|
“ปฏิวัติ”อีกเกิดสงครามกลางเมืองเกิดแน่!
|
|
นายวีระกานต์
มุสิกพงศ์ อดีตประธาน นปช. ได้วิเคราะห์การเมืองปัจจุบันไว้อย่างน่าคิด
โดยมองว่าจะเดินหน้าต่อไปได้อย่างราบรื่น ไม่มีการปฏิวัติรัฐประหาร
เพราะเท่ากับนำประเทศไปสู่ความขัดแย้งอย่างรุนแรงจนนำไปสู่สงครามกลางเมือง
และหากรัฐบาลเกี๊ยะเซียะกับอำมาตย์โดยลืมประชาชนที่เลือกเขาเข้ามาก็จะอยู่
ไม่ได้เช่นกัน มาฟังการวิเคราะห์ลึกๆได้ดังนี้
+++++++++
สถานการณ์ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์
ผมคิดว่ารัฐบาลชุดนี้ยังดีอยู่ ยังไปได้ดี
ที่ว่าดีในที่นี้ดูจากความนิยมของประชาชน เนื่องจากรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง
แล้วเขาแถลงนโยบายไว้ว่าเป็นรัฐบาลแล้วจะทำอะไรบ้าง
เมื่อเขาได้เป็นเขาก็ทำ คนก็เห็นอยู่ว่าเขากำลังทำ สังเกตดูประชาชนจะติดใจ
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นพิเศษ
ซึ่งนายกรัฐมนตรีเป็นคนวางตัวดี คือวางตัวนิ่ง ไม่ตอบโต้
ไม่กะเปิ๊บกะป๊าบไปตามกระแสหรือตามการแหย่ของใครก็ตาม
บุคลิกอย่างนี้เป็นบุคลิกที่ได้เปรียบ คนเขาชอบคนทำงาน
ชอบคนนิ่งมากกว่าคนพูดมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสุภาพเรียบร้อย ความอ่อนโยน
เหล่านี้ทำให้นายกรัฐมนตรีได้เปรียบ รัฐบาลก็ทำงานไป
ทีนี้ปัญหาจะเกิดก็คือเรื่องของการเมืองในสภา คือฝ่ายค้านกับรัฐบาล
เป็นธรรมดาที่ฝ่ายค้านมีหน้าที่ต้องแซวรัฐบาลเรื่อยไป
ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องฟัดเข้าไปก่อน รัฐบาลมีหน้าที่ที่จะต้องแก้
ทีนี้ก็เกิดการตอบโต้กันระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายค้าน
เป็นข่าวให้เห็นเหมือนกับว่ารัฐบาลนี้กำลังโต้คลื่นโต้ลมอย่างรุนแรง
ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น ประชาชนทั่วไปก็รับการบริหารของรัฐบาลนี้ได้
ประเด็นเรื่องทุจริตคอร์รัปชันไม่ใช่ประเด็นที่เปราะบางหรือส่งผลกระทบ
ต่อรัฐบาลอย่างแน่นอน เว้นแต่ว่ารัฐบาลไม่เอาใจใส่ ไม่ปราบปราม
หรือทำปากว่าตาขยิบ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็อยู่ไม่ได้
ถ้ารัฐบาลตั้งใจเข้ามาบริหารเพื่อแสวงหาผลประโยชน์มิชอบต้องถูกโค่นล้มอย่าง
แน่นอน ผมเป็นคนหนึ่งที่จะไม่เห็นด้วยและไม่สนับสนุนให้ทำอย่างนี้
แต่ถ้านโยบายใดดีก็ทำไป แต่ถ้ามีทุจริตคอร์รัปชันแล้วรัฐบาลเข้าไปปราบ
เขาก็ทำหน้าที่ของเขาสมบูรณ์
ก็ควรให้เขาทำนโยบายนั้นตามที่ได้ประกาศไว้กับประชาชน
เริ่มมีองค์กรออกมาเคลื่อนไหวล้มรัฐบาล
การที่มีองค์กรบางกลุ่ม เช่น
องค์การพิทักษ์สยามออกมาเคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาล
ถือเป็นเรื่องสิทธิของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย
องค์การพิทักษ์สยามพูดว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่พิทักษ์ปกป้องสถาบันเท่าที่ควร
ก็ฟังดูว่ายังมีข้อด้อยข้อบกพร่องตรงไหน
ผมเชื่อว่าทุกรัฐบาลมีหน้าที่อยู่แล้วที่จะปกป้องสถาบัน
แต่ปกป้องอย่างไรอาจจะแตกต่างกัน ส่วนที่บอกว่ารัฐบาลชุดนี้เป็นหุ่นเชิดของ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ประชาชนทั้งประเทศคงจะได้เห็นว่าเป็นหุ่นเชิดจริงหรือ
ไม่
ผมไม่รู้ว่าคนที่ประกอบขึ้นเป็นองค์การพิทักษ์สยามมีใครบ้าง แต่ผมรู้จัก
พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ซึ่งเป็นแกนนำหลักของกลุ่มนี้
พล.อ.บุญเลิศเป็นคนที่ไม่ลึกลับซับซ้อน
และไม่ใช่คนฝักใฝ่การเมืองประเภทสังกัดพรรคแล้วก็โค่นล้มผู้อื่น
สนับสนุนพรรคของตนขึ้นมามีอำนาจแทน ไม่ใช่อย่างนั้น
พล.อ.บุญเลิศเป็นคนที่จงรักภักดี ตรงนี้ผมพูดได้
เพราะรู้จักกันมาหลายสิบปีแล้ว เรารู้ความจริงข้อนี้
ไม่มีปัญหาและไม่มีอะไรเคลือบแคลง การเคลื่อนไหวของ
พล.อ.บุญเลิศผมคิดว่าเคลื่อนไหวในยามอายุขนาดนี้ ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ
ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าข้อมูลที่ได้รับมานั้นเป็นข้อมูลจริงหรือเป็นข้อมูลที่
หลอกลวง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ พล.อ.บุญเลิศจะต้องตรองเอาเอง
และผมคิดว่าการเคลื่อนไหวของ
พล.อ.บุญเลิศจะไม่ทำให้เกิดความเสียหายใดๆในทางการเมือง
พล.อ.บุญเลิศเป็นรุ่นเดียวกับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์
องคมนตรีและอดีตนายกรัฐมนตรี
บางคนอาจนึกไปว่ามันซับซ้อนซ่อนเงื่อนโยงใยมาจาก พล.อ.สุรยุทธ์หรือเปล่า
ผมพูดแทนได้ว่าไม่มีเรื่องเหล่านี้ ก็แสดงไปตามความคิดเห็นซื่อๆตรงไปตรงมา
ผมคิดว่า พล.อ.บุญเลิศมีเจตนาดีต่อบ้านเมือง
และไม่คิดจะโค่นล้มทำลายใครโดยอคติส่วนตน
นอกจากกลุ่มพิทักษ์สยามที่ออกมาเคลื่อนไหวแล้ว
ยังมีกลุ่มการเมืองต่างๆออกมาเคลื่อนไหวบ้าง
แต่การเคลื่อนไหวยังอยู่ในกรอบของการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ
ไม่น่าวิตก
ถ้าไม่มีกลุ่มมวลชนใดๆมาเคลื่อนไหวทางการเมืองเลยมันเป็นเรื่องที่น่าวิตก
คือน่าวิตกว่าประเทศไทยชักจะเป็นอะไรไปแล้วที่คนในระบอบประชาธิปไตยทำไมไม่
มีความเห็นต่าง มันต้องมีความเห็นต่างเป็นธรรมชาติของมนุษย์
เพราะฉะนั้นคนที่เห็นต่างก็แสดงออกมา
อย่าปิดบังอำพรางหรือไปแอบแสดงในที่ลับ ซึ่งจะเป็นผลเสียหายมากกว่า
ออกมาสู่ที่แจ้งเป็นเรื่องที่ดี
หลายฝ่ายมองว่าหวังปูทางไปสู่การปฏิวัติอีก
ผมไม่คิดว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้จะเป็นการปูทางไปสู่การรัฐประหาร
เหตุผลก็คือว่าทุกคนได้เห็นผลร้ายของการรัฐประหารแล้ว
มันเป็นผลร้ายที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติของการรัฐประหาร
เสียหายต่อชื่อเสียงประเทศชาติ ภาวะเศรษฐกิจของประชาชน
หรือแม้แต่ความมั่นคงของรัฐ
เพราะคนที่ทำปฏิวัติรู้ตัวดีว่านานาประเทศที่เคยเป็นมิตรและเคยสนับสนุนกัน
ในทางความมั่นคง เช่น สหรัฐ เขาไม่อาจให้ความช่วยเหลืออะไรได้ ในช่วง 6-7
ปีที่ผ่านมาสร้างรอยช้ำให้ประเทศมากกว่าที่คณะปฏิวัติกล่าวหารัฐบาลที่มาจาก
การเลือกตั้ง
คือตัวเองกล่าวหาไว้มากมาย ดูแล้วรัฐบาลเลือกตั้งน่าเกลียดน่าชัง
แต่เวลาตัวเองเข้ามาแล้วทำในสิ่งที่เลวร้าย
เป็นแผลต่อประเทศชาติมากกว่าคำกล่าวหาที่มีต่อรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
ดังนั้น ถ้าหากวันนี้ยังมีคนคิดอยู่ว่าต้องหาทางทำปฏิวัติกันอีกรอบหนึ่ง
ผมคิดว่ามันคงจะเป็นตัวตลกที่ประชาชนทั้งประชาชนผลักไสไล่ส่ง
เรียกว่าคงไม่มีใครร่วมมือด้วย คือการเปลี่ยนแปลงใดๆถ้าจะเกิดขึ้น
ผมเชื่อว่าในระบอบปัจจุบันต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงโดยชอบด้วยวิถีทางของรัฐ
ธรรมนูญ อันนั้นทุกฝ่ายรับได้
ผมขอย้ำว่าความคิดของคนที่คิดจะทำรัฐประหารมันห้ามกันไม่ได้
แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะฝ่ายที่เขาเข้าใจหรือพลังของมวลชน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมวลชนคนเสื้อแดงประกาศต่อต้านการรัฐประหารตลอด
เพราะเห็นภัยร้ายของการรัฐประหาร
คนจำนวนนี้กำลังจะเป็นเสียงข้างมากของประเทศหรือเป็นไปแล้วก็ไม่รู้
เพราะฉะนั้นประเทศจะไม่เซไปจนเสียดุล คือกลับไปสู่การยึดอำนาจอีก
เป็นไปไม่ได้ เพราะมีประชาชนคอยถ่วงดุลไว้อยู่
ถ้าเกิดปฏิวัติอีกประเทศชาติจะเป็นอย่างไร
ผมคิดว่า ถ้ามีคนกล้าทำอีก ประเทศก็จะเป็นสงครามกลางเมือง
ไม่ต้องอธิบายว่าความเสียหายจะเกิดขึ้นใหญ่หลวงอย่างไร
คือมีแต่ความยับเยินไปด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย ไม่มีใครชนะ
มีแต่ผู้แพ้กันทั้งประเทศ
เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าปรารถนาจะทำสงครามกลางเมืองกันก็ตามสบาย
ทหารจะกล้าทำปฏิวัติรัฐประหารอีกหรือไม่
เราอย่าพูดว่าเขาไม่กล้าเลย อาจจะกระทบจิตใจหรือแสลงใจกันเปล่าๆ
แต่เราพูดได้ว่าทีท่าของกองทัพภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ผู้บัญชาการทหารบก ดูจะเข้าใจปัญหาที่ผ่านมา
และเข้าใจปัญหาของระบอบประชาธิปไตย
เพราะฉะนั้นเขาคงไม่ปรารถนาที่จะทำสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย
ผมเชื่อว่าเขาเข้าใจอย่างเดียวกับพวกเราที่เข้าใจว่าบ้านเมืองจะไปรอดต้อง
เป็นประชาธิปไตยแล้วก็แบ่งหน้าที่กัน ผมดูว่าแนวจะไปทางนั้นมากกว่า
ผมมั่นใจว่ารัฐบาลชุดนี้จะปลอดจากการยึดอำนาจ
แล้วเราอย่าลืมว่าเงื่อนไขภายนอกมันบีบตัวเราเหมือนกัน ปี 2558
เราจะเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ขณะนี้ภาคเอกชน
ภาคประชาชนตื่นตัวเตรียมรับสถานการณ์นี้ก็เพื่อความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ
ความอยู่เย็นเป็นสุข ถ้าหากเรามาก่อกวนกันเสียเอง เอาปัญหาการเมืองนอกระบบ
เราก็จะเกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนของเราขึ้นมาไม่ได้
เพราะเราเป็นศูนย์กลางโดยอัตโนมัติ เงื่อนไขสถานการณ์โลกก็จะบีบเราอีก
เศรษฐกิจโลก
การเมืองโลกที่ไม่อาจย้อนกลับไปสนับสนุนระบบบ้าๆบอๆกันอีกต่อไปแล้ว
ดังนั้น ผมไม่เป็นห่วงเรื่องการรัฐประหาร
แต่เป็นห่วงการใช้ตุลาการภิวัฒน์ทำรัฐประหารมากกว่า
เพราะเป็นของจริงที่เราได้ประจักษ์กันมา
แต่แนวโน้มที่จะมีการปรับปรุงกฎหมายโดยแรงผลักดันของคนเสื้อแดงยังไม่หยุด
หมายความว่าระบอบตุลาการภิวัฒน์จะค่อยๆสลายตัวไปโดยกระแสประชาธิปไตยขึ้นมา
เวลานี้การแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 3 จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปคงไม่ได้
คงมีการยกขึ้นมาแล้วโหวตกัน หรือโหวตแล้วสมมุติเป็นในทางไม่ดี วาระ 3 ก็ตก
ผมคิดว่าตกก็ตกไป เพราะสามารถเสนอขึ้นมาใหม่ได้อีก
ในการที่จะแก้ไขปรับปรุงรัฐธรรมนูญก็ต้องเปลี่ยนผลิตผลของเผด็จการของ คมช.
เช่น พวกองค์กรอิสระต่างๆก็ต้องล้างไป
การแก้รัฐธรรมนูญจะสำเร็จในรัฐบาลชุดนี้
ผมมั่นใจว่าเราจะได้เห็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญสำเร็จในรัฐบาลชุดนี้
แต่อย่ามองในแง่ดีเกินไป
เราลองมองในแง่ร้ายบ้างว่าแก้อะไรก็ไม่เสร็จสักเรื่องหนึ่ง ทำอะไรก็ไม่ได้
เปลี่ยนแปลงกฎหมายให้เป็นกฎหมายที่เป็นนิติรัฐ นิติธรรม
ถ้าทำอย่างนี้ไม่ได้ คนที่จะรำคาญรัฐบาลก็ได้แก่คนเสื้อแดง ดังนั้น
คนเสื้อแดงจะต้องคอยกระตุ้น คอยจี้คอยไชให้เกิดความเป็นธรรมในสังคม
เกิดนิติรัฐ นิติธรรมให้ได้
รัฐบาลเองจะอยู่ได้หรือไม่ได้คราวนี้ต้องเผชิญกับคนเสื้อแดง
ขอย้ำว่าเราจะได้เห็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อย่างแน่นอน
คอยดูปีหน้าเราคงจะได้เห็น ความจริงงานนี้จะต้องต่อเนื่องไป
แต่ผลลัพธ์ที่จะเกิดออกมาปีหน้าก็คงชัดเจน
อย่างน้อยที่สุดเวลานี้ก็มีโครงการประชาสังคมที่จะทำทั่วประเทศในเรื่องการ
ปรองดองและการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติงบประมาณมาแล้ว 90
ล้านบาท จะได้ทำความเห็น ความเข้าใจกับมวลชนทั่วประเทศ
ถ้าผ่านจากการทำความเห็นเรื่องนี้
ทุกคนจะเดินไปสู่หนทางว่าต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ
เรื่องการปรองดองเป็นเรื่องสำคัญ
ปีหน้าน่าจะเป็นปีที่เราจะพบกับความน่ายินดี
แนวทางการสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้น
หลักกว้างๆมีอยู่ว่า ประเทศต้องเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง
จะต้องมีการยอมรับอำนาจของประชาชน ไม่ว่านิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ
ต้องมีจุดยึดโยงกับประชาชน ถ้าเป็นประชาธิปไตยแบบนี้ก็ปรองดองกันได้
ประการต่อมาเป็นเรื่องความเสมอภาค ถ้าเป็นประชาธิปไตยต้องเสมอภาค
คือประชาชนต้องมีความเท่าเทียมกันในกฎหมาย
การใช้กฎหมายต้องใช้อย่างมาตรฐานเดียว ไม่ใช่ 2
มาตรฐานหรือหลายมาตรฐานอย่างที่เป็นมา มันก็ปรองดองกันได้
ถ้าหากเราปรารถนาความเป็นเอกภาพแต่ชวนกันปรองดองโดยที่ไม่ปรับเรื่องเหล่า
นี้ให้เข้าหลักเกณฑ์จะไปปรองดองอะไร ยังไง
เรื่องความไม่เสมอภาคคือเรื่องความแตกแยก สังคมไหนไม่มีความเสมอภาค
สังคมนั้นต้องแตกแยก สังคมไหนที่ไม่มีประชาธิปไตย สังคมนั้นก็ต้องแตกแยก
เพราะจะมีคนดิ้นรนเพื่อเรียกหาประชาธิปไตย
ผมจึงคิดว่าเรื่องความปรองดองไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นอะไร
ส่วนร่าง พ.ร.บ.ปรองดองที่จะออกมาอยากให้ดูหน้าตากันก่อน
ที่เราพูดกันโดยมาก เราคาดหมายอย่างนั้นอย่างนี้
ยังไม่เห็นหน้าตาว่าจริงๆเป็นอย่างไร
ผมมั่นใจว่าความคิดของมหาประชาชนจะต้องเป็นของดี ไม่มีทางเป็นของเลวได้
ดังนั้น
หน้าตาของกฎหมายที่จะออกมาหลังทำความเข้าใจเรื่องปรองดองกันแล้วไม่น่าวิตก
ถ้าไม่ดีจริงคงไม่ผ่านมหาชนแน่นอน
มีคนมองว่ารัฐบาลกำลังปรองดองกับอำมาตย์
การที่มีนักวิชาการออกมาระบุว่าขณะนี้รัฐบาลกับอำมาตย์กำลังปรองดอง
เกี๊ยะเซียะกันอยู่ ผมมองว่าข้อกล่าวหานี้เป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรง
แต่ไม่ใช่เป็นข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูลเสียทีเดียว
เป็นข้อกล่าวหาที่ควรเอาใจใส่และติดตาม
ผมมีความเห็นว่าถ้าหากรัฐบาลกับอำมาตย์มาปรองดองกันโดยละเลยหลักพื้นฐานที่
ผมพูดข้างต้นนี้แล้ว ทั้งรัฐบาลและอำมาตย์จะอยู่ไม่ได้
ประชาชนส่วนใหญ่จะทิ้งรัฐบาล ไม่เอาด้วย ดังนั้น อย่าไปกังวลเลย
รัฐบาลอาจจะมีความจำเป็นในเรื่องเวลาของการบริหาร
เขาเข้ามาอยู่ในอำนาจอาจจะก้นหม้อยังไม่ทันดำ ก็ต้องขอเวลาให้เขาบ้าง
ผมก็เข้าใจในเรื่องนั้น
คือเราไม่ได้คิดว่าถ้าได้เข้ามาเป็นรัฐบาลแล้วจะทำอะไรได้ตามใจชอบ
ต้องมีเวลาให้เขาบ้าง เวลาจะทำให้เขาเกิดความมั่นคง ความมั่นใจ
แล้วค่อยๆทำอะไรไป รัฐบาลไม่ใช่เอกชนที่จะทำอะไรได้ตามใจชอบ
เพราะฉะนั้นข้อกล่าวหาที่ว่ารัฐบาลกับอำมาตย์อาจจะมาฮั้วกันก็เป็นข้อกล่าว
หาที่เราจะต้องติดตามดูกันต่อไป แต่ผมเชื่อว่าเขาไม่ทรยศต่อประชาชน
รัฐบาลจะบริหารประเทศครบ 4 ปีหรือไม่
รัฐบาลชุดนี้อยู่ได้ น่าจะครบ 4 ปี
ไม่น่าจะมีเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
แต่สิ่งหนึ่งที่จะต้องเตือนกันไว้เสมอคือ
ถ้าจำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงตามวิถีทางของรัฐธรรมนูญก็ถือว่าเป็นเรื่องปรกติ
ที่ทุกคนควรจะรับได้และทำใจได้ หมายความว่าสมมุติรัฐบาลบริหารประเทศมา 2 ปี
แล้วรัฐบาลยุบสภาเลือกตั้งใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องที่วิตกทุกข์ร้อน
ขอให้เห็นว่าถ้าเป็นไปตามวิถีทางของรัฐธรรมนูญแล้วเป็นอันใช้ได้
ลองดูญี่ปุ่น เกาหลี เขาเปลี่ยนรัฐบาลบ่อย ไม่เห็นเป็นปัญหาอะไร
เพราะเปลี่ยนตามวิถีทางของรัฐธรรมนูญ
ของเราผมก็ดูว่ารัฐบาลควรจะอยู่ครบเทอม 4 ปี
แต่ถ้ามีเหตุรัฐบาลอยากยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องผิดปรกติ
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 8 ฉบับที่ 384 วันที่ 3-9
พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 หน้า 16-17 คอลัมน์ ฟังจากปาก โดย กิตติพิชญ์
ยิ่งวรการสุข |
|
|
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น