วันเสาร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2555

"ภารกิจสืบสานเจตนารมณ์ต่อต้านเผด็จการ 

สร้างสรรค์ประชาธิปไตยยังไม่เสร็จสิ้น"


      ปาฐกถา  36 ปี 6 ตุลา 2519 : ภารกิจสืบสานเจตนารมณ์ต่อต้านเผด็จการ สร้างสรรค์ประชาธิปไตยยังไม่เสร็จสิ้น โดย นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช

เช้ามืดของวันที่ 6 ตุลาคม 2519  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตลาดวิชา สัญญลักษณ์แห่งเสรีภาพทางปัญญา ได้แปรเปลี่ยนเป็นทุ่งสังหารอันหฤโหด  ที่เข่นฆ่าทำร้ายผู้ชุมนุมต่อต้านเผด็จการกว่า 3000 คน โดยกองกำลังทหารตำรวจอาวุธครบมือ   ระเบิด กระสุนปืน และแก๊สน้ำตา ได้ถาโถมสาดใส่ผู้ชุมนุมอย่างไม่ปรานี ตั้งแต่ 5.30 น.

         จวบจนแดดเริ่มจะแก่กล้าเมื่อเวลา 9.00น.  ยังผลให้วีรชนผู้กล้าเสียชีวิตจากอาวุธสงครามอย่างโหดร้ายทารุณ บ้างก็ถูกทุบตีและแขวนคอตาย บ้างก็ถูกราดน้ำมันจุดไฟเผาทั้งที่ยังไม่สิ้นใจ บางรายก็ถูกลิ่มตอกอก หรือ อวัยวะส่วนอื่นจนสิ้นใจ เสียชีวิตรวมทั้งสิ้นหลายสิบราย บาดเจ็บอีกหลายร้อยราย
ส่วนที่เหลือก็ถูกจับกุมคุมขัง โดยจับถอดเสื้อผ้าทั้งชาย-หญิง เหลือเพียงกางเกง-เสื้อชั้นใน ถูกต้อนขึ้นรถบรรทุก รถบัส ไปคุมขังเยี่ยงอาชญากรที่มีโทษอุกฉกรรจ์  โดยผู้ชุมนุมถูกใส่ร้ายป้ายสี ด้วยการแต่งเติมภาพกิจกรรมระหว่างการเคลื่อนไหวชุมนุม นำลงตีพิมพ์เผยแพร่ในหนังสือพิมพ์บางฉบับ กล่าวหาผู้ชุมนุมว่ามุ่งร้ายต่อองค์รัชทายาท แล้วปฏิบัติการล้อมปราบผู้ร่วมชุมนุมอย่างโหดเหี้ยมด้วยอาวุธสงคราม ติดตามด้วยการทำรัฐประหารรัฐบาลพลเรือนของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช โดยมีพลเรือเอกสงัด ชลออยู่ เป็นหัวหน้าในวันเดียวกัน

        หลังจากนั้นก็ติดตามกวาดล้างพวกที่เหลือ ด้วยการยัดข้อหา"ภัยสังคม" ทำให้ฝ่ายประชาธิปไตยต้องหลบซ่อน อำพรางตัว บ้างก็หลบหนีเข้าเขตป่าเขา ต่อสู้กับอำนาจรัฐด้วยกำลังอาวุธร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
 
         ความขัดแย้งแตกแยกในสังคมยังดำรงอยู่อีกหลายปี จนรัฐบาลต่อๆมาต้องประกาศใช้นโยบาย 66/2523 นิรโทษกรรม ให้โอกาสผู้รักชาติรักประชาธิปไตยที่ถูกข้อหา"ขบถ"ทะยอยกลับออกมาดำเนินชีวิตเยี่ยงปกติชน

        ตุลาคม 2519 หลังชัยชนะของการต่อสู้หลั่งเลือดเพื่อประชาธิปไตยอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพฤษภาคม 2535 และบรรยากาศเริ่มเปิดกว้างให้พลังประชาธิปไตย เพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่รอดชีวิตจากยุค 6 ตุลาคม 2519 ได้ร่วมจัดงาน"20 ปี 6 ตุลาคม"ขึ้นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อีกครั้ง

         และประสบผลสำเร็จในการกอบกู้พลิกภาพลักษณ์ของ"วีรชนและวีรกรรม 6 ตุลาคม 2519" จาก "ขบถ" เป็น"วีรชนประชาธิปไตย" และเชื่อว่าการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของประชาชนจะยังไม่จบสิ้น หากแต่พัฒนาต่อเนื่องเหมือนสายธารแห่งประวัติศาสตร์ เริ่มตั้งแต่การอภิวัฒน์ 2475 , การจัดสร้างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ,การต่อสู้คัดค้านเลือกตั้งสกปรก 2500, เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ,6 ตุลาคม 2519 และพฤษภาคม 2535   จึงร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดสร้างอนุสรณ์สถานแห่ง"การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์" ในรูปงานศิลปะที่สะท้อนการต่อสู้ที่ต่อเนื่องเป็นสายธารดังได้เห็นอยู่นี้

        ในวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ.2555 ,80 ปีหลังการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ,39 ปีหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ,36 ปีหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ,20 ปีหลังพฤษภาคม 2535  การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยต่อต้านอำนาจเผด็จการที่แลกมาด้วยเลือดเนื้อและชีวิตของประชาชนยังไม่เสร็จสิ้น  ประชาชนที่เชื่อมั่นในพลังประชาธิปไตยได้สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้าร่วมต่อสู้ต่อไป

         การยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ด้วยรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 โดยที่ผลพวงของการรัฐประหารยังดำรงอยู่  ได้เร่งเร้าให้ประชาชนที่ยึดมั่นประชาธิปไตยเข้าร่วมเคลื่อนไหวอย่างอาจหาญเมื่อเดือนเมษายน 2552 และเมษายน-พฤษภาคม 2553 จนถูกปราบปรามอย่างเหี้ยมโหดไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าครั้งที่ผ่านๆมา ต่างกันที่ครั้งนี้วีรชนคนกล้าฝ่ายประชาชนแตกต่างออกไปจากในอดีต ผู้เข้าชุมนุมไม่จำกัดเฉพาะปัญญาชนคนหนุ่มสาวเหมือนเมื่อ 36 ปีที่แล้ว แต่ขยายขอบเขตออกไปถึงผู้คนตามท้องไร่ท้องนาที่มีการส่งตัวแทนสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนมาร่วมชุมนุม ทั้งยังร่วมติดตามการเคลื่อนไหวผ่านสื่อทุกรูปแบบ ในขอบเขตทั่วประเทศและทั่วโลก

         ขณะเดียวกัน คุณภาพของผู้เข้าร่วมชุมนุมก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เยาวชนนักเรียนนักศึกษาไม่ต้องปลุกระดมชาวไร่ชาวนาให้เห็นปัญหาดังเช่นในอดีตอีกแล้ว เพราะพวกเขากลับเป็นผู้รู้คุณค่าจากเสรีภาพและประชาธิปไตยที่เขาเคยลิ้มลองและได้รับความสุขด้วยตนเอง จนเกิดเป็นความหวงแหนเมื่อถูกแย่งชิงไป นักศึกษาปัญญาชนต่างหากที่ต้องไปเรียนรู้จากพวกเขา 

        พวกเขาต้องการเลือกที่จะมีเสรีภาพในการรับรู้ข่าวสาร เสรีภาพในการตัดสินใจสร้างรายได้เพิ่มจากทุกโอกาสที่อำนวยให้ เสรีภาพที่จะเลือกลงทุนเพื่อสร้างรายได้จากทุนของเขาเอง เลือกโอกาสที่จะได้รับบริกาที่ดีจากรัฐที่เก็บภาษีไปจากเขา จึงตัดสินใจเลือกผู้แทนราษฏรของตนไปแย่งชิงอำนาจรัฐเพื่อทำประโยชน์ให้กลุ่มตนได้อย่างแท้จริง ตามวิถีทางประชาธิปไตย

       นี่ เป็นข้อพิสูจน์ว่าคุณค่าการเสียสละของเหล่าวีรชนประชาธิปไตยที่สั่งสมกันไม่ เคยสูญเปล่า  แต่ฝ่ายนิยมเผด็จการต่างหากที่ไม่อาจเข้าใจการเปลี่ยนแปลงนี้ และยังคงฝืนรักษาอำนาจตามวิถีเดิมๆ เลือกใช้กลไกอำนาจรัฐที่ใช้อาวุธหรือใช้กฎหมายแบบเลือกปฏิบัติ ข่มเหงและปราบปรามประชาชนต่อไป โดยไม่รู้ว่านั่นคือการใส่ปุ๋ยเร่งความเติบโตของพลังประชาธิปไตย ภารกิจสืบสานเจตนารมณ์ต่อต้านเผด็จการ สร้างสรรค์ประชาธิปไตยจึงยังไม่เสร็จสิ้น

        ขอเราจงร่วมกันไว้อาลัย รำลึกวีรกรรมของวีรชน 6 ตุลา และวีรชนประชาธิปไตยอื่นๆที่เสียสละชีวิตหรือพิการจากวีรกรรมต่างๆ ด้วยการสืบสานเจตนารมณ์การต่อสู้กับเผด็จการ เพื่อประชาธิปไตย สร้างสิทธิเสรีภาพ เสมอภาค ยุติธรรม นิติธรรม ขจัดความเหลื่อมล้ำต่ำสูง สร้างโอกาสแก่ผู้ด้อยโอกาส ยึดมั่นในประโยชน์สุขของผู้คนส่วนใหญ่ในประเทศนี้ต่อไป
ด้วยจิตคารวะ
นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น