วันพุธที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2554


ประยุทธออกฤทธิ....



92ศพและมากกว่า2พันประชาชนและทะเหี้ยบาดเจ็บ


พระ ถูกทหารยิงตายไป2รูป ไม่มีสื่อใดพูดถึง chunk 1 จาก: voicetvcoth 

สร้างเมื่อ: 26 เม.ย. 2010 

วีดีโอ ทหารอุ้มประชาชนและใครสั่ง? สุดยอดทั้งภาพและเสียง





ธาริตเผย ตำรวจสรุปการตายช่างภาพญี่ปุ่น ไม่ใช่ฝีมือรัฐ
http://www.internetfreedom.us/thread-18267-post-188191.html#pid188191
[Image: 5images.jpeg]




ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI กล่าวถึงกรณีที่




นายโนบุอากิ อิโตะ อัครราชทูตฝ่ายการเมือง
สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย
เข้าพบ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ที่ปรึกษาด้านกฎหมายและการสอบสวน
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ในฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยการ
สอบสวนชันสูตรพลิกศพผู้เสียชีวิตจาก เหตุการณ์การชุมนุม
ของกลุ่ม นปช.เมื่อปี 2553





ทั้งนี้ เพื่อสอบถามความคืบหน้าคดีการ เสียชีวิตของ
นายฮิโรยูกิ มูราโมโต ช่างภาพสำนักข่าวรอยเตอร์ส ชาวญี่ปุ่น
ที่ถูกยิงเสียชีวิต โดยตำรวจระบุว่า

ได้สรุปและส่งเอกสารที่เกี่ยวข้อง
กลับให้ DSI ดำเนินการสืบสวน
สอบหาตัวผู้กระทำผิดแล้วนั้น 





นายธาริต กล่าวว่า ตำรวจได้สรุปสำนวน
ส่งกลับมาให้ DSI เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยตำรวจสรุปสำนวน
การเสียชีวิตของนายฮิโรยูกิ ว่า



ไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ




ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ DSI จะต้องสืบสวนต่อไป ซึ่ง DSI จะใช้เวลาสอบสวนหาพยาน
หลักฐานให้ได้ภายใน 1 ปี แต่ในกรณีที่ไม่พบหลักฐาน
เพิ่มเติมจะต้องงดการสอบสวน

โดยจะส่งสำนวนไปให้อัยการ
ให้ความเห็นชอบจนกว่าจะพบหลักฐานใหม่ เนื่องจากคดีการเสียชีวิต
ดังกล่าวเป็นคดีอาญา มีอายุความ 20 ปี สามารถรื้อคดีใหม่ได้





อย่างไรก็ตาม สัปดาห์หน้าสถานทูตญี่ปุ่นได้นัดเข้าพบ DSI เพื่อสอบถามความคืบหน้าของคดี ซึ่ง DSI พร้อมชี้แจงข้อมูลทั้งหมดให้ทราบ




เครดิต
http://news.mthai.com/headline-news/107935.html


เอ้...มีอายุความ 20 ปี สามารถรื้อคดีใหม่ได้นี่คุ้นๆ นะ..
มันช่างเหมือนกับคดี อาไรน้า...อ๋อ..เพชรซาอุ
อื็อ..เข้าใจทำ..มุกเดิมๆ จนทุกวันนี้ยังหาไม่เจอเลยนี่..
และก็ยังไม่รู้อยู่กับใคร...
ว่าแต่ ริด..แน่ใจเหรอว่าทางญี่ปุ่นเค้าจะเชื่อน่ะ.....
...Dodgy


[Image: 14p1a_5.jpg]

เพราะคาราบาวแปลว่าควาย

 "แอ๊ด" ของขึ้น ทุ่มกีต้าร์กลางเวทีงานสีสัน ครั้งที่23 (แสดงนิสัยเลวๆ)
จากเรื่องเล่าเช้านี้
http://www.internetfreedom.us/thread-18277-post-188190.html#pid188190




ควายล้มแบบไอ้เชี่ยแอ๊ดต้องรีบข้ามเลย.... แบนนนนนนนนนนนน 
อย่าสนับสนุนสินค้ามัน อย่าสนับสนุนเพลงของมัน ..

เพลงเพื่อชีวิตมึง ก็ตายตามตกไปกับมึง ไอ้กร่างแอ๊ด

เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย 

เข้าพบหัวหน้าพรรคเพื่อไทย



กราบส้นตีนโจรใต้ซะอีกที


"ประยุทธ์" ขอโทษกรณี "กรือเซะ" ทบทวนย้ายฐานทหารรือเสาะ ลั่นต้องฟังเสียงประชาชน


พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สั่งทบทวนย้ายฐานทหารออกจาก อ.รือเสาะ ลั่นต้องฟังเสียงประชาชน ขอโทษกรณี "กรือเซะ" ชี้ เรื่องต่าง ๆ ผ่านกระบวนการยุติธรรมแล้วมีการเยียวยาและต้องไม่ให้เกิดขึ้นอีก ระบุหากคิดอะไรไม่ออกให้นึกถึงเพลงชาติกับเพลงสรรเสริญพระบารมี
23 มี.ค. 54 - พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก เปิดโอกาสให้ประธานชมรม “ทำดี มีอาชีพ” ประธานสภาสันติสุขตำบล และเยาวชนจากพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เข้าร่วมโครงการ “ทำดี มีอาชีพ” เข้าพบที่สโมสรทหารบก ถ.วิภาวดีรังสิต พร้อมกล่าวตอนหนึ่งว่า โครงการ “ทำดี มีอาชีพ” เป็นโครงการพัฒนาศักยภาพที่มีอยู่ในตัวเยาวชน ซึ่งจะเป็นพลังให้ประเทศชาติเจริญเติบโตได้ และยังเป็นการลดความเสี่ยง ที่เยาวชนจะถูกชักจูงให้กระทำความผิด นอกจากนี้ ยังทำให้เยาวชนได้ประสบการณ์โดยไม่รู้ตัว จากการได้พบกับสังคมใหม่ ๆ ที่มีความแตกต่างไปจากเดิม และจะได้เห็นว่าการอยู่ร่วมกันในความแตกต่างด้วยสันติ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้
พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึง 6 ยุทธศาสตร์ที่ใช้แก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งประกอบด้วย  1. การพัฒนาศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ ให้มีอาชีพ รายได้และการศึกษาที่ดีขึ้น 2. การลดปัญหาจากภัยแทรกซ้อน ซึ่งนำไปสู่ความรุนแรงในพื้นที่ ทั้งจากปัญหายาเสพติด การค้าของเถื่อน อิทธิพล 3. การดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม การดูแลด้านสิทธิมนุษยชน ถ้าเจ้าหน้าที่ทหารทำความผิด จะต้องถูกลงโทษ 4. การรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน 5. การสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ ที่เราต้องมีประวัติศาสตร์เดียวกัน อดีตเป็นสิ่งที่เราจะนำมาภาคภูมิใจ เป็นตัวอย่างที่ดี และอะไรไม่ดีก็ต้องไม่ให้เกิดขึ้นอีก และ 6. การให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม
“เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ที่มัสยิดกรือเซะ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส เป็นเรื่องที่ผมไม่สบายใจ แต่จำเป็นต้องพูด ผมต้องขอโทษแทน แม้จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้ว อาจจะเกิดจากความไม่เข้าใจ ความประมาท การไม่ดูแล ไม่เอาใจใส่ ผมไม่อยากรื้อฟื้น แต่มันถูกเอามาอ้างทุกวัน ผมจึงอยากบอกว่า เรื่องต่าง ๆ ผ่านกระบวนการยุติธรรมแล้ว มีการเยียวยา และเราก็ต้องไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก ทุกฝ่ายต้องช่วยกันทั้งประชาชนและรัฐ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พลเอกประยุทธ์ กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ ไม่ได้มีแต่ทหารที่มีหน้าที่แก้ไข แต่รัฐบาล กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ร่วมกันแก้ไข และทำงานร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพ โดยทหารเป็นกลไกหนึ่งในการขับเคลื่อน 6 ยุทธศาสตร์และนโยบายของรัฐบาล โดยใช้การเมืองนำการทหาร และใช้มาตรา 21 ให้ผู้ที่หลงผิดเข้ามอบตัว ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่า จำนวนการก่อเหตุรุนแรงลดลง และประมาณครึ่งหนึ่งของคดีทั้งหมด ไม่ใช่เหตุรุนแรง แต่เกี่ยวกับยาเสพติด และการค้าของผิดกฎหมาย
“บ้านเมืองเราต้องช่วยกันดูแลแก้ไขปัญหา เราต้องลดปัญหาภายในของเราให้เหลือน้อยที่สุด ถ้าทุกคนเอาปัญหาของตัวเองมาพูด ก็ไม่มีโอกาสพูดถึงปัญหาของส่วนรวม ประเทศชาติบ้านเมืองจะต้องมาก่อน ถ้าคิดกันเช่นนี้ เราจะทำอะไรได้มากขึ้น และพร้อมจะช่วยเหลือบ้านเมือง แก้ไขปัญหาส่วนรวม เวลาคิดอะไรไม่ออก ขอให้นึกถึงเพลงชาติกับเพลงสรรเสริญพระบารมี แล้วเราจะรู้ว่า เราควรทำอะไร” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
"ผบ.ทบ." สั่งทบทวน ย้ายฐานทหารออกจาก อ.รือเสาะ ลั่นต้องฟังเสียงประชาชน
วันเดียวกันนี้พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวกับสื่อมวลชนถึงกรณีมีประชาชนในพื้นที่ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ไม่เห็นด้วยที่ทหารจะย้ายฐานออกจากพื้นที่ว่า กำลังให้แม่ทัพภาคที่ 4 ทบทวน โดยมอบนโยบายว่าต้องมองระยะยาวว่า จะทำอย่างไรให้สามารถดูแลพื้นที่ให้ปลอดภัยได้ทั้งหมด ขณะเดียวกันต้องให้ประชาชนมีความมั่นใจและพอใจ
“เราไม่สามารถให้กำลังของกองทัพภาคที่ 1 ลงไปอยู่ตลอดไป จึงต้องสร้างความเข้มแข็งให้กับกองพลทหารราบที่ 15 ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่โดยตรง เพื่อให้เป็นเอกภาพ แต่ทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับความพอใจของประชาชนด้วย” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว และว่า สำหรับแผนการปฏิบัติที่ใช้ดูแลแต่ละพื้นที่นั้น ไม่ได้ใช้แผนเดียวทำงาน หากพื้นที่ใดมีความรุนแรง มีปัญหาหนัก ก็ต้องใช้แผนยุทธวิธีดูแล และใช้กำลังส่วนใหญ่ดูแลป้องกัน แต่ถ้าพื้นที่ใดสงบแล้วก็ใช้การพัฒนาเข้าไป
ที่มาข่าวเรียบเรียงจาก: มติชนออนไลน์

องค์กรสิทธิมนุษยชนยื่นรายงานต่อยูเอ็นเพื่อให้พิจารณากม.ที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพในไทย

http://robertamsterdam.com/thai/?cat=6

องค์กรสิทธิมนุษยชนอิสระ ที่ชื่อว่ากลุ่ม ARTICLE 19 ได้ยื่นรายงานต่อสภาสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติเพื่อขอให้พิจารณาถึงกฎหมายที่กระทบต่อเสรีภาพการแสดงออกในประเทศไทย
สภาสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาติ: รายงานเรื่องความเสื่อมโทรมของเสรีภาพการแสดงออกในประเทศไทย ยื่นโดยกลุ่ม ARTICLE 19 เพื่อการพิจารณาสากลตามระเบียบวาระ (Universal Periodic Review)
ลอนดอน 14.03.11: กลุ่ม ARTICLE 19 ได้ยื่นรายงานต่อสภาสิทธินุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติเพื่อย้ำให้เห็นถึงปัญหาการจำกัดสิทธิเสรีภาพการแสดงออก รวมถึงการบังคับใช้อำนาจฉุกเฉิน พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 กฎหมายหมิ่นประมาทและกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของรัฐบาลไทย รายงานยังได้กล่าวถึงสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงในเรื่องการละเลยการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ และเรื่องที่สื่อถูกควบคุมโดยทหารและรัฐบาล
หลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลไทยเข้มงวดต่อเสรีภาพการแสดงออกซึ่งเป็นสิ่งที่ยับยั้งการอภิปรายถกเถียงทางการเมือง แม้รัฐธรรมนูญไทยปี พ.ศ. 2550 ได้ปกป้องเสรีภาพทางการแสดงออกและการรับข้อมูลข่าวสารอย่างมาก แต่รัฐบาลมักล้มเหลวที่จะเคารพสิทธิเหล่านั้นรวมถึงพันธกรณีที่มีต่อประชาคมโลกด้วย
ในปี พ.ศ.2553 รัฐบาลใช้อำนาจภายใต้พระราชกำหนดบริหารราชการแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉินเพ่งเล็งนักข่าวและปิดช่องทางการรับข้อมูลข่าวสาร กฎหมายนี้ให้อำนาจที่แทบจะไม่สามารถตรวจสอบได้แก่รัฐบาลในการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและลิดรอนเสรีภาพการแสดงออกในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
การปิดกั้นเสรีภาพการแสดงออกบนอินเตอร์เน็ตในประเทศไทยคือปัญหาใหญ่อีกปัญหาที่น่าเป็นห่วง พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และกฎหมายอื่น ผนวกกับแรงกดดันนอกระบบถูกนำมาบังคับใช้เพื่อปิดเวปไซต์หลายหมื่นเวปไซต์ หลายครั้งที่เวปไซต์ถูกปิดโดยไม่มีคำสั่งจากเจ้าหน้าที่ตุลาการ รวมถึงเพิ่มขึ้นของการใช้กฎหมายที่ทารุณอย่างกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (ดูหมิ่นกษัตริย์หรือครอบครัวกษัตริย์) และจับกุมคนด้วยข้อหาหมิ่นประมาทเพื่อขมขู่และปิดปากฝ่ายตรงข้าม
การบังคับใช้กฎหมายและการปฏิบัติตามสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารยังคงอ่อนแอ แม้จะมีการบังคับใช้พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ ตั้งแต่ปี 2539 แต่ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ รัฐบาลและทหารยังคงควบคุมสถานีโทรทัศน์และคลื่นวิทยุหลักเกือบทั้งหมด
กลุ่ม ARTICLE 19 ขอเรียกร้องให้สภาสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติแนะนำรัฐบาลไทยให้ทบทวนกฎหมายที่กระทบต่อเสรีภาพการแสดงออกทั้งหมด เพื่อยกเลิกหรือแก้ไขให้เป็นไปตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญไทยและมาตรฐานสากล
กลุ่ม ARTICLE 19 คือองค์กรสิทธิมนุษยชนอิสระซึ่งทำงานทั่วโลกเพื่อปกป้องและสนับสนุนสิทธิเสรีภาพทางการแสดงออก ชื่อของกลุ่มนี้มาจากกฎข้อ 19 ของปฏิญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ซึ่งรับรองเสรีภาพทางการพูด สำหรับท่านที่สนใจ สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่www.article19.org หรือติดตาม article19org บท Twitter

สุเทพระบุผู้ชุมนุมวิ่งเข้าใส่กระสุนปืนเอง


ลอนดอน วันที่ 9 มีนาคม 2554 
เอเอสทีวีรายงานข่าวเมื่อวันที่ 5 มีนาคมว่า รองนายกรัฐมนตรีสุเทพ เทือกสุบรรณกล่าวถึงการเสียชีวิตของกลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยในเดือนเมษายนและพฤษภาคมเมื่อปี 2553 โดยมีใจความว่า “เราไม่คิดเข่นฆ่าประชาชน ไม่เคยใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารเข้าสลายการชุมนุม แต่ที่ตาย เพราะวิ่งเข้ามาใส่”
และนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความกลุ่มคนเสื้อแดง ได้ตอบโต้นายสุเทพว่า
“เราขอแสดงจุดยืนที่ชัดเจนตรงนี้ว่า ข้อเท็จจริงคือประชาชนไทยทั้ง 91 ไม่ได้วิ่งเข้ามาใส่ลูกกระสุนที่สังหารพวกเขา แต่กระสุนเหล่านั้นต่างหากที่ถูกกองทัพและตำรวจใช้ระดมยิงเข้าใส่กลุ่มผู้ชุมนุมที่ปราศจากอาวุธและไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะหลบหนีเข้าไปยังสถานที่ที่ปลอดภัย” นายอัมสเตอร์ดัมกล่าว “เมื่อรัฐเห็นว่าการเรียกร้องสิทธิประชาธิปไตยเป็นการกระทำที่ไม่ต่างจากการฆ่าตัวตาย แล้วอย่างนี้ ผู้ถูกกระทำจะคาดหวังความยุติธรรมจากศาลของพวกเขาอย่างไร?” เวลานี้การไต่สวนที่อิสระในเหตุการณ์สังหารหมู่กรุงเทพมหานครเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน อย่างไม่ต้องสงสัยเลย โดยเฉพาะหลังจากที่คำกล่าวที่ไม่น่าให้อภัยและน่าชิงชังของรองนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทยถูกเผยแพร่
นายอัมสเตอร์ดัมกล่าวต่อว่า “หลังจากเหตุการณ์การสังหารประชาชนจำนวนมากผ่านมาเกือบปี แต่รัฐบาลยังคงไม่ทำการสอบสวนให้แล้วเสร็จ หรือนำตัวเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมารับผิด แต่กลับเลื่อนตำแหน่งให้เหล่าสถาปนิกผู้สร้างความรุนแรง มันถึงเวลาแล้วที่นายสุเทพจะเลิกอ่านตำราของกัดดาฟี่เรื่องการโฆษณาประชาสัมพันธ์ และเริ่มตอบคำถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ในเดือนเมษายนและพฤษภาคมที่มีมานานแล้ว
รองนายกรัฐมนตรีสุเทพ ซึ่งมีหน้าที่รักษาความเรียบร้อยภายในประเทศและนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์เป็นหนึ่งในบุคคลที่จะถูกพรรคฝ่ายค้านลงติไม่ไว้วางใจในสภา การอภิปรายจะมีขึ้นในอาทิตย์นี้ และจะมีการอภิปรายถึงข้อกล่าวหาที่ระบุในคำร้องของคนเสื้อแดงต่อศาลอาญาระหว่างประเทศที่ยื่นในวันที่ 31 มกราคมที่ผ่านมาด้วย
ท่านใดที่สนใจ สามารถอ่านคำร้องศาลอาญาระหว่างประเทศได้ที่
http://robertamsterdam.com/thai/?p=683

ส.ส.แคนาดาเรียกร้องให้สหพันธ์พรรคการเมืองเสรีนิยมสอบสวนพรรคประชาธิปัตย์กรณีละเมิดสิทธินุษยชน


มีนาคม 17, 2554
คำแถลงการณ์ของพรรคเสรีนิยมแห่งรัฐสภาในกรณีพรรคประชาธิปัตย์แห่งประเทศไทย
พรรคเสรีนิยมแห่งแคนาดาหนึ่งในสมาขิกที่น่าชื่นชมของสหพันธ์พรรคการเมืองเสรีนิยม ซึ่งสหพันธ์พรรคการเมืองเสรีนิยมเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ระบุให้สมาชิกต้องยอมรับหลักการใน แถลงการณ์เสรีนิยม 1947 คำประกาศแห่งกรุงออกซ์ฟอร์ด 1967 และข้อเรียกร้องเสรีนิยมแห่งโรม 1981
1.หลักการพื้นฐานของสหพันธ์พรรคการเมืองเสรีนิยม ถือเป็นหลักการที่สนับสนุนส่งเสริม: เสรีภาพส่วนตัว ซึ่งถูกรับรองโดยการบริหารงานของหน่วยงานทางด้านกฎหมายและกระบวนการบุติธรรมที่มีความเป็นอิสระ
2.เสรีภาพและอิสรภาพของความรู้สึกนึกคิด
3.เสรีภาพของสื่อมวลชน
4.เสรีภาพที่จะเข้าร่วม หรือไม่เข้าร่วม
5.ประชาธิปไตยที่แท้จริง ไม่สามารถแยกได้จากอิสรภาพทางการเมืองและต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรู้สึกนึกคิด เสรีภาพ และเจตจำนงที่เกิดจากความรู้แจ้งของคนส่วนมาก ซึ่งแสดงออกผ่านทางการลงคะแนนสียงเลือกตั้งลับและเป็นอิสระ และต้องเคารพอิสรภาพและความเห็นของคนกลุ่มน้อยด้วย
เราให้ความสนใจรายงานองค์กรระหว่างประเทศหลายฉบับที่ระบุว่าพรรคประชาธิปัตย์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นสมาชิกสหพันธ์พรรคการเมืองเสรีนิยมถูกกล่าวหาว่าอาจละเมิดหลักการพื้นฐานเสรีนิยมซึ่งระบุในคำแถลงการณ์ของสหพันธ์ รายงานของ Freedom House กล่าวว่าพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นพรรคผู้นำรัฐบาลนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะบริหารประเทศโดยปราศจากประชามติจากผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง โดยขึ้นสู่อำนาจในปลายปี 2551 หลังจากศาลตัดสินให้ยุบพรรคพลังประชาชนซึ่งเป็นพรรคผู้นำรัฐบาล
ฤดูใบไม้ผลิปี 2553 สื่อต่างชาติรายงานว่ารัฐบาลใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มต่อต้านรัฐบาล “คนเสื้อแดง” ในกรุงเทพมหานครอย่างรุนแรง และใน “คำร้องขอให้ทำการสอบสวนเหตุการณ์ในราชอาณาจักรไทย” ที่ยื่นต่ออัยการศาลอาญาระหว่างประเทศ ซึ่งระบุอย่างละเอียดว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงในกองทัพจำนวนหนึ่งให้การว่าปฏิบัติการต่อต้านผู้ชุมนุมถูกสั่งการโดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการต้อนผู้ชุมนุมเข้าไปในที่แคบบริเวณสะพานผ่านฟ้า สร้างสถานการณ์ความวุ่นวาย และสังหารแกนนำเสื้อแดงบนเวที
นอกจากนี้  Freedom Houseยังรายงานว่า ตั้งแต่ปี 2552 รัฐบาลได้บังคับใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเพื่อควบคุมเสรีภาพการแสดงออกและการแสดงความเห็นทางการเมืองเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เสรีภาพสื่อและอินเตอร์เน็ตถูกจำกัดอย่างรุนแรง โดยผู้ที่วิจารณ์รัฐบาลตกเป็นเป้าหมายของการสอบสวนและในหลายครั้งถูกดำเนินคดี
เราอยู่ในช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ ประชาชนผู้ที่เคยถูกกดขี่และพลเมืองทั่วโลกลุกขึ้นเรียกร้องเสรีภาพและอิสรภาพของพวกเขา สหพันธ์พรรคการเมืองเสรีนิยมจะต้องสอบสวนข้อกล่าวหาเรื่องการกระทำที่ขัดต่อหลักการพื้นฐานขององค์กรโดยมีการใช้ความรุนแรงและกดขี่ประชาชนของตนเองโดยพรรคสมาชิก ดังนั้นเราจึงขอให้สหพันธ์พรรคการเมืองเสรีนิยมสอบสวนข้อกล่าวหาที่มีต่อพรรคประชาธิปัตย์ในประเทศไทย เพื่อจะรับรองว่าพรรคจะปฏิบัติตามหลักการในคำแถลงการณ์การขององค์กรอย่างชัดเจน
ฯพณฯ Bob Rae, องคมนตรี, สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
(Toronto Centre)
Paul Szabo, สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
(Mississauga South)
ฯพณฯ Bryon Wilfert, , องคมนตรี, สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
(Richmond Hill)
Borys Wrzesnewskyj, สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
(Etobicoke Centre)

ลูกชาย กัดดาฟี่ เสียชีวิตจากเหตุปะทะ


ที่นี่ความจริงจาก3อาจารย์สาว:ผ่ามาตราร้อน112

http://thaienews.blogspot.com/2011/03/3112.html


ที่มา ASIA UPDATE TV

รายการที่นี่ความจริงตอนนี้ ดำเนินรายการโดย 3 นักวิชาการสาว ผศ.ดร.สุดา รังกุพันธ์ อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อาจารย์หวาน) ,รศ.ดร.สุดสงวน สุธีสร อาจารย์คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (อาจารย์ตุ้ม) และ ผศ.ดร.จารุพรรณ กุลดิลก อาจารย์พิเศษคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล (อาจารย์จา)ดำเนินรายการที่นี่ความจริง ทางโทรทัศน์ Asia Update-DNN มี ประเด็นสำคัญคือ

1.ทำความเข้าใจกับปัญหา ม.112 

เมื่อสังคมเกิดคำถามถึง ปัญหาของ ม.112 และกระบวนการยุติธรรมที่เกี่ยวข้องกับคดีที่มีความผิด ตาม ม.112 ภายใต้ปัญหาใหญ่ในสังคมไทย นั่นคือ การปิดกั้นสิทธิเสรีภาพในการพูด (no freedom of speech)

ประเด็นที่ 2 ความไม่น่าเชื่อถือของ DSI 

ความไม่น่าเชื่อถือของกระบวนการสืบสวนหาข้อเท็จจริง ของ DSI ซึ่งอธิบดีเป็นกรรมการใน ศอฉ. ผู้สั่งสลายการชุมนุม แล้วผลการสอบสวนจะน่าเชื่อถือได้อย่างไร คณะกรรมการผู้สื่อข่าว CPJ ถึงกับเรียกผลการสอบสวนของ DSI ว่าเป็น "การฟอกขาว (white wash)" ให้รัฐบาล







ความจริงเกี่ยวข้องกับการตายของนักข่าวญี่ปุ่น

http://thaienews.blogspot.com/2011/03/blog-post_06.html


โดย SilentDeath
ที่มา กระดานสนทนาInternet Freedom

DSI แถลงว่า นักข่าวญี่ปุ่น ถูกยิงโดยกระสุน Ak 47 ซึ่งใช้กระสุน (7.62X39)
และกองทัพไทยไม่ได้ใช้ Ak 47 มีแต่ M16 ซึ่งใช้กระสุน (5.56X45)
แต่พวกเขาไม่ได้กล่าวถึงปืนซุ่มยิง (Sniper) ที่ใช้กระสุน (7.62X51)

ปืนทั้งสอง Ak47 และปืน Sniper ใช้หัวกระสุน 7.62 mm เหมือนกัน
พี่น้องเสื้อแดงควรพิจารณากรณีนี้ และแจ้งให้ผู้นำที่ต่อสู้ในรัฐสภาทราบ
ถึงปลอกกระสุนจะมีขนาดต่างกัน แต่หัวกระสุน มีขนาดเดียวกัน
ปืนSniperนี่แหละที่ใช้กระสุน(7.62X51) 
*****
เรื่องเกี่ยวเนื่อง:

-ดูจะๆ!! ใบชันสูตรศพ "ฮิโรยูกิ" นักข่าวญี่ปุ่นระบุ "กระสุนความเร็วสูง" ไม่ใช่ "อาก้า"?? 

-คณะกรรมการปกป้องสื่อโลก:กรณีฟอกขาวของไทยในการสังหารมูราโมโต


CPJ:กรณีฟอกขาวของไทยในการสังหารมูราโมโต

http://thaienews.blogspot.com/2011/03/cpj.html



ที่มา คณะกรรมการคุ้มครองผู้สื่อข่าวโลก(CPJ)
แปลโดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
5 มีนาคม 2554

Concerns of Thai whitewash in killing of Reuters' Muramoto:กรณีการฟอกขาวของไทยในการสังหารช่างภาพของรอยเตอร์ นายมูราโมโต

กรุงเทพฯ, กุมภาพันธ์ 28, 2554 –คณะกรรมการคุ้มครองผู้สื่อข่าวโลก( The Committee to Protect Journalists-CPJ) กังวลในความไม่แน่นอน ไม่คงเส้นคงวาของการสืบสวนของรัฐไทยในการสืบสวนการสังหารช่างภาพของรอยเตอร์ ฮิโร มูราโมโต ซึ่งถูกฆ่าด้วยกระสุนปืนในขณะกำลังถ่ายทำการปะทะระหว่างผู้ชุมนุมประท้วงรัฐบาลและกองกำลังความมั่นคงเมื่อ 10 เมษายน ปีที่แล้วในกรุงเทพฯ

กรมสืบสวนคดีพิเศษของประเทศไทย(DSI)กล่าวต่อผู้สื่อข่าววันนี้ว่า การสืบสวนแสดงให้เห็นว่า มูราโมโต ไม่ได้ถูกยิงโดยกองกำลังความมั่นคง ผลการสืบสวนแตกต่างจากผลสรุปก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง เกี่ยวกับการเสียชีวิตของนักข่าวซึ่งแผยแพร่และรายงานโดยสำนักข่าวต่าง ๆ เมื่อปลายปีที่แล้ว ซึ่งการค้นพบนั้น แสดงให้เห็นว่า กระสุนที่ยิงมูราโมโต มาจากทิศที่ทหารตั้งกำลังอยู่และยิงมาจากปืน M-16 เจ้าหน้าที่ปฏิเสธ ว่าเป็นแรงกดดันที่จะล้างความรับผิดชอบของกองทัพ

DSI แก้การชันสูตรโดยใช้หลักฐานที่อ้างว่า มูราโมโต ถูกสังหารโดยกระสุนที่ยิงจาก AK 47 สืบเนื่องจากหัวหน้า DSI ธาริต เพ็งดิฐษ์ ซึ่งกล่าวต่อผู้สื่อข่าวในวันแถลงข่าว เขาบอกนักข่าวว่าทหารติดอาวุธด้วยอาวุธที่แตกต่าง ได้แก่ M-16 ในช่วงการสลายการชุมนุมในวันนั้น

หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ รายงานวันอาทิตย์ว่า ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ. ดาวพงศ์ รัตนสุวรรณ ไปเยือน DSI เพื่อไปต่อว่าเกี่ยวกับการชันสูตรเบื้องต้นที่กล่าวหาว่า ทหารสังหารมูราโมโต ธาริต ปฏิเสธว่าเขาไม่ได้พบดาวพงศ์ในการแถลงข่าว บางกอกโพสต์รายงานว่าทหารไทยราว 20,000 คน ติดอาวุธ AK 47 ด้วย

“ความแตกต่างของการชันสูตรเบื้องต้นของการสืบสวนของการตายของนักข่าว ฮิโร มูราโมโต เป็นการตั้งคำถามเกี่ยวกับความเป็นอิสระของการสืบสวนของรัฐ” ฌอน คริสปิน ผู้แทนระดับสูงฝ่ายเอเชียตะวันออกของ CPJ กล่าว “เรากังวลอย่างยิ่งต่อรายงานว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทหารอาจกดดัน DSI ในการเซ็นเซอร์ผลการชันสูตรเบื้องต้น”

หัวหน้าบรรณาธิการของสำนักข่าว ทอมสัน รอยเตอร์ นายสตีเฟ่น เจ แอดเลอร์ กล่าวในแถลงการณ์ว่า “ความขัดแย้งที่เด่นชัดของการสืบสวนเบื้องต้นและรายงานนี้ ทำให้เห็นชัดแจ้งเกี่ยวกับกระบวนการและผลลัพธ์ที่เกิดจากการถูกบังคับ”

อย่างน้อย 90 คนถูกสังหาร และกว่า 1,800 คน บาดเจ็บ ระหว่าง เมษายน และพฤษภาคม ในปี 2553 เป็นความรุนแรงทางการเมืองที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของไทย นักข่าว 2 คน มูราโมโตและนักข่าวอิสระชาวอิตาเลียน ฟาบิโอ โพเลงกี ถูกฆ่าตาย และอย่างน้อย 9 ราย ที่นักข่าวไทยและต่างชาติยาดเจ็บสาหัส ในขณะที่กำลังเก็บภาพการปะทะระหว่างกองทัพและผู้ชุมนุม

ผู้เชี่ยวชาญนิติวิทยาศาสตร์ของตำรวจ พล.ต.ท. อัมพร จารุจินดา บอกผู้สื่อข่าวมื่อวันจันทร์ว่า ยัง “ไม่เป็นที่แน่ชัด” ว่าใครยิง โพเลงกี (สืบเนื่องจาก AP) เขากล่าวว่าการสืบสวนของ โพเลงกียังดำเนินการอยู่

การสืบสวนของCPJ ของปีที่แล้ว “ความไม่สงบในประเทศไทย นักข่าวตกอยู่ในอันตราย” เปิดเผยกรณีของการขัดขวางจากรัฐในการสอบถามจากเอกชนในกรณีการเสียชีวิตของมูราโมโต และโพเลงกี แหล่งข่าวของ CPJ กล่าวว่าทหารปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์นายทหารที่เชื่อว่าอยู่ใกล้กับมูราโมโตในขณะเวลาที่เขาถูกยิง

DSI ไม่เปิดเผยว่า ผลนั้นมาจากกล้องวงจรปิดในบริเวณที่รัฐบาลครอบครอง ที่มูราโมโตเสียชีวิต ธาริตกล่าวว่ารายงานของ DSI จะส่งไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ “ซึ่งอาจจะมีหลักฐานเพิ่มเติมที่จะทำให้กระจ่างขึ้น” ทั้งนี้จากรายงานของสำนักข่าว AP

******

เรื่องเกี่ยวเนื่อง:ดูจะๆ!! ใบชันสูตรศพ "ฮิโรยูกิ" นักข่าวญี่ปุ่นระบุ "กระสุนความเร็วสูง" ไม่ใช่ "อาก้า"??


นปช.EUพบทักษิณในยุโรป



โดย เมย์ (แดงแจ๊ด) เยอรมนี
22 มีนาคม 2554

ประธานและคณะUDD THAI OF EU เข้าเยี่ยมคารวะนายกฯทักษิณที่สหภาพยุโรป

คุณมนูญ มิ่งชัย ประธานนปช.สหภาพยุโรป(นปช.อียู) และคณะเข้าเยี่ยมคารวะนายกฯทักษิณ ชินวัตร ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในสหภาพยุโรปเมื่อไวๆนี้

ซึ่งการเข้าพบครั้งนี้ได้มีการพูดคุยถึงอนาคตทางเศรษฐกิจ และการเมืองของประเทศไทย

นายกฯทักษิณ ได้เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารเย็นให้กับคณะนปช.อียู และได้กล่าวขอบคุณที่พี่น้องเสื้อแดงที่อยู่ในต่างประเทศที่ได้มองเห็นความไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย จึงได้รวมตัวกันต่อต้านรัฐบาลเผด็จการ และต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมให้กับพี่น้องที่เมืองไทย

ก่อนเดินทางกลับได้ให้กำลังใจ และขอให้พี่น้องเสื้อแดงไม่ว่าจะอยู่ที่ใหนของโลกให้รักกันและเป็นกำลังใจให้กันและกันตลอดไป

นายกฯลั่นไม่ย้าย ถกบันทึกเจบีซี เหลืองล้อมสภา

นายกฯลั่นไม่ย้าย ถกบันทึกเจบีซี เหลืองล้อมสภา





วิกิลีกส์"เผยความจริงอีกด้านของพธม.ในเหตุการณ์ 7 ตุลา เอกสารรายงานอดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐ


ถ้าศาลอาญาระหว่างประเทศพิจารณากรณีลิเบียได้ ประเทศไทยก็อาจมีโอกาสเช่นกัน




























เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติลงมติอย่างเป็นเอกฉันท์ให้นำเหตุการณืในลิเบียขึ้นสู่การพิจารณาของศาลอาญาระหว่างประเทศ โดยการร้องขอให้สำนักงานอัยการศาลอาญาระหว่างประเทศเปิดพิจารณาคดีที่อาจเข้าข่ายอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ซึ่งรัฐบาลกัดดาฟี่กระทำต่อกลุ่มผู้ประท้วง ท่าทีของคณะมนตรีความมั่นคงต่อประเทศลิเบียแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้และท้าทายความพยายามของเราที่จะนำรัฐบาลไทยเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในกรณีของเหตุการณ์สังหารประชาชนในเดือนเมษายนและพฤษภาคม ปี 2553
องค์กรฮิวแมนไรต์วอซซ์ระบุว่า การนำคดีลิเบียขึ้นสู่ศาลอาญาระหว่างประเทศเป็นการส่งข้อสัญญาณชัดเจนต่อผู้นำเผด็จการในภูมิภาคดังกล่าว “ประชาคมโลกจะไม่อดทนต่อการปราบปรามที่เลวทรามต่อการชุมนุมที่สงบอีกต่อไป” ซึ่งเป็นสัญญาณที่เราเคยหวังว่าประชาคมโลกจะมีต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเอปีที่แล้ว แน่นอนคำร้องที่เรายื่นต่อศาลอาญาระหว่างประเทศเมื่อหกอาทิตย์ที่แล้วก่อให้เกิดการอภิปรายถึงความเป็นไปได้ที่คณะมนตรีความมั่นคงจะหยิกยกประเด็นดังกล่าวขึ้นมา ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์ประกอบของอำนาจการพิจารณาคดีศาล การที่ประเทศไทยไม่ได้ให้สัตยาบันต่อบทบัญญัติศาลอาญาระหว่างประเทศไม่ได้เป็นเครื่องการันตีว่าผู้นำไทยจะรอดพ้นจากการดำเนินคดีของอัยการศาลอาญาระหว่างประเทศ รัฐบาลไทยรอดพ้นจากควารับผิดตราบเท่าที่คณะมนตีความมั่นคงหันไปสนใจเรื่องอื่นอยู่
การที่คณะมนตรีความมั่นคงมีอำนาจที่จะร้องทุกข์ต่อศาลอาญาระหว่างประเทศในกรณีของประเทศไทยไม่ได้หมายความว่าเขาควรจะทำหรือจะทำเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างของสถานการณ์ในลิเบียและไทยนั้นเป็นเพียงเรื่องความร้ายแรง แต่ไม่ใช่ประเภทของเหตุการณ์ แน่นอนที่สุดว่ากองทัพไทยไม่ได้ใช้เครื่องบินทิ้งทุ่นระเบิดใส่ประชาชนเหมือนที่รัฐบาลกัดดาฟี่ทำ แต่ “เขตใช้กระสุนจริง” การลอบสังหาร และการใช้พลซุ่มยิงของรัฐบาลไทยก็เป็นสิ่งที่รับไม่ได้ตามมาตรฐานการควบคุมฝูงชน นอกจากนี้ แม้สมมุติว่าว่า มีการยอมรับว่าคนเสื้อแดงเป็นคนก่อจลาจลและทำลายอาคารในเหตุการณ์เมื่อปีที่แล้ว (ซึ่งเป็นเรื่องที่เราไม่ยอมรับว่าเป็นความจริง) แต่การกระทำนี้ดูจืดชืดไปถนัดตาเมื่อเทียบกับการชุมนุมโดยใช้อาวุธของกลุ่มผู้ประท้วงในลิเบีย
เราควรกล่าวด้วยว่าการแสดงละครทุกฉากและการตอบโต้ต่อประชาคมโลกของกัดดาฟี่นั้นเหมือนกับสิ่งที่รัฐบาลไทยกระทำทุกอย่าง แม้จะมีหลักฐานที่ระบุตรงข้ามกับสิ่งที่เขาพูด แต่กัดดาฟี่ยังอ้างว่า “ประชาชนทุกคน” รักเขา และระบุว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นเข้าหน้าที่ต่างชาติ ผู้ก่อการร้าย ม๊อบที่ถูกจ้างมา และเป็นเยาวชนที่ถูกล่อลวงให้หลงผิดในความคิดประหลาด หรือใช้สารเสพติดหลอนประสาท เมื่อถูกสื่อต่างชาติถามด้วยคำถามยากๆ กัดดาฟี่จ้างโฆษกที่พูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วเพื่อจะประณามอคติของหนังสือพิมพ์ต่างชาติ และยังพูดอย่างซ้ำซากว่าคนต่างชาติไม่เข้าใจลิเบีย พูดอีกนัยหนึ่งคือ รัฐบาลลิเบิยกำลังขายนิยายเรื่องเดียวกับที่รัฐบาลไทยพยายามเร่ขายมาได้ระยะหนึ่งแล้ว สิ่งที่แตกต่างคือ ตอนนี้ ไม่มีใครเชื่อเรื่องดังกล่าวแล้ว ปัญหาคือ ขณะที่กัดดาฟี่เพิ่งจะสร้างนิยายและสร้างความเห็นใจต่อต่างชาติเมื่อไม่กี่ปีมานี้ แต่รัฐไทยกลับสร้างและกลายเป็นผู้เชี่ยวชาติในศิลปะดังกล่าวมาหลายสิบปีแล้ว
เนื่องจากระดับของความรุนแรงในไทย ความเป็นไปได้ที่คณะมนตรีความมั่นคงจะหยิบยกกรณีประเทศไทยต่อศาลอาญาระหว่างประเทศจึงห่างไกล เพราะในลิเบียนั้น จำนวนประชาชนที่ถูกสังหารอาจมีราวหลายพันราย ศาลอาญาระหว่างประเทศไม่เคยรับพิจารณากรณีความรุนแรงของรัฐที่จำนวนผู้เสียชีวิตน้อยกล่าวพันราย แลอีกกรณีหนึ่งคือ คณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติมีสมาชิกถาวรสองประเทศ ที่รัฐบาลของประเทศนั้นไม่ลังเลที่จะสังหารฝ่ายตรงข้ามนับน้อยเพื่อจะอยู่ในอำนาจหากจำเป็น
เรารับทราบเรื่องเหล่านี้ก่อนที่จะยื่นคำร้อง และนั้นคือสาเหตุที่เรายกประเด็นที่เป็นอีกตัวเลือกหนึ่ง (การที่นายมาร์ค อภิสิทธิ์เป็นพลเมืองอังกฤษ) ขององค์ประกอบพื้นฐาน ที่ศาลอาญาระหว่างประเทศอาจจะรับพิจารณาคดีโดยไม่ต้องได้รับคำร้องทุกข์จากคณะมนตรีความมั่นคง อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าศาลอาญาระหว่างประเทศจะรับพิจารณาคดีหรือไม่ แต่หนทางการพยายามกดดันให้ผู้นำไทยรับผิดผ่านประชาคมโลกเป็นหนทางที่คุ้มค้า เพราะ ประการแรกคือ เมื่อพิจารณาประวัติศาสตร์อันยาวนานของประเทศไทยที่เจ้าหน้าที่รัฐมักได้รับการละเว้นความผิดต่อการสังหารหมู่ในแบบเดียวกัน และในปัจจุบันมีการพยายามเปลี่ยนดำให้เป็นขาว ศาลอาญาระหว่างประเทศจึงยังเป็นความหวังที่ดีที่สุดที่จะนำตัวเหล่านายพลและตำรวจเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แล ประการที่สองคือ ความลังเลที่จะเรียกร้องความจริงความไม่เต็มใจและกระตือรือร้นที่จะทำการสอบสวนเหตุการณ์ของสื่อไทย  และ(ในกรณีของสื่อภาษาอังกฤษ) ยังพยายามปกป้องประเพณีการละเว้นโทษ ซึ่งมันเป็นเรื่องสำคัญากที่จะรวบรวมหลักฐานเพื่อโต้แย้งเรื่องโกหกของรัฐบาลและเปิดเผยความว่างเปล่าของสัญญาเรื่อง “การปรองดองสมานฉันท์” หากคอลัมน์ “the world’s window to Thailand” (หน้าต่างโลกสู่ประเทศไทย) เป็นคติของหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์แล้วล่ะก็ โลกน่าจะต้องการหน้าต่างใบใหม่ เพราะสื่อนี้มักจะกระจายการโฆษณาประชาสัมพันธ์จากรัฐบาล กระตุ้นความรุนแรง ยกย่องการสังหาร และสนับสนุนประเพณีการละเว้นความผิด ปกป้องนโยบายการลิดรอนเสรีภาพสื่อ หรือเพ้อฝันถึงระบอบเทวาธิปไตยเป็นประจำ
การจะหยุดยั้งประเพณีการละเว้นความผิดในประเทศไทยหรือที่ไหนก็ตามเป็นเรื่องยาก  อย่างไรก็ตาม การเรียกร้องหาความเป็นธรรมของคนเสื้อแดง เปิดโอกาสให้ประชาคมโลกส่งสารที่ชัดเจนว่าการที่รัฐหลายรัฐสังหารประชาชนจำนวนปานกลางเพื่อจะปกป้องอำนาจเบ็ดเสร็จนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่รับไม่ได้เช่นเดียวกับการสังหารประชาชนจำนวนมาก ท้ายที่สุดแล้ว หากเผด็จการเชื่อว่าประชาคมโลกจะบังคับให้เขาต้องรับผิดแม้มีการสังหารประชาชนหลักสิบก็ตาม ความคาดหวังหวังในการรับผิดอาจเพิ่มขึ้น และนำไปสู่การลดจำนวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยและมีคนตายรวมกันจนถึงหลักพัน

ศาสดาลิ้มคุ้มคลั่งสั่งปฏิวัติแล้วฆ่ามันให้หมด

http://thaienews.blogspot.com/2011/03/blog-post_8725.html


เสียดายที่ผมเป็นแค่ลูกเจ๊กลูกจีน ถ้าผมเป็นทหารคุมกำลังในมือซัก 1 กองพลผมจะทำปฏิวัติรัฐประหารมันเดี๋ยวนี้เลย เพราะแผ่นดินมันสกปรก มีแต่สัตว์นรกเลื้อยกันยั้วเยี้ยๆเต็มแผ่นดินไทย ถึงเวลาต้องล้างชาติบ้านเมือง เพื่อขับไล่คนชั่วออกไป เอาคนดีขึ้นมาปกครองบ้านเมือง พวกคนชั่วฆ่ามันให้ตายหมดเลย(เสียงปรบมือพันธมิตรลั่น)-สนธิ ลิ้มฯ


โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
8 มีนาคม 2554

เมื่อค่ำวันที่ 7 มี.ค.นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ได้ขึ้นกล่าวปราศรัยที่เวทีสะพานมัฆวานฯ โดยกล่าวตอนหนึ่ง ว่า วันนี้นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ ภรรยาของนายแพทย์เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช.ได้เดินทางไปจังหวัดลพบุรี โดยมีทหารเสื้อแดงไปร่วมชุมนุมด้วย และบอกว่าให้ระวังการรัฐประหารนั้น ผมอยากฝากบอกนางธิดาว่า น่าเสียดายที่ผมเป็นเพียงลูกเจ๊กลูกจีนคนหนึ่ง ถ้าผมเป็นทหารที่คุมกำลังแค่ 1 กองพลจะปฏิวัติเดี๋ยวนี้เลย เพราะแผ่นดินสกปรกมาก มีแต่สัตว์นรกเลื้อยยั้วเยี้ยเต็มแผ่นดิน ถึงเวลาแล้วที่จะต้องล้างบ้านล้างเมือง เอาคนดีมาปกครอง เอาคนชั่วออกไปให้หมด พวกคนชั่วฆ่ามันให้ตายหมดเลย(เสียงปรบมือพันธมิตรลั่น)

นายสนธิกล่าวปราศรัยว่า อยากจะเตือนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีว่า ที่ได้ฉายาดื้อตาใส ดื้อทุกเรื่อง ทั้งเอ็มโอยู 43 และเรื่องอื่นๆ นั้น ยังมีคนที่ดื้อตัวพ่อ หรือเป็นปรมาจารย์ดื้อ คือ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ อีกคน ซึ่งตนมีความเชื่อใจในตัว พล.ต.จำลองมาตลอด ไม่ว่ากรณีใดๆ เพราะต่างก็เอาธรรมนำหน้าเช่นกัน

นายสนธิ กล่าวต่อว่า วันนี้มีคนที่ใช้ชื่อว่าท่านจันทร์เขียนคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ตำหนิว่าในที่สุด พล.ต.จำลองกับตนต้องแตกกัน ก็อยากจะบอกให้ฟังว่า ความผูกพันของคนนั้นมีหลายลักษณะ อาจจะผูกพันทางสายเลือด เป็นพี่น้อง เป็นญาติกัน หรือเป็นเพื่อนกัน เรียนรุ่นดียวกัน กับความผูกพันทางใจจากการที่เคยช่วยเหลือกัน เคยร่วมต่อสู้กับความยากลำบากมาด้วยกัน ซึ่งความผูกพันทางใจนี้สำคัญที่สุด เพราะใจต้องมีหลักการเดียวกันจึงจะผูกพันกันได้นาน

นายสนธิ กล่าวว่า ตนกับ พล.ต.จำลองผูกพันกันมาตลอด ตั้งแต่สมัยที่ พล.ต.จำลองเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ตนเป็น บก.หนังสือพิมพ์ เรื่อยมาจน พล.ต.จำลองลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯ กทม. แม้ไม่เคยเจอกันแต่ใจถึงกัน ไม่เคยห่างเหิน เพราะตนรู้ว่า พล.ต.จำลองไม่ว่าอยู่ที่ไหนสิ่งที่กำกับไว้ในใจเสมอคือความซื่อสัตย์สุจริตและทำงานเพื่อส่วนรวม ไม่เคยคิดอะไรเพื่อส่วนตัวแม้แต่นิดเดียว พล.ต.จำลองเป็นคนเกรงใจคน แต่ถ้าถึงเวลาที่จะต้องพูดก็ไม่ยอมใครโดยจะเอาธรรมนำหน้า พล.ต.จำลองจึงเป็นคนมีอุดมการณ์ มีหลักการ ด้วยเหตุนี้ ถึงไม่ได้เจอ พล.ต.จำลอง แต่ พล.ต.จำลองก็ยังอยู่ในทุกอณูของพวกเรา ขอเพียงให้มีธรรม เราก็อยู่ด้วยกันได้ ดังนั้น ตามข้อเขียนของคนที่ใช้ชื่อว่าท่านจันทร์ นั้น ขอให้รู้ว่า วันไหนที่ตนไม่มีธรรม หรือวันไหนที่ พล.ต.จำลองไม่มีธรรมนั่นแหละตนจึงจะแตกแยกกับ พล.ต.จำลอง เพราะเรามีธรรมเป็นตัวเชื่อม และคนที่มาชุมนุมอยู่ที่นี่ก็มีธรรมกันทุกคน

นายสนธิกล่าวต่อว่า วันนี้ นายชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย ได้เล่าให้ฟังว่า จากการเดินดูพี่น้องที่มาชุมนุมเมื่อช่วงบ่าย ได้พบกับพี่น้องชาวใต้คนหนึ่งบอกว่าได้ลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์แล้ว แต่ปรากฏว่ามีจดหมายจากนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ส่งมาบอกว่า ยังเชื่อมั่นนายอภิสิทธิ์อยู่ และบอกว่าอย่าไปเชื่อเรื่องที่นายอภิสิทธิ์ถูกใส่ร้ายป้ายสี ซึ่งตนเห็นว่า ถ้านายชวนเขียนจดหมายมาอย่างนี้ กาลดับขันธ์ของพรรคประชาธิปัตย์ก็ใกล้เข้ามาแล้ว เมื่อไหร่ก็ตามที่คนเอาอัตตามาแบกเอาไว้ แล้วเลือกพรรคตัวเองเหนือชาติบ้านเมือง เมื่อนั้นก็ถึงวันพินาศฉิบหายของพรรคการเมืองนั้น

นายสนธิกล่าวต่อว่า ใครก็ตามที่เข้าใจหลักไตรลักษณ์ หรือความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ย่อมจะรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไม่อยู่กับที่ นายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ล้วนอนิจจังทั้งสิ้น วันข้างหน้าถ้าอนิจจังเกิดกับนายอภิสิทธิ์ แล้วเขาไม่มีแม้แผ่นดินจะอยู่ เพราะได้พิสูจน์แล้วว่าเขาทำให้เสียดินแดน ต้องไปอยู่เมืองนอกตามสัญชาติที่เขาปกปิดมานานแล้ว ถึงวันนั้นนายชวนจะว่าอย่างไรกับจดหมายที่เขียนว่าอย่าไปเชื่อเรื่องที่นายอภิสิทธิ์ถูกใส่ร้าย นายชวนต้องรับผิดชอบคำพูดนี้ ตนพูดตลอดว่าเมื่อใครก็ตามที่เข้ามาเล่นการเมืองเพื่อชาติเพื่อประชาชน แล้วดันบอกว่า มติพรรคสำคัญกว่าชาติ ประเทศไทยก็ถึงจุดจบแล้ว เราพึ่งไม่ได้แล้ว

“ผมเชื่อว่าพี่ลอง(พล.ต.จำลอง)นั้นไม่ต้องการให้พวกเราแตกตื่น หรือตระหนกตกใจ ผมเชื่อ และอ่านความคิดพี่ลองออก ตำรวจอยากสลายก็มาสลายเลย สลายวันนี้ วันพรุ่งนี้มาใหม่ สลายวันพรุ่งนี้ วันมะรืนนี้มาใหม่ เพราะฉะนั้นแล้ว พี่น้องจะเห็นได้ชัดว่า ความดื้อของใครมากกว่า หรือใครดื้อตัวพ่อกันแน่”นายสนธิกล่าว

อย่างไรก็ตาม นายสนธิ กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับนายอภิสิทธิ์ก็มีข้อดีอยู่ ตรงที่ได้มีการแยกแยะกันอย่างเด่นชัดว่าใครคือมารที่แท้จริง ใครคือมารที่แอบแฝง ใครคือคนที่ใช้ธรรมนำหน้า ถ้าไม่มีนายอภิสิทธิ์ก็คงจะมีการห้อยโหนพวกเราอยู่ตลอด ปีนี้เป็นปีแห่งการแยกแยะน้ำดีออกจากนำเสีย เรากรองน้ำดีออกมา ส่วนน้ำที่มีสิ่งโสโครกก็แยกออกไปไว้ต่างหาก ซึ่งไม่ใช่เฉพาะคนที่มาฟังการปราศรัยแต่รวมถึงคนทุกวงการ

ก่อนหน้านี้ใครจะไปรู้ว่า ทหารไทยเองก็มีทหารกุนเชียง ใครจะรู้ว่าทหารไทยมีเมียน้อย 4 คนทำมาหากินกับเขมร วันนี้ตนไม่เห็น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายสุเทพ เทือกสุบรรณ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกษิต ภิรมย์ รวมถึงนายศิริโชค โสภา กล้าออกมาพูดสักคำว่า ไทยยังไม่เสียดินแดน เพราะวันนี้ความจริงปรากฏมากเกินกว่าที่จะสงสัยอีกแล้วว่าประเทศไทยเสียดินแดนหรือยัง และคนพวกนี้เมื่อก่อนเคยท่องว่าเรายังไม่เสียดินแดน วัดแก้วฯ เป็นของไทย ทหารไทยยังยึดครองอยู่ แต่วันนี้เงียบเป็นเป่าสาก วันนี้เราแยกแยะได้หมด ทหารดีทหารเลว เห็นชัด ประชาชนที่หลงใหลนายกฯ หัวถุงยาง แม้แต่นักสื่อสารมวลชนบางคนที่เคยห้อยโหนเรา นักนำมวลชนที่เคยขึ้นเวทีห้อยโหนเรา วันนี้ก็พิสูจน์ชัด

นายสนธิ กล่าวในตอนท่านว่า วันนี้มารดาของนายวีระ สมความคิด ได้ให้คนมาพบตนเพื่อถามว่าจะช่วยนายวีระให้ออกจากคุกของกัมพูชาได้อย่างไรบ้าง ตนจึงบอกว่า ตนไม่มีอำนาจอะไรทั้งสิ้นที่จะช่วยได้ คนที่จะช่วยได้คือคนที่มีอำนาจรัฐ จึงฝากบอกไปว่า เขาจะให้ทำอะไรก็ทำไปเถอะ ขอให้นายวีระ ละนางสาวราตรี พิพัฒนาไพบูลย์ ได้ออกมาก่อน ไม่ต้องกลัว ให้เซ็นอะไรก็เซ็นไปก่อน พี่น้องคนรักชาติรักแผ่นดินเข้าใจนายวีระและนางสาวราตรี วันนี้ วัตถุประสงค์คือออกมาให้ได้ก่อน ไม่มีใครตำหนิ หรือว่ากล่าวใดๆ ทั้งสิ้น เราเข้าใจดี ขอให้ออกมาก่อน


*******

จดหมายรักจากสมณะจันทเสฏโฐ (ท่านจันทร์) ถึงพล.ต.จำลอง ศรีเมือง:ฟันธงเลยว่า ต่อไปโยมก็จะแตกคอกับคุณสนธิ แบบเดียวกับที่แตกคอกับคุณทักษิณ 

จากสมณะจันทเสฏโฐ (ท่านจันทร์)ถึง พลตรีจำลอง ศรีเมือง

จาก สวนบุญสามบ่อ จ.อ่างทอง
27 กุมภาพันธ์ 2554
เขียนที่ สวนบุญสามบ่อ อ่างทอง
เจริญธรรมพลตรีจำลอง
สิ่งที่ส่งมาด้วย เงินบริจาค


วันนี้อาตมาเดินออกบิณฑบาต โยมคนหนึ่งฝากเงินทำบุญมาให้ จึงขอส่งต่อมาถึงโยมจำลองด้วย

... โปรดสบายใจกับความรู้สึกของอาตมาได้เลย อาตมาแยกแยะได้ ความคิดเห็นต่างกัน แต่ความสัมพันธ์ยังเหมือนเดิม โยมมีความดีหลายอย่าง อาตมาระลึกถึงเสมอ ขอให้เราได้ร่วมงานกันในเรื่องที่ร่วมกันได้ในอนาคตเถอะนะ เพียงขอให้โยมเพิ่มปรโตโฆสะ และกัลยาณมิตรมากกว่านี้ด้วยเถิด โปรดลดท่าทีแบบทหารกับทุกคนแม้กระทั่งกับอาตมา การโทรถึงแล้วตัดสายปล่อยอาตมาพูดคนเดียวเป็นนิสัยไม่ดีและไม่ควรมากๆ โยมควรมีคำถามให้มากกว่าคำตอบจะเป็นการดีมาก อาตมามีส่วนไม่ดี แบบเดียวกับโยมอยู่ด้วยจึงเห็นโยม โดยที่อาตมามักมีความเป็นนักกวีและนักรบอยู่ในคนเดียวกันเลย คือมีความอ่อนโยน และมีความเมตตาแบบสุดๆ (สุดขั้ว ) เหมือนที่โยมเมตตา ASTV อยู่บัดนี้แหละ เป็นความเมตตาเกินประมาณ ไม่ต่างจากที่โยมเคยเมตตาคุณทักษิณ เมตตาแบบเอาอัตตาเป็นที่ตั้ง จึงมักผิดพลาดภายหลังเนืองๆ

... ฟันธงเลยว่า ต่อไปโยมก็จะแตกคอกับคุณสนธิ แบบเดียวกับที่แตกคอกับคุณทักษิณ เว้นแต่ว่าโยมจะต้องเพิ่มระยะห่างคุณสนธิให้มากกว่านี้ อาตมาเป็นพระจันทร์ที่มีความเป็นพระอาทิตย์เช่นเดียวกับโยม คนใกล้จะร้อน คนไกลจะหนาว โยมกับอาตมามักขาดกัลยาณมิตรที่กล้าชี้โทษแบบตรงๆ แต่อาตมาดีกว่าโยมตรงที่อาตมาเพิ่มปรโตโฆสะทุกวัน และอาตมาเคารพพ่อท่าน และหมู่กลุ่มมาก แม้ไม่เห็นด้วย ก็ช่วยงานพ่อท่านและหมู่กลุ่มได้สบายๆ

ขอโทษด้วยที่อาตมาเขียนคำแรงๆ ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ไทยโพสต์ ยอมรับว่าอาตมาแรงไป ก็เหมือนโยมจำลองแหละ อ่อนก็อ่อนไป แข็งก็แข็งไปไม่พอดี อาตมาต้องขอโทษความไม่พอดีของตนเองกับผู้อื่นเสมอ โยมเคยสำนึกและขอโทษคนอื่นในเรื่องนี้บ้างไหม

อาตมาเขียนจดหมายนี้ด้วยแสงตะเกียงในกระท่อมกลางทุ่ง ดีใจจังเลยที่โยมห้ามขึ้นเวทีพันธมิตรฯ

สมณะจันทเสฏโฐ (ท่านจันทร์)