วันอังคารที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2554

หัวเราะให้กับความล้มเหลวที่ยิ่งใหญ่


http://www.siamintelligence.com/laugh-great-fail/



คนเราจะเกิดมาทำไม หากต้องทนมีชีวิตอยู่กับความหวาดกลัว “เพื่อนนินทา แฟนทอดทิ้ง เจ้านายไม่รัก” วันแล้ววันเล่าที่เราทำในสิ่งเดิมเดิม เพราะเกรงว่าบุคคลแวดล้อมของเราจะไม่พึงพอใจ กังวลว่าอนาคตจะเปลี่ยนแปลงไป จนกระทั่งเราไม่อาจรับมือกับมันได้
เราเก็บกดความหวาดกลัวนี้ไว้โดยไม่กล้าบอกใคร วันแล้ววันเล่า จนกระทั่งว่า ตัวเราเองก็ลืมมันไปเหมือนกัน แต่มันไม่เคยหายไปไหน ยังคงวนเวียนอยู่ลึกลงไปในจิตใต้สำนึก
เบื่อหน่าย เปลี่ยวเหงา และเฉื่อยชา ที่คอยมาเยี่ยมเยือนเราเสมอทุกวันคืน โดยที่หาสาเหตุไม่ได้ คือ เสียงสะท้อนความหวาดกลัวที่เงียบงัน
ความกลัวที่ว่านี้จะไม่มีพิษภัยอะไร ถ้าเราเกิดและเติบโตมาในยุคอุตสาหกรรม เพราะทุกสิ่งทุกอย่างต้องการความมั่นคงแน่นอน หากทว่าในศตวรรษที่ 21 ซึ่งโลกเรียกร้องให้ทุกคน ไม่ว่าชายหรือหญิง ต้องลุกขึ้นมา “Creative” สร้างความแตกต่างให้ผลิตภัณฑ์และงานประจำที่น่าเบื่อหน่าย สร้างความโดดเด่นในบุคลิกภาพ ทั้งเพื่อกระตุ้นเพศตรงข้ามและเพิ่มสีสันให้เจ้านายรักใคร่ ใครที่อ่อนด้อยเรื่องความสร้างสรรค์ ก็จะถูกลืมเลือนและทิ้งไว้ข้างหลัง
ทุกคนกำลังสนุกรื่นเริงกันในงานเลี้ยงสร้างสรรค์ แต่กลับทิ้งให้เราต้องอยู่เฝ้าบ้านคนเดียว
รัฐบาลอภิสิทธิ์กำลังตะโกนกรอกหูคุณทุกเช้าเย็นว่า “จงทำตัวให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์เดี๋ยวนี้ ไม่งั้นตกงานแน่” คุณอาจตะคอกกลับไปว่า “อย่ามัวแต่ใช้เงินภาษีประชาชนโปรโมตตัวเอง” คุณยังเอ้อระเหยเพราะคิดว่าตำแหน่งงานของฉันไม่มีวันกระทบ บริษัทของฉันมั่นคงและอยู่มานานแล้ว มันอาจจะเป็นจริงเช่นนั้นก็ได้ จนกระทั่งคุณตายไปก่อนแล้ว และได้ไปเสวยสุขบนสวรรค์วิมาน
เกิดมาแล้วทั้งชีวิต คุณไม่คิดอยากจะทิ้งผลงานอะไรที่ซี้ดซ้าดจนกระทั่งทนไม่ไหว ให้โลกใบนี้ได้จดจำบ้างเลยหรือครับ
1. เคี่ยวข้นมิตรภาพเดิมให้ล้นทะลัก เปิดใจน้อมรับมิตรภาพใหม่ที่ซาบซ่าน
สูตรสำเร็จของการเป็นมนุษย์สร้างสรรค์ (Creative Talent) ที่เคยเป็นดินแดนลี้ลับ แต่ตอนนี้ไม่ลับอีกต่อไปแล้วก็คือ การสร้างเครือข่ายและบทสนทนากับผู้คนที่หลากหลายสาขา เพื่อเชื่อมโยงความคิดที่เข้ากันไม่ได้ให้ปะทุกลายเป็นไอเดียใหม่สุดหรูเลิศ
หากเราเป็นวิศวกรก็ควรจะไปลองจิ๊จ๊ะกับศิลปินดูบ้าง เผื่อจะช่วยทำให้ผลิตภัณฑ์ที่เย็นชาของเรามีความใส่ใจต่อลูกค้ามากขึ้น นับจากความลับนี้ถูกเปิดเผย คนที่รู้ก็เร่งพาตัวเองเข้าไปหาความแปลกใหม่กันอย่างไม่บันยะบันยัง เผื่อหวังว่าตัวเองอาจจะ “รวย” จากความคิดสร้างสรรค์ที่ล้นทะลักนี้
แต่มันคงไม่ง่ายอย่างที่คิด !
“ความสร้างสรรค์” เป็นเรื่องยาก เพราะชอบเกิดขึ้นมาในจังหวะที่เราไม่รู้ตัว ยามที่เรากำลังแอบมองสาวสักคน โดยที่ไม่ให้ผัวของเธอสังเกตเห็น ความคิดดีเลิศก็พลันอุบัติขึ้นมา เรารีบหยิบปากกามาจด และปล่อยให้สาวสวยของเราเสียความมั่นใจ ยิ่งเราพยายามจะรีดเค้นความคิดสุดยอดจากเพื่อนใหม่ในหลากหลายวิชาชีพเพราะคิดว่าจะให้ไอเดียเฉียบคม เราก็ยิ่งพบกับความตีบตัน
ศิลปินมืออาชีพจะไม่มีวันทำสิ่งที่ตลกเช่นนี้ พวกเขาเพียงแต่ละเอียดอ่อนในการสังเกตสังกาชีวิตประจำวันรอบตัว ฟังเสียงนกร้องในวันที่ต้องทนฟังเสียงเมียบ่น เพื่อจะค้นหาความเชื่อมโยงระหว่างกัน นั่งอ่านหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ แล้วคิดเชื่อมโยงไปว่าเจ้าของบทความจะรู้สึกอย่างไร ถ้าแม่ค้ากล้วยแขกไม่สนใจในข้อเขียนที่ยิ่งใหญ่นี้ ขณะที่มือกำลังพับกระดาษให้กลายเป็นถุงใบหนึ่งที่แสนธรรมดา
จงกลับไปสังสรรค์กับเพื่อนกลุ่มเดิม หากทว่าหมั่นสังเกตบางสิ่งที่เคยละเลย อย่ามัวแต่คีบซูชิมาป้ายวาซาบิและจุ่มเข้าปาก ลองสังเกตอากัปกิริยาของเพื่อนในการรับประทานของหวาน ฟังในสิ่งที่เพื่อนพร่ำบ่น แล้วสังเกตว่าอารมณ์ในขณะนั้น เข้ากับชุดทำงานที่ใส่อยู่หรือไม่
ทั้งเพื่อนใหม่และเพื่อนเก่า ล้วนแต่มีคุณค่าให้ชื่นชม อย่ามัวแต่สนทนาหรือสังเกตสังกาเพื่อซึมรับวัตถุดิบสร้างสรรค์ให้มากที่สุด ขอให้ใช้ชีวิตกับเพื่อนทุกคนอย่างรื่นรมย์ เอาใจใส่ในรายละเอียดของเพื่อนให้มากขึ้น รู้จักหยอดมุขและหว่านเสน่ห์เป็นครั้งคราว เพราะความสร้างสรรค์นิยมมาเกิดในฉับพลันที่เราปล่อยวางและสนุกสนาน นี่คือ รางวัลตอบแทนในการดูแลกันและกัน
2. หัวเราะให้กับความล้มเหลวที่ยิ่งใหญ่
คนธรรมดาอย่างเราคงไม่โง่พอที่จะนั่งทดลองนับ 1000 ครั้ง เพียงเพื่อที่จะได้ 1 หลอดไฟที่ยิ่งใหญ่ เหมือนดั่งเอดิสันพิสูจน์ให้โลกตะลึง
ความล้มเหลวเป็นเรื่องที่ยากยอมรับได้อย่างหน้าชื่นตาบาน ยิ่งคนรู้น้อยเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น แต่เรากลับลืมไปว่า ชีวิตมนุษย์แสนสั้น จะอายอะไรกันนักหนา ทำไมเราไม่แปรเปลี่ยนความล้มเหลวของเราให้เป็นเรื่องตลกในวงเหล้า ทำไมเราไม่สอดใส่ดราม่าหรือสตอเบอรี่เข้าไปในเรื่องเล่าแห่งความล้มเหลวที่ยิ่งใหญ่ของเรา
ความล้มเหลวที่แท้จริง คือ การทำให้เรื่องเล่าเกี่ยวกับความล้มเหลวของเรานั้นจืดชืดจนไม่มีใครใส่ใจไยดี ไม่มีแม้แต่คำประณามด่าทอ
การนำเรื่องราวความล้มเหลวมาทำให้เป็นมุขขบขัน ไม่เพียงช่วยสร้างประโยชน์ให้มีเรื่องเม้าท์กันแก้เลี่ยน บางทีอาจปลุกให้สาวเซ็กซี่ร่วมโต๊ะที่กำลังแชตบีบีอย่างไม่ลืมหูลืมตา ได้ลุกขึ้นมาแล้วกล่าวยินดีกับความสำเร็จในการเล่าเรื่องราวความล้มเหลวของเรา แต่ที่สำคัญสุดคือ การได้รับฟีตแบคที่น่าสนใจว่า ทำไมเราจึงล้มเหลว เราน่าจะปรับปรุงอะไรบ้าง หรือเราควรจะไปตายแล้วเกิดใหม่
อย่าลืมว่าในข้อ 1 เราได้แนะนำไปแล้วว่า จงอย่าเพียงฟังสิ่งที่เพื่อนพูด แต่ให้ฟังสิ่งที่ไม่ได้พูดออกมาด้วย เมื่อกลิ่นน้ำหอมของเพื่อนชาย โชยเข้ามาในขณะที่เรากำลังจะจบการพรรณาที่ยืดยาวเกี่ยวกับความล้มเหลวที่น่าทึ่งของเรา เมื่อทุกสิ่งประสานกันอย่างลงตัว ในนาทีนั้นเอง “ไอเดียสุดยอด” ก็พลันบังเกิดขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว
จะเป็นอะไรไปเล่า ถ้าจะทดลองทำ แล้วล้มเหลวอีกสักครั้ง อย่างน้อยกลิ่นน้ำหอมของหนุ่มหล่อคนนั้นก็ช่างเย้ายวนใจเหลือเกิน
3. จงทำอย่างนักคิด และจงคิดอย่างนักทำ
ประโยคสวยหรูนี้ดีเยี่ยม แต่ก็อาจทำให้คุณไขว้เขวได้ง่ายดาย เพราะแท้จริงแล้วกระบวนการคิดและกระบวนการทำไม่ได้แยกขาดกันอย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ เปรียบประดุจได้ดั่งการสำเร็จความใคร่ทางปัญญา กับการสำเร็จความใคร่ทางร่างกาย แม้นว่าจะมีความเหนื่อยยากและขั้นตอนที่แตกต่างกันไกลลิบ แต่ทั้งสองสิ่งก็ทำให้เกิดความสุขเสียวซ่านได้ดุจเดียวกัน
ความคิดและการลงมือทำจึงไม่ได้แตกต่างกันมากอย่างที่เห็น
เราถูกสอนมานานแต่ยุคพระเจ้าเหาว่า “จงคิดก่อนทำ” แต่ในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ที่ชื่นชอบโปรโมตนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์กันโจ่งครึ่มเช่นนี้ เราจะต้อง “คิด-ทำ-คิด” ให้เป็นกระบวนการต่อเนื่องไม่สิ้นสุด เพราะในระหว่างลงมือทำนั้น ความคิดสุดยอดอาจโผล่เข้ามา ถ้าเราหวาดกลัวที่จะรื้อและทำใหม่ ถ้าเราเสียดายผลงานชั้นดีที่กำลังไปด้วยสวย เราก็ไม่มีวันผลิตผลงานที่ยิ่งใหญ่ได้
ในทำนองขัดกัน ขณะที่ความคิดเราเดินทางมาถึงทางตัน หรือความคิดที่เราไปขโมยมาจากคนอื่นมากมายหลากหลายกำลังขัดกันอย่างน่าโมโห ก็โปรดจงหยุดคิดบ้าง แล้วขยับแข้งขาเพื่อลงตีนทำ บางทีมันอาจช่วยให้ความคิดหลากหลายที่กำลังกวนบาทาเราอยู่ ได้รู้จักตัวเองและเชื่อมโยงในมุมพิสดาร (Recombination) จนสังเคราะห์เป็น 1ไอเดียสร้างสรรค์ที่เปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ได้ ส่วนความคิดอีก 999 ที่อุตส่าห์ขโมยเค้ามาอย่างยากเย็น ก็โยนทิ้งถังขยะไปได้เลย เพราะเราค้นพบแล้ว ไชโย
หรือว่าแอบไปคืนเจ้าของเขาดีมั้ย ^_^
บทสรุป
เศรษฐกิจสร้างสรรค์เป็นของมายา ชีวิตสร้างสรรค์เป็นของจริง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น