็นข้อพิสูจน์ว่าคุณค่าการเสียสละของเหล่าวีรชนประชาธิปไตยที่สั่งสมกันไม่
เคยสูญเปล่า แต่ฝ่ายนิยมเผด็จการต่างหากที่ไม่อาจเข้าใจการเปลี่ยนแปลงนี้
และยังคงฝืนรักษาอำนาจตามวิถีเดิมๆ
เลือกใช้กลไกอำนาจรัฐที่ใช้อาวุธหรือใช้กฎหมายแบบเลือกปฏิบัติ
ข่มเหงและปราบปรามประชาชนต่อไป
โดยไม่รู้ว่านั่นคือการใส่ปุ๋ยเร่งความเติบโตของพลังประชาธิปไตย
ภารกิจสืบสานเจตนารมณ์ต่อต้านเผด็จการ
สร้างสรรค์ประชาธิปไตยจึงยังไม่เสร็จสิ้น
ขอเราจงร่วมกันไว้อาลัย รำลึกวีรกรรมของวีรชน 6 ตุลา
และวีรชนประชาธิปไตยอื่นๆที่เสียสละชีวิตหรือพิการจากวีรกรรมต่างๆ
ด้วยการสืบสานเจตนารมณ์การต่อสู้กับเผด็จการ เพื่อประชาธิปไตย สร้างสิทธิเสรีภาพ
เสมอภาค ยุติธรรม นิติธรรม ขจัดความเหลื่อมล้ำต่ำสูง สร้างโอกาสแก่ผู้ด้อยโอกาส
ยึดมั่นในประโยชน์สุขของผู้คนส่วนใหญ่ในประเทศนี้ต่อไป
ด้วยจิตคารวะ
นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น