วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

หิ่งห้อยติดหอยหมา


ประชาธิปัตย์ อย่าทำตัวเป็น ‘หิ่งห้อยติดหอยหมา’
วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

             ผมอ่านข่าวที่ฟังแปลกๆ เกี่ยวกับเรื่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนใหม่ ไม่พูดภาษาอังกฤษ ฝ่ายตรงข้ามเยาะเย้ยว่า คงพูดไม่ได้ แต่บางคนก็ให้เหตุผลที่ฟังดูเข้าท่า คือ

           ที่รัฐมนตรีไม่พูดตอบเป็นภาษาอังกฤษ เพราะยังรู้สึกไม่คุ้นกับสำเนียงคำถามของผู้สื่อข่าวจีนคนนั้น ซึ่งการพูดจาของเธอ ออกจากฟังยากสักหน่อย แต่คุณสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล นั้น ข่าวว่าพูดภาษาจีนกลางได้ดี

          ดังนั้น...หากผมเป็นรัฐมนตรีสุรพงษ์ฯ จะออกมุกตอบเป็นแมนดาริน (ภาษาจีนกลาง) ให้อึ้งกิมกี่กันไปเลย

          แค่นี้...วันรุ่งขึ้นก็ ‘ชิงพื้นที่ข่าว’ ได้แล้ว!

         ตามประวัติรัฐมนตรีต่างประเทศคนนี้ จบจากโรงเรียน มงฟอร์ด วิทยาลัย ซึ่งเป็นโรงเรียนคาทอลิค ในเครือคณะภราดาเซนต์คาเบรียล ซึ่งมีการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ อยู่ระดับแนวหน้าโรงเรียนในประเทศ นอกจากนั้นตัวรัฐมนตรียังสำเร็จการศึกษาขั้นปริญญาเอกสาขาวิศวกรรม จากสหรัฐอีกต่างหาก ดังนั้น เรื่องการนินทาคุณสุรพงษ์ฯว่า ฟอร์ไฟว์ฟุดฟิดภาษาปะกิตไม่ได้นั้น คงไม่ใช่แน่!

         คุยกันเรื่องภาษาอังกฤษแล้ว ต้องขอพูดถึงรายการของวิทยุ FM 101 MHz สักหน่อย เนื่องจากมีรายการที่ฟังแล้ว มีสิ่งที่มันขัดหูผมที่ฟังอยู่พอดี เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ

         เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา รายการตอนสายๆเกี่ยวกับเรื่องการบ้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม มีผู้ดำเนินรายการสามคน หนึ่งหญิง สองชาย เขารายงานเรื่อง Flash Mob ฟังแล้วไม่น่าเชื่อว่า ผู้ดำเนินรายการทั้งสามคนนี้ ไม่เข้าใจ คำที่พวกตัวเองรายงานเลย ที่ตลกหนักก็คือ
ดันผ่าไปพูดอธิบายออกทะเล ไปเป็นเรื่องแฟลชไลท์ แบบถ่ายรูปวูบวาบไปโน่นเลย!
ผมไม่ตำหนิที่ผู้ดำเนินรายการหญิง ที่เธอไม่รู้จักคำนี้ แต่ที่แปลกใจคือ ผู้ดำเนินรายการร่วมชายสองคน ซึ่งทำงานอยู่ในเครือหนังสือพิมพ์ฝรั่งอย่างบางกอกโพสท์แท้ๆ กลับไม่รู้จักคำธรรมดาที่สามัญมากๆ และบางกอกโพสท์เอง ก็ใช้ออกบ่อยๆ เช่น คำว่า Flash Flood ซึ่งหมายถึง น้ำท่วมฉบับพลัน อย่างนี้เป็นต้น

           Flash Mob นั้น คือฝูงชนที่มารวมตัวโดยมีการนัดหมายมาล่วงหน้า โดยมีวัตถุประสงค์มาทำ หรือสร้างความแปลกประหลาดใจ หรือพูดภาษาชาวบ้านก็คือ มาทำเรื่องเซอร์ไพรส์ หรือเรื่องที่ไม่คาดหมายมาก่อน เช่น  นัดผ่านทางสื่ออินเตอร์เนต หรือสื่ออีเลคทรอนิคอื่นๆ มาเต้นระบำหน้าทำเนียบรัฐบาลจำนวน 100 คน เป็นเวลา 5 นาที แล้วสลายตัวไปแบบ ‘มาเร็วไปเร็ว’ เหมือน ‘สายฟ้าแลบ’ ประมาณนั้น เขาจึงใช้คำคุณศัพท์ Flash ไปนำหน้าคำว่า Mob กลายเป็น Flash Mob ก็เท่านั้น

           ที่มามีเรื่องดังไม่กี่วัน ก็เพราะนัดกันมาแบบ Flash Mob แล้วดันทะลึ่งทำ “มั่วนิ่ม” เข้าไปหยิบเข้าหยิบของในร้านค้า แล้วเอาออกไปหน้าเฉยตาเฉย เลยเป็นเรื่อง!
ผมคิดว่า ผู้ดำเนินรายการสื่อวิทยุที่ดำเนินรายการอย่างนี้ หากมีข้อสงสัยหรือไม่แน่ใจ น่าจะตรวจสอบก่อน ว่า เขาหมายความว่า อย่างไรกันแน่?

          นี่ไม่ได้เป็นการจ้องจับผิด แต่ต้องบ่นกันหน่อย ด้วยตัวเองก็เป็นครูภาษาอังกฤษเก่า ก็เลยติดนิสัยจู้จี้ เพราะอยากให้ผู้ดำเนินรายการของบ้านเรา พูดอะไรก็ให้มันถูกต้อง เด็กๆที่ฟังอยู่จะได้จดจำในสิ่งถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวหรือภาษาก็ตาม

             ดังนั้น หากจะพูดภาษาอังกฤษ ก็ขอให้แน่ใจสักหน่อยว่า มันออกเสียงหรือมีความหมาย อย่างที่ตัวพูดจริงๆ หากไม่แน่ใจ ก็ควรตรวจสอบก่อน ปัจจุบันทำได้สะดวก อาจใช้ดิคชันนารีพกพา หรืออินเตอร์เนตก็ได้ เพราะไม่อย่างนั้น คนที่เขาฟังอยู่ก็อาจจำของผิดๆ หรือเข้าใจอย่างผิด จนนำไปพดต่ออย่างผิดๆ ก็ขอทักท้วงกันเบาะๆ แต่เพียงแค่นี้!

           คราวนี้มาเข้าเรื่องที่อยากพูดถึง ต่อจากที่ชำแหละคำอำลาตอหลดตอแหล ของนายมาร์ค มุกควาย เมื่อสัปดาห์ก่อนอีกนิด กล่าวคือ

           มีข่าวการธนาคารโลกหรือ World Bank ยกระดับประเทศไทยในปีนี้ ขึ้นเป็นประเทศกลุ่มที่มีรายได้ประชาชาติต่อหัว ไปอยู่ในระเป็น Upper Middle Income ขึ้นไปอยู่กลุ่มเดียวกับมาเลเซีย และจีน ตามข่าวที่ปรากฏใน http://www.indexmundi.com/facts/thailand/gni-per-capita
ปรากฏว่า  หลังจากที่มีข่าวเรื่องนี้ออกมา ทางผู้สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ ออกอาการกระดี๊กระด๊ากันใหญ่ ตีขลุมเอาว่าเป็นผลงานของรัฐบาลนายมาร์ค มุกควาย แต่หากท่านคลิกเข้าไปดูตามลิ้งค์ข้างต้น ก็จะเห็นกราฟที่น่าสนใจ และมีตัวเลขประกอบ ดังนี้

  • 2000 ........1,960.00
  • 2001 ........1,900.00
  • 2002 ........1,900.00
  • 2003 ........2,060.00
  • 2004 ........2,360.00
  • 2005........ 2,580.00
  • 2006........ 2,860.00
  • 2007 ........3,240.00
  • 2008 ........3,670.00


               ตัวเลขสีน้ำเงินข้างหน้า เป็นปีคริสตศักราช ส่วนตัวเลขสีแดง เป็นรายได้ จะเห็นได้ว่า ปี ค.ศ. 2001 (พ.ศ.2544) นายชวน หลีกภัย เป็นหัวหน้าคณะรัฐบาล ที่ส่งไม้ให้นายกทักษิณฯ ในยามบ้านเมืองอยู่ในยุคที่ทรุดโทรมสุดขีด รายได้ลดลงจาก ค.ศ.2000 ที่มีรายได้ 1,960 ดอลลาร์ พอถึง ปี ค.ศ. 2001 รายได้ตัวหัวประชาชาติ เหลือ 1,900 ดอลลาร์ นายกฯทักษิณประคองบ้านเมืองมา จนกระทั่ง ถึง ปี ค.ศ.2003 รายได้ทะยานขึ้น 2,060.00 ดอลลาร์  ปี ค.ศ. 2004 กระฉูดต่อเป็น 2,360.00 ดอลลาร์ ปี ค.ศ. 2005 รายได้พุ่งไม่ลด เป็น 2,580.00 ดอลลาร์ ปี ค.ศ. 2006 ที่นายกฯทักษิณ โดนปฏิวัติ รายได้ทะลุทะลวงต่อไปถึง 2,860.00 ดอลลาร์ ปลายปี ค.ศ. 2007 (พ.ศ.2550) นายกฯสมัคร สุนทรเวช เข้ารับตำแหน่ง ต่อด้วยนายกฯสมชาย แม้จะต้องฝ่าฟันพันธมิตรซึ่งเป็นแนวร่วมกับประชาธิปัตย์ ที่ออกมาป่วนบ้านป่วนเมือง รายได้ประชาชาติปี ค.ศ.2008 ยังขึ้นอีก 430 เหรียญ เป็น 3,670.00 ดอลลาร์

           เห็นกันชัดหรือยังล่ะ! กว่านายมาร์ค มุกควายจะมารับ ก็เดือนธันวาคม ค.ศ.2008 หรือ ปี พ.ศ. 2551 โน่น  แล้วไอ้หน้าโง่ที่ไหน ดันออกมาบอกว่า เป็นผลงานของรัฐบาลนายมาร์ค มุกควาย!

         เรื่องนี้ คุณ ‘ซูม’ แห่ง ‘ไทยรัฐ’ คนสภาพัฒน์ฯเก่า เขียนลงคอลัมน์ตัวเอง แสดงความดีอกดีใจอย่างมาก ที่ไทยได้ขยับอันดับ เมื่ออังคารที่ 23 สิงหาคม 2554 นี้เอง

        ผมเชื่อว่า หากเห็นตัวเลขที่ผมลำดับให้ดู นั้น คุณซูมคงสรุปได้ ว่า ความก้าวหน้าในเรื่องรายได้ประชาชาติ จนทำให้ไทยได้รับการเลื่อนลำดับ ไปอยู่ชั้น Upper Middle Income จนน่าดีใจ นั้น เกิดขึ้นใน ‘ยุคทักษิณ’ อย่างชัดเจน ใช่หรือไม่!?

ท่านผู้อ่าน ที่เคารพ

          ระยะนี้ผมเฝ้าดูพฤติกรรม ของบรรดาสมาชิกพรรคดักดาน ที่ตกกระป๋องไปแล้ว ยังหน้าด้านออกมาตอดเล็กตอดน้อย ที่พวกสื่อมวลชน ทั้งหนังสือพิมพ์และวิทยุบอกว่า เป็นการออกมาเตะตัดขา...หมายให้รัฐบาลก้นเตี้ย หรือพังพาบลง! เมื่อไม่กี่วันก่อน จึงเห็นการเข้าไปแจ้งความดำเนินคดี กล่าวหารัฐมนตรี สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ว่า ช่วยเหลือผู้กระทำความผิด ไม่สมควรดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอีกต่อไป ต้องยื่นถอดถอนกันเสียที และอาจพ่วงนายกฯผู้หญิงเข้าไปด้วย



              โถ...ท่านนายกฯยิ่งลักษณ์ ของผม เพิ่งได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ไม่กี่วันเท่านั้น ยังไม่ทันจะแถลงนโยบาย ก็ดันแจ้นไปแจ้งความกับโปลิศ และเตรียมการยื่นถอดถอนกันแล้ว ดูมันทำ!

         ยิ่งไปกว่านั้น ยังจะมีเรื่องให้สินบนหนังสือพิมพ์ โดยส่งเสียงขู่ง่องๆแง่งๆออกมาว่า
จะเอากันให้ถึงขั้น ‘ยุบพรรค’ เพื่อไทยเลยทีเดียว!!

         นี่เอง ที่ทำให้ผมย้อนไปคิดถึงบทความเก่า ที่เขียนลงหนังสือพิมพ์ประชาทรรศน์รายวัน ที่มีผู้ชอบกันมาก และผมเอามาลงไว้ใน www.vattavan.com ด้วย ตั้งแต่เมื่อ 19 ก.ย. 2551 ชื่อคอลัมน์ว่า "สมัครยังไม่ถอย... ประชาธิปัตย์ ‘หิ่งห้อย' ก็คงหงอย!!!"(http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=84)

เขียนเอาไว้อย่างนี้ ลองอ่านดูครับ

...ครั้นเมื่อได้เห็นพฤติกรรม ของพรรคประชาธิปัตย์ในสภาวันเลือกนายกฯ ทำให้นึกถึงเรื่องที่รับฟังมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เกี่ยวกับเรื่อง "หิ่งห้อย" จึงขอถ่ายทอดให้ท่านผู้อ่านได้รับฟังกัน เพื่อใช้เป็นเครื่องประกอบการพิจารณา เขาเล่าสืบกันมาอย่างนี้ครับ

สุนัขตัวหนึ่งอยู่กินกับหมานางเมีย แต่แล้วโชคชะตาฟ้าลิขิตตัวตายไปก่อน เมื่อตายไปแล้วก็ไปเกิดเป็นหิ่งห้อย แต่ความระลึกถึงเมียเมื่อเคยเสพสังวาสกัน เมื่อชาติที่ผ่านมา เมื่อครั้งมันยังเป็นหมา จึงทำให้เจ้าหิ่งห้อย ยังระลึกถึงรสชาติความสุข เมื่อตัวนั้นมีสุขจากเพศรสที่ได้ร่วมกับหมานางเมีย จนวนเวียนตอนอยู่ที่เครื่องเพศของเมียหมาเมื่อชาติที่ผ่านมา เมื่อมีหมาตัวผู้ตนใด ที่ย่างกรายเข้ามาหานางเมีย มันก็ปล่อยแสงประจำตัว กระพือสว่างวาบขึ้น
...พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ!  หมาตัวผู้ที่จะมาเสพสังวาส กับหมานางเมีย ก็มีอันตกใจ เผ่นหนีไป...
เจ้าหิ่งห้อยนี้ ก็เฝ้าวนเวียนตอมอวัยวะเพศนางหมาเมีย ไม่ให้ตัวผู้อื่นเข้ามาใกล้ได้ จนกระทั่งมันมีอันล้มตายจากไป เพราะสังสารวัฏ เฉกเช่นเดียวกับสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ ที่มีกาลเวลาหรือพระกาฬคอยเสพกลืนกิน

           นิทานเรื่องนี้ ผู้ใหญ่อีสานที่ถ่ายทอด เพิ่นบอกว่า เป็นเวรกรรมของหิ่งห้อย ที่ไปตามตอมแต่หอยหมา ท่านจึงสอนเตือนใจ ว่า คนเรานั้นย่อมมีกิเลส หลงใหลในอำนาจ แม้ตัวเองพ้นจากตำแหน่งหน้าที่ไปแล้ว ยังโหยหาอาลัย แม้จะไม่ได้อยู่บนตำแหน่งแห่งที่เดิมแล้ว ก็ยังสำแดงอาการหึงหวง ปกป้อง ไม่ยอมให้ใครขึ้นครองตำแหน่งได้โดยง่าย ต้องความขัดขวางทุกรูปแบบไป ทั้งนี้มีเพราะยังมี "กิเลส" เป็นเครื่องร้อยรัดอยู่!

         เฉกเช่นเดียวกับ กับผู้เคยมีอำนาจในโลกใบนี้ นักการเมืองไม่ว่าจะอยู่ในพรรคใหม่ หรือพรรคเก่ากะลา ซึ่งเคยเสพอยู่บนอำนาจมายาวนาน มีความติดอกติดใจหลงใหลได้ปลื้ม กับตำแหน่งแห่งที่ ซึ่งเคยอำนวยอวยผลประโยชน์และอำนาจ ให้กับตนเอง

        เป็นธรรมดาเมื่อพวกของตน ต้องเป็น "ฝ่ายค้านดักดาน" อยู่หลายปี จึงต้องดิ้นรนทำทุกวิถีทาง เพื่อให้ได้กลับสู่ตำแหน่งแห่งที่มีอิทธิฤทธิ์ ประโยชน์โภคผล อย่างเต็มที่ แต่ถ้าไม่สามารถเอาชนะ เข้าสู่ตำแหน่งเดิมได้ ก็วนเวียนตอมป้องกันตำแหน่งที่ตนเคยครอบครอง ใครพยายามเข้ามาวอแว ก็ต้องพยายาม...ขับไล่ให้พ้นๆไป อย่างสุดความสามารถ!
พอจะพูดได้ว่า พฤติกรรมของคนในพรรคใดที่ตกกระป๋อง แต่ยังหวนหาใฝ่ในอำนาจ ก็เข้าทำนอง "หิ่งห้อย" อย่างที่เล่ามา

        ดังนั้น ใครก็ตาม มาบอกว่าพรรคที่มีพฤติกรรมอย่างนี้ เป็นพวกแมงสาป นั่นเป็นเรื่องที่ผมไม่เห็นด้วยเด็ดขาด เพราะบินได้สูงกว่าแมงสาป แถมยังมีแสงเอาไว้ขู่ศัตรู ที่เข้ามาหวังครอบครองตำแหน่งอีกด้วย... เหมือน ‘หิ่งห้อย’ มากกว่าเป็นไหนๆ!

        ครับ...แม้ระยะนี้ แสงยังริบหรี่อยู่ แต่จะเรียกหิ่งห้อยธรรมดา คงไม่ได้ จะต้องเรียกให้โอ่อ่า เต็มยศอย่างโบราณท่านว่า เป็นพรรค...

"หิ่งห้อย...ติดหอยหมา!!!"

ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ

         มาถึงวันนี้ พฤติกรรมของพรรคดักดานไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย จึงต้องเรียนขอร้องกับท่านผู้อ่าน ดังนี้ ผู้อ่านท่านใด ที่รู้จักมักจี่ กับสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ หรือคนที่เลื่อมใสในพรรคเก่าแก่ ช่วยสงเคราะห์นำบทความนี้ ไปให้พวกเขาอ่านกันหน่อย
เถอะครับ

        อ้อ!... ช่วยบอกไปด้วยว่า ผู้ใหญ่ที่เล่านิทาน "หิ่งห้อย...ติดหอยหมา!!!" ให้ผมฟังนั้น ไม่ได้ใช้คำว่า “หอย” หรอกครับ

       ท่านใช้คำตรงไปตรงมาคือ สะกดด้วยตัว หอ. หีบ กับสระ อี๋ แต่ตัวผู้เขียนเองนั้น ไม่บังอาจขึงขังตึงตัง ใช้คำที่มีทั้งมนต์ขลัง และแสนศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้น จึงต้องเลี่ยงมาใช้คำ ว่า “หอย” แทน! บอกตรงๆว่า

ผม...ขี้อายยยยยย!!!

...555... ...................

หมายเหตุ ผมฟังการแถลงนโยบายของนายกฯยิ่งลักษณ์ไม่จบ เพราะต้องรีบเดินทาง และส่งต้นฉบับก่อนด้วย มีพวกอกหัก ออกมาปรักปรำว่า  นายกฯยิ่งลักษณ์ เอาแต่ยืนอ่านโพย!

พวกนี้ลืมไปว่า นายมาร์ค มุกควาย ตอนแถลงนโยบาย เมื่อ30 ธันวาคม พ.ศ.2551 ก็ยืนอ่านโพยอย่างที่เห็นในภาพ ผิดกันตรงที่ว่า
- นายกฯยิ่งลักษณ์ แถลงนโยบายอย่างสง่างามในรัฐสภาแห่งชาติ แต่นายมาร์ค มุกควาย ต้องหนีหัวซุกหัวซุน ไปซุ่มยืนอ่านนโยบายใน ห้องวิเทศ สโมสรกระทรวงการต่างประเทศ!

- นายกฯยิ่งลักษณ์ อ่านคำแถลงไปเรื่อยๆ สบายๆ และเปิดโอกาสให้ฝ่ายตรงข้าม อภิปรายท้วงติงนโยบายตามระบอบประชาธิปไตย โดยให้เวลาถึง 2 วันเต็ม แต่ตัวนายมาร์ค มุกควาย ก้มหน้าก้มตา รีบอ่านๆๆๆๆ ให้เสร็จในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง เท่านั้น และไม่เปิดโอกาสให้ใครอภิปรายด้วยซ้ำ  ที่น่าตลก ก็คือ มิสเตอร์ มุกควาย ก้มหน้า หูตก รีบอ่านนโยบาย แบบพายเรือรีบจ้ำ ตากลอกปะหลับปะเหลือกไปมา มองซ้ายทีขวาที ล่อกแล่กๆ เหมือนขาดความมั่นใจ เพราะกลัวคนจะบุกเข้ามากระทืบหรืออย่างไร ไม่ทราบได้?

          สมาชิกพรรคดักดาน ก็อยากให้รีบๆจบเสียโดยเร็ว ร้องเชียร์ (ในใจ) แบบเชียร์แข่งเรือพาย ให้รีบ... บึ้ดจ้ำบึ้ด...บึ้ดจำบึ้ด...บึ้ดจ้ำบึ้ด!!!

(ของที่มัน ‘ปล้น’ เขามา ก็แบบนี้แหละครับ
ต้องรีบ บึ้ดจ้ำบึ้ด...บึ้ดจำบึ้ด...บึ้ดจ้ำบึ้ด!!!...555)

(***คอลัมน์ ประจำสัปดาห์ ตอน ประชาธิปัตย์ อย่าทำตัวเป็น 
‘หิ่งห้อยติดหอยหมา’ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 27 สิงหาคม 2554)
http://redusala.blogspot.com

ความปรองดองจะเกิด
     ถ้าอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับพวก ขึ้นศาล หรือติดคุกเมื่อใด  เมื่อนั้น ความปรองดองอันแท้จริง จึงจะเกิดขึ้นได้

    ข้อความนี้ผมไม่ได้เขียนขึ้นเอง แต่ได้เขียนมาจากการรับฟังบุคคลที่เชื่อถือได้มากกว่าสิบคน เช่นนายทหารใหญ่จากกองทัพอากาศ ทัพเรือ และทัพบก รวมทั้งตำรวจใหญ่ นักการเมืองใหญ่ ครูบาอาจารย์และพ่อค้าประชาชน (ตัดคนเสื้อแดงออก)แต่ละคนพูดตรงกันว่า ต้องเอานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ “กับพวก” เข้าคุกให้ได้ จึงจะเกิดความปรองดอง  โดยมีคำอธิบายชัดถ้อยชัดคำถึงเหตุผลว่าเหตุไรจึงต้องเอาอดีตนายกฯนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับพวก เอาตัวเข้าไปขังในคุกแล้วส่งฟ้องศาลเสียก่อน จึงจะสร้างความปรองดองได้จริง ซึ่งเป็นคำอธิบายที่จะสามารถเผยแพร่ได้ทั้งในและนอกประเทศ

          หลังจากผมได้รับฟังความเห็นจากบุคคลที่เชื่อได้ดังกล่าว ต่อมาผมก็ได้อ่านบทความของ “คน เมืองคอน” เขียนลงในเว็บ พีเพิ่ล ออน ไลน์ ในหน้าเดียวกันนี้แหละ   เขียนในชื่อเรื่องว่า “วาทะ ปรองดอง ใครกำลังหลอกใคร” ?  เมื่ออ่านจบก็นึกอยากเขียนเรื่องในทำนองเดียวกันนี้เสริมเข้ามาทันที เพื่อจะได้ช่วยกันเคาะสนิมที่“ปิดกั้น” ความปรองดองให้หลุดออกไปจากหัวใจของคนไทยให้ได้ในระดับหนึ่ง เพื่อจะเปิดโอกาสให้คนไทยได้รับสภาพจิตที่เป็นอิสระ ไม่ตกเป็นทาสของความโกรธ ความเกลียด อันหมายถึงการมีหัวใจที่เป็นไท (อิสระ) แก่ตนเอง จะได้มีจิตใจอยากร่วมมือกันสร้างความปรองดองต่อไปให้เห็นผลอย่างแท้จริง โดยไม่เลือกสีเสื้อว่าจะเป็นแดง เหลือง หรือหลากสี

                ใช่เลย ต้องเอานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับพวกเข้าคุก
                จึงจะทำให้เกิดความปรองดองอย่างแท้จริงได้

      วิธีการที่จะเคาะสนิมจากหัวใจได้นี้นะครับ ผมเขียนจากข้อแนะนำจากผู้ที่มีพื้นฐานความน่าเชื่อถือ ซึ่งแต่ละท่านได้ให้คำแนะนำ “คล้ายคลึงกัน” ที่ได้กล่าวว่าจิตใจของคนไทย ๖๕ ล้านคนมีจิต “ใต้สำนึก” ตรงกันทุกอย่างได้แก่จิตใจของทุกคนอยากให้ประเทศนี้-เมืองนี้มีแต่ความปรองดองไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย อยากเห็นประเทศชาติเจริญก้าวหน้า มีความเจริญรุ่งเรื่องเฉกเช่นนานาอารยะประเทศทั้งหลาย ไม่อยากเห็นประเทศไทยของตัวเองเจริญช้า หรือเจริญไม่ทันเขา ไม่อยากถอยหลังเข้าคลอง รวมทั้งไม่อยากเห็นแผ่นดินนี้มีแต่ความขัดแย้งไม่รู้จักจบสิ้น

       ผมจึงนำข้อเสนอให้มีการ “เคาะสนิมหัวใจ” มามอบให้ท่านผู้อ่านดังนี้

       หนึ่ง ...! การเคาะสนิมเบื้องแรก ได้แก่ความเข้าใจการเมืองในแนวทางประชาธิปไตยนั้น จะต้องเชิดชูการเลือกตั้งเป็นวิถีหลักเท่านั้น ไม่มีวิถีอื่นใดที่จะยอมรับได้ โดยเฉพาะได้แก่การไม่ยอมรับการกระทำของทหารที่ใช้อำนาจเผด็จการทำรัฐประหาร ฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งโดยอ้างโน้นอ้างนี่ ในที่สุดกลายเป็น “ปาหี่” ที่ทำขึ้นด้วยจิตใจที่พอกพูนไปด้วยอวิชชา ริษยา พยาบาท อาฆาต ของเวร ทำแล้วแทนที่จะดีขึ้น กลับยิ่งทำให้ประเทศชาติถอยหลังเข้าคลอง

      สอง...! กรณีการเอ่ยอ้างถึงความจำเป็นว่าจะต้องจัดการกับ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตรที่ใช้วิธีการยึดอำนาจไปจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ที่ฝ่ายอำมาตย์กับพรรคประชาธิปัตย์ และพวกพันธมิตร เชื่อเป็นตุเป็นตะว่าทหารทำถูกต้อง ก็จงเคาะสนิมให้ออก ให้มองเห็นว่าประเทศไทยมีขื่อมีแปนะครับ มีศาลเป็นที่พึ่งสูงสุด เหตุไร ทหารจึงไม่ยอมใช้ศาลเล่าครับ ?

       สาม...! กรณีประชาชนในนามของ นปช. รวมตัวกันเรียกร้องประชาธิปไตย ยื่นข้อเสนอให้ยุบสภาแล้วจัดการเลือกตั้งขึ้นมาใหม่ โดยประกาศว่าหากพรรคประชาธิปัตย์ชนะการเลือกตั้ง คนเสื้อแดงก็จะหยุดการเคลื่อนไหวทั้งหมด จะรออีก ๔ ปี จึงค่อยมาแข่งขันกันใหม่ แต่ถ้าพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง ทางพรรคประชาธิปัตย์และพวกอำมาตย์จะต้องไม่ก่อกวนอีกต่อไป จะต้องเลิกก่อความวุ่นวาย

      ข้อเสนอแบบนี้ ประดาคนที่ถือฝักถือฝ่ายขอได้โปรดเคาะสนิมออกจากใจ แล้วถามกับตนเองว่าทหารเอาเหตุผลอะไรมาใช้ เอาใจส่วนไหนมาตัดสิน...จึงกล้าฆ่าประชาชนเลือดแดงฉานบนท้องถนน โดยมีภาพและคลิปมากมาย ทหารยืนจังก้า มือกุมปืน ในชุดนักรบมาจากอวกาศ ยิงเอา...ยิงเอา อันเป็นการตั้งใจฆ่าราวกับว่าประชาชนเหล่านั้นไม่ใช่คนไทย

       สี่...! หลังจากได้สังหารประชาชนแล้วก็ได้โยนความผิดให้พวกเขา กล่าวหาว่าเป็นก่อการร้าย ป้ายสีว่าเป็นภัยต่อสถาบัน จึงจับยัดคุก ขังลืม ไม่ยอมให้การประกันตัว ไม่เอาใจใส่ต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้หัวใจของคนเสื้อแดงสุดแสนจะเจ็บปวด ชีวิตถูกเก็บกด มองไม่เห็นทางออก

       คนเสื้อแดงเพิ่งจะได้พบกับทางออก ในรัฐบาลพรรคเพื่อไทย โดยนายกรัฐมนตรีชื่อ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อันหมายความว่าถ้าพรรคประชาธิปัตย์ชนะการเลือกตั้ง ได้เป็นรัฐบาลอีก ชีวิตของคนเสื้อแดงไม่มีทางออกใดๆเลย จะมีก็แต่คุกและตะรางเป็นที่อยู่อาศัย คนเสื้อแดงบางคนอาจได้รับโทษประหาร ?!

      ท่านลองไตร่ตรองดู !แล้วเคาะสนิมออกจากใจให้ได้ จะเข้าใจดีว่าอะไรคือความยุติธรรม ?

      ห้า...! มาถึงวันนี้ ประเทศของเราเรียกหาความปรองดอง โดยฝ่ายพรรคเพื่อไทยประกาศออกมาว่าจะแก้ไข ไม่แก้แค้น ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ก็จ้องจับพิรุธพรรคเพื่อไทยว่าทำเพื่อทักษิณคนเดียว และจ้องจับพิรุธไปหลายกระทวนท่า จ้องไม่กระพริบตา กลัวพรรคเพื่อไทยจะช่วยให้ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ได้รับการนิรโทษ...จึงตั้งท่าต่อต้านสุดเหยียด โดยมิได้ร่วมมือแสวงหาความปรองดองแต่อย่างใด

      หก...! บุคคลที่น่าเชื่อถือได้กล่าวหลายถ้อยคำเกี่ยวกับการสร้างความปรองดองในประเทศไทยว่า ถ้าจะทำให้เกิดความปรองดองอย่างได้ผลนั้น ให้ลืมเรื่อง“ทักษิณ” ไปเลย โดยไม่ต้องใส่ใจว่า พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร จะได้กลับประเทศไทยเร็วหรือช้า 

     ประการสำคัญให้เอานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะกับพวกมาขึ้นศาลให้ได้ แล้วดำเนินการสืบสวน-สอบสวนตามหลักนิติรัฐ บนมาตรฐานเดียวกัน อย่าให้มี ๒ มาตรฐานหลงเหลือ ?

(ก)  ถ้าคนเสื้อแดงฆ่าคนเสื้อแดงตายตามข้อกล่าวหาจริง ก็สมควรได้รับโทษสถานหนัก
(ข) ถ้ายังยืนยันว่า พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร มีความผิด ก็ขอให้มีศาลเป็นที่พึง
(ค) คนที่ออกคำสั่งให้ทหารใช้อาวุธยิงประชาชนได้ จนเข้าข่ายเป็นฆาตกร ก็ต้องเป็นจำเลยเช่นเดียวกับคนเสื้อแดงที่ตกเป็นจำเลย
(ง)  คนที่ชื่อสูงส่งในสังคมไทย เช่นอดีตนายกรัฐมนตรี “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และรองนายกรัฐมนตรี “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” รวมทั้ง  ทหารใหญ่หลายคน สามารรถฆ่าตนทิ้งโดยไม่มีความผิดกระนั้นหรือ ? เมื่อพวกเขาทำให้ประชาชนล้มตายเกือบร้อย บาดเจ็บอีก ๒๐๐๐ พวกเขา เป็นอาชญากรอยู่แล้ว เหตุไรจึงอยู่เหนือกฎหมายด้วยเล่า ?
(จ)  ดังนั้น จึงหมายความว่าเมื่อทุกฝ่ายเข้าสู่กระบวนการ “ยุติธรรม” อย่างเสมอหน้ากัน ใครผิดว่าไปตามผิด ใครถูกก็ว่าไปตามถูก ขึ้นอยู่กับจ้อเท็จจริงและหลักฐานได้ถูกนำเอามาเป็นพยาน ให้เป็นตัวชี้ขาดปัญหา ถ้าทำอย่างนี้ได้ก็จะสามารถ “เคาะ”สนิมที่บังตาได้ดีกว่า

เจ็ด...! บุคคลที่น่าเชื่อถือยังได้กล่าวถึง “จุดเริ่มต้น” ที่จะต้องเคาะสนิมให้หลุดไปจากดวงจิตที่ถูก อวิชชาครอบงำทำให้ไม่รู้ว่าประเทศไทยยังไม่เป็นประชาธิปไตย ด้วยการให้เรียนรู้ว่าหัวใจในระบอบประชาธิปไตยอันมีกษัตริย์ทรงเป็นองค์ประมุขนั้น ต้องประกอบขึ้นด้วยหลัก ๖ ประการ

(๑)  ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจประชาธิปไตย โดยใช้กติกา “เสียงข้างมาก” มาจากการเลือกตั้งเป็นทฤษฎีชี้นำ

(๒) อย่าให้ผู้หนึ่งผู้ใดอ้างเอา “สถาบัน” เบื้องสูงมาข่มขู่คุกคามประชาชน เป็นอันขาด

(๓) พวกอำมาตย์จงจดจำเหตุการณ์เมื่อ ๑๙ ปี ในกรณีพฤษภาทมิฬ ๒๕๓๕ คราวนั้น ความเลวร้ายจบลงได้ด้วยพระบารมีมากล้น บ้านเมืองที่กำลังฆ่ากันเลือดเนืองนองกลับเข้าสู่ความสงบได้ภายใน ๕ ชั่วโมงเท่านั้น ...เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่ง

(๔) แล้วเหตุไร ในกรณี ๑๐ เมษายน ๒๕๕๓ อำมาตย์ จึงไม่ดำเนินการเฉกเช่นเดียวกัน ทำไมจึงยังปล่อยให้มีการฆ่าใหญ่อย่างสยดสยองที่ราชประสงค์และวัดปทุมวนารามหนักหน่วงขึ้นมาอีก จึงมีคำถามว่าอำมาตย์จดจำเหตุการณ์ “พฤษภทมิฬ” อันทรงคุณค่ายิ่งไม่ได้เลยเชียวหรือ ?ผมอยากกล่าวว่าอำมาตย์จงใจทำให้สถาบันได้รับความเสียหาย [ทำให้เจ้าล้มไปจากประชาชน]หรือไม่ก็ถูกอวิชชาครอบงำจนหลงทาง ? ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งเป็นแน่

(๕) เมื่อบ้านเมืองเผชิญปัญหาอย่างร้ายแรงตั้งแต่ ๑๐ เมษา..มาจนถึงวันนี้ โดยไม่มีการติดตามเอาผู้ร้ายตัวจริงมาลงโทษ [คนเขาไม่เชื่อว่าคนเสื้อแดงเป็นผู้ร้ายตัวจริง] ความเข้าใจแบบนี้มันได้เป็นอุปสรรคขัดขวางและฝังลึกเข้าไปในใจ แม้ว่าจะได้ยินวิทยุและทีวีเป่าหูเช้าเย็นว่าให้รู้รักสามัคคี ให้รักใคร่ปรองดองกันเถิดพี่น้องไทย ก็ไม่มีหัวใจที่จะรับฟังด้วยความรู้สึกอิ่มเอิบเหมือนเมื่อก่อน ทั้งนี้เนื่องจากคดีของคนเสื้อแดงยังคงรอเอาคอขึ้นเขียง ทั้งๆที่คนเสื้อแดงไม่ได้เป็นผู้ก่อการร้ายอะไรเลย ใจมันร้องหาความเป็นธรรม !

(๖) เอานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับพวกมาเข้าแถวเดินเข้าหาคดีอาญาอย่างเสมอหน้ากันซีครับ มันถึงจะเกิดความยุติธรรมขึ้นมาได้ และนั่น “คือหนทางสร้างความปรองดอง” ที่แท้จริงที่สังคมนี้จะต้องร่วมกันพิเคราะห์อย่างจริงจัง โดยมิให้อคติใดๆเข้ามาครอบงำ

       แปด...ท่านผู้น่าเชื่อถือท่านหนึ่ง บ้านเรือนอยู่จังหวัดชุมพร (ขอสงวนนาม)เป็นอดีตข้าราชการยศสูงในกองทัพอากาศกล่าวว่า สภาวะทางจิตใต้สำนึกของคนไทยในวันนี้ เกิดความเสียใจและน้อยใจอย่างร้ายแรงที่ชนชั้นผู้ปกครองแบ่งแยกคนในชาติเดียวกันให้ฝ่ายหนึ่งรักและเทิดทูนองค์พระประมุขแล้วตอกย้ำคนไทยอีกกลุ่มหนึ่ง ว่าเป็นภัยต่อสถาบัน แม้ว่าคนผู้นั้นจะตอบโต้ว่าไม่ได้เป็นภัยก็ไม่ยอมรับฟัง 

       ดังตัวอย่าง พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ได้รับเคราะห์กรรมตรงนี้เต็มพิกัด ?

       ดังนั้น เมื่อพิเคราะห์สภาพจิตใต้สำนึกของคนไทยในวันนี้ จะพบว่ามันไม่ใช่เป็นเรื่องของการเมืองเสียแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นมิใช่เป็นการแข่งขันทางการเมืองตามปกติของชาวโลก หากแต่มันเป็นความอาฆาต พยาบาท จองเวร หมายที่จะเล่นงานพรรคเพื่อไทยให้พังพินาศไปทุกเครือข่าย ดังจะเห็นได้จากการไล่ล่าพ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ราวกับอาชญากรสงคราม รวมทั้งเสียงขู่ที่ดังออกมาตลอดเวลาว่ารัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะอยู่ได้ไม่เกิน ๖ เดือนบ้างละ แล้วลดลงมาเหลือไม่เกิน ๓ เดือนบ้างละ อันเป็นการคำพูดแบบขี้รดหัวใจ มิได้ตระหนักแม้แต่นิดว่าพรรคเพื่อไทยชนะมา ๑๕ ล้านเสียง

      บรรยากาศทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ในวันนี้มิได้ตั้งอยู่ในฐานะฝ่ายค้าน สิ่งที่พรรค ปชป. กำลังทำอยู่ คือไล่ถอดถอน ฟ้องยุบพรรค และกล่าวหาซ้ำซากทั้งๆที่พรรคเพื่อไทยเพิ่งจะมีอำนาจบริหารตามรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๔ [เพิ่งจะได้ ๔ วันเท่านั้น]

      เก้า...! อย่างไรก็ตาม ถ้าจะสร้างความปรองดองให้ได้ผล ทางออกทางเดียวที่เหลืออยู่คือเอาตัวนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับพวกขึ้นสู่ศาลในฐานะอาชญากรเข่นฆ่าประชาชนให้ได้ 
     
     สรุป “ต้องยื่นคุก” ให้อภิสิทธิ์ ถ้าคิดจะปรองดอง ?
                                                                               สอาด จันทร์ดี
                                                                        ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๔
http://redusala.blogspot.com

วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2554


อำมาตย์ หยุดโง่ได้แล้ว?!
ปัญหาของประเทศไทยเกิดจากอำมาตย์ทำงานผิดพลาดทางเทคนิคอย่างมหันต์ และเป็นความผิดพลาดอันร้ายแรง ส่งผลให้ประเทศและประชาชนตกต่ำตลอด ๕ ปี เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด แสดงว่าสติปัญญาของอำมาตย์ไม่ดี หรือโง่มากไปนั้นเอง

ประมาณดูอำมาตย์ใหญ่มีมากกว่า ๑๐๐ คน อำมาตย์ “หลายคน” ดำรงตำแหน่งสูงส่งและมีสิทธิถืออำนาจเหนือการเมืองโดยไม่มีใครทักท้วงได้ อำมาตย์พวกนี้สามารถชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้

ส่วนอำมาตย์ “อีกหมู่ใหญ่” แม้จะไม่มีอำนาจขนาดหนักก็จริงแต่ก็ “รวมหัว” เกาะกุมธุรกิจต่างๆอย่างได้ผล รวมทั้งได้ครอบครองสถาบันการเมืองทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ การต่อสู้ทางการเมืองในประเทศไทย จึงเป็นการต่อสู้ของพวกอำมาตย์ด้วยกัน ซึ่งพรรคการเมืองส่วนใหญ่และนักการเมืองเกือบทั้งหมด เอาตัวไปขึ้นกับอำมาตย์ มอบตัวเป็นสาวกทำให้พวกอำมาตย์ได้ใจ ดังที่ทุกท่านทราบดีอยู่แล้วว่าประเทศไทยเป็นเช่นนี้มายาวนาน

พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร เป็นนักการเมืองที่ไม่เหมือนเขา แต่ได้หันหน้าเข้าหาประชาชนคนรากหญ้า ได้นำนโยบายที่จะก่อประโยชน์ให้แก่ผู้ยากไร้มาใช้ ผลก็คือประชาชนคนรากหญ้าได้รับอานิสงค์จากนโยบายต่างๆที่ค้นคิดได้ในยุคพรรคไทยรักไทย คนรากหญ้าจึงแสดงความชื่นชมด้วยการทุ่มเทความรักให้เป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนักประชาชนชาวรากหญ้ายกย่องทักษิณว่าเป็นคนเก่ง

ความเก่งของ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ได้ก่อให้เกิดศัตรูทันตาเห็น กล่าวคือพวกอำมาตย์รุมอัดเละตุ้มเป๊ะด้วยการใส่ร้ายป้ายสี ยัดเรื่องอันไม่จริงให้ได้รับความเดือดร้อน พวกอำมาตย์รุมรังแกยังไม่พอ ยังได้เผยแพร่ข่าวสารข้อมูลอันเป็นเท็จไปยังหมู่ประชาชน หวังจะใช้พลังประชาชนเป็นผู้พิพากษาความผิดในที่สาธารณะ แต่ผลสุดท้ายก็ไม่อาจ “ดับรัศมี” พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ได้เลย

ตรงกันข้าม ฝ่ายอำมาตย์ต่างหากเล่า...ยิ่งพังเละ ! พังมหึมา – มโหฬาร เสียด้วย..?

ทว่า...แม้จะพังเละขนาดนี้ ก็ยังบอดตาใส มองอะไรไม่เห็น พวกอำมาตย์ยังคงคิดหามุขแบบใหม่หวังจะเอามาใช้ต่อ ดังจะเห็นได้จากข่าวสารข้อมูลต่างๆที่ทะลักออกมาแต่ละวัน ยังคงเต็มไปด้วยข่าวร้ายในทำนองว่า น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะไปไม่รอด บางข่าวบอกออกมาว่าไม่นานพรรคเพื่อไทยก็จะถูกยุบบ้างละ จะอยู่ไม่ถึง ๖ เดือนบ้างละ

คนที่แสดงวาทะออกมา มีทั้งนักการเมือง เช่นนายสมศักดิ์ เทพสุทิน นายเทพไท เสนพงศ์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นพ. ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ สนธิ ลิ้มทองกุล นายพิภพ ธงชัย นายเทิดภูมิ ใจดี ฯลฯ เป็นต้น

คนเหล่านี้คือสมุนบริวารของอำมาตย์ที่เคยแสดงบทบาทมาแล้วอย่างน่าระทึกใจได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติบ้านเมืองอย่างยาวถึง ๕ ปีดังที่ได้กล่าวมา

            มาถึงวันนี้ สถานการณ์ทางการเมืองได้เปลี่ยนไป อันเกิดจากความพ่ายแพ้ของอำมาตย์ที่มีต่อเพื่อนฝูงและตนเองที่ได้บริหารมันสมองด้วยมิจฉาทิฐิ จนทำให้ตนเองกลายเป็นคนปัญญาสั้นอ่านโลกไม่ออก อ่านวิสัยทัศน์ไม่ตก ทำให้มองเห็นคนดีและคนเก่งอย่างท่านทักษิณว่าเป็นคนเลว

            แล้วไปหลงรักคนชื่ออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะแบบติดเสน่หา ?

            และไปหลงเชื่อพรรคประชาธิปัตย์ที่ประจบประแจงตลอดชาติ

            สุดท้ายก็ถลำลึก...ปล่อยให้พรรคประชาธิปัตย์ออกคำสั่งให้ทหารลงมือไล่ยิงประชาชนและฆ่าประชาชนอย่างเหี้ยมโหด จนกลายเป็นรอยด่างประทับอยู่บนหน้าผากติดตัวไปจนวันตายจนกลายเป็นว่าทางเดินของอำมาตย์เริ่มเจอกับทางตันและจะตันไปเสียทุกด้าน  ขนาดมีประตูมากมายถึง ๒๑ ประตูก็จะตันไปทุกประตู

            แท้ที่จริงแล้วประตูยังมีอยู่ ถ้าคิดเป็นจะมีทางออกอย่างสวยหรู นั้นก็คือต้องรีบวิเคราะห์ตัวเองแล้วให้รีบหันมาดูต้นเหตุมิจฉาทิฐิที่ทำกับทักษิณเอาไว้ ทำกลับกันเสียใหม่เปลี่ยนให้มันเป็น “สัมมาทิฐิ” โดยทันทีก็จะได้พบกับทางออกในทันทีอย่างไม่ต้องสงสัยเช่นกัน ?

          “สลักนิรนาม” อยากเสนอแนะแก่อำมาตย์ว่า   อย่าดื้อดึงอยู่กับมิจฉาทิฐิต่อไปเลย ขอให้รีบมีสัมมาทิฐกับ ๙๑ ศพ ไปหาคนที่ทำให้เขาตาย..เอาตัวมาลงโทษ ใครผิดว่าตามผิด ใครถูกว่าตามถูก ไม่ว่า นปช. หรือพรรคประชาธิปัตย์ หรือราบ ๑๑ รอ.? ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการ “สัมมาทิฐิ” อย่างเสมอหน้ากัน

            ใครจะขึ้นศาล ใครจะมีคดีความ ใครจะต้องขึ้นเขียงให้ท่านเปาประหาร ก็ต้องอยู่ที่สัมมาทิฐิที่ประชาชนมองเห็น ถ้าทำอย่างนี้ได้ จะทำให้ “อำมาตย์” ได้พบกับทางออกที่ดีกว่า แต่ถ้าอำมาตย์ไม่ยอมใช้เส้นทางสัมมาทิฐิตามที่สลักนิรนามเสนอ ก็จะไปเจอกับข้อเรียกร้องของคนเสื้อแดงอย่างไม่มีทางเลี่ยง

            เปล่า...คนเสื้อแดง ไม่แตะต้องอำมาตย์ดอกครับ

            คนเสื้อแดงเขาจะไปร้องขอพรรคเพื่อไทยให้ใช้อำนาจรัฐค้นหาตัวการว่าใครสั่งฆ่าประชาชน ใครเป็นคนยิงประชาชนและยิงทหารตายถึง ๙๑ ราย จนกลายเป็น ๙๑ ศพ ที่แสนวิปโยค ?! และยังมีศพนักข่าวต่างชาติอีกนะท่านที่ถูกฆ่าปิดป่ากในฐานถ่ายภาพต้องห้ามเอาไว้ได้ ไม่ทราบว่า อำมาตย์รู้หรือเปล่า ?

            เมื่อคนเสื้อแดงแห่ไปหาพรรคเพื่อไทย แล้วพรรคเพื่อไทยจะเงียบฉี่กระนั้นหรือ ?

            เปล่าเลย...เงียบไม่ได้พระคุณท่าน ในที่สุดเรื่องมันจะแดงเถือกจนได้นะแหละ และจะลามมาถึงอำมาตย์สุดที่จะห้ามปราม   ถ้าอำมาตย์เจอเข้ากับแบบนี้ อำมาตย์จะทำประการใดมิทราบครับ?

            วันนี้ สลักนิรนาม จะขอเป็น “สลักนิรภัย” ให้แก่พวกอำมาตย์ด้วยการเสนอให้รีบหันหน้าเข้าหาท่านทักษิณ ชินวัตร ด้วยท่าทีที่เป็นธรรม เปิดโอกาสให้ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ได้ใช้กระบวนการยุติธรรม ค้นหาความผิดที่เป็นจริงค้นในทุกมิติว่าเป็นคนขี้โกงจริงหรือเปล่า ?

            ถ้าทักษิณผิด เป็นคนขี้โกง ก็ให้เอาตัวไปขังเหมือนอดีตประธานาธิบดีเกาหลีใต้

            แต่ถ้าไม่ผิด...อำมาตย์ต้องหันมายกย่อง และช่วยกันชูให้ท่านผู้นี้ได้ใช้สติปัญญาเพื่อประเทศชาติ อย่าได้ขวางกั้นดังแต่เก่าก่อน

            ประการสำคัญอยากให้อำมาตย์ได้เรียนรู้ว่าเหตุไรคนเสื้อแดงจึงแห่ไปเทใจให้แก่พรรคเพื่อไทย คำตอบก็คือปัญหา ๒ มาตรฐาน ได้ทำให้คนเสื้อแดงเกิดความเกลียดชัง และแค้นเคืองอย่างยิ่ง จึงพากันแสดงออกด้วยการแห่ไปเลือกพรรคที่ยืนเคียงข้างประชาชน

            พรรคประชาธิปัตย์นะเหรอ มือยังเกรอะไปด้วยเลือดประชาชน

            แล้วจะให้เขาเลือกฆาตกรได้อย่างไร

            มาถึงวันนี้ อำมาตย์จงตัดสินใจเสียเถิด เลิกโง่ได้แล้ว หากขืนยังเกาะพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ว่าแม้จะเกาะพรรคภูมิใจไทยก็ไม่แตกต่างกัน ทั้งนี้เนื่องจากพรรคภูมิใจไทยเป็น “งูเห่า” มีพิษแรงทั้งพ่องูลูกงู รวมทั้งเครือข่ายของอำมาตย์ ล้วนมีส่วนร่วมในการเข่นฆ่าประชาชน

            ไม่ทราบอีกนานไหม อำมาตย์จึงจะหยุดโง่ ?!

                                                 “สลักนิรนาม”
                                            ๘ สิงหาคม ๒๕๕๔

http://redusala.blogspot.com

ปชป. เริ่มบรรเลงเพลงเลือด...?!

      ปฏิบัติการณ์ยื่นถอดถอน และฟ้องยุบพรรคเพื่อไทยละลอกใหม่เป็นปฏิบัติการณ์ “เริ่มอีกแล้ว”ของพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เพื่อจะบรรเลงบทเพลงเลือดตามแบบฉบับที่ถนัด ปฏิบัติการณ์แบบนี้มันคือสัญญาณที่จะก่อกระแสให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างพรรคต่อพรรค และประชาชนต่อประชาชน โดยหวังว่าจะสามารถะเปลี่ยนขั้วการเมืองได้สำเร็จดังที่เคยกระทำเมื่อครั้งปล้นอำนาจมาจาก ฯพณฯ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์

            นั้นคือการ “ยุบพรรคพลังประชาชน” แล้วได้งูเห่าเนวิน (งูเห่าภาค ๒) เอามาช่วยหนุนให้ ปชป. ได้เป็นรัฐบาล ซึ่งตัวอย่างในครั้งนั้น กำลังจะถูก ขึ้นรูป” [Political Fabricate] ใหม่อีกครั้งโดยจะอาศัยการยื่นถอดถอน และฟ้องให้ยุบพรรคเพื่อไทยเป็นช่องทางไปสู่การเปลี่ยนแปลง

            ถ้าศาลรัฐธรรมนูญมีแนวโน้มว่าจะสามารถ “ยุบพรรค” ได้สำเร็จ การตระเตรียมที่จะรับ ส.ส. งูเห่าภาค ๓ ก็จะมีขึ้นอย่างเป็นขั้นเป็นตอน หากสามารถคว้า ส.ส. งูเห่าภาค ๓ ได้มากกว่า ๑๒๐ คน ก็จะสามารถเปลี่ยนขั้วทางการเมืองได้อีกครั้ง และนั่นย่อมหมายถึงพรรคเพื่อไทยจะกลายไปเป็นพรรคฝ่ายค้านเหมือนเช่นเคย

            การกระทำของพรรคประชาธิปัตย์ในครั้งนี้ ถือว่าเป็นการขึ้นรูปเพื่อจะให้เกิดความสับสนกับพรรคเพื่อไทยอย่างตรงประเด็น แต่จะสำเร็จหรือไม่ ต้องคอยดู?

            เพลงเลือดที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นเจ้าตำรับ ได้ก่อความเสียหายให้แก่สังคมไทยสุดที่จะประเมินค่าได้ อย่างเช่นการเข่นฆ่าประชาชนนั้นมิใช่แต่จะทำให้ครอบครัวของคนที่ถูกฆ่าได้รับความเจ็บปวดบอบช้ำเท่านั้น ยังได้บ่อนทำลาย “ภาวะวิสัย” ของสังคมให้ปั่นป่วน ถึงขั้นฉุดประเทศไทยให้จมดิ่งลงไปสู่ความขัดแย้งทั้งในสถาบันครอบครัวไปจนถึงสถาบันเบื้องสูง

            ปัญหาที่เกิดกับสถาบันเบื้องสูงนั้น เห็นชัดมากจากกรณีข้อกล่าวหาร้ายแรงไปกองอยู่กับ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร และคนเสื้อแดงว่าจะล้มเจ้า ไม่รักเจ้าเหมือนพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวหาอยู่แบบนี้ดังกระหึ่มไปทั่วประเทศ แต่หลังจากการเลือกตั้งผ่านไป ปรากฏว่าฝ่ายที่รักเจ้ากลายเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้แก่พรรคเพื่อไทย เรียกว่าแพ้หมดรูป

            ความพ่ายแพ้อย่างหนักเช่นนี้ย่อมกระเทือนสถาบันไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งจึงเท่ากับว่าสถาบันอยู่ของท่านด้วยความสดชื่นแจ่มใสมาโดยตลอด ไม่เคยมีอาการสั่นสะเทือนใดๆทั้งสิ้น แต่ต้องมาแบกความพ่ายแพ้ร่วมไปกับพรรคประชาธิปัตย์ไปด้วย จึงมีคำถามว่าถ้ามีการ “เลือกตั้งใหญ่” อีกครั้ง หลังจากนั้นพรรคประชาธิปัตย์ก็ตกที่นั่งลำบาก พ่ายแพ้อีกครั้ง

            สถาบันก็ต้องพ่ายแพ้ตามอย่างไม่มีทางเลี่ยงใช่ไหมเล่า ?

            ถ้าสถาบันพ่ายแพ้ สองครั้งสองหนติดต่อกัน จะทำให้พระเกียรติยศของสถาบันเสื่อมลงขนาดไหน เรื่องแบบนี้เหตุไรเล่าพรรคประชาธิปัตย์จึงไม่ไตร่ตรองให้ดี 

          ถ้าจะให้ผมวิจารณ์ ผมก็ต้องกล่าวว่าพรรคประชาธิปัตย์คือตัวการ “ทำให้เจ้าล้ม” รวมทั้งเป็นตัวการทำให้คนไทยแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ถ้าประเทศไทยจะมีไทยเหนือ-ไทยใต้เหมือนเกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้ หรือเวียดนามเหนือ-เวียดนามใต้ ฟันธงได้เลยว่าจะเกิดจากความชั่วของพรรคประชาธิปัตย์

            ผมอยากเรียนกับท่านผู้อ่านว่าผมสงสัยพรรคประชาธิปัตย์ว่ามีฐานะเป็นพรรคของประชาชนคนไทยอยู่หรือเปล่า หรือว่าเป็นพรรคการเมืองของคนกลุ่มหนึ่งที่กำลัง “สูบเลือด” ประเทศไทย ซึ่งคนกลุ่มนั้นได้แก่พวกมหาอำมาตย์ และพวกเจ้าสัวผู้มั่งคั่งไปด้วยเงินทอง มีธนาคารอยู่ในความครอบครองเป็นกะตั๊ก แถมเป็นเจ้าของวิสาหกิจใหญ่โต ครอบงำความเป็นอยู่ประชาชนได้เต็มประเทศ
            สงสัยว่าพรรคประชาธิปัตย์ตกเป็นสมบัติของคนพวกนั้นชนิดโงหัวไม่ขึ้น
            ที่ผมมีความเห็นอย่างนี้ก็เพราะผมเรียนรู้ “เจตจำนง” ของพรรคประชาธิปัตย์ดั้งเดิมนั้นเป็นพรรคที่ตั้งขึ้นมาเพื่อจะได้เป็นศูนย์รวมของคนไทยทุกชนชั้น มีความเมตตาสงสาร เข้าใจในความทุกข์ยาก และเข้าใจในปัจจัยต่างๆว่าอะไรคือปัญหาของชาติ ครั้นเอาเข้าจริง ธาตุอันงดงามของพรรคประชาธิปัตย์ที่เคยถือเป็นอุดมการณ์กลับไม่มีอะไรเหลือ

            ถ้าเหลือจะไม่ออกคำสั่งให้ทหารฆ่าคนเสื้อแดงเหมือนสั่งเชือดสุนัขรอขายที่นครพนม

            ถ้าเป็นประชาธิปัตย์แท้ จะไม่มีนิสัยเถื่อน-ถ่อยแบบนี้

            สิ่งที่ได้พบเห็นในวันนี้ พรรคประชาธิปัตย์อ้างรัฐธรรมนูญเอาขึ้นมาใช้เป็นเครื่องมือยื่นถอดถอนนายกรัฐมนตรี (น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) และยื่นถอดถอน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล พร้อมกับประกาศยื่นฟ้องให้ยุบพรรคเพื่อไทยด้วย

            จริง..ไม่เถียงดอกว่าทำไปตามรัฐธรรมนูญ...แต่ขอให้ดูให้ดีก่อน ปชป. ว่าทั้งสองท่านดังกล่าวนั้นยังไม่ได้กระทำความผิดต่อรัฐธรรมนูญเลย แล้วไปยื่นถอดถอนเขาได้อย่างไร ? รวมทั้งการฟ้องยุบพรรคนั้นมันเจ๊าะแจ๊ะอย่างไม่น่าเชื่อ ? พวกท่านต่างหากที่อ้างรัฐธรรมนูญแบบเอาเป็นเอาตาย โดยมิได้ใส่ใจว่าเราทั้งสองฝ่าย น่าจะร่วมมือกันก่อให้เกิดความราบรื่นในสังคมไทย 

            เรากำลังจะหาทางออกให้กับประเทศไทย  มิใช่หรือ ?

            การกระทำของพรรคประชาธิปัตย์ (แบบนี้) ตีความได้สถานเดียวว่าพวกท่านยังคงเอาพรรคและ ตัวตนไปรับใช้อำนาจมืดอย่างไม่ลืมหูลืมตา ซึ่งคนพวกนั้นมีจุดยืนอย่างไรก็รู้กันดีแล้วทั้งประเทศ จุดยืนเกี่ยวกับการ “ยุบพรรค” ในประเทศไทยมิใช่เป็นการยุบเพื่อการพัฒนา แต่เป็นการสั่งยุบอันเกิดจากความหวั่นวิตกว่าฐานอำนาจของตัวเองจะหมดไป จึงวางแผนที่จะรักษาอำนาจด้วยการยุบพรรค ซึ่งมีวิธีการ ๒ อย่าง คือ :

(๑)รักษาอำนาจเอาไว้ด้วยการให้ทหารทำรัฐประหาร ล้มล้างรัฐธรรมนูญ

(๒) รักษาเอาไว้ด้วยการยุบพรรค แล้วเปลี่ยนขั้วทางบการเมือง
ตัวละครของเรื่องนี้ เกี่ยวกับตัวบุคคล คือ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่ายของทักษิณ อันได้แก่ นปช. และคนเสื้อแดง ฝ่ายหนึ่ง กับพวกเสื้อเหลือง สันติอโศก-พันธมิตร อีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเป็นตัวละครที่โลดแล่นอยู่คนละฝั่ง ที่สมควรจะหาหนทางปรองดองกัน แต่พรรคประชาธิปัตย์ได้จุดไฟเข้าใส่ทันทีที่เลือกตั้งแล้วเสร็จ

          ว่ากันตามเนื้อผ้า ฝ่ายคนเสื้อแดง และพรรคเพื่อไทยไม่ได้แตะต้องพรรคประชาธิปัตย์อะไรเลย แต่ทางฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ อย่าว่าแต่แตะต้องเลย พรรคประชาธิปัตย์แทบจะเอายาพิษกรอกปากให้ม่องเท่งกลางถนน คนที่พรรคประชาธิปัตย์เล่นงานไม่เลิกได้แก่ ฯพณฯ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร

            นายกปู...เป็นน้องสาว จึงเป็นลูกข่างแทนพี่ชาย !

            เมื่อพิจารณาดูเหตุและผลที่พรรคประชาธิปัตย์รีบเร่งยื่นถอดถอนรวมทั้งการฟ้องให้ยุบพรรค เป็นสัญญาณทางการเมืองที่ไม่แตกต่างจาก ๔-๕ ปีผ่าน กล่าวคือพวกเขายังคงมุงหน้าที่จะทำลาย โดยอาศัยถ้อยคำว่าต้องการรักษารัฐธรรมนูญเป็นใบเบิกทางแต่แท้ที่จริงแล้ว พวกเขายังคง “มั่นหมาย” ที่จะทำลายพรรคเพื่อไทยอย่างไม่เลิกราโดยจะใช้กลยุทธ์แบบเดิมๆอย่างไรก็อย่างนั้น
            กล่าวให้ชัดก็คือตราบใดทักษิณยังอยู่ ตราบนั้นไม่หยุดการไล่ล่า

            ดังนั้น เพื่อจะให้เข้าใจเรื่องนี้ จำเป็นจะต้องกลับไปดูอดีตตั้งแต่ยุคไทยรักไทยก็จะพบว่าพรรคไทยรักไทยได้พบกับปรากฏการณ์อันน่าตกใจ กล่าวคือบริหารประเทศอยู่ดีๆก็มี “ม็อบออกมาขับไล่” ทักษิณ ออกไป ...ทักษิณ ออกไป ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่คาดไม่ถึง

            มิใช่แต่เท่านั้น หลังจาก พ.ต.ท.ดร. ทักษิณ ชินวัตร ถูกทหารยึดอำนาจไปแล้ว แทนที่เรื่องจะจบ กลับผันไปสู่การกระทำอีกหลายอย่าง อันล้วนแล้วแต่มุ่งไปที่ตัวของ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ทั้งสิ้น การกระทำที่เห็นชัด ได้แก่การกระทำกับ ฯพณ นายสมัคร สุนทรเวช กระทำต่อ ฯพณฯ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์และกระทำต่อคนเสื้อแดง ด้วยการฆ่า จับยัดคุก ล่ามโซ่ ตีตรวน !     

            เราคิดว่าการกระทำน่าจะหยุดลงได้ด้วยการหันหน้าเข้าหากัน

            แต่การที่เขารีบร้อนฟ้องร้องให้ถอดถอน และฟ้องให้ยุบพรรค ได้แสดงให้เห็น“เจตจำนง” ยังคงตั้งอยู่อย่างไม่เสื่อมคลาย พวกเขานิ่งเพื่อหาจังหวะที่จะทำลายใหม่อีกครั้ง มิใช่นิ่งเพื่อความปรองดอง ภาพที่ออกมามันดูดีในมุมเล็กๆ แต่ในมุมกว้างใหญ่ที่แท้จริง ยังคงแฝงเร้นไปด้วยแสงอำมหิต

            สาเหตุเกิดมาจากการเลือกตั้งเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ได้ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่พวกอำมาตย์อย่างรุนแรงที่สุด แต่พวกเขาไม่รู้จะทำอย่างไรดีจึงจะสามารถระงับยับยั้งได้ จึงจำใจปล่อยให้มีการประชุมรัฐสภา เลือกตั้งประธานสภา เลือกตัวนายกรัฐมนตรี และฟอร์มทีมคณะรัฐมนตรีขึ้น ซึ่งจะมีการแถลงนโยบายแนวทางบริหารประเทศในวันที่ ๒๓ – ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๔ นี้

            มองตามรูปการคล้ายกับว่าบรรยากาศแสนจะสดใสและกำลังจะมีความปรองดองเกิดขึ้น ซึ่งเป็นบรรยากาศที่สังคมไทยเข้าใจว่าสภาวะจะเป็นไปอย่างนั้น ประชาชนทั้งหลายจึงเฝ้ามองด้วยความอบอุ่นใจแต่ในอีกมุมหนึ่ง มันไม่เป็นเช่นนั้น ทั้งนี้ก็เพราะว่าได้มีความเพียรพยายามที่จะ “หักขา” พรรคเพื่อไทยอยู่ทุกลมหายใจ ดังเช่นการยื่นฟ้องคดีอาญา ให้ถอดถอน และให้ยุบพรรคเพื่อไทย

            การทำครั้งนี้มิใช่เกิดจากความริษยาดังแต่เก่าก่อน แต่เกิดจาก “ยุทธวิธี” ประเภทภาคบังคับ ว่าจะต้องหาทางทำลายพรรคเพื่อไทยให้ได้การยื่นถอดถอนและการฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรค เป็นวิธีการในรัฐธรรมนูญที่ได้เขียนเอาไว้ ซึ่งหมายถึงพรรคประชาธิปัตย์ปฏิบัติถูกต้องตามแนวทางของรัฐธรรมนูญ แต่บนความเป็นจริงนั้นรัฐธรรมของประเทศไทยสร้างขึ้นมาแบบหมกเม็ด มีการซุกซ่อนในหลายมาตราเพื่อจะเป็นเครื่องมือรักษาอำนาจของผู้ยิ่งใหญ่เอาไว้  รัฐธรรมนูญของประเทศไทยมีการวางหมากเอาไว้ยุบพรรค ก็เพื่อจะได้ใช้เป็นดาบ “เชือดรัฐบาล” แทนการใช้อำนาจทหารทำรัฐประหารกล่าวคือถ้ายุบพรรคได้ก็ไม่ทำรัฐประหาร ถ้ายุบพรรคไม่ไดก็จะทำรัฐประหาร ซึ่งเป็น “แนวทาง” หมกเม็ดอย่างแยบยล เพื่อการรักษาอำนาจไม่ให้หลุดจากมือ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ทหารยึดอำนาจเพราะยุบพรรคไม่สำเร็จ หลังจากยึดอำนาจแล้ว กลัวเขาจะกลับมามีอำนาจอีก จึงหาทางยุบพรรค ยุบพรรคแล้ว ก็หาทางสร้างงูเห่า เพื่อจะเปลี่ยนมือรัฐบาลจากเครือข่ายของ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ไปให้ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ซึ่งได้ตั้งรัฐบาลในค่ายทหารเป็นสำเร็จ  หลังจากนั้นก็ดำเนินการทางการเมืองตามแบบฉบับของเผด็จการ ด้วยการใช้อำนาจบาตรใหญ่ไล่ฆ่าคนเสื้อแดงที่เป็นเครือข่ายของทักษิณ ฆ่าได้แล้วก็บริหารประเทศชาติตามแนวทางเผด็จการต่อไป จนเกิดความเชื่อมั่นว่าจะรักษาอำนาจได้ 

        จึงประกาศยุบสภาเปิดให้มีการเลือกตั้งใหญ่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔

        ผลออกมาก็คือ..มันไปกันใหญ่..พรรคประชาธิปัตย์ ยิ่งพ่ายแพ้หนักไปกว่าเดิม พรรคประชาธิปัตย์กลายเป็นพรรคฝ่ายค้าน อย่างไม่มีทางสู้ทำให้อำมาตย์กลายเป็นฝ่ายค้านตามไปด้วย จึงไม่แปลกที่จะได้เห็น “ประธานฝ่ายกฎหมายของพรรคประชาธิปัตย์” รีบร้อนฟ้องให้ถอดถอนนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

        นี้เป็นนัยยะทางการเมืองชนิดไม่ให้กระพริบตา กล่าวคือ ถ้าถอดถอนได้ทั้ง ๒ คนก็จะเดินไปสู่การยุบพรรค ถ้ายุบพรรคได้ก็จะมี “งูเหา” ภาค ๓ เกิดขึ้น ตามสไตล์เดิม

        มาถึงจุดนี้ ทำให้มองเห็นภาพชัดว่าฝ่ายอำมาตย์นั้นกำลังวางแผนที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองอีกครั้ง จะไม่ให้เวลาแก่พรรคเพื่อไทยบริหารประเทศชาติ มากไปกว่า ๖ เดือนหรือ ๑ ปี

        ถ้ามากไปกว่านี้ อกอีแป้นแตกตายแน่ ?!

        การที่พรรคประชาธิปัตย์ยื่นเรื่องฟ้องร้องถอดถอนและฟ้องยุบพรรคในหนนี้ ถ้าพวกเขาสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้แล้วละก็..นั้นแหละคือสัญญาณ“บรรเลงเพลงเลือด” ได้ก่อตัวขึ้นแล้ว

        ท่านผู้อ่านครับ อย่าคิดว่าข้อเขียนนี้เป็นนิยายน้ำเน่าแท้ที่จริงมันเป็นนิยายที่เต็มไปด้วยน้ำตาและความผิดหวังอย่างร้ายแรงที่คนไทยใหญ่โต เล่นเอาเถิดกับชาติของตนเอง โดยมิคำนึงว่าความยุติธรรมกับความเป็นธรรมคืออะไร ?

            ผมอยากให้คนเสื้อแดงอ่านเรื่องนี้เอาไว้ตั้งแต่วินาทีนี้ หรือว่าหากท่านผู้ใดมีความสามารถที่จะถ่ายสำเนาแจกจ่าย ก็ขอให้ถ่ายส่งต่อไปให้มากๆ เราต้องเตรียมพร้อมที่จะลุกขึ้นสู้อีกครั้งหนึ่ง

            สู้คราวหน้านี้ต้องเบ็ดเสร็จ อย่าให้มีหนามหัวใจหลงเหลืออยู่ต่อไป

            ขอส่งสารถึงพรรคประชาธิปัตย์ว่า ท่านจะเริ่มบรรเลงเพลงเลือดก็เริ่มไปเถิดครับ ไม่มีใครเข้าห้ามพวกท่านได้ กรรมเวร มีจริง...โปรดรับทราบเอาไว้ด้วย ?!
                                                                   สอาด จันทร์ดี
                                                               ๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๔
http://redusala.blogspot.com

โชคดีที่เกิดเป็นคนไทยใต้ร่มบรมโพธิสมภารยิ่งแล้ว

"พระราชินี" เสด็จพระราชดำเนินลง ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชทานพระราชวโรกาสให้คณะบุคคลต่างๆ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ทรงตรัสพระพลานามัยในหลวง ทรงสบายดีขึ้นมาก ทรงติดตามห่วงผู้ประสบภัยธรรมชาติอย่างใกล้ชิด ได้พระราชทานสิ่งของไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่น้ำท่วมหลายแห่ง ขณะเดียวกัน ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประชุมปรึกษาหารือถึงแนวทางที่จะช่วยเหลือประชาชน ทรงห่วงป่าถูกทำลาย เป็นเหตุทำให้น้ำท่วมพร้อมยกย่องทหารกล้า-ช่างภาพ ฮ.ตก ชม จนท.กู้ศพเสียสละ ทรงห่วงเรื่องยาเสพติด ขอให้รัฐบาลนำไปดำเนินการสานต่อจากรัฐบาลที่แล้ว โดยทุกคนช่วยกันเป็นหูเป็นตาขอให้ทุกฝ่ายช่วยคิดหาวิธีทำให้ภาคใต้กลับคืนความสงบสุขโดยเร็ว(ภาพข่าว:ASTVผู้จัดการ)


โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
12 สิงหาคม 2554

จากพระราชเสาวนีย์ข้างต้นนั้น พสกนิกรไทยต่างน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อพสกนิกรทุกหมู่เหล่านับเป็นบุญที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย ได้อาศัยพระบรมโพธิสมภารเป็นที่พึ่ง โดยเฉพาะในยามที่บ้านเมืองมีวิกฤตการณ์แตกแยกออกเป็นหลายฝ่ายช่วงหลายปีมานี้

ทั้งนี้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้ต่อพสกนิกรทุกหมู่เหล่าที่อาศัยอยู่ใต้พระบรมโพธิสมภาร

พระมหากรุณาธิคุณ-พระราชินี เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ในการวางพวงมาลา และพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม ที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติการยึดคืนพื้นที่จากกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2553 ในการนี้มีรับสั่งว่า เสียใจ เสียดายนายทหารที่ดี นับว่าเป็นการสูญเสียทหารที่ทำหน้าที่ปกป้องบ้านเมือง และขอขอบคุณพ่อแม่ที่เลี้ยงลูกมาเป็นอย่างดี มีความภักดีต่อราชวงศ์ (รายละเอียดข่าว)

ในคราวเกิดเหตุการณ์จลาจลขึ้นในบ้านเมืองเมื่อปีที่แล้ว ในส่วนของเจ้าหน้าที่ที่เสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่นั้น เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2553 ที่ผ่านมา ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์เป็นกรณีพิเศษ ดังนี้

ประกาศสำนักนายกฯ ระบุว่า ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์เป็นกรณีพิเศษ ให้แก่ ข้าราชการทหารสังกัดกองทัพบก ซึ่งเสียชีวิตเนื่องจากปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ด้วยความเสียสละและฝ่าอันตรายจนถึงแก่ชีวิต ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว ได้ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ทางราชการและเป็นแบบอย่างอันควรแก่การยกย่องสรรเสริญสืบไปจำนวน 5 ราย ดังนี้

ทวีติยาภรณ์ช้างเผือก
1. พลเอก ร่มเกล้า ธุวธรรม
เบญจมาภรณ์มงกุฎไทย
2 . ร้อยเอก ภูริวัฒน์ ประพันธ์
3. ร้อยเอก อนุพนธ์ หอมมาลี
4. ร้อยโท อนุพงษ์ เมืองอำพัน
5. ร้อยตรี สิงหา อ่อนทรง
ประกาศ ณ วันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2553
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
สุเทพ เทือกสุบรรณ
รองนายกรัฐมนตรี

เย็นศิระ เพราะพระบริบาล-เมื่อเวลา19.00น.เมื่อวันที่
15 เมษายน 2553 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์ยังอาคารเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ถนนราชวิถี เพื่อทรงเยี่ยมทหารที่ได้รับบาดเจ็บระหว่างปฏิบัติการขอพื้นที่คืนจากผู้ชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อวันที่ 10 เมษายน
โดยมีประชาชนมาเฝ้ารับเสด็จเป็นจำนวนมาก(ภาพข่าว:ASTVผู้จัดการ)

ทรงมีพระราชหัตถเลขาชมเชยสตรีไทยช่วยฟื้นฟูภาพลักษณ์ของชาติ 

อีกเรื่องหนึ่งที่นำความปลาบปลื้มปิติเป็นล้นพ้นต่อปวงพสกนิกรชาวไทยก็คือในคราวที่เกิดจลาจลในกรุงเทพฯเมื่อปีที่แล้วนั้น ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระ นางสนองพระโอษฐ์ และรองราชเลขานุการในพระองค์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้อัญเชิญพระราชหัตถเลขา ในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระราชทานให้กับคุณนภัส ณ ป้อมเพชร









พระราชหัตถเลขา ลงวันที่ 24 กรกฎาคม 2553 มีความรายละเอียดว่า


ถึง คุณนภัส ณ ป้อมเพ็ชร์

ฉันได้อ่านจดหมายของคุณที่เขียนถึงสำนักข่าว CNN แล้ว รู้สึกภูมิใจที่คุณยืนขึ้นทำหน้าที่ของคนไทยตอบโต้นักข่าวต่างชาติอย่างองอาจตรงไปตรงมา แต่ก็ด้วยความสุภาพและมีเหตุผลที่ชัดเจนพอที่จะทำให้ประชาคมโลกที่ได้อ่านจดหมายของคุณต้องทบทวนความเชื่อถือที่มีต่อ CNN

ชื่นชมยิ่งที่คุณช่วยฟื้นฟูภาพลักษณ์ของประเทศชาติ

( ลายพระราชหัตถเลขาในสมเด็จพระนางเจ้าฯ )


น้ำพระทัยแผ่ไพศาลต่อพสกนิกรยามบ้านเมืองแตกแยก


พระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกร-ไม่เพียงแต่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อฝ่ายเจ้าหน้าที่
ยังทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกรทุกหมู่เหล่า โดยเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2551 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์อัครราชกุมารี ไปในการพระราชทานเพลิงศพนางสาวอังคณา ระดับปัญญาวุฒิ หรือน้องโบว์ ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์กลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจัดการชุมนุมและปะทะกับตำรวจ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม2551 ณ เมรุวัดศรีประวัติ ต.ปลายบาง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี

ในโอกาสดังกล่าวนายจินดา ระดับปัญญาชาติวุฒิ บิดาของนางสางอังคณา พร้อมด้วยนางสาวดารณี นางสาววิชชุดา บุตรสาวทั้งสองเข้าเฝ้าฯสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่พลับพลาที่ประทับ
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับครอบครัวระดับปัญญาวุฒิ ประมาณ 15 นาทีก่อนที่ทั้งสองพระองค์จะเสด็จพระราชดำเนินกลับ

หลังจากที่ทั้งสองพระองค์เสด็จฯกลับ นายจินดาให้สัมภาษณ์ โดยที่หนังสือพิมพ์มติชนรายงานว่า สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงรับสั่งว่า นางสาวอังคณาเป็นคนดีเป็นคนเก่ง และขอชื่นชมที่ได้ทำหน้าที่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ขอเป็นกำลังใจให้ครอบครัวสู้ต่อไป

"พระองค์ทรงรับสั่งว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับนางสาวอังคณา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับรู้เรื่องราวโดยตลอด รวมทั้งกรณีพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานทรัพย์ช่วยเหลือมาด้วย ซึ่งผมและครอบครัวระดับปัญญาวุฒิรู้สึกภาคภูมิใจอย่างหาที่สุดมิได้
ที่ทั้งสองพระองค์เสด็จในงานพระราชทานเพลิงของลูกสาว ซึ่งผมและครอบครัวจะน้อมนำเอาพระราชดำรัสที่ทรงห่วงใยมาเป็นกำลังใจในการดำเนินชีวิตต่อไป"

ต่อมานายจินดาให้สัมภาษณ์อีกครั้งว่า "พระองค์ตรัสว่า อังคณาเขาทำดีน่ะ รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ พระองค์ท่านตรัสว่า เสียใจไม่น่าเกิดเหตุการณ์อย่างนี้เลย"

"สมเด็จพระราชินีทรงถามสารทุกข์สุกดิบของครอบครัว พระองค์ตรัสถามถึงอาการของภรรยาผมเป็นอย่างไรบ้าง ผมทูลฯตอบไปว่า รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช อยู่ในพระราชินูปถัมภ์ พระองค์ท่านยังทรงกล่าวอีกว่า ยังไงก็ต้องมางานนี้ เพราะทำเพื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระองค์ด้วย"

พระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า


"ตี๋ ชิงชัย" วาดพระสาทิสลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าฯ
ด้วยมือซ้าย


พระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าฯต่อพสกนิกรนั้นยังแผ่ไพศาลต่อมาอย่างสืบเนื่อง ในคราววันเฉลิมพระชนมพรรษา12สิงหามหาราชินีเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2552
เวบไซต์ผู้จัดการASTV
รายงานข่าวว่า "พระราชินีตรัสชื่นชม"ตี๋ ชิงชัย"วาดพระสาทิสลักษณ์"เก่งมาก" โดยรายละเอียดข่าวมีว่า เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2552 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระราชทานพระราชวโรกาสให้ นายชิงชัย อุดมเจริญกิจ หรือ ตี๋ ชิงชัย ศิลปินผู้สูญเสียมือขวาจากเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 พร้อมภรรยาเข้าเฝ้าฯ
เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายพระบรมสาทิสลักษณ์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ ที่นายชิงชัยวาดด้วยมือซ้าย ซึ่งพระองค์ทรงมีพระราชปฏิสันถารว่า "เก่งมาก"


พระบรมสาทิสลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ผลงานการวาดด้วยมือซ้ายของนายชิงชัย อุดมเจริญกิจ ศิลปินผู้สูญเสียมือขวาจากเหตุการณ์ 7 ตุลา 51

"ตี๋ ชิงชัย" เป็นหนึ่งในศิลปินนักสู้ที่เข้าร่วมชุมนุมกับพันธมิตรเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมนั้น "ตี๋ ชิงชัย" ถูกระเบิดแก๊สน้ำตาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจจนมือข้างขวาที่เคยใช้วาดรูปขาดกระจุยและกล่องเสียงถูกทำลาย แต่มีตำรวจบางคนและสื่อมวลชนบางฉบับ ได้รายงานว่านายชิงชัยว่ากำระเบิดมาเอง แต่ผู้จัดการASTVระบุว่า ในความเป็นจริงสิ่งที่เขากำอยู่ในมือคือพวงกุญแจหนัง

ด้วยน้ำพระทัยแผ่ไพศาล ทำให้บ้านเมืองที่เคยรุ่มร้อน ก็ผ่อนคลายร่มเย็นสงบลงด้วยพระบารมีเป็นที่ตั้ง
ปวงข้าพระพุทธเจ้าต่างน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ขอถวายความจงรักภักดี เป็นข้ารองบาทราชจักรีวงศ์ทุกชาติไป

ในอภิลักขิตสมัย เฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหามหาราชินีเวียนมาบรรจบอีกครั้ง ขอพระองค์จงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
http://redusala.blogspot.com

เปิดคำพิพากษาศาลให้ทหารชดใช้ค่าเสียหายเหยื่อเสื้อแดง
เหตุยิงคนมือเปล่าไร้อาวุธผิดกฎใช้กำลัง
เมื่อโจทก์ทั้งสองยืนยันว่าโจทก์ทั้งสองไม่มีอาวุธ และฝ่ายจำเลยมิได้โต้แย้ง ทั้งยังเบิกความตอบคำถามค้านรับว่าไม่เห็นกลุ่มผู้ชุมนุมถืออาวุธปืนไม่ว่าชนิดใด โจทก์ทั้งสองจึงมิใช่บุคคลที่จะเป็นเป้าหมายให้ฝ่ายทหารใช้กำลังอาวุธประจำกายต่อโจทก์ทั้งสองได้ เพราะตามกฎการใช้กำลังของกองทัพไทยตามเอกสารหมาย ล.12 ผนวก จ.ข้อ 5.8 ทหารที่ปฏิบัติการปราบจลาจลจะใช้กำลังได้เฉพาะเพื่อป้องกันตนเอง หรือป้องกันชีวิตผู้อื่นจากอันตรายใกล้จะถึงจากกลุ่มบุคคลที่มีอาวุธเท่านั้น

ที่มา หนังสือพิมพ์ข่าวสด
23 สิงหาคม 2554

หมายเหตุ - จากเหตุการณ์สลายม็อบนปช.เมื่อเดือนเม.ย.2552 มีผู้ร่วมชุมนุมได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก ต่อมานายไสว ทองอุ้ม และนายสนอง พานทอง ผู้ร่วมชุมนุมที่ได้รับบาดเจ็บจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นโจทก์ที่ 1-2 ยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งให้ดำเนินคดีจำเลย 5 ราย ได้แก่ จำเลยที่ 1 สำนักนายกรัฐมนตรี จำเลยที่ 2 กองบัญชาการกองทัพไทย จำเลยที่ 3 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น จำเลยที่ 4 พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ และจำเลยที่ 5 กองทัพบก ในข้อหาละเมิด เรียกค่าเสียหาย 2,857,534 บาท และ 2,245,205 บาท ตามลำดับ ศาลรับฟ้องแค่จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 5 ก่อนมีคำพิพากษาออกเมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 2554 และจากนี้คือคำพิพากษาบางส่วน...



โจทก์บรรยายฟ้องว่าในวันที่ 13 เมษายน 2552 เวลา 2 นาฬิกา มีการสั่งการให้ใช้กำลังทหารบกเข้าระงับเหตุและเปิดการจราจรบริเวณสี่แยกใต้ทางด่วนดินแดง ปรากฏว่าโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 ซึ่งร่วมชุมนุมอยู่ด้วยถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัส โจทก์ที่ 1 ถูกยิงที่ไหล่ซ้ายเป็นเหตุให้ไม่สามารถกลับมาใช้แขนซ้ายได้ตามปกติอีก โจทก์ที่ 2 ถูกยิงหัวเข่าขวาลูกสะบ้าแตกไม่สามารถใช้ขาข้างขวาได้ตามปกติอีก โจทก์ทั้งสองจึงกลายเป็นผู้พิการ

ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 5 ให้การต่อสู้ว่า ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ในวันที่ 13 เมษายน 2552 ดังกล่าว กองกำลังทหารได้รับการต่อต้านจากกลุ่มนปช. โดยใช้ระเบิดเพลิง แก๊สน้ำตา และใช้พลซุ่มยิงด้วยปืนพก การปฏิบัติภารกิจของทหารจึงเป็นไปตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 จึงไม่มีความรับผิดทั้งทางแพ่ง อาญา และทางวินัย

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฟ้องของโจทก์ทั้งสองว่า กองกำลังทหารบกกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองและเป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 และที่ 5 ในฐานะหน่วยงานต้นสังกัดต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ทั้งสองตามฟ้องหรือไม่ เพียงใด เห็นว่า กองกำลังทหารที่ออกปฏิบัติภารกิจในวันเกิดเหตุ ประกอบด้วย กองกำลังทหารจากสองกองพัน คือ กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์

ฝ่ายโจทก์เบิกความว่า กองกำลังทหารตั้งแถวเดินเข้าหากลุ่มผู้ชุมนุม แถวแรกเดินถือไม้เคาะโล่เข้าหาผู้ชุมนุม แถวที่สองและแถวที่สามซึ่งถือปืนบางส่วนยิงปืนขึ้นฟ้า บางส่วนยิงเข้าใส่ผู้ชุมนุม ทำให้ผู้ชุมนุมแตกกระเจิง โจทก์ที่ 1 จึงตามรถแกนนำไป แต่ขณะที่โจทก์ที่ 1 เอี้ยวตัวกลับเพื่อหันมามองทหารที่อยู่ด้านหลัง จึงถูกยิงที่หัวไหล่ซ้ายล้มลงหมดสติ

โจทก์ที่ 2 เบิกความว่า เห็นแถวทหารเดินเข้าหากลุ่มผู้ชุมนุม โดยยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อข่มขู่ เมื่อผู้ชุมนุมไม่ยอมสลายตัว จึงยิงในแนวระนาบ แล้วกระจายตัวตีโอบล้อมกลุ่มผู้ชุมนุม ทำให้เกิดการอลหม่าน ผู้ชุมนุมบางส่วนล้มลง โจทก์ที่ 2 เห็นผู้ชุมนุมคนหนึ่งถูกยิงล้มลงจึงเข้าไปช่วยเหลือ เป็นเหตุให้ถูกยิงเข้าที่หัวเข่า และทหารกรูกันเข้ามาเป็นเหตุให้กลุ่มผู้ชุมนุมแตกกระเจิง โจทก์ที่ 2 จึงกระโดดหนีลงในคลองริมถนนวิภาวดีรังสิต

พยานโจทก์บรรยายให้เห็นเหตุการณ์ที่โจทก์ทั้งสองประสบว่า เป็น เหตุการณ์ที่เกิดอย่างต่อเนื่องกันมาว่ากองกำลังทหารตั้งแถวเข้ายึดคืนพื้นที่ โดยเดินมุ่งเข้ากลุ่มผู้ชุมนุม มีการยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อข่มขู่ให้ฝ่ายผู้ชุมนุมยอมล่าถอย เมื่อฝ่ายผู้ชุมนุมไม่ยอมสลายตัว ทหารจึงหันมายิงในแนวระนาบ จึงเป็นเหตุให้ฝ่ายผู้ชุมนุมแตกกระเจิงและเกิดการอลหม่าน ขึ้น โจทก์ที่ 1 วิ่งหนีกลุ่มทหารตามรถของแกนนำไป แต่ขณะที่กำลังหันกลับมามองกลุ่มทหารที่อยู่ด้านหลัง จึงถูกยิงที่หัวไหล่ซ้ายดังกล่าว

ส่วนโจทก์ที่ 2 เบิกความให้เห็นภาพการปฏิบัติการของฝ่ายทหารได้อย่างสอดคล้องตรงกับข้อเท็จจริงที่โจทก์ที่ 1 ในขณะนั้นโจทก์ที่ 2 เห็นผู้ชุมนุมคนหนึ่งถูกทหารยิงล้มลง จึงเข้าไปช่วยเหลือ เป็นเหตุให้โจทก์ที่ 2 ถูกยิงที่หัวเข่า ทหารกรูกันเข้ามา โจทก์ที่ 2 กลัวถูกทำร้ายอีก จึงวิ่งกระโดดลงคูน้ำข้างถนนวิภาวดีรังสิต และเบิกความต่อไปว่ากลุ่มทหารยังไล่ตามมาปาก้อนอิฐก้อนหินและอื่นๆ เข้าใส่ จนกระทั่งมีนายทหารคนหนึ่งมาบอกให้กลุ่มทหารเหล่านั้นหยุด และส่งไม้ให้โจทก์ที่ 2 เกาะขึ้นฝั่งมา

เมื่อฟังประกอบข้อเท็จจริงว่าฝ่ายจำเลยที่ 2 และที่ 5 มีคำสั่งให้กองกำลังทหารซึ่งอยู่ในบังคับบัญชาและสังกัดของตนตามลำดับขั้นเข้าปฏิบัติภารกิจเพื่อยึดคืนพื้นที่และเปิดผิวการจราจรในบริเวณที่เกิดเหตุในยามวิกาล ซึ่งเป็นการไม่ชอบด้วยหลักสากล แม้จะได้ปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ซึ่งอนุญาตให้ใช้อาวุธจริงได้ในการปฏิบัติภารกิจ

แต่เมื่อโจทก์ทั้งสองยืนยันว่าโจทก์ทั้งสองไม่มีอาวุธ และฝ่ายจำเลยมิได้โต้แย้ง ทั้งยังเบิกความตอบคำถามค้านรับว่าไม่เห็นกลุ่มผู้ชุมนุมถืออาวุธปืนไม่ว่าชนิดใด โจทก์ทั้งสองจึงมิใช่บุคคลที่จะเป็นเป้าหมายให้ฝ่ายทหารใช้กำลังอาวุธประจำกายต่อโจทก์ทั้งสองได้ เพราะตามกฎการใช้กำลังของกองทัพไทยตามเอกสารหมาย ล.12 ผนวก จ.ข้อ 5.8 ทหารที่ปฏิบัติการปราบจลาจลจะใช้กำลังได้เฉพาะเพื่อป้องกันตนเอง หรือป้องกันชีวิตผู้อื่นจากอันตรายใกล้จะถึงจากกลุ่มบุคคลที่มีอาวุธเท่านั้น

การปฏิบัติภารกิจดังกล่าวโดยใช้กำลังทหารติดอาวุธ โดยสภาพย่อมต้องกระทำโดยความระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะการใช้วิธีการดังกล่าวย่อมเป็นการสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายต่อชีวิตและร่างกายของผู้ชุมนุมโดยสุจริตได้ เมื่อการปฏิบัติหน้าที่ของกองกำลังทหารในบังคับบัญชาตามคำสั่งและในสังกัดของจำเลยที่ 2 และที่ 5 ได้ก่อผลให้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ได้รับอันตรายสาหัส การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการกระทำโดยละเมิดสิทธิของโจทก์ทั้งสอง

เมื่อฟังได้ว่าบุคคลในกองกำลังทหารที่ออกปฏิบัติภารกิจในวันเกิดเหตุ ซึ่งพยานจำเลยที่ 2 และที่ 5 รับว่ามีเฉพาะกองกำลังทหารบกเป็นผู้ยิงโจทก์ทั้งสอง และโจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายเพราะการนั้น จึงเป็นการเพียงพอที่จำเลยที่ 2 และที่ 5 ในฐานะหน่วยงานต้นสังกัดตามลำดับชั้นต้องรับผิดจากผลแห่งการละเมิดจากการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว

โจทก์ที่ 1 เรียกค่าเสียโอกาสจากการประกอบการงานเป็นเวลา 20 ปี รวมเป็นเงิน 2,400,000 บาทนั้น เห็นว่าโจทก์ที่ 1 ไม่มีพยานหลักฐานมายืนยันว่าโจทก์ที่ 1 ได้รับเงินค่าจ้างตามจำนวนดังกล่าวนั้นจริง และโจทก์ที่ 1 ยังสามารถประกอบอาชีพอื่นได้บ้าง เห็นสมควรกำหนดค่าเสียโอกาสในการประกอบอาชีพเป็นเงิน 1,000,000 บาท ส่วนค่าทนทุกขเวทนาขณะรับการรักษาและต้องพิการ เห็นว่าเป็นจำนวนที่เหมาะสมแล้ว จึงกำหนดให้ตามนั้น

สำหรับโจทก์ที่ 2 เรียกค่าเสียโอกาสจากการประกอบการงานเป็นเวลา 25 ปี เป็นเงิน 1,800,000 บาท แต่เห็นว่าโจทก์ที่ 2 มิได้เสียความสามารถในการประกอบอาชีพทั้งหมด จึงกำหนดค่าเสียหายส่วนนี้ให้จำนวน 800,000 บาท ส่วนค่าทนทุกขเวทนาดังกล่าวเห็นสมควรกำหนดให้ตามที่ขอ

พิพากษาให้จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 5 ร่วมกันชำระเงินให้แก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 1,200,000 บาท และร่วมกันชำระเงินให้โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 13 เมษายน 2552 เป็นต้นไป กับให้จำเลยที่ 2 และที่ 5 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสอง คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

*********
เรื่องเกี่ยวเนื่อง:เปิดใจสลด 2นปช.ชนะคดี แฉถูกยิงแขนขาพิการ
http://redusala.blogspot.com