หอคอยงาช้าง เริ่มผุกร่อน ? โดย สะอาด จันทร์ดี | |
คนไทยรู้แก่ใจว่า “หอคอยงาช้าง” หมายถึงอะไร ผมกำลังเขียนให้ท่านผู้อ่านได้ช่วยกันวิเคราะห์ว่า “หอคอยงาช้าง” ยังแข็งแรงอยู่หรือว่าเริ่มผุกร่อนไปแล้ว การวิเคราะห์ดังกล่าวนี้ นอกจากจะได้เห็นข้อเท็จจริงหลายประการ ยังจะได้รับ“อรรถรส” อย่างอื่นไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง การเขียนถึงเรื่องนี้ ผมขอกล่าวถึงกฎของโลกมนุษย์ว่าสังคมย่อมมีการเปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนผ่านอยู่เสมอ ตรงตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามหลัก “อนิจจัง” แต่เป็นเรื่องแปลกที่คนไทยส่วนใหญ่ล้วนแต่นับถือพระพุทธศาสนา ได้พยายามที่จะฝืนพระธรรมคำสอนด้วยการตั้งกฎตั้งเกณฑ์ว่าเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เปลี่ยนผ่านไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องตั้งอยู่ดังเดิมด้วยการออกคำสั่งห้ามวิพากษ์วิจารณ์ ห้ามแตะต้อง ห้ามแก้ไข เข้าในทำนอง “คนของข้าฯใครอย่าแตะ” อันเป็นการฝืนธรรมชาติ ฝืนอย่างร้ายแรงจนเป็นเหตุให้เกิดความบาดหมาง แค้นเคือง และโกรธแค้นซึ่งกันและกัน ถึงขั้นลากปืนออกมาไล่ยิงคนที่เห็นต่าง เกิดการบาดเจ็บ ล้มตาย ครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ชาติบ้านเมือง และกระทบกระเทือนถึง “สถาบันสูงสุด” จนกลายเป็นความแตกแยกของคนไทย แบ่งฝักแบ่งฝ่ายดังที่สังคมไทยกำลังเป็นอยู่ในขณะนี้ ความแตกแยกของคนไทยในวันนี้ไม่อาจเป็นเรื่องลี้ลับได้เลย เพราะว่าทุกย่างก้าวของพวกเผด็จการและทุกการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง ล้วนแต่เป็นการเผชิญหน้าระหว่างกันและกันเมื่อเป็นเช่นนี้ ยิ่งไม่มีทางที่จะทำให้เรื่องความขัดแย้งเป็นความลี้ลับไปได้ เมื่อเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องลี้ลับ การพูดจาก็ต้องพูดอย่างเปิดเผย การพูดอย่างเปิดเผย จะช่วยให้เกิดแนวคิดแก้ไขได้มากกว่า ในกรณี “หอคอยงาช้าง” ของประเทศไทยเป็นกรณีน่าศึกษาอย่างยิ่ง เพราะว่าบัลลังค์หอคอยงาช้างทั้งหมด เป็นบัลลังค์ของพวกมหาอำมาตย์ ที่ใช้เป็นที่ “นั่งทำงาน” เพื่อจะบริหารราชการแผ่นดิน รวมทั้งใช้เป็นที่นั่งทำงานเพื่อดูแลความมั่นคงให้แก่สถาบันพระมหากษัตริย์ไปพร้อมเสร็จ เช่นบัลลังค์ขององค์มนตรีและพวกปูโรหิตทั้งหลาย เป็นต้น โดยปกติ คนไทยทุกชนเผ่า ตั้งแต่โบราณมาจนถึงปัจจุบันจะมีความเคารพ-กราบไหว้-บูชา องค์พระมหากษัตริย์อย่างเต็มเปี่ยม อันเป็นความเคารพที่มีความรักและศรัทธาหลั่งออกมาจากใจ โดยไม่จำเป็นเลยว่าจะต้องการ “เกณฑ์” ผู้คนให้เข้าแถวมากราบไหว้ ตรงกันข้าม ในการเสด็จของพระราชาในแต่ละครั้งนั้น ประชาชนจะแห่แหนออกมาชมพระบารมีอย่างล้นหลาม พระราชากับประชาชนในประเทศไทย เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งพวกที่อยู่บนหอคอยงาช้างต่างก็ทราบแก่ใจดี ได้เกิดอะไรขึ้น ประชาชนกับพระราชาจึงอยู่ห่างไกลกันราวฟ้ามาดิน ? เรื่องนี้..ไม่ทราบว่าเหตุไร...มาถึงวันนี้พวกที่อยู่บนหอคอยงาช้างกลับพากันเห็นต่าง มีความเห็นว่าคนเสื้อแดงเป็นภัยต่อสถาบัน และเห็นว่าพรรคการเมืองที่คนเสื้อแดงแห่ไปลงคะแนนเสียงให้ ได้แก่พรรคเพื่อไทย ได้ถูกพวกที่อยู่บนหอคอยงาช้างตั้งข้อรังเกียจว่าเป็นพรรคไม่ดี ไม่สมควรได้บริหารประเทศชาติ ดังจะเห็นได้จากการ “ออกมากำหนดเส้นตาย” เอาไว้ว่า...ไม่ให้อยู่เกิน ๖ เดือน ?! กำหนดเส้นตาย ๖ เดือนที่พูดออกมาดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นความผิดพลาด “อย่างใหญ่หลวง” ของพวกที่อยู่บนหอคอยงาช้าง ที่ผู้เขียนจะต้องรีบกล่าวเตือนสติก่อนที่จะสายเกินแก้ อยากให้พวกที่นั่งอยู่บนหอคอยงาช้าง ได้อ่านเรื่องนี้แล้วไตร่ตรองดูให้รอบคอบ ประการที่หนึ่ง : ขอกล่าวว่าบัลลังก์หอคอยงาช้าง เป็นบัลลังก์เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของประชาชนและของประเทศชาติโดยส่วนรวม ไม่ว่าจะเป็นบัลลังก์ในสำนักพระราชวัง กระทรวงกลาโหม มหาดไทย รัฐสภา ทำเนียบรัฐบาล และอื่นๆ บัลลังก์ทั้งหลายเหล่านั้นมิได้ตั้งเอาไว้ให้พวก “มหาอำมาตย์” เอามานั่งกอบโกย แก่งแย่งผลปะโยชน์ หรือกล่าวให้ชัด หมายถึงบัลลังก์หอคอยงาช้างทั้งหมด ที่แท้เป็นบัลลังก์ของประชาชน มอบให้อำมาตย์ได้นั่งรับใช้ประชาชน ไม่ใช่สมบัติส่วนตัว ? ประการที่สอง : คำว่า “บัลลังก์หอคอยงาช้าง” เป็นของประชาชนนั้น มิใช่เป็นการกล่าวตู่ แต่เป็นการพูดความจริงในข้อที่ว่า “เป็นเพราะประเทศไทยทั้งประเทศ” ใช้งบประมาณมาจากภาษีที่ระบบรัฐเกี่ยวเก็บเอาจากประชาชนทุกหมู่เหล่า เมื่อประชาชนเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้กับประเทศของเราอย่างนี้ ประเทศนี้จึงเป็นของประชาชน (อำนาจเจ้าของประเทศคือประชาชน) กล่าวโดยตรงหมายถึง ตั้งแต่ยอดปราสาทราชวังลงมาจนถึงถนนหนทาง บ้านหลวง รถหลวง และทุกสิ่งทุกอย่างในประเทศนี้ ล้วนแต่เป็นของประชาชน ยกเว้นแต่ทรัพย์สินทั้งหลายอันเป็น “กรรมสิทธิ์” ส่วนตัวของผู้ที่ครอบครองเป็นเจ้าของ ประการที่สาม : เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงเป็นความถูกต้องในข้อที่ว่า บัลลังก์หอคอยงาช้าง หรือเก้าอี้ใหญ่ของท่านประธานรัฐสภา เก้าอี้ของนายกรัฐมนตรี รวมถึงเก้าอี้ของ “องค์มนตรี” หรือเก้าอี้ใดๆก็ตามล้วนแต่เป็นเก้าอี้ของประชาชนทั้งสิ้น ใครจะมาอ้างว่าเป็นเก้าอี้ของตัวเองไม่ได้ ประการที่สี่ : คำว่า “หอคอยงาช้าง” เป็นคำพูดที่พูดกันในหมู่ประชาชน เป็นที่รู้กันโดยทั่วว่าผู้ใดก็ตาม ถ้าได้ดิบได้ดี ได้เป็นขุนนาง เป็นเสนาบดี ขึ้นไปนั่งอยู่บนหอคองาช้าง ประชาชนก็จะให้ความเคารพนับถือ ยกย่องว่าเป็นคนมีเกียรติ มีวาสนาสูง สุดท้ายก็อยากได้พึ่งพาอาศัย เพราะถือว่าเป็นผู้มีบุญ สรุปแล้ว ประชาชนมีจิตใจเห็นคนที่อยู่บนหอคอยงาช้างว่าเป็นผู้มีบุญ โดยการให้ความเคารพนบนอบไล่กันมาตามลำดับ โดยถือเอาพระราชาเป็นต้นทาง ดังที่ทุกท่านทราบดีอยู่แล้ว ประการที่ห้า : ทั้งหลายทั้งปวง ดังที่กล่าวมา น่าเป็นเรื่องที่แสนดีและง่ายในที่สุดต่อการบริหารหอคอยงาช้างให้สวยสดงดงาม และเป็นที่ยกย่องสรรเสริญไปทุกแห่งหนทั้งในและนอกประเทศ ทว่า...หาได้เป็นเช่นนั้นไม่..? มันเกิดเรื่องเลวร้าย...เกิดข้อพิพาทบาดหมาง ? และเกิดการทะเลาวะวิวาทอื้ออึง ประหนึ่งฝูงลิงที่ทะเลาะกันอยู่กลางดงดิบ ภาพของพวกที่นั่งอยู่บนหอคอยงาช้างไม่แตกต่างจาก “เปรต” อสุรกาย ที่แสนจะน่าเกลียดน่าชัง ทำให้มิติเก่าๆที่งดงามเลือนหายไปอย่างรวดเร็วประหนึ่งจักรผัน กล่าวคือเพียง ๒-๓ ปีผ่าน บัลลังก์ของหอคอยงาช้างไม่แตกต่างจากเตาเผาศพทีมีแต่กลิ่นควันแห่งความเศร้าโศกเสียใจ ทำไมมันจึงเป็นอย่างนี้ไปได้ ? คำตอบจะเป็นแบบไหนอย่างไร ผมจะลองนำเอาถ้อยคำมาลำดับดูสักเล็กน้อย ดังนี้ (๑) พวกมหาอำมาตย์ลุ่มหลงอยู่ในอำนาจจนลืมไปว่าตำแหน่งหน้าที่ทั้งหลายมันเหมือนหัวโขน ใส่อยู่บนเศียรเพียงชั่วครั้งชั่วคราว หาได้มีความจีรังยั่งยืนแต่ประการใดไม่ (๒) ทั้งๆที่ยศถาบรรดาศักดิ์มิใช่สิ่งถาวร ก็ยึดมั่นถือมั่น ถือเนื้อถือตัว ยึดมั่นในอัตตา (มีทิฐิสูง) จนกลายเป็นเทวดาสูงกว่ามนุษย์ทั้งหลาย (๓) เมื่อถือว่าตัวเองเป็นประหนึ่งเทวดาที่สูงกว่ามนุษย์ก็เลยทำตัวเป็นเทวดาน้อยเหนือกว่าประชาชนผู้เป็นมนุษย์ทั้งหลาย (๔) ความจริงแล้ว แม้ว่าจะทำตัวเป็นเทวนาอยู่สูงกว่ามนุษย์ก็ไม่แปลกดอกท่าน เพราะว่าสภาพของเทวดานั้นต้องเป็นผู้มีศีล มีความเมตตาปรานี เห็นอกเห็นใจคนที่อยู่ห่างจากหอคอยงาช้าง เป็นพวกมีศีล มีธรรม มีหิริโอตตัปปะ ประชาชนก็กราบไหว้ได้ ผลมันเป็นตรงกันข้ามต่างหากเล่า...มันจึงเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นมา กล่าวคือ (๕) พวกเทวดาบนหอคอยงาช้าง ได้ทำตัวเป็นจอมเผด็จการ ตัดสินใจใช้อาวุธปราบปรามประชาชนหลายครั้งหลายคน กล่าวคือใครไม่เห็นด้วยเป็นต้องตั้งข้อหา จับยัดคุก ล่ามโซ่ ตีตรวน หรือไม่ก็ฆ่าทิ้งไปเลย โดยมิได้มีหัวใจ “เมตตา” หลงเหลืออยู่เลย พวกที่อยู่บนหอคอยงาช้าง ได้กระทำกับประชาชนหลายครั้งหลายคน ด้วยการปฏิวัติรัฐประหาร ยึดอำนาจ กวาดล้างคู่แข่งทางการเมือง และอะไรต่อมิอะไรอีกเยอะแยะ จนเป็นเหตุให้เกิดความคับแค้นใจแสนสาหัสแก่คนที่อยู่เบื้องล่าง อันได้แก่ประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศ การกระทำเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ คือ ต้นทางความย่ำแย่ของอำมาตย์ ครั้งหลังสุด การกระทำในครั้งนั้นเป็นความชั่วชั้นเลวที่พวกหอคอยงาข้างก่อขึ้น แล้วกลายเป็น “ผลพวง” ไปสู่เรื่องอื่นๆเช่น (๑) ยุบพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน แต่ไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ (๒) ไม่ยอมรับการถวายฎีกา อ้างไปต่างๆนานา (๓) กล่าวหาคนเสื้อแดงไม่จงรักภักดีตั้งแต่วันใส่ความใหม่ๆมาจนถึงวันแข่งขันการเลือกตั้ง แม้ในวันนี้ก็ยังกล่าวหาอยู่ (๔) คนเสื้อแดงเขาร้องขอความเป็นธรรม ขอให้ยุบสภา ขอให้มีการเลือกตั้งใหม่ ใครได้รับความไว้วางใจจากประชาชน ก็ขอให้ยอมมติของประชาชน อันเป็นการขอเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมทั้งสิ้น คนเสื้อแดงไม่ได้ร้องขอส่วนแบ่งในหอคอยงาช้าง ไม่ไต้ร้องขอการเข้าไปในมีอำนาจในราชสำนัก ไม่ได้ร้องขอแยกการปกครองเพื่อจะเป็นอิสระอีกต่างหาก คนเสื้อแดงไม่ได้ต่อสู้กับการขอโควต้าฉลาก หมื่นเล่มหรือล้านเล่ม คนเสื้อแดงไม่ได้ขอตำแหน่งทางการเมืองไม่ว่ากรณีใดๆ คนเสื้อแดงไม่ได้ขอให้ธนาคารเอาเงินมาแจกประชาชน รวมแล้ว...คนเสื้อแดงไม่ได้ขอในสิ่งที่เป็นทรัพย์สินเงินทอง เมื่อไม้ได้ขอในสิ่งเหล่านี้ ...จึงมีคำถามว่าแล้วเหตุไร จึงยุบสภาให้คนเสื้อแดงไม่ได้ คำตอบก็คือ...ต้นเหตุที่ทำให้พวกเขายุบสภาให้คนเสื้อแดงไม่ได้ก็เพราะพวกที่นั่งอยู่บนหอคอยงาช้าง ฉลาดไม่พอ จึงทำให้เกิดมิจฉาทิฐิ (๑) ประเมินสถานการณ์ผิดพลาด (๒) ประหมาทอย่างยิ่งว่าคนเสื้อแดงไม่มีพลังที่จะต่อกร (๓) เข้าใจผิดพลาดหมดว่าคนเสื้อแดงถูกทักษิณซื้อด้วยเงิน (๔) ยังประเมินฐานะของตนเองว่าแข็งแกร่ง มีทหารเป็นกองทัพ มีรถถังนับไม่ถ้วน มีปืนนับล้ารกระบอก และ (๕) พวกที่อยู่บนหอคอยงาช้าง เชื่อมั่นว่าจะรักษาแนวทางเดิมของตนเองเอาไว้ได้ ด้วยเหตุนี้ จึงขีดเส้นตาย ๖ เดือนอย่างมั่นอกมั่นใจ มาถึงวันนี้...จึงมีคำถามว่า หอคอยงาช้างจะมีความแข็งแกร่ง เข้มข้นอยู่ต่อไปได้อย่างไร ในเมื่อชิ้นส่วนที่เป็น “หัวใจ” ของหอคอยงาช้างเริ่มชำรุด ชิ้นส่วนที่ว่านั้นได้แก่พวก “อำมาตย์” และมหาอำมาตย์ทั้งหลายไม่ได้มีรูปร่างเหมือนเทวดาดังแต่เก่าก่อนเสียแล้ว รูปร่างอันงดงามนั้นได้กลายเป็นอสุรกายไปหมดแล้วครับท่าน ผมอยากจะกล่าวว่าแม้จะ “แต่งองค์ทรงเครื่อง” กรีดกรายอยู่ในจอทีวีด้วยลีลาของเทพบนสรวงสวรรค์ปานใด ร่ายรำได้ชดช้อยประทับใจเพียงใด หรือขับกล่อมด้วยระนาดมโหรี ปี่ตะโพนได้วิจิตรพิศดารขนาดไหนก็ตามเถิด แต่คนเสื้อแดงเขาจำหน้าได้ว่า “ไอ้หมอนี้” คือคนที่ออกคำสั่งให้ทหารฆ่าญาติพี่น้องของกู แล้วกูจะรักมึงลงได้อย่างไร ? คนเสื้อแดงเขาไม่มีวันลืมแน่ ๆ ก็แล้วกัน ด้วยวลีอันไม่ไพเพราะดังกล่าวนี้ น่าเป็นโจทย์ให้ท่านผู้อ่านช่วยผมวิเคราะห์ว่าหอคอยงาช้าง ยังแข็งแรงอยู่หรือว่าเริ่มผุกร่อนแล้ว...มิทราบ.. หวังว่าท่านผู้อ่านคงจะช่วยวิเคราะห์? แล้วอย่าลืมส่งต้นฉบับไปที่อีเมล์ : saaajundee@gmail.com ขอขอบคุณล่วงหน้าขอรับ สอาด จันทร์ดี ๒๓ กันยายน ๒๕๕๔ | |
http://redusala.blogspot.com |
ดาวน์โหลดคลิ๊ปคนเสื้อแดง
วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2554
หอคอยงาช้าง เริ่มผุกร่อน ?
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น