วันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2557

'ประยุทธ์' ยันปัญหาภาคใต้-ขัดแย้งการเมืองต้องอยู่ภายใต้การทหาร ฝากขอบคุณ 'ฮุนเซน' ปล่อยตัว 'วีระ'


<--break- />เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2557 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการคืนความสุขให้คนในชาติ โดยยืนยันว่าการเข้ามาควบคุมอำนาจของคสช.กว่า 2 เดือนที่ผ่านมาทำให้ภาพรวมทั้งการเมืองและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนไทยมีความสงบเรียบร้อย โดยก่อนวันที่ 22 พ.ค.57 บ้านเมืองมีแต่ความวุ่นวาย ซึ่งเป็นปัญหาความขัดแย้งที่ยืดเยื้อยาวนานมากว่า 10 ปี คือตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 ดังนั้นจึงขอให้ประชาชนไว้ใจการทำงานของคสช.
ทั้งนี้การดำเนินงานของ คสช. ปัจจุบันอยู่ในระยะที่ 2 ตามโรดแมป คือการประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวและการเดินหน้าการปฏิรูปประเทศ โดยจะมีรัฐบาลประมาณเดือนกันยายนแม้เรียกว่ารัฐบาลเฉพาะกาล แต่ต้องมีอำนาจเต็มในการบริหารราชการแผ่นดิน เตรียมกติกาการเลือกตั้งต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ทั้งนี้เมื่อจบระยะที่ 2 คสช.จะส่งต่องานให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่ขอให้ใจเย็น เพราะต้องใช้เวลาในการแก้ปัญหา จากปัญหาที่เกิดมานานกว่า 10 ปี โดยขอให้ประชาชนไว้ใจว่า คสช.ทำเพื่อประเทศชาติไม่ได้ทำเพื่อพวกพ้อง เพราะถ้าต้องการอำนาจก็ไม่จำเป็นต้องตั้งรัฐบาล
สำหรับการแต่งตั้งสนช.ที่มีการกล่าวหาว่ามีบางกลุ่มมาก บางกลุ่มน้อย พลเอกประยุทธ์กล่าวว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะความขัดแย้งทางการเมืองทำให้ทหารต้องเข้ามามีบทบาท
“การที่มีคนต่อว่าว่า ไม่เป็นประชาธิปไตย ทำไมกลุ่มนี้มาก กลุ่มนี้น้อย ก็วันนี้ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งไม่ใช่หรือ วันนี้เราจะแก้ปัญหาการปฏิรูป ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งประชาธิปไตย 100% อยู่แล้ว ส่วนสนช.ที่มีการแต่งตั้ง ไม่ได้ใช้ระบบโควตา ส่วนที่จะมีทหารมากน้อยก็เป็นเรื่องธรรมดา เป็นห้วงที่ไม่ปกติ ถ้าปกติก็ทะเลาะกันเหมือนเดิม ทั้งนี้ การทำงานในระยะที่ 2 ของ เป็นหัวใจสำคัญในการปฏิรูป เพื่อจะนำไปสู่จุดสุดท้ายคือการมีรัฐบาลที่ถาวร”
ทั้งนี้วันนี้ยังต้องบริหารราชการแบบไม่ปกติอยู่ระยะเวลาหนึ่ง ถ้ามีรัฐบาล มีรัฐธรรมนูญชั่วคราว มี ครม. ถือว่าเป็นประชาธิปไตยเหมือนกัน แต่เป็นประชาธิปไตยแบบไทยบ้างวันนี้เรานำประชาธิปไตยแบบสากลมามาก อาจจะต้องมีประชาธิปไตยแบบไทยชั่วคราวไปก่อน อย่างไรก็ตามต่างชาติ ก็ยอมรับมากขึ้นของการเดินสู่ระยะที่ 2 ของคสช.
สำหรับงานหลักคือการปรับปรุงกฎหมาย โดยสนช.จะดำเนินการปรับปรุงกฎหมายเดิมที่จะต้องมีการแก้ไข ส่วนกฎหมายใหม่ให้เสนอมาทางสภาปฏิรูปโดยสภาปฏิรูป คัดมาจาก 550 เหลือ 173 และคัดมาจาก 5 คนในแต่ละจังหวัดให้เหลือจังหวัดละ 1 คนเป็น 73 คน ทั้งหมดคือ 173 บวก 77 จังหวัด เป็น 250 คน ส่วนแต่ละจังหวัดจะมีการเปิดศูนย์ปรองดองปฏิรูปตามทุกจังหวัด ทุกอำเภอ ทุกตำบล ทุกหมู่บ้าน ก็เสนอผ่านตัวแทนมาได้เช่นกัน
ขณะนี้ คสช. ให้ความเห็นชอบในร่างพระราชบัญญัติรวม 12 ฉบับ ที่จะเสนอเข้าสู่ สนช.ได้ทันทีที่มีการเปิดประชุมสภา เช่น ร่าง พรบ. การกลับไปใช้สิทธิในบำเหน็จบำนาญ ตาม พรบ.บำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494 เพื่อให้ข้าราชการซึ่งเป็นสมาชิกกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ(กบข.) สามารถกลับไปใช้สิทธิในบำเหน็จบำนาญข้าราชการเพื่อช่วยเหลือลดภาระและบรรเทาความเดือดร้อนของข้าราชการและผู้รับบำนาญ ซึ่งเป็นสมาชิก กบข. ในการดำรงชีวิตในระยะยาว ร่างพระราชบัญญัติประกันสังคม แก้ไขให้ขยายขอบเขตการบังคับใช้ให้ครอบคลุมลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ ร่าง พรบ. การคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง โดยให้มีคณะกรรมการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง เพื่อกำหนดนโยบายและแนวทางดำเนินการให้ความคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งและให้จัดตั้งสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง เพื่อช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนและดูแลคนไร้ที่อยู่อาศัยและไม่มีรายได้เพียงพอแก่การยังชีพ เป็นต้น
ยันเศรษฐกิจกำลังปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง
สำหรับความคืบหน้างานด้านเศรษฐกิจภาพรวมความเชื่อมั่นยังคงปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคธุรกิจเอกชน เริ่มปรับตัวดีขึ้น ความเชื่อมั่นในภาคอุตสาหกรรมก็กำลังปรับตัวดีขึ้น ดัชนีคือคาดการ ความเชื่อมั่น หรือตัวชี้วัดที่ออกมาจากตัวเลขต่าง ๆ ที่ทำมา ความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนมิถุนายน 2557 เพิ่มขึ้นเป็น 88.4 จากระดับ 85.1 ในเดือนพฤษภาคม ดีขึ้นเล็กน้อย คำสั่งซื้อในอุตสาหกรรมหลายอุตสาหกรรมเริ่มเพิ่มขึ้น เช่น เครื่องนุ่งห่ม เสื้อผ้ากีฬาและรองเท้ากีฬา ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า ซึ่งบ่งชี้ถึงสถานการณ์ในระยะต่อไป เพิ่มขึ้น เป็น 101.9 จากระดับ 101.0 ในเดือน พฤษภาคม
การลงทุนมีสัญญาณดีขึ้นชัดเจน การยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนผ่าน BOI ในช่วงครึ่งปีแรก มีจำนวน 634 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 337,400 ล้านบาท โดยจำนวนโครงการยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเดือนมิถุนายนมีจำนวนสูงที่สุดในรอบ 6 เดือน เป็นสัญญาณที่ดีว่านักลงทุนเริ่มมีความเชื่อมั่นมากขึ้น คาดว่ายอดขอรับการส่งเสริมฯ ทั้งปี 2557 จะเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ประมาณ 700,000 ล้านบาท ทั้งนี้คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนมีมติครั้งที่ 2/2557 อนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนจำนวน 15 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 51,526.5 ล้านบาท รวมทั้งโครงการที่อนุมัติหลังจากตั้งคณะกรรมการชุดใหม่จำนวน 92 โครงการ และคาดว่าจะพิจารณาโครงการที่เหลือแล้วเสร็จภายใน 3 เดือน
การส่งออกในเดือนมิถุนายน ปรับตัวดีขึ้น จากเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ในปีแล้วมูลค่าส่งออกในเดือนมิถุนายน เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 หลังจากลดลงต่อเนื่องในช่วง 3 เดือนก่อนหน้า นี่คือผลของปี 2557 หลังจากเดือนพฤษภาคมมาแล้ว โดยมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 19,842 ล้านดอลลาร์ เมื่อแลกเป็นเงินบาทแล้ว รายได้จากการส่งออกในเดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคมร้อยละ 3.0 สินค้าส่งออกขยายตัว ทั้งสินค้าอุตสาหกรรม สินค้าเกษตร รวมถึงสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร
เดือนนี้การส่งออกสินค้าเกษตรกลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 6 เดือน ที่ผ่านมา จากการเพิ่มขึ้นของการส่งออกสินค้าเกษตร อุตสาหกรรมการเกษตร เช่น ข้าว ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ผัก ผลไม้สด แช่แข็งและแปรรูป และไก่สดแช่แข็งและแปรรูป ในขณะที่สินค้าอุตสาหกรรมที่ขยายตัว ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก และวัสดุก่อสร้าง สำนักงานเศรษฐกิจการคลังคาดว่ามูลค่าการส่งออกทั้งปีจะขยายตัวร้อยละ 1.5 สภาพัฒน์ฯ คาดการณ์ร้อยละ 2 เป็นตัวเลขในการคาดการณ์ อาจจะสูงขึ้นหรือต่ำลง แล้วแต่สถานการณ์เศรษฐกิจภายนอกด้วย
“โซนนิ่ง-ลดต้นทุนการผลิต” แก้ปัญหาภาคเกษตรระยะยาว
ที่ประชุม คสช.ได้พิจารณาอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2557 งบกลางจำนวน 835.9 ล้านบาทเศษ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการก่อสร้างและปรับปรุงถนนที่ชำรุดในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยจะมีการนำร่องใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยการใช้ยางธรรมชาติผสมยางมะตอย ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นบ้าง แต่มีความทนทานกว่าปกติ 2-3 เท่า และมีอายุการใช้งานนานกว่า 2 เท่า จะเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาถนน สร้างแพงรักษาง่ายใช้ได้นานน่าจะดีขึ้น และเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราที่เรามีอยู่มากมายประเทศ แก้ปัญหาผลผลิตยางที่ล้นตลาด
โดยในระยะยาวสินค้าเกษตรทั้งยางพารา ปาล์ม อ้อย มันสำปะหลัง ต่อไปจะต้องมีการโซนนิ่ง เพื่อแก้ปัญหาสินค้าเกษตรล้นตลาด โดยจะช่วยให้เกษตรกรลดต้นทุนการผลิต โดยผู้ประกอบการต่างๆ ก็จะต้องเข้ามาช่วยด้วย
สำหรับปัญหาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ คสช. ได้เห็นชอบและอนุมัติ ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่องการนำเข้าข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรตามข้อตกลง ภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียนและภายใต้กรอบองค์การการค้าโลก หรือ WTO ทั้งนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาปริมาณข้าวโพดมีน้อย ในช่วงนี้ ไม่เพียงพอกับความต้องการ มีราคาสูง ส่งผลกระทบต่อราคาอาหารสัตว์ในช่วงเวลานี้ รวมทั้งเพื่อรองรับผลผลิตของผู้ไปลงทุนปลูกข้าวโพดในประเทศเพื่อนบ้านด้วย
ทั้งนี้เมื่อวันจันทร์ที่ 21 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ได้มอบหมายให้คุณสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษา คสช. ในฐานะทูตพิเศษ ได้เดินทางไปส่งสารถึงประธานาธิบดี สี จิ้น ผิง ของจีน ผ่านรองประธานาธิบดี ณ ศาลามหาประชาชนกรุงปักกิ่ง เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางด้านการค้า เศรษฐกิจ และการลงทุน ทราบว่าทางจีนยินดีที่จะช่วยเหลือในการหาตลาดรองรับสำหรับสินค้าทางการเกษตรต่าง ๆ ของไทย เช่น ข้าว ยางพารา ผลไม้ รวมทั้งสินค้าอื่นด้วย ต้องมีการพูดคุย ทำข้อตกลงกันต่อไป โดยใช้หลักการไว้วางใจซึ่งกันและกัน เท่าเทียม เป็นธรรม กับประเทศผู้ค้า
การแก้ไขปัญหาเรื่องข้าว เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2557 ทางพล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ คสช. ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ได้รายงานการตรวจสอบ ทางกายภาพของข้าวทั่วประเทศตามโกดังต่าง ๆ ไปแล้ว 1,290 แห่ง จากที่มีทั้งหมด 1,787 แห่ง ซึ่งคิดเป็น 72% ใน 72% ที่ตรวจสอบไปแล้วประมาณ 80% มีคุณภาพดีและถูกต้อง และอีกประมาณ 10% ที่ยังมีปัญหาอยู่ ไม่ตรงกับที่แจ้งไว้และเสื่อมคุณภาพ ซึ่งตรงนี้จะต้องมีคนรับผิดชอบในทุกกระบวนการที่มีการทุจริต
ห่วงหนี้สาธารณะ-แต่จำเป็นต้องอนุมัติเพื่อให้เกิดการลงทุน
เรื่องวินัยการเงินการคลัง คสช. รับทราบและจะรักษาวินัยการเงินการคลังให้ได้ โดยในช่วงนี้ จะมีการตรวจสอบและให้มีการปรับปรุงแผนข้อมูล ปรับปรุงแผนในการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 2557 ครั้งที่ 2 ที่วงเงินปรับลดลง 6,314.74 ล้านบาท จากผลของการเข้าไปตรวจสอบและตัดลดโครงการต่าง ๆ ที่พบว่าไม่คุ้มค่า ซึ่งได้เงินมาประมาณ 6,000 กว่าล้านบาท มีปัญหาเรื่องความโปร่งใส ไม่ได้เอื้อประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง แต่จะไม่หยุดทุกโครงการเนื่องจากจะทำให้ไม่เกิดการลงทุน จึงจะมีการอนุมัติบางโครงการ แต่ขอให้ทุกหน่วยงานปรับ TOR ปรับราคาให้เกิดความเป็นธรรม ถูกต้อง หากประชาชนพบว่ามีการทุจริต สามารถแจ้งมาที่คสช.ได้
รถไฟทางคู่ “ซ่อมแซมรางเดิม-เพิ่มรางใหม่ 1.435ม.”
สำหรับเรื่องที่ประชาชนให้ความสนใจ มีเรื่องสื่อขอให้เคารพเชื่อถือกัน ให้เกียรติซึ่งกันและกัน เรื่องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มีราคาแพงกว่าเดิม ขอให้เข้าใจว่าเป็นการแค่อนุมัติหลักการยังไม่ได้เงิน ต้องไปดูแผนงานที่ออกมาก่อน ว่าเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติหรือไม่ ยืนยันว่าบางส่วนจะใช้งบประมาณ และบางส่วนอาจต้องกู้ แต่จะไม่กู้เกินกรอบหนี้สาธารณะ เน้นความโปร่งใส และการวางแผนด้านการคมนาคมต้องมีความเชื่อมโยงกันทั้งทางบก น้ำ และอากาศ
ทั้งนี้การซ่อมแซมและการเพิ่มเส้นทางรถไฟรางคู่ขนาด 1 เมตร ยังคงมีความจำเป็น เนื่องจากในปัจจุบันอาเซียนยังคงมีใช้การอยู่ แต่ในอนาคตทุกประเทศก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนไปใช้งานรางขนาด 1.435 เมตร ดังนั้น แผนงานของ คสช. จะมีทั้งซ่อมแซมรางเดิม 1 เมตร จัดทำเพิ่มเติม เป็นทางคู่ 1 เมตร และจัดทำใหม่ ขนาด 1.435 เมตร ในเส้นทางที่จำเป็น เพื่อเตรียมการเชื่อมต่อกับ จีน อินเดีย สายใต้ ตะวันออก ตะวันตก ครั้งต่อไปต้องถึงกันทั้งหมด
ฝากขอบคุณฮุนเซนปล่อยตัว “วีระ”
ด้านความมั่นคง มีความคืบหน้าการร่วมมือกับสิงคโปร์ จากการเดินทางมาเยือนของผู้บัญชาการทหารบกสิงคโปร์ เดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ เนื่องในโอกาสที่เข้ารับตำแหน่งใหม่ และเพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางด้านความมั่นคง ความร่วมมือทางการทหาร และการฝึกร่วมของ 2 ประเทศ
นอกจากนี้วันที่ 29 ก.ค.57 คสช.ยังให้การต้อนรับพล.อ.เตีย บันห์ รองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีกลาโหมของกัมพูชา พร้อมคณะนายทหารระดับสูงทุกเหล่าทัพ ได้เดินทางมาในฐานะแขกของกระทรวงกลาโหม เพื่อเสริมสร้างกระชับความสัมพันธ์ด้านการทหาร ด้านความมั่นคง ระหว่างไทยและกัมพูชา พร้อมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับ คสช. ด้วย และให้เกียรติซึ่งกันและกัน ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรีฮุนเซน ได้สั่งการมาว่า ให้มาเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันให้ความร่วมมือด้านการทหารให้แน่นแฟ้นขึ้น
“ทาง คสช. ขอบคุณท่านนายกฯ ฮุนเซน พร้อมทั้ง แสดงความซาบซึ้งถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี และฝากขอบพระคุณไปยังคนกัมพูชาทุกคนด้วย ที่ได้ดูแล ช่วยเหลือ ให้นายวีระ สมความคิด ได้รับการอภัยโทษ เราก็ได้มีการพูดคุยถึงความสัมพันธ์ที่ดี ในฐานะมหามิตรมายังยาวนานของทั้งสองประเทศ รวมถึงประเทศอื่น ๆ ในอาเซียนด้วย”
คืบหน้าแก้ปัญหาแรงงานต่างชาติ-แรงงานไทยในอิสราเอลขออยู่ต่อ
ความคืบหน้าการแก้ปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ ฝ่ายความมั่นคง คสช. โดยคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ (กนร.) ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวมาอย่างต่อต่อเนื่อง ปัจจุบันได้เปิดศูนย์ประสานงานแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ และศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ แล้วดังนี้ ศูนย์ประสานงานรับแรงงานกัมพูชากลับเข้าทำงาน จำนวน 4 จังหวัด (สระแก้ว จันทบุรี ตราด และสุรินทร์) ศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จของ กทม. จำนวน 6 แห่ง จังหวัดชายทะเล 22 แห่ง (เช่น กระบี่ จันทบุรี ชุมพร ตราด ตรัง นครศรีธรรมราช นราธิวาส ประจวบคีรีขันธ์ ปัตตานี พังงา เพชรบุรี ภูเก็ต ระนอง สตูล และสมุทรสงคราม) ได้ดำเนินการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวไปแล้ว 354,617 คน แยกเป็น แรงงานพม่า 127,695 คน กัมพูชา 176,169 คน ลาว 50,753 คน และจะดำเนินการจัดตั้งศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จให้ครบทุกจังหวัดโดยเร็ว ในสัปดาห์หน้าจะเปิดศูนย์ฯ เพิ่มเติมอีก 53 แห่ง ทั้งนี้ แรงงานต่างด้าวจะต้องมาขึ้นทะเบียนที่ศูนย์จดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จ ภายใน 31 ตุลาคม 2557
สำหรับการช่วยเหลือแรงงานไทยในประเทศอิสราเอล ซึ่งมีอยู่ประมาณ 27,000 คน แต่ทำงานอยู่ในฉนวนกาซ่า 4,276 คน กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ได้ประสานกับทางการอิสราเอลอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง เพื่ออพยพแรงงานดังกล่าวออกมาจากพื้นที่การสู้รบมาอยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว แรงงานส่วนน้อยขอที่จะกลับ ซึ่งส่วนใหญ่จะขออยู่ในประเทศไปก่อนเพื่อประเมินสถานการณ์
ขณะที่สถานการณ์ในลิเบีย สถานเอกอัครราชทูตจะเปิดศูนย์รองรับแรงงานอพยพชาวไทย ที่เมืองตูบาร์ ประเทศตูนีเซีย ใกล้ชายแดนห่างกรุงตริโปลี 170 กิโลเมตร ตั้งแต่บ่ายวันนี้ (1 ส.ค.57) โดยระยะแรก เอกอัครราชทูตจะไปดูแลอย่างใกล้ชิด คนไทยที่อพยพกลับสามารถตรงไปที่เมืองตูบาร์ หรือจะมารวมตัวที่สถานเอกอัครราชทูตไทยที่กรุงตริโปลี สำหรับในไทย กระทรวงการต่างประเทศจะตั้งศูนย์ติดตามและช่วยเหลือ ประสานงาน มีอธิบดีกรมเอเชียใต้ รับผิดชอบขึ้นตรงกับศูนย์ติดตามของฝ่ายความมั่นคงและศูนย์บรรเทาสาธารณภัย ณ กองบัญชาการกองทัพไทยและเราได้จัดเตรียมเครื่องบินกองทัพอากาศ ซี130 ไว้ในยามฉุกเฉิน ซึ่งเราหวังแต่เพียงว่าอยากให้ทั้งสถานการณ์ของทั้ง 2 ประทศกลับมาสงบสุขและปลอดภัยได้โดยเร็ว
ผลงานจับกุมอาวุธ-บ่อนการพนัน
เรื่องการรักษาความสงบเรียบร้อย ผลการปฏิบัติงานของ คสช. ที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 26 มิถุนายน - 29 กรกฎาคม 2557 ได้มีการจับกุมคดีอาวุธสงครามปืนยาว ปืนสั้น รวมประมาณ 1,700 กระบอก กระสุนปืนกว่า 10,000 นัด ลูกระเบิดขว้าง 45 รูป ระเบิดยิง 19 ลูก สามารถจับกุมผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องแล้วจำนวน 2,774 คน ในส่วนนี้เกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงจำนวน 8 ครั้ง ผู้ต้องหา 12 คน ของกลางประกอบด้วย ปืนกลชนิดต่าง ๆ จำนวน 11 กระบอก ปืนยาวและปืนลูกซอง 3 กระบอก ปืนพก 21 กระบอก เครื่องยิงจรวด RPG 1 เครื่อง ลูกระเบิดชนิดต่าง ๆ 24 ลูก กระสุนระเบิด เอ็ม 79 19 นัด ลูกจรวด RPG 3 ลูก และยุทธภัณฑ์อื่น ๆ การจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด การจับกุมผู้ลักลอบเล่นการพนัน และการจับกุมผู้ลักลอบตัดไม้ทำลายป่า ทรัพยากรธรรมชาติ ยังคงดำเนินการจอย่างต่อเนื่อง และมีผลปฏิบัติอย่างมากมาย
ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม -25 กรกฎาคมที่ผ่านมา มีผลการดำเนินการที่สำคัญ คือ การจับกุมบ่อนการพนัน และการลักลอบเล่นการพนัน จำนวน 12,782 คดี ผู้ต้องหา 22,752 ราย ของกลาง อาทิ ตู้พนัน (ตู้ม้า ตู้ไฟฟ้า ตู้ดีดลูกแก้ว) จำนวน 4,043 ตู้ และของกลางประเภทไพ่ อุปกรณ์การเล่นไฮโล สลากกินรวบ จำนวนมาก การจับกุมยาเสพติด จำนวน 66,657 คดี ผู้ต้องหา 70,635 ราย ของกลางประกอบด้วย ยาบ้า จำนวน 83,218,736.95 เม็ด ยาไอซ์ จำนวน 1,125.59 กิโลกรัม เฮโรอีน จำนวน 369.11 กิโลกรัม กัญชาอบแห้งจำนวน 22,644.70 กิโลกรัม พืชกระท่อม จำนวน 38,738.49 กิโลกรัม ฝิ่น จำนวน 109.54 กิโลกรัม โคเคน จำนวน 31.17 กิโลกรัม ซูโดอีเฟดรีน จำนวน 229,850 เม็ด และยาแก้ไอ จำนวน 334.32 กิโลกรัม การจับกุมการลักลอบทำลายทรัพยากรธรรมชาติ และป่าไม้ จำนวน 987 คดี ของกลางประกอบด้วย ไม้พะยูง จำนวน 4,197 ลูกบาศก์เมตร คิดเป็นมูลค่า 630,274,643 บาท ไม้สัก จำนวน 580 ลูกบาศก์เมตร คิดเป็นมูลค่า 15,953,500 บาท และไม้กระยาเลย จำนวน 1,904 ลูกบาศก์เมตร คิดเป็นมูลค่า 29,420,197 บาท
ปัญหาภาคใต้ยังต้องส่งกำลังทหาร-ตำรวจดูแลทุกพื้นที่
เรื่องการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( จชต.) นั้น ยืนยันว่าจะต้องมีการใช้กำลังทหารลงไป เพราะมีเหตุการณ์การลุกลามบานปลาย และทั่วโลกเขาใช้วิธีนี้ในการจัดการความไม่สงบ
“การที่นำกองกำลังทหาร ตำรวจ ไปลงพื้นที่เพิ่มเติมเพราะว่า ในพื้นที่เขารับไม่ได้ รับไม่ไปเพราะอะไร เนื่องจากพื้นที่เรากว้างถึง 30 37 อำเภอ 2,000 กว่าหมู่บ้าน และถ้าเขาทำได้ทุกที่ เราจะต้องนำคนดูทุกพื้นที่ ทั้งพื้นที่ที่แรง แรงมาก แรงน้อย ต้องมีคนอยู่ ถ้าไม่มีคนอยู่เผลอตรงจุดไหนเขาจะทำตรงนั้น เป็นแบบนั้นเราถึงต้องเตือนคนมาก ที่ไปอยู่ไม่ใช่ว่าต้องการอยากจะได้เงินได้เบี้ยเลี้ยง ผมคิดว่าไม่มีใครอยากจะไปอยู่ไกลบ้าน ทหารก็ไม่ได้อยากไปไกลแต่เขาต้องไปเพราะว่ามีหน้าที่ จัดคนไปเขาต้องไป เขาไปดูคน 2 ล้านคน ใน 37 อำเภอหรือ 2,000 หมู่บ้าน ให้ปลอดภัยทั้งหมด และทำให้เต็มที่ใน 37 อำเภอหรือ 2,000 บ้านซึ่งเกิดเฉพาะบางอำเภอแต่เราจะทำเฉพาะบางอำเภอไม่ได้ตรงไหนที่มีช่องว่าง เขาทำตรงนั้นอีก”
ทั้งนี้ยุทธศาสตร์ของฝ่ายตรงข้ามที่สำคัญ คือใช้ทางการเมือง การทหาร และการประชาสัมพันธ์ เราได้เข้าไปช่วยเหลือด้วยผสมผสานกัน การจัดตั้งมวลชน หมู่บ้าน โดยการสร้างแกนนำหมู่บ้าน ขัดขวางการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งฝ่ายเราจะใช้ยุทธศาสตร์พระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา และปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เร่งรัดลงไปพัฒนาลงในพื้นที่
ในส่วนของการพูดคุยสันติภาพ ที่ผ่านมาได้มีการพูดคุยไปตามลำดับทั้งทางความลับ ทางเปิดเผย พอเปิดเผยมากเข้าไม่ได้เราจำเป็นจะต้องมีการเตรียมการสร้างความพร้อมให้มากขึ้นกว่าเดิม อันแรกคือ ต้องสรรหาว่าใครที่จะมาพูดคุยกับเรา คือต้องเป็นผู้นำขบวนการที่แท้จริง ถ้าไม่แท้จริง คือจะต้องไปรวมทุกกลุ่มมาให้ได้ ไม่ใช่กลุ่มนี้ใหญ่แล้วมาคุมกลุ่มเดียว ซึ่งกลุ่มเล็กก็มีศักยภาพ ซึ่งทำคนละมากบ้าง น้อยบ้าง พอกลุ่มใหญ่มาพูดคุย กลุ่มเล็กก็ต้องการยกระดับตัวเองขึ้นมาบ้าง ให้มีการเข้าร่วมการพูดคุยฉะนั้นที่ผ่านมามีหลายกลุ่มที่ทำ เรามีข้อมูลอยู่ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นการปะทะ มีการจับกุม มีหลักฐาน วันนี้จะทำอย่างไรให้เกิดการรัดกุมขึ้น ทำอย่างไรจะรวมกันได้และมาพูดคุยกันในทุกมิติ ส่วนมาตรการ 66/23 จะนำมาใช้กับทุกภาคไม่ได้ เพราะปัญหาต่างกัน
ยันกลุ่มก่อความไม่สงบทำร้ายชาวมุสลิม
ส่วนกลุ่มที่ก่อความไม่สงบ นอกจากเรื่องแยกดินแดน ยังมีเรื่องของผิดกฎหมาย เรื่องของปัญหาแทรกซ้อน ยาเสพติด แรงงานต่างด้าว ผลประโยชน์ น้ำมันเถื่อนและอีกมากมาย ฉะนั้นคนที่อยู่ร่วมกันเป็นหมู่มากก็จะร่วมกัน ฉะนั้นวันนี้ที่น่าเป็นห่วงคือชาวไทยมุสลิม ซึ่งถูกทำร้ายมากยิ่งขึ้น
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งไปอยู่ในที่ชุมนุม เช่น ตลาด ซื้อของแต่เดิมบอกว่าสู้เพื่อชาวมุสลิม ทำไมวันนี้มีมุสลิมถึงตายด้วย จะมาบอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ทำคงไม่เกิดประโยชน์ เพราะไม่ทราบว่าจะต้องทำไปทำไม มีแต่ต้องการให้ทุกคนปลอดภัย”
เชิญชวนประชาชนร่วมกิจกรรมวันแม่
ทั้งนี้เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จะเวียนมาบรรจบครบอีกวาระหนึ่ง ใน 12 สิงหาคม 2557 คสช .และหน่วยงานเกี่ยวข้องจะจัดงานเฉลิมพระเกียรติ ในห้วงระหว่างวันที่ 9 - 12 สิงหาคม ณ พระลานพระราชวังดุสิต (ลานพระบรมรูปทรงม้า) และท้องสนามหลวง ขอเชิญชวนพ่อแม่พี่น้องประชาชนชาวไทยร่วมงานโดยพร้อมเพรียงกัน โดยมีหลายกิจกรรมให้ประชาชนเข้าร่วม 

ธงชัย วินิจจะกูล ชี้ ผลการตั้ง สนช. เพิ่มความขัดแย้ง


เลขาเสรีไทยฯ ประเมิน สนช. จะทำให้ ไทย เป็น คนป่วยแห่งเอเชีย เพราะเป็นรัฐเผด็จการทหารที่สมบูรณ์ “ธงชัย วินิจจกุล” ชี้ คสช.จะเปลี่ยนไทยเป็น รัฐราชการ จะเพิ่มความขัดแย้งมากขึ้น
2 ส.ค. 2557 นายธงชัย วินิจจะกูล อาจารย์ประจำสถาบันเอเชียศึกษา มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา ให้สัมภาษณ์ถึงผลการแต่งตั้ง สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ว่า ทุกครั้งที่ ทหารยึดอำนาจ เมื่อมีการแต่งตั้ง สมาชิกสภานิติบัญญัติ ก็จะต้องแต่งตั้งบุคคลที่สามารถสั่งให้ซ้ายหัน ขวาหันได้ เหมือนกับการทำรัฐประหารทุกครั้ง และการแต่งตั้ง สนช. ครั้งนี้ ก็เพื่อสนองตอบต่อความต้องการของการทำรัฐประหารนั่นก็คือ การออกกฎหมาย เพื่อกำจัดระบอบทักษิณ และทำลายความน่าเชื่อถือของนักการเมือง เพราะเห็นว่า เป็นต้นตอของการคอรัปชั่น ซึ่งการทำลายนักการเมือง ก็เท่ากับเป็นการ ทำลายเสียงของประชาชนด้วย
นายธงชัยกล่าวว่า ถ้าจะให้ประเมิน จากหน้าตาของ สนช.ทั้ง 200 คน ทำให้เห็นว่า คสช.ต้องการที่จะให้ ประเทศไทย เป็นรัฐราชการอย่างเต็มรูปแบบมากขึ้น ซึ่ง หาก คสช.มองว่า ปัญหาของสังคมไทยมาจากระบอบทักษิณ มาจากนักการเมือง จึงต้องเปลี่ยนให้เป็น รัฐราชการ เท่ากับมองปัญหาผิด เพราะสังคมไทย และคนไทยได้เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว รัฐราชการ ไม่เป็นที่ยอมรับของคนไทยอย่างแน่นอน ดังนั้นหากเป็นเช่นนี้ จะยิ่งทำให้ความขัดแย้งเพิ่มมากขึ้น การแก้ปัญหาจึงไม่มีที่สิ้นสุด
นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการองค์การเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย ( FreeThai and Human Right Organisation ) ซึ่งเป็นองค์กรของกลุ่มคนไทยที่ลี้ภัยการเมืองและเคลื่อนไหวอยู่ในต่างประเทศ กล่าวถึง สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. จำนวน 200 คนว่า สมาชิก สนช. มากกว่าครึ่งเป็นนายทหาร ซึ่งนั่นหมายความว่า สนช.ชุดนี้ เป็น สมาชิกสภาเผด็จการทหารแห่งชาติมากเป็น สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และเป็นการถอยหลังเข้าสู่ยุค จอมพลสกฤษดิ์ ธนะรัตน์ และยุคจอมพลถนอม กิตติขจร
นายจารุพงศ์กล่าวว่า บทบาทหน้าที่ของ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ คือ การออกกฎหมายที่ใช้กับคนทั้งประเทศ จำเป็นที่จะต้องมีตัวแทนจากประชาชนทุกจังหวัด ทุกพื้นที่ ทุกระดับอาชีพ เพื่อจะได้สร้างกฎหมายที่เป็นธรรมและทั่วถึงกับประชาชนเพื่อให้กฎหมายเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนประเทศไปได้ แต่หาก สมาชิก สนช.ส่วนใหญ่เป็นทหาร จึงเป็นสภาที่ไม่มีความสมดุล
“ หน้าที่ของ ทหาร ถูกสร้างให้มาทำหน้าที่ในการต่อสู้ เพื่อความมั่นคงของประเทศ ไม่ใช่สร้างเพื่อมาบริหารประเทศ หรือ เป็นสมองในการบริหารประเทศ ถ้าเปรียบเหมือนร่างกาย ทหารคือ มือ คือ เท้า ไม่ใช่หัว แต่ การบริหารประเทศจะต้องอาศัย หัว หรือ สมองเป็นหลัก ดังนั้นเท่ากับเป็นการใช้ทหารผิดประเภท” นายจารุพงศ์กล่าว
เลขาธิการองค์การเสรีไทยฯ กล่าวว่า ถ้าหน้าตาของ สนช. เป็นอย่างนี้ รับรองได้เลยว่า อนาคตของประเทศไทยจะถดถอย เศรษฐกิจก็จะทรุดโทรมไปมากกว่านี้ เพราะงบประมาณทั้งหลาย ต่อไปนี้ ก็จะทุ่มเทให้กับกองทัพมากกว่าที่จะพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคม หรือด้านอื่น ๆ ประเทศไทย ก็จะกลายเป็น รัฐเผด็จการทหาร และสุดท้าย ประเทศไทย ก็จะกลายเป็นคนป่วยแห่งเอเชีย เพราะไม่มีประเทศไหนที่อยากจะคบค้าด้วย เพราะประเทศเผด็จการทหาร จะไม่ได้รับความไว้วางใจ และอาจจะทำให้ ประเทศไทย ต้องย้อนกลับไปสู่อดีตคือ เปลี่ยนสนามการค้า เป็น สนามรบอีกครั้งหนึ่ง
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากประเมินจากโฉมหน้าของ คสช. จะสอดคล้องกับวิกฤตของประเทศที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ขณะนี้ได้หรือไม่ นายจารุพงศ์กล่าวว่า ทหารไทย ไม่สามารถแก้ปัญหาของประเทศในโลกยุคใหม่ได้ ไม่สามารถจัดระเบียบประเทศไทยอย่างที่คนไทยคาดหวังเอาไว้ได้ กองทัพ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของประเทศเท่านั้น แต่เมื่อ กองทัพใหญ่คับฟ้าแบบนี้ ก็จะยิ่งทำให้ นำพาประเทศไปสู่ความถดถอยมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องประชาธิปไตย เศรษฐกิจ การศึกษา เพราะ ศักยภาพของทหารไทย ไม่สามารถปรับตัวเข้าสู่โลกยุคโลกาภิวัตน์ได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า ถึงตอนนี้พอจะมองเห็นหน้าตาของ ครม.ได้แล้วหรือไม่ นายจารุพงศ์กล่าวว่า มองจะมองเห็น เพราะถ้าต้นคด ปลายก็คด ต่อไปนี้ สังคมไทย ก็จะเต็มไปด้วยการกดขี่ การจำกัดสิทธิเสรีภาพ ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยต้องเสียโอกาสในการพัฒนา และการแข่งขันอย่างมาก ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของคนไทยทั้งประเทศ ถ้าไม่ยอมที่จะเป็นคนป่วยแห่งเอเชีย ก็ต้องร่วมกันแสดงพลังเพื่อปลดแอกจากอำนาจเผด็จการทหาร เพื่อเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ และทวงคืนอำนาจของตัวเอง เพื่อความเป็นไทแก่ตัวเองให้ได้
 

จุฬาราชมนตรีขอไม่รับตำแหน่ง สนช.


อาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรีทำหนังสือแจ้ง คสช.ขอไม่รับตำแหน่ง สนช.ที่เพิ่งมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเมื่อ 31 ก.ค.57 ระบุตำแหน่งจุฬาราชมนตรีเป็นตำแหน่งผู้นำศาสนา ไม่เหมาะสมหากรับตำแหน่งทางการเมือง นักวิชาการชี้ไม่มีผลต่อการเปิดประชุมสภา
 
เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2557 ไทยพีบีเอสออนไลน์ ได้รับการเปิดเผยจากคนใกล้ชิดของนายอาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี ซึ่งได้รับการเสนอชื่อแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ลำดับที่ 193  ว่านายอาศิสได้ทำหนังสือแจ้งต่อทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ขอไม่รับตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เนื่องจากความเหมาะสมต่อสถานะของผู้นำสูงสุดทางศาสนาอิสลามในราชอาณาจักร จึงไม่อาจรับตำแหน่งทางการเมืองใดๆ ได้ ซึ่งที่ผ่านมายังไม่มีใครทาบทามหรือบอกกล่าวมาก่อนล่วงหน้า มิเช่นนั้นคงกล่าวปฏิเสธไปแล้วก่อนประกาศรายชื่อ
 
แหล่งข่าวยังเปิดเผยอีกว่า ปัจจุบันนายอาศิสยังประสบกับปัญหาสุขภาพอย่างมาก ต้องนั่งรถเข็นในการเดินทางไปประกอบศาสนกิจและปฏิบัติหน้าที่จุฬาราชมนตรี 
 
และจากการสำรวจท่าทีของชาวมุสลิมในประเทศไทยหลังจากมีชื่อของจุฬาราชมนตรีได้รับการแต่งตั้งเป็น สนช.ตามเว็บไซต์และสำนักข่าวออนไลน์พบว่าส่วนใหญ่เป็นไปในทางลบ โดยวิพากษ์วิจารณ์ผู้เสนอชื่อจุฬาราชมนตรีเข้าไปดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพราะโดยตำแหน่งแล้วจุฬาราชมนตรีนั้นเป็นตำแหน่งสูงสุด ในอดีตจุฬาราชมนตรี เป็นตำแหน่งตัวแทนพระองค์ในฝ่ายมุสลิม แต่การดึงจุฬาราชมนตรีไป เป็นสนช.ถือว่านอกจากไปลดเกียรติของจุฬาราชมนตรีแล้วยังเป็นการทำลายเกียรติตำแหน่งนี้อีกด้วย
 
ในอดีตตำแหน่งจุฬาราชมนตรี ยังเคยควบตำแหน่งออกญาบวรราชนายก ซึ่งมีตำแหน่งเทียบเท่ากับนายกรัฐมนตรีในยุคปัจจุบันนี้ และในอดีตจุฬาราชมนตรียังเคยควบตำแหน่งพระยากลาโหมเสนา หรือออกญากลาโหมด้วย
 
ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสยาม กล่าวว่า กรณีผู้ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ แล้วไม่ไปรายงานตัวเพื่อรับตำแหน่ง ก็ถือว่าไม่ได้เป็นสนช. ไม่ได้มีผลกระทบใดๆ ต่อการทำงานของ สนช. เพราะมีข้อกำหนดว่ามีสมาชิกไม่เกิน 220 คนเท่านั้น ไม่เหมือนการสมัครเป็นส.ส.หรือส.ว.ที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้ว่าถ้าไม่ถึงร้อยละ 95 จะไม่สามารถเปิดการประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้ แต่สนช.แม้มีคนเดียวก็เปิดประชุมได้เลย แต่ทั้งนี้อยู่ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.ว่าจะมีการแต่งตั้งคนอื่นมาเป็นแทนให้ครบจำนวนหรือไม่ หรือว่าจะให้ สนช.เท่าที่มีสามารถดำเนินการเปิดประชุมได้เช่นกัน
 

Ship หาย เพราะว่า ข้าวไม่ได้หาย


อ้าวเฮ้ยย ! ข้าวไม่หายนี่ แล้วที่ ปปช.ชี้มูลยิ่งลักษณ์ไปแล้วล่ะ ?...

                กลับตาลปัตร จากหน้ามือเป็นหลังเท้า เมื่อทหารออกมาสรุปว่าข้าวไม่ได้หายไปจากโกดังจำนวนมหาศาลดังที่ ปปช.มโนเอาไว้ หรือหายก็ไม่ถึง 1% เปอร์เซ็นต์ รวมข้าวเสื่อมคุณภาพอีกเล็กน้อย ทหารได้แจ้งให้เจ้าของโกดังมารับทราบข้อกล่าวหาแล้ว..อ้าวเฮ้ย !
What is it?. อะหยังวะ ? เหตุการณ์เช่นนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมข้าวถึงไม่หายล่ะ? ไม่จริ๊งไม่จริงนะเตง ! ข้าวต้องหายซิ และหายเยอะด้วย เพราะทุจริตกันทุกระดับ ตั้งแต่ระดับปฏิบัติยันนายกฯยิ่งลักษณ์ แล้วอยู่ๆมาบอกข้าวไม่หายได้ไง..ไม่ฟิน !




               ที่สำคัญ ปปช.ชี้มูลนางสาวคนสวยยิ่งลักษณ์ ชินวัตรไปแล้วด้วย โทษฐานปล่อยให้มีการทุจริตโดยไม่ระงับยับยั้ง ผิดมาตรา 157 ละเว้นปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติปล่อยเกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติ 5 แสนล้าน จนประชาชนต้องฆ่าตัวตายเพราะไม่ได้เงินจำนำข้าว ..ไม่จริ๊งงงงง !

               โอ้พระเจ้าช่วยยยย มันเป็นไปได้ยังไง ที่ข้าวไม่หาย มีใครแกล้ง ปปช.หรือเปล่า ทำว่าข้าวหาย แล้วให้ปปช.ตัดสิน หลังจากตัดสินแล้ว ก็ขนข้าวมาคืน เพื่อให้ ปปช.ถูกด่า นี่มันวางยากันชัดๆ ..นี่จะทำยังไง ?

              โห..ชีวิต ปปช. มันช่างไม่แน่ไม่นอนเสียจริงๆ จั่วลมวืดใหญ่ สุดแสนอับอายขายหน้าไปทั่วโลกา ตัดสินคดีระดับประเทศ เอามโนนำหน้าหาว่าเขาปล่อยให้โกง

              จะเอาผิดเขา แต่กรรมติดจรวด ผลสรุปของทหาร ปรากฏว่าข้าวไม่หายดังที่ว่า โธ่เอ๊ยย คราวนี้ จะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหนล่ะ..ปปช.เอ๊ยยย !!!