ประธานกก.สิทธิกรี๊ดใครไม่พอใจให้มาถอดถอนเลย จัดไปท่านใดอยากรับคำท้าเชิญโหลดแบบฟอร์มด่วน | |
โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์ 22 กรกฎาคม 2554 ประธานกก.สิทธิท้าหากเห็นว่าผิดจะให้ลาออกหรือถอดถอนก็เชิญตามกฎหมาย นางอมรา พงศ์ศาพิชญ์ ประธานกสม. และนพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการกสม. ร่วมกันแถลงข่าวชี้แจงกรณีรายงานการเสียชีวิตของทหาร ตำรวจและประชาชนจำนวน 91 ศพจากเหตุการณ์ชุมนุมก่อความไม่สงบรั่วไปยังสื่อมวลชน ว่า กสม.ยืนยันว่ารายงานฉบับดังกล่าวเป็นเพียงผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น ของคณะทำงานที่ยังไม่ผ่านความเห็นจากคณะอนุกรรมการสอบข้อเท็จจริงฯ ซึ่งข้อมูลที่ปรากฏตามสื่อมวลชนเป็นข้อเท็จจริงที่ค่อนข้างสมบูรณ์ แต่ยังไม่ผ่านการตรวจสอบและกสม.ทั้ง 7 คนมีความเห็นตรงกันว่า ยังจำเป็นต้องแก้ไขในบางส่วน โดยเฉพาะวิธีการนำเสนอ นอกจากนี้หากกสม.วิเคราะห์ว่ายังต้องการค้นหาข้อเท็จจริงเพิ่มก็จะต้องทำงานกันต่อไป เบื้องต้นจะมีการประชุมกันทุกวันพุธของสัปดาห์ และจะรายงานความคืบหน้าการตรวจสอบทุก 1 เดือน นางอมรา กล่าวอีกว่า อยากขอแสดงความเสียใจที่ทำให้เกิดความสับสน และไม่แน่ใจในการทำงานของกสม. แต่อยากขอให้มั่นใจในการทำงานโดยเฉพาะเกณฑ์ในการคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นผู้มีชื่อเสียง และเป็นที่ยอมรับ เนื่องจากเป็นผู้ที่เข้าใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามสาเหตุที่ทำให้การทำรายงานเผยแพร่สู่สาธารณชนให้รับทราบเป็นไปอย่างล่าช้า ส่วนหนึ่งเกิดจากพยานหลักฐานมีเป็นจำนวนมากในหลายเหตุการณ์ พยานให้การไม่ตรงกัน จึงต้องนำข้อมูลมาวิเคราะห์อย่างละเอียด “ หากสังคมเห็นว่า กสม.มีความบกพร่องในการทำงาน ก็พร้อมรับผิดชอบ จะให้ลาออกหรือถอดถอนก็พร้อม ขอให้ดำเนินการไปตามขั้นตอนของกฎหมายได้ ยอมรับว่ากสม.มีความขัดแย้งทางความคิดกันภายในองค์กร ซึ่งทุกองค์กรก็เป็นแบบนี้ และที่ไหนๆก็มีความขัดแย้ง แต่จะพยายามไม่ให้ความขัดแย้งส่งผลกระทบต่อรายงาน เบื้องต้นการทำงานของกสม.จะต้องมีการปรับปรุง”นางอมรากล่าว นางอมรา ยังกล่าวอีกว่า แม้จะมีการเปลี่ยนรัฐบาลก็จะมาส่งผลกระทบต่อรายงาน ทั้งนี้รายงานของกสม.อาจจะมีความแตกต่างในรายละเอียดของการสอบสวนข้อเท็จจริง เนื่องจากเป็นคณะทำงานคนละชุด และมีเป้าหมายการทำงานแตกต่างกัน คปอ.ตรวจสอบเพื่อสร้างความปรองดอง ขณะที่กสม.ตรวจสอบว่ามีพฤติการณ์และเหตุการณ์ใดบ้างที่เป็นการละเมิดสิทธิเพื่อให้ประชาชนได้เรียนรู้ และให้รัฐบาลหาทางป้องกันเพื่อมิให้เกิดการละเมิดสิทธิ์ได้อีก ส่วนการที่เอ็นจีโอต้องการให้กสม.ตรวจสอบให้พบตัวผู้กระทำความผิดนั้น ขอชี้แจงว่ากสม.มีอำนาจและศักยภาพเข้าไม่ถึงข้อมูลเหมือนกับดีเอสไอหรือตำรวจ เราตรวจสอบได้เพียงว่า มีการกระทำที่เป็นการละเมิดสิทธิหรือไม่ น.พ.นิรันดร์ กล่าวว่า ขณะนี้กสม.กำลังตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงว่ามีเอกสารหลุดออกไปได้อย่างไร ส่วนข้อกังวลเกี่ยวกับการแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิยืนยันว่า เป็นการแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิจากรายชื่อในรายการของคณะกรรมการสิทธิ์ที่ทำงานอยู่ในชุดต่างๆอยู่แล้ว กสม.ไม่ใช่องค์กรปิดบังข้อมูลข่าวสาร แต่เราต้องระวังข้อมูลที่ระบุถึงตัวบุคคล การทำงานล่าช้าส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากปัจจัยภายนอก แม้ว่ากสม.จะมีอำนาจสั่งให้หน่วยงานหรือบุคคลส่งข้อมูล พยานเอกสาร หรือเข้าให้ปากคำ แต่ในทางปฏิบัติหลายหน่วยงานพยายามเตะถ่วงไม่ยอมส่งข้อมูลให้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัญหาความขัดแย้งภายในกสม.ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง โดยก่อนหน้าที่จะมีการแถลงข่าวในเวลา 11.30 น. ได้มีความพยายามแจ้งยกเลิกไปยังสื่อมวลชนต่างๆ ขณะที่อีกฝ่ายยังคงยืนยันว่าจะมีการแถลงข่าวของกสม.ตามกำหนดเวลาเดิม โดยนางอมราและนพ.นิรันดร์จะเป็นผู้แถลงข่าว นอกจากนี้ยังมีการประสานไปยังเอ็นจีโอกลุ่มจับตาและตรวจสอบกสม. ให้เข้าร่วมซักถามสาเหตุของความล่าช้าในการออกรายงาน พร้อมทั้งเรียกร้องให้กสม.แสดงความรับผิดชอบ และเปิดเผยข้อเท็จจริงต่อสาธารณะให้มากที่สุด แดงเดือด! ล่าชื่อถอดกรรมการสิทธิฯ เชิญโหลดแบบฟอร์ม เมื่อวันที่ 19 ก.ค.ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสี่แยกราชประสงค์ ในช่วงเย็นได้มีกลุ่มคนเสื้อแดงราว นำโดยนายนพพร นามเชียงใต้ นายนที สรวารี ได้ตั้งเวทีปราศรัยหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เพื่อจัดงานรำลึก 14 เดือน เหตุสลายชุมนุมที่แยกราชประสงค์ โดยมีการตั้งเต็นท์ล่ารายชื่อเพื่อถอดถอนคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งได้รับความสนใจจากคนเสื้อแดง นำบัตรประจำตัวประชาชนมาถ่ายเอกสารเพื่อเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก นายนพพร กล่าวว่า เป็นที่ปรากฏชัดแล้วว่าคณะกรรมการสิทธิฯ ของไทยชุดนี้ คือผู้พิทักษ์เฉพาะสิทธิของระบบราชการและกลุ่มอำมาตย์อย่างแท้จริงเห็นได้จากรายงานผลการสอบสวนกรณีทหารปราบปรามประชาชนด้วยอาวุธสงคราม กลับอ้างว่าไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าทหารหน่วยแม่นปืนกระทำ ทั้งที่หลักฐานมีมากมาย อยากถามคณะกรรมการสิทธิฯ ว่าหลักฐานจำนวนมากเผยแพร่ออกไปทั่วโลกทำไมไม่นำมาเป็นข้อมูลเห็นได้ว่าคณะกรรมการสิทธิฯที่มีนางอมรา พงศาพิชญ์ เป็นประธาน เป็นคณะกรรมการฯ ที่ปราศจากคุณธรรมไร้สำนึกในการปกป้องสิทธิของมนุษยชาติ หลายคนมีส่วนในการสนับสนุนรัฐประหารปี 49 กลุ่มคนเสื้อแดงจะล่าชื่อถอดถอนคณะกรรมการสิทธิฯชุดนี้เพื่อเสนอต่อประธานรัฐสภาต่อไป. คณะผู้รวบรวมรายชื่อแจ้งว่า เราต้องการ 50,000 รายชื่อ จะล่ารายชื่อจนกว่าจะครบ เชิญดาวน์โหลดแบบฟอร์มถอดถอนคณะกรรมการสิทธิฯตามลิ้งค์ http://www.mediafire.com/?98tl4if552cnt89 และในวันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคมนี้จะมีกิจกรรมครบ 5 เดือนจับกุมอ.สุรชัย แซ่ด่าน และ 3 ปีขังคุกนางสาวดารณี ชาญเชิงศิลปกุล (ดา ตอร์ปิโด)ที่เรือนจำกลางพิเศษกรุงเทพฯ ถนนงามวงศ์วาน เวลา16.00-21.00 ขอเชิญนำแบบฟอร์มถอดถอนพร้อมสำเนาบัตรประชาชนมาร่วมลงชื่อได้ หากท่านใดไม่สะดวกมางานให้กรอกแบบฟอร์ม พร้อมแนบสำเนาบัตรประชาชน และส่งเมล์มาที่คณะทำงานถอดถอนฯที่ mosquito_kae@hotmail.com | |
http://redusala.blogspot.com |
ดาวน์โหลดคลิ๊ปคนเสื้อแดง
วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
ผู้พันของขึ้นซัด ฮ.ตก เพราะนายโง่ทำผิดหลักนิรภัยการบิน ขู่ลุยมาร์คปล่อยฝรั่งยึดโบอิ้งหลู่พระบรมฯ | |
http://thaienews.blogspot.com/2011/07/blog-post_22.html นาวาอากาศตรี ชนินทร์ คล้ายคลึง เมื่อตอนมอบตัว และปฏิเสธข้อหาหมิ่นฯเบื้องสูง ลั่นถูกกลั่นแกล้งทางเฟซบุ๊ค (ภาพ:มติชนออนไลน์) โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์ 22 กรกฎาคม 2554 น.ต.ชนินทร์ คล้ายคลึง หัวหน้าฝ่ายกรมช่างทหารอากาศ ซึ่งเคยต้องหาคดีถูกกล่าวหาว่าใช้เฟซบุ๊คหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (รายละเอียดข่าว) เขียนลงในเฟซบุ๊คของเขาแสดงความเห็นในกรณีฮ.แบล็กฮอว์กตกตำหนิผู้บังคับบัญชาของทหารที่อาจเป็นต้นเหตุของเครื่องบินตก และกล่าวตำหนิรัฐบาลที่ปล่อยให้เยอรมันอายัดเครื่องบินของสมเด็จพระบรมฯ โดยประกาศว่าจะดำเนินคดีต่อนายอภิสิทธิ์ด้วย น.ต.ชนินทร์บอกว่า เขาเป็นนักบินพลเรือนของกองทัพอากาศ และเป็นวิศวกรบินทดสอบเครื่องบินต้นแบบกองทัพ ในฐานะคนไทยแล้ว ผมเสียใจกับการตายโดยไม่สมควรแก่เหตุครับ ทหารรับใช้นายมักสบายและได้ดีทุกคน ขอไว้อาลัยผูเสียชีวิตทุกคนจากฮ.ตกทุกท่าน ไม่ว่าท่านจะมีส่วนเกี่ยวข้องในการสังหารประชาชนเมื่อปีที่แล้วหรือไม่ เราทุกคนต่างถูกหลอกใช้เหมือน ๆกันครับ เขากล่าวว่าไม่อยากเห็นใครสะใจกับการตายในกรณีนี้ "รู้หรือไม่ว่านายทหารหนึ่ง คนกว่าจะจบได้ใช้งบประมาณเป็นล้านบาท ซึ่งส่วนนี้มาจากภาษีประชาชน จงอย่ายินดีในความตายโดยใช้อารมณ์ส่วนตัวครับ" สำหรับเหตุการณ์ฮ.ตกนั้นเขาให้ความเห็นว่า ตอบคำเดียวคือ นายสั่งเพื่อสร้างภาพ ขัดกับหลักนิรภัยการบินทุกประการ ผมไม่อยากด่าใครอีกในกรณี ฮ.แบล็คฮอว์คตก แต่มันเหลืออดแล้ว ไอ้ผู้บังคับบัญชาหน้าโง่ตัวไหนสั่งเครื่องขึ้นบิน ทั้งๆ ที่สภาพอากาศไม่สามารถบินได้โดยปลอดภัย ผิดหลักนิรภัยการบินชัดเจน อย่าอยากเอาหน้ามากนัก ตายไปแล้ว ยังมาตายซ้ำอีก ผิดซำ้ผิดซากส้นตีน ส่วนเรื่องเยอรมนีอายัดเครื่องบินสมเด็จพระบรมฯนั้น น.ต.ชนินทร์เปิดเผยว่า ภายในสัปดาห์หน้าผมจะไปแจ้งความดำเนินคดีอาญา มาตรา 157 ต่อ นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นการเบื้องต้นกรณีปล่อยปละละเลยให้เครื่องบินพระราชพาหนะถูกยึด และถ้าเข้าข่ายมาตรา 112 ผมจะแจ้งความดำเนินคดีต่อไปครับ รัฐบาลอภิสิทธิ์คือรัฐบาลที่ปล่อยให้มีการแจ้งความดำเนินคดีอาญามาตรา 112 โดยเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมืองโดยชัดเจน ไม่มียุคใด ที่คดี "ล้มเจ้า" จะมากมายถึงเพียงนี้ แต่ในทางกลับกันองค์รัชทายาทกลับถูกดูหมิ่นจากคนทั่วโลก จากการยึดเครื่องบิืนพระราชพาหนะ รัฐบาลนี้สมควรถูกตัดหัวหากเป็นโบราณราชประเพณี พระมหากษัตริย์ของปวงชนชาวไทย ต่อไปคือองค์รัชทายาท หากรัฐบาลอภิสิทธิ์ ซึ่งอ้างว่าจงรักภักดีและทำลายล้างผู้เห็นต่างด้วยข้อหา "ล้มเจ้า มาตรา 112" กลับปล่อยปละละเลย ให้พระราชพาหนะถูกยึด เหมือน รถยนต์ที่ถูกนักเลงไฟแนนซ์ยึดกลางสี่แยกไฟแดงอย่าบังอาจบอกว่า คนอื่นไม่จงรักภักดี พบ “แบล็กฮอว์ก” แล้ว เสียชีวิตทั้งหมด 9 ราย มีรายงานข่าวล่าสุดเข้ามาเมื่อเวลา 11.25 น.วันนี้ (22 ก.ค.) ว่า เจ้าหน้าที่ทหารชุดเดินเท้าที่เข้าไปค้นหาเครื่องบินแบล็กฮอว์ก ตกเมื่อวันที่ 19 ก.ค.ที่ผ่านมาสามารถเข้าไปถึงจุดที่ “แบล็กฮอว์ก” ตกแล้ว โดยเบื้องต้นคาดเสียชีวิตทั้งหมด 9 ราย โดยจุดตกอยู่ในฝั่งพม่าห่างจากจุดเกิดเหตุที่ ฮ.ฮิวอี้ตกลำแรกเมื่อวันที่ 16 ก.ค.ที่ผ่านมาไม่ไกลนัก มีรายงานข่าว ล่าสุดขณะนี้พบผู้เสียชีวิตแล้ว 1 ราย แต่ยังระบุไม่ได้ว่าเป็นใคร ต่อมาเวลา 12.06 น. พล.ท.อุดมเดช สีตบุตร แม่ทัพภาคที่ 1 เปิดแถลงข่าวสื่อมวลชน ที่ศูนย์การฝึกรบพิเศษแก่งกระจาน ยืนยันพลเดินพบเห็นซากแบล็กฮอว์กในระยะไกล สังเกตการณ์ด้วยสายตา และกล้องส่องทางไกล เห็นลำเฮลิคอปเตอร์บางส่วนไม่ยืนยันว่าเป็นการระเบิด แต่จากการรายงานพบเห็นมีร่างนอนนิ่งอยู่ด้านข้างแบล็กฮอว์ก 1 ร่าง ส่วนอีก 8 นายยังไม่พบเห็น คาดว่าพลเดินเท้าจะต้องใช้เวลานานกว่า 1 ชั่วโมงในการเดินลงไปยังจุดที่ ฮ.ตก เนื่องจากสภาพพื้นทีเป็นหุบเขาสูงชันและป่ารกชัฏ ขณะนี้ได้สั่งการให้พลเดินเท้าที่อยู่ใกล้เคียงทั้ง 15 ชุด เข้าไปสนับสนุนแล้ว ขณะเดียวกัน นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ได้ระดมกำลังพลเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าเร่งทำลานจอดเฮลิคอปเตอร์ชั่วคราวแห่งใหม่ที่บริเวณระดับความสูง 700 เตร จากระดับน้ำทะเล เพื่ออำนวยความสะดวกแล้ว เวลา 12.30 น. มีรายงานล่าสุดจากศูนย์ประสานงานกู้ภัยเฮลิคอปเตอร์ตก ซึ่งตั้งอยู่ที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ว่าได้รับแจ้งทางวิทยุสื่อสารจากพลเดินเท้าชุดลาดตระเวนที่ 92 ว่าเดินเท้าเข้าถึงจุดแบล็กฮอว์กตกแล้ว พบนักบินและลูกเรือเสียชีวิตทั้งหมด 9 ราย สภาพเครื่องแบล็กฮอว์กแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ จากการตกกระแทก แต่ไม่ระเบิด ทิศทางด้านหัวเครื่องหันไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ สภาพทั้ง 9 ศพไม่สมบูรณ์ แต่ไม่มีไฟไหม้ คาดว่าจะใช้เวลาลำเลียงศพโดยใช้วิธีเดินเท้าแบกต้องใช้เวลานาน ซึ่งขณะนี้ได้ประสานขอใช้เลื่อยยนต์และอุปกรณ์สนับสนุน พึ่งไสยศาสตร์ขอให้พบลูกน้อง-แบ็คฮอร์คที่สูญหาย เมื่อวานนี้ สำนักข่าวเนชั่น รายงานว่า เมื่อวานนี้ เวลา 12.20 น. ร.อ.จีรวัฒน์ สุนทรพรหม ผบ.ร้อยลาดตระเวนระยะไกลที่ 9 กองกำลังสุรสีห์ จุดธูปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เจ้าที่ เจ้าทาง เจ้าป่า เจ้าเขาที่บริเวณริมสนามเฮลิคอปเตอร์ ในค่ายฝึกรบพิเศษแก่งกระจาน ตำบลแก่งกระจาน อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี เพื่อขอให้ช่วยเปิดทางหากเครื่องบินแบ็คฮอว์กที่สูญหายให้เจอ และผู้ที่สูญหายไปกับเครื่องบินกลับมาด้วยความปลอดภัย ร.อ.จีรวัฒน์ สุนทรพรหม เผยว่าตนยังมีความหวังว่าลูกน้องของตนที่สูญหายไปกับเครื่องแบ็คฮอว์คยังมีชีวิตอยู่ รวมทั้งทุกคนที่อยู่ในเครื่องแบ็คฮอว์คด้วย ตนจึงได้มาจุดธูปไหว้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เจ้าที่ เจ้าทาง เจ้าป่า เจ้าเขา ให้ช่วยเปิดทางให้เจอเครื่องบินแบ็คฮอว์คพร้อมผู้สูญหายด้วย เพราะตนเองมีประสบการณ์ในตอนที่ไปปฎิบัติราชการที่ชายแดนภาคใต้ ลูกน้องถูกยิงเสียชีวิตหาศพสองวันไม่เจอ แต่พอจุดธูปขอเปิดทางก็เจอ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับเรื่องที่เครื่องแบ็คฮอว์คลำที่สูญหายไม่ได้ส่งสัญญาณแจ้งตำแหน่งเป็นเพราะเครื่องลำดังกล่าวไม่ได้ติดเครื่องส่งสัญญาณ ทำให้ไม่สามารถทราบตำแหน่งที่เครื่องตกได้ | |
http://redusala.blogspot.com |
What's Behind Thailand's Lèse Majesté Crackdown ? | |
Pornchai Kittiwongsakul /AFP/ Getty Last Friday, Thai police announced they had arrested Joe Gordon, 55, a.k.a. Lerpong Wichaikhammat, a U.S. citizen of Thai ethnicity, at his home in northeastern Thailand for allegedly posting a link on his blog in 2007 to the book The King Never Smiles, a critical and, some say, unfairly harsh biography of King Bhumibol Adulyadej. The book, by U.S. journalist Paul Handley, is banned in Thailand. Gordon faces anywhere from three to 15 years in prison if convicted. Thai authorities said Gordon also holds Thai citizenship and committed his alleged offense while living in Thailand. In Thailand it's often referred to, usually in hushed tones, as "the institution." In a land where the holy trinity consists of nation, religion and King, talking about the monarchy, except in terms of adulation, can be risky business. Political activists, university professors, webmasters and now even a U.S. citizen have found that out the hard way — arrested and charged with lèse majesté: insulting the King, Queen or heir to the throne. Handley's book aside, few royals have commanded as much reverence at home and respect abroad as King Bhumibol, who, with 64 years on the throne, is the world's longest-reigning monarch. Now 83 and ailing, King Bhumibol has earned genuine praise, admiration and love during the decades for over 4,000 development projects designed to help the poor, and for intervening on rare occasions to end bloodshed during civil conflicts. The monarchy, deeply entwined with the 700-year history of the Thai nation, has long been viewed as the sole unifying force in society. But whether the monarchy can retain that unifying role in a rapidly modernizing and increasingly fractious society has become a subject of quiet and careful debate in recent years as political turmoil has beset Thailand. Since the military brass ousted in 2006 the then Prime Minister, Thaksin Shinawatra, citing his alleged disloyalty to the monarchy as one reason for the power grab, the institution has been subjected to conflicts and controversies that King Bhumibol himself has studiously avoided during his reign. Government literature on Thailand will tell you that the King is above politics. No reliable information has been presented that proves otherwise. But like the monsoon-flooding waters of the Chao Phraya River — the River of Kings — that run through the country's rice basket and down past golden spires of the old Grand Palace in Bangkok, politics have inexorably been rising to the level of the throne. The evidence is in the explosion of lèse majesté charges filed against a wide and sometimes bewildering range of people. According to David Streckfuss, a Thailand history scholar who has written extensively on lèse majesté, before the 2006 coup there was an average of five lèse majesté cases each year. Since 2006, the courts have seen more than 400 cases. They have included a computer programmer who made obscene posts about the royals, an opposition political activist who called for the execution of the royal family, the webmaster of a political site who didn't delete negative comments posted by readers quickly enough, and a university professor who has written academic papers on reforming the monarchy. On occasion, foreigners and foreign journalists have also been slapped with lèse majesté charges. "At some point the number of cases is going to reach a tipping point where it will have a negative effect upon the institution itself and society," says Streckfuss. King Bhumibol himself made a similar point during a 2005 speech, when he said that such cases bring him trouble, and that he can, indeed, be criticized if he is doing wrong. He said: "If someone offers criticisms suggesting that the King is wrong, then I would like to be informed of their opinion. If I am not, that could be problematic ... If we hold that the King cannot be criticized or violated, then the King ends up in a difficult situation." No member of the royal family has ever filed a lèse majesté charge. They have always been filed by others, almost always with no connection to the palace, because the law allows anyone to file a lèse majesté complaint. Yet the position of the current Prime Minister, Abhisit Vejjajiva, is that the law does not need to be changed. The problem, he said, is that the law is being abused. To try to prevent that, he formed an advisory committee to review cases before going to trial and try to weed out those that are ill founded. Nonetheless, although some high-profile cases were dropped, the volume of cases is still high. Government spokesman Panitan Wattanayagorn told reporters earlier this year that one problem is that few policemen, prosecutors or judges are willing to throw out a lèse majesté complaint for fear of being accused of disloyalty. The government's political opponents say that Abhisit and the security establishment are using lèse majesté laws against them. In May 2010, the military dispersed antigovernment protesters, known as Red Shirts for the color they wear, who had occupied central Bangkok demanding new elections. As part of their justification for using force — 92 people died during the two-month standoff — security officials claimed the Red Shirts were engaged in a conspiracy against the monarchy. Last month, Jatuporn Promphan, a Red Shirt leader and member of parliament, was arrested on lèse majesté charges. While many, if not most, Red Shirts support the monarchy, an antimonarchy element does exist within the movement, and some, but not all, Red leaders have criticized that element. Most Red Shirts support Thaksin, who, along with other Red leaders, accused the King's chief privy councillor of involvement in the coup — which he denies. But the anger of some Reds has spread to disenchantment with the institution itself, and particularly with Queen Sirikit because in 2008 she attended the funeral a member of an anti-Thaksin protest group called the Yellow Shirts. The Reds and Yellows are bitter enemies. The charged political atmosphere has created a situation similar to the anti-Communist hysteria of the 1950s in the U.S. Lèse majesté charges are sometimes filed by those with vendettas wanting to tarnish the reputation of an enemy — either personal or political. Most troubling is the closing of space for serious and academic discourse on the role of the monarchy. Although The King Never Smiles is banned in Thailand, much of what it contains had already been written in Thai by Thai academics. They faced no censure for their work — until last month, when the Thai army filed charges against Somsak Jeamteerasakul, a university professor who had called for the monarchy's reform at a seminar. With Thailand in transition, such overzealousness on the part of some of the monarchy's defenders may chill honest and well-intentioned discourse, and therefore ultimately undermine the future of an institution that is still supported by the majority of Thais. That could pose problems for Crown Prince Vajiralongkorn, the heir to the throne, who has yet to win the level of the people's affection his father has earned and enjoys. Streckfuss says a number of possible solutions in the form of "braking mechanisms" on lèse majesté cases have been discussed by some academics. They include possibly requiring cases to be approved by the Bureau of the Royal Household before going to court, bringing the law in line with standard libel laws, as well as reducing sentences. "The problem with proposing reform is that anyone who proposes it also runs the risk of being accused of disloyalty — or actually being charged with lèse majesté," says Streckfuss. The challenge for Thailand's leaders is to find the courage to allow open, reasoned and respectful debate in order to preserve what they are so determined to defend. Read more: http://www.time.com/time/world/article/0,8599,2075233,00.html#ixzz1StGuWswh | |
http://redusala.blogspot.com |
TIME : อะไรอยู่เบื้องหลังการปราบปรามด้วยกฎหมายหมิ่นฯ | |
(ภาพประกอบบทความของTIME) โดย ROBERT HORN / BANGKOK ที่มา Time.com June 02, 2011 แปลไทยโดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์ อะไรอยู่เบื้องหลังของการกวาดล้างจับกุมภายใต้กฏหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในประเทศไทย ในประเทศไทยมักมีการอ้างอิงถึง,ด้วยน้ำเสียงเรียบๆ,ว่า"สถาบันฯ" ในดินแดนที่ซึ่งสิ่งสูงสุดสามประการประกอบไปด้วย ชาติ ศาสนา และ พระมหากษัตริย์ การพูดคุยเกี่ยวกับสถาบันฯ,นอกจากในแง่มุมของการเทิดพระเกียรติแล้ว,จะกลายเป็นเรื่องที่เสี่ยง นักกิจกรรมทางการเมือง,นักวิชาการมหาวิทยาลัย,เว็บมาสเตอร์ และงวดนี้มาถึงตัวประชาชนคนอเมริกันคนหนึ่ง ได้พบว่ามันเป็นเรื่องที่แย่มาเมื่อต้องถูกจับกุมตัวและถูกตั้งข้อหาด้วยกฏหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพซึ่งเป็นกฏหมายเกี่ยวกับการหมิ่นพระมหากษัตริย์ สมเด็จพระราชินี หรือผู้สืบทอดราชสบบัติ เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยได้แถลงว่าพวกเขาได้จับกุมตัวนายโจ กอร์ดอน, อายุ 55 ปี, หรืออีกนามหนึ่งว่า นายเลอพงศ์ (สงวนนามสกุล), คนอเมริกันคนหนึ่งซึ่งมีถิ่นกำเนิดที่ประเทศไทย, ที่บ้านของเขาในภาคอีสานของไทย ด้วยข้อหาระบุว่าได้โพสต์ลิงก์หนึ่งลิงก์บนเว็บบล็อกของเขาในปี 2007 ซึ่งเชื่อมโยงไปยังหนังสือที่ชื่อ The King Never Smiles, หนังสือที่มีเนื้อหาวิพากษ์เชิงลึกในขณะที่บางคนมองว่าเป็นการงานวิพากษ์ที่ไม่ยุติธรรมต่อพระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช หนังสือดังกล่าว,เขียนโดยนักเขียนที่ชื่อ Paul Handley,ถูกแบนในประเทศไทย นายกอร์ดอนถูกตั้งข้อหาที่หากถูกลงโทษต้องจำคุก 3 ถึง 15 ปี เจ้าหน้าที่ทางการไทยกล่าวว่านายกอร์ดอนยังได้ถือสัญชาติไทยและได้กระทำความผิดขณะที่อยู่ในประเทศไทย (อ่านเพิ่มเติมข้อหาหมิ่นเคสก่อนหน้านี้) หากไม่ดูจากมุมมองจากหนังสือของ Handley, มีราชวงศ์ไม่มากนักที่ได้รับความเคารพนับถืออย่างสูงในประเทศและต่างประเทศเช่นเดียวกับที่กษัตริย์ภูมิพลได้รับ พระองค์ทรงเถลิงราชสมบัติได้ 64 ปี และเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงครองราชย์นานที่สุด พระองค์ท่านขณะนี้ทรงเจริญพระชนมพรรษา 83 พรรษาและไม่ค่อยมีพระพลานามัยสมบูรณ์ กษัตริย์ภูมิพลได้รับความชื่นชมอย่างแท้จริง ได้รับความยกย่อง และความรัก ระหว่างทศวรรษที่ผ่านมาจากกว่า 4,000 โครงการในพระราชดำริที่ทรงตั้งขึ้นเพื่อแก้ไขช่วยเหลือคนยากจน รวมไปถึงการเข้าไปยับยั้ง,ซึ่งทรงกระทำจำนวนน้อยครั้งมาก,เพื่อที่จะหยุดการฆ่าล้างกันระหว่างความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในประเทศ สถาบันฯซึ่งผูกพันอย่างลึกซึ้งต่อประวัติของประเทศไทยกว่า 700 ปี ได้รับการมองว่าเป็นจุดศูนย์รวมของทุกภาคส่วนในสังคม แต่ไม่ว่าสถาบันฯจะสามารถดำรงการมีบทบาทในฐานะการรวมศูนย์ในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงทันสมัยอย่างรวดเร็วและมีความแตกแยกในสังคมเพิ่มขึ้นได้ สถาบันฯได้กลายมาเป็นหนึ่งในประเด็นที่ถูกนำมาดีเบตอย่างเงียบๆและระมัดระวังในปีที่ผ่านๆมาระหว่างความขัดแย้งทางการเมืองที่ได้รุมเร้าประเทศไทย นับตั้งแต่กองทัพได้ขับไล่อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร โดยอ้างว่าเขาไม่จงรักภักดีต่อสถาบันฯอันเป็นหนึ่งในข้อกล่าวหาเพื่อทำการเข้าควบคุมอำนาจ สถาบันฯได้ถูกนำมาเป็นหัวข้อของความขัดแย้งเมื่อ (เซ็นเซอร์) นักวิชาการไทยในฟากรัฐบาลจะบอกคุณว่าพระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือการเมือง ไม่มีข้อมูลที่น่าเชื่อถือพอที่จะแสดงพิสูจน์ว่าไม่เป็นเช่นนั้น แต่ก็เป็นเหมือนกับน้ำท่วมที่มากับฝนมรสุมในแม่น้ำเจ้าพระยา - แม่น้ำของกษัตริย์ทั้งหลาย - ที่ไหลผ่านในพื้นที่ลุ่มเพาะปลูกข้าวไปยังพื้นที่พระราชวังเก่าในกรุงเทพฯ... การเมืองได้ไหลท่วมขึ้นมาถึงระดับสถาบันฯแล้ว ข้อมูลและหลักฐานในกรณีการตั้งข้อหาอย่างกว้างขวางในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพต่อผู้คนจำนวนมาก อ้างจากนาย David Streckfuss นักวิชาการประวัติศาสตร์ประเทศไทยผู้ซึ่งได้เขียนบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับกรณีหมิ่นฯจำนวนมาก ก่อนการรัฐประหารปี 2006 มีเคสหมิ่นฯโดยเฉลี่ย 5 กรณีต่อปี นับตั้งแต่ปี2006 มีคดีผ่านศาลกว่า400กรณี ซึ่งรวมกรณีนักโปรแกรมเมอร์ผู้ซึ่งได้โพสต์ข้อความที่ไม่น่าดูเกี่ยวกับราชวงศ์, นักรณรงค์ทางการเมืองฝ่ายค้านผู้ซึ่งเรียกร้องให้มีการ (เซ็นเซอร์) royal family, เว็บมาสเตอร์ของเว็บการเมืองที่ไม่ได้ลบความเห็นเชิงลบที่โพสต์โดยผู้อ่านเร็วพอ และอาจารย์โพรเฟสเซอร์มหาลัยผู้ซึ่งได้เขียนบทความเชิงวิชาการที่ต้องการปฏิรูปสถาบันฯ ในหลายเหตุการณ์ ชาวต่างประเทศและผู้สื่อข่าวต่างประเทศก็ต้องเผชิญกับข้อหาหมิ่นฯด้วย "ที่จุดๆหนึ่ง จำนวนคดีกำลังเพิ่มไปถึงจุดที่สร้างผลลัพธ์ในทางลบต่อตัวสถาบันฯและสังคมเอง" นาย Streckfuss กล่าว กษัตริย์ภูมิพลได้ทรงยกเรื่องดังกล่าวในพระราชดำรัสตอนหนึ่งในปี 2005, เมื่อพระองค์ท่านทรงกล่าวว่าการกระทำดังกล่าวจะทำให้พระองค์ท่านเดือดร้อน และกล่าวว่าพระองค์ท่านสามารถ,จริงๆ,ถูกวิจารณ์ได้ถ้าท่านทำผิด พระองค์ท่านกล่าวว่า "ถ้าเขาบอกว่าวิจารณ์พระเจ้าอยู่หัวว่าผิด งั้นขอทราบว่าผิดตรงไหน ถ้าไม่ทราบ เดือดร้อน ... แต่เมื่อบอกว่า ไม่ให้วิจารณ์ ไม่ให้ละเมิด ไม่ได้เพราะรัฐธรรมนูญว่าอย่างนั้น ก็ลงท้าย ก็เลยพระมหากษัตริย์ก็เลยลำบากแย่" ไม่เคยปรากฏว่าสมาชิกราชวงศ์จะทรงฟ้องใครด้วยข้อหาหมิ่นฯ พวกเขาถูกฟ้องโดยบุคคลอื่น โดยเกือบจะทุกเคสกระทำโดยบุคคลอื่นที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับวัง, เพราะว่ากฏหมายเอื้อให้ใครก็ได้สามารถฟ้องหมิ่นสถาบันฯได้ กระนั้นก็ตามจุดยืนของนายกฯปัจจุบัน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็คือให้คงกฏหมายไว้โดยไม่ต้องมีการเปลี่ยนแปลง ปัญหาก็คือ, เขากล่าว, กฏหมายกำลังถูกบิดเบือน เพื่อที่จะป้องกันเหตุการณ์ดังกล่าวเขาได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อที่จะทบทวนกรณีต่างๆก่อนที่จะมีการขึ้นศาลและถอนคดีหากว่ากรณีดังกล่าวนั้นๆมีข้อมูลที่คลาดเคลื่อน แม้กระนั้นก็ตาม (หลายๆเคสที่ลิงก์กับเรื่องละเอียดอ่อนจะถูกถอน) จำนวนเคสก็ยังคงมากอยู่ดี นายปณิธาน วัฒนายากร โฆษกรัฐบาลได้บอกกับผู้สื่อข่าวก่อนหน้านี้ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจและศาลจำนวนน้อยมากที่ต้องการจะจำหน่ายคดีเพราะเกรงข้อครหาว่าจะถูกกล่าวหาว่าไม่จงรักภักดี ฝ่ายค้านกล่าวว่านายอภิสิทธิ์และพวกแม่ทัพอำมาตย์กำลังใช้กฏหมายหมิ่นฯเพื่อต่อต้านพวกเขา ในเดือนพฤษภาคม 2010, กองทัพได้สลายการชุมนุมของกลุ่มต่อต้านรัฐบาลในนามกลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งได้ยึดใจกลางเมืองหลวงกรุงเทพฯและเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งใหม่ ส่วนหนึ่งของการอ้างความชอบธรรมในการใช้กำลัง ซึ่งทำให้คน 92 คนต้องตายลงในช่วงสองเดือนของการเผชิญหน้า เจ้าหน้าที่อ้างว่าคนเสื้อแดงได้เกี่ยวข้องกับแผนการณ์ในการล้มสถาบันฯ เมื่อเดือนที่ผ่านมานายจตุพร พรหมพันธุ์ ผู้นำเสื้อแดงคนหนึ่งและเป็นสมาชิกสภาผู้แทนฯ ก็ถูกจับกุมด้วยข้อหาหมิ่นฯ ในขณะที่เสื้อแดงจำนวนมาก,แม้ไม่ใช่มากที่สุด,สนับสนุนระบอบกษัตริย์ กลุ่มคนที่ต่อต้านระบอบกษัตริย์ไม่ได้อยู่ภายใต้การเคลื่อนไหวดังกล่าว และแม้กระทั่งคนบางส่วน,แม้จะไม่ทั้งหมด,ของผู้นำเสื้อแดงก็ได้วิพากษ์ต่อกลุ่มชนกลุ่มดังกล่าว คนเสื้อแดงส่วนมากสนับสนุนทักษิณผู้ซึ่งเห็นตรงกับผู้นำเสื้อแดงคนอื่นๆที่ได้กล่าวหาว่าประธานองค์มนตรีของกษัตริย์มีความเกี่ยวข้องกับการทำรัฐประหาร - ซึ่ง(เปรม)เขาได้ปฏิเสธ แต่ความ(เซ็นเซอร์)ของคนเสื้อแดงบางคนได้แผ่กระจายไปยังสถาบันฯด้วยโดยเฉพาะสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถเพราะว่าในปี2008 พระองค์ท่านได้ทรงเข้าร่วมงานศพของผู้เข้าร่วมประท้วงต่อต้านนายกฯทักษิณซึ่งเป็นกลุ่มคนเสื้อเหลือง คนเสื้อแดงและเสื้อเหลืองเป็นศัตรูคู่แค้นกัน บรรยากาศทางการเมืองที่รุมเร้าได้ก่อให้เกิดสถานการณ์ที่มีความคล้ายคลึงกับกระแสคลั่งลัทธิต่อต้านคอมมิวนิสต์ในช่วงทศวรรษ 50 ในประเทศสหรัฐฯ ข้อกล่าวหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในบางครั้งก็ถูกใช้โดยคู่กรณีประสงค์เป็นเครื่องมือในการทำลายชื่อเสียงของศัตรู - ไม่ว่าจะเป็นทางส่วนบุคคลหรือทางการเมือง ปัญหาที่กวนใจที่สุดคือการไปปิดหนทางการถกเถียงอย่างจริงจังหรือในเชิงวิชาการต่อบทบาทของสถาบันฯ แม้ว่าหนังสือ The King Never Smiles จะถูกแบนในประเทศไทย เนื้อหาในหนังสือส่วนมากก็ถูกเขียนขึ้นในภาษาไทยโดยนักวิชาการไทยแล้ว พวกเขาไม่ต้องถูกเซ็นเซอร์ผลงานของเขา - จนกระทั่งเมื่อเดือนที่แล้ว เมื่อกองทัพไทยได้กล่าวโทษต่อนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล, อาจารย์โพรเฟสเซอร์มหาลัย, ผู้ซึ่งได้เรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันในงานสัมนาอันหนึ่ง ในช่วงเหตุการณ์การเปลี่ยนผ่านในประเทศไทย ความกระตือรือร้นที่เกินเหตุของกลุ่มผู้ปกป้องสถาบันบางส่วน อาจจะดูเหมือนเป็นการกระทำที่ซื่อตรงและมีเจตนาที่ดี แต่ผลลัพธ์ของการกระทำเช่นที่ว่าจะส่งผลบ่อนเซาะอนาคตของสถาบันอันหนึ่งซึ่งยังต้องได้รับการสนับสนุนจากคนไทยส่วนใหญ่ และนั่นก็อาจจะสร้างปัญหาให้กับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ สยามมกุฎราชกุมาร, ผู้สืบทอดพระราชสมบัติ ซึ่งยังคงต้องรักษาระดับความรักของปวงประชาชนเฉกเช่นที่มีต่อพระราชบิดา นาย Streckfuss ได้กล่าวถึงหนทางจำนวนหนึ่งในการสร้างกลไกการหยุดจำนวนคดีหมิ่นฯระหว่างวงนักวิชาการ พวกเขาได้กล่าวรวมถึง การที่คดีจำต้องผ่านการอนุมัติจากสำนักพระราชวังก่อนที่จะไปยังศาล เพื่อที่จะนำกฏหมายดังกล่าวไปอยู่ในระดับมาตรฐานของกฏหมายหมิ่นทั่วไป และลดจำนวนการจับกุมคุมขัง "ปัญหาในการนำเสนอการปฏิรูปดังกล่าวคือ ใครก็ตามที่เสนอจะต้องเสี่ยงต่อการถูกกล่าวหาว่าไม่จงรักภักดี - หรือจะโดนคดีหมิ่นฯซะเอง" นาย Streckfuss กล่าว งานท้าทายที่มีต่อผู้นำประเทศไทยคือการค้นหาความกล้าหาญในการที่จะเปิดประเด็นถกเถียงด้วยเหตุผลและเคารพ ในการที่จะดำรงค์สิ่งที่พวกเขาทั้งหลายต้องการที่จะปกป้อง. | |
http://redusala.blogspot.com |
จากเวปไซท์ กระทรวงการต่างประเทศ ..... จริงหรือเท็จ โปรดพิจารณา | |
RELATED SEARCH RESULTS
| |
http://redusala.blogspot.com |
Zahlt der Prinz oder zahlt er nicht? | |
| |
http://redusala.blogspot.com |
ขำ!สื่อเสี้ยมชักกระแด่ว ไม่ได้ดั่งใจยุมาร์คฟันไทยอีนิวส์ไม่ขึ้น ขืนบ้าจี้ตามสุรามหาราษฎร์จะพลอยซวย | |
โชคดีที่มาร์คไม่บ้าจี้-วันนี้สื่อกระแสหลักพยายามไล่จี้ให้อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ฟันไทยอีนิวส์ให้ได้โทษฐานพาดหัวข่าว"62ปีทักษิณมหาราษฎร์"หาว่าใช้คำพ้องเสียงเหิมเกริม แต่งานนี้มาร์คยุไม่ขึ้น เลยเป็นโชคดีของหนังสือพิมพ์มหาราษฎร์ และบริษัทสุรามหาราษฎร์เจ้าของน้ำเมาแม่โขงไป ไม่งั้นจะพลอยซวยโดนเล่นงานกันหมด โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์ 22 กรกฎาคม 2554 สื่อมวลชนได้ซักถามนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รักษาการนายกรัฐมนตรี ในลักษณะ"เสี้ยมให้เอาเรื่อง" โดยอ้างว่า กรณีกลุ่มเสื้อแดงระบุผ่านเว็บไซต์ไทยอี-นิวส์ หนึ่งในเว็บไซต์เครือข่ายของกลุ่มคนเสื้อแดงและแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้าน เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) โดยตั้งชื่องาน ว่า “พรึ่บ!ไม่ต้องเกณฑ์กูจัดเอง 62 ปีทักษิณมหาราษฎร์” ว่า “ยังไม่เห็นเลยครับ” เมื่อสื่อพยายามซักถามเสี้ยมต่อไปว่า เป็นการใช้คำพ้องที่สูงกว่าจะเหมาะสมหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า “ก็น่าจะรู้นะครับ คนทำอะไรก็น่าจะรู้” เมื่อถามเสี้ยมต่อไปว่า พรรคเพื่อไทยพยายามปฏิเสธมาตลอดว่าไม่เกี่ยวข้องการกับจาบจ้างเบื้องสูง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ต้องถามพรรคเพื่อไทยว่าสนับสนุนหรือไม่ เพราะสองกลุ่มมีความใกล้ชิดกัน เมื่อถามเสี้ยมปิดประเด็นให้เอาเรื่องว่า ลักษณะแบบนี้จะดำเนินการทางกฎหมายได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนยังไม่เห็น และยังไม่ทราบว่าการพ้องเสียงจะผิดกฎหมายหรือไม่ แต่ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะสร้างเรื่องให้เกิดความรู้สึกขัดแย้งและกระทบกระเทือนในคนไทยด้วยกัน ไม่อยากให้ทำแบบนี้ ถ้าพรรคเพื่อไทยมาบริหารบ้านเมือง และใกล้ชิดกับคนเสื้อแดงแทบจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ก็อยากให้คิด อยากให้มีเรื่องให้มีความขัดแย้งระหว่างคนไทยด้วยกันเพื่ออะไร สื่อชักไปไม่ถูกเเมื่อถามยังไงอภิสิทธิ์ก็ไม่ยอมเอาเรื่อง เลยเสี้ยมต่อไปว่า ความใกล้ชิดของคนเสื้อแดงกับพรรคเพื่อไทย แต่มีคนเสื้อแดงบางส่วนมีวิธิคิดแบบนี้จะเป็นปัญหากับการปกครองประเทศหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า รัฐบาลใหม่ต้องเร่งแก้ไข เพราะตนก็เข้าใจว่าพึ่งพากันมา ก็ต้องกำหนดทิศทางให้ชัด และเป็นคำถามสำหรับรัฐบาลใหม่ตลอดเวลาว่าจะสนับสนุนแนวทางไหน เมื่อถามว่ากลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่ครอบงำความคิดของรัฐบาลใหม่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อยู่ที่รัฐบาลใหม่ ต้องแสดงท่าทีให้ชัด สุดท้ายเลยเสี้ยมต่อไปว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่นายกรัฐมนตรี ควรจะมีท่าทีอย่างไรหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า “ก็ต้องแสดงท่าทีให้ชัด” สุดท้ายสื่อได้พาดหัวข่าวแบบไม่ค่อยได้ดั่งใจว่า "อภิสิทธิ์"ปัดไม่รู้ แดงจัดงาน"ทักษิณมหาราษฎร์" ส่วนASTVผู้จัดการที่เป็นคนเปิดเรื่องไปฟ้องอภิสิทธิ์พาดหัวข่าวว่า“อภิสิทธิ์” ติง นปช.จัดงาน “ทักษิณมหาราษฎร์” ชี้คำพ้องเสียงไม่เหมาะ แต่ก็ไม่วายแสดงอารมณ์กระแนะกระแหนไม่ได้ดั่งใจในโปรยข่าวว่า นายกฯ ยังไม่ได้รับรายงาน นปช.ป่าวประกาศไปทั่วเมืองเตรียมจัดงาน “พรึ่บ! ไม่ต้องเกณฑ์กูจัดเอง 62 ปีทักษิณมหาราษฎร์” ติงคำพ้องเสียงอาจไม่เหมาะสม แต่คนทำน่าจะรู้อยู่แก่ใจ ชี้เป็นปัญหารัฐบาลใหม่ จะต้องแสดงท่าทีให้ชัดว่าไม่ได้ตกอยู่ในความครอบงำของกลุ่มคนเสื้อแดงและจาบจ้วงเบื้องสูง ก่อนหน้านี้เวบไซต์ASTVผู้จัดการ กระบอกเสียงโฆษณาชวนเชื่อของสนธิ ลิ้มฯผู้นำสูงสุดพันธมิตร กลุ่มกดดันการเมืองล้าหลังขวาจัดปฏิกริยา พาดหัวข่าวว่า แดงเหิมเกริม! ประโคมกระแส “ทักษิณมหาราษฎร์” 61 จังหวัด โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ เสื้อแดงจัดงานวันเกิดทักษิณ 62 ปีต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ถือโอกาสฉลองพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งในตัว ชื่องานเล่นคำพ้องเสียง “ทักษิณมหาราษฎร์” เสียดสี โวมี 61 จังหวัดทั่วประเทศจัดงาน หลังก่อนหน้านี้เจ้าตัวบอกปัดไปบาหลี หลัง กต.จี้อินโดนิเซียเข้มตรวจคนเข้าเมือง ไทยอีนิวส์ขอชี้แจงความจริงว่า ข่าวของASTVผู้จัดการมีเจตนาให้ร้ายเราอย่างมีสาระสำคัญ และมั่วดังต่อไปนี้ 1.ASTVผู้จัดการไม่ได้นำเสนอในประเด็น"ทักษิณมหาราษฎร"ที่ไทยอีนิวส์นำเสนอไว้ในรายงานข่าวต้นฉบับ (ดูข่าวต้นฉบับของจริง:พรึบ!ไม่ต้องเกณฑ์กูจัดเอง62ปีทักษิณมหาราษฎร์ )ซึ่งนำเสนอไว้ตอนหนึ่งว่า ในการจัดงานเมื่อปีที่แล้ว กลุ่มคนไทยเสื้อแดงในสหรัฐอเมริกา หรือ RED USA รายงานว่าได้พากันจัดฉลองวันเกิดให้พ.ต.ท.ดร.ทักษิณพร้อมกับยกย่องให้เป็นมหาราษฎร์ หรือราษฎรผู้ยิ่งใหญ่ในหัวใจของคนไทยที่รักชาติรักประชาธิปไตย 2.การที่ASTVผู้จัดการพาดหัวว่าไทยอีนิวส์"เหิมเกริม"บ้าง หรือ "เล่นคำพ้องเสียง"บ้าง หรือ" เสียดสี "บ้าง แสดงว่ามีวาระซ่อนเร้นอะไรอยู่หรือไม่ จึงมีจิตเจตนาทำนองนั้น ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าผู้เขียนเป็นคนที่มีอาวุโสไม่มากนัก เพราะหากถามสนธิลิ้มฯคนเป็นเจ้านายดูสักหน่อย ก็จะเห็นได้ว่าคำว่า"มหาราษฎร์"นี้เป็นคำปกติธรรมดา ขนาดนายปรีชา สามัคคีธรรม คนหนังสือพิมพ์อาวุโส ก็ยังนำไปตั้งชื่อหนังสือพิมพ์ว่า"หนังสือพิมพ์มหาราษฎร์" ก็ไม่เคยมีใครไปว่านายปรีชาเหิมเกริม หรือ เล่นคำพ้องเสียง หรือเสียดสีที่ตรงไหน หนังสือพิมพ์นี้ชัย ราชวัตร การ์ตูนนิสต์ที่สนับสนุนพันธมิตรออกนอกหน้าก็เคยไปทำงานด้วย ไม่เห็นชัย ราชวัตร ตั้งข้อรังเกียจแต่อย่างไร หรือหากนายสนธิลืมเรื่องนี้ก็ให้ไปถามปราโมทย์ นาครทรรพ คอลัมนิสต์ASTVผู้จัดการไม่น่าจะลืม เพราะเคยคบหากับนพพร สุวรรณพานิช อดีตคนหนังสือพิมพ์มหาราษฎร์มาก่อน ก็เห็นมีมิตรไมตรีเรื่อยมา ไม่เคยได้ยินขัดเคืองที่นพพรไปทำงานอยู่หนังสือพิมพ์ที่มีชื่อเป็น"คำพ้องเสียงที่เสียดสีหรือเหิมเกริม"สักหน่อย พรรคการเมืองพรรคหนึ่งก็เคยชื่อว่า พรรคมหาราษฎร์ธิปัตย์ แม้แต่บริษัทผลิตจำหน่ายสุรารายหนึ่งก็ชื่อ บริษัทสุรามหาราษฎร์ ชื่อคนไทยที่ไปจดทะเบียนตั้งชื่อว่าเด็กชาย หรือนายมหาราษฎร์มีเยอะแยะ คำๆนี้จึงเป็นคำปกติสามัญนั่นเอง แล้วมันแปลกตรงไหน หากคนเสื้อแดงจะจัดงานให้ทักษิณ"มหาราษฎร์" ซึ่งข่าวต้นฉบับก็บอกชัดอยู่แล้วว่า หมายถึง ราษฎรผู้ยิ่งใหญ่ในหัวใจของคนไทยที่รักชาติรักประชาธิปไตย ยกเว้นแต่ว่าASTVผู้จัดการ เกิดมาติดใจว่า เพราะบังเอิญเรื่องนี้เกี่ยวกับทักษิณ เกี่ยวกับเสื้อแดง..หากเป็นบริษัทสุรามหาราษฎร์ของเจ้าสัวเจริญ หรือหนังสือพิมพ์มหาราษฎร์ ของปรีชา หรือชัย ราชวัตร-นพพร สุวรรณพานิช ที่เคยทำงานที่หนังสือพิมพ์มหาราษฎร์ ก็ไม่เป็นไร... ยกเว้นแต่ASTVผู้จัดการจะตีกินด้วยสันดานเดิมๆเพื่อให้ร้ายป้ายสีใครต่อใครไปทั่วหล้าด้วยข้อหาว่าไม่จงรักภักดีหรือล้มเจ้า ซึ่งก็น่าสลดใจว่านับแต่ASTVผู้จัดการมีสันดานเช่นนี้มา ก็ยิ่งเป็นการดึงสถาบันเบื้องสูงลงมาแปดเปื้อนโคลนการเมือง โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือรู้แต่จะดึงลงเบื้องต่ำเพื่อสนองทัศนะท่าทีนโยบายการเมืองของตน ซึ่งคนไทยต่างรู้ความจริงหมดแล้ว ดังผลโหวตโนที่ออกมาไม่ถึง 1 ล้านเสียง นั่นก็คือคำตอบว่าคนไทยเขาไม่เอาด้วยกับสันดานแบบนี้ของASTVผู้จัดการ 3.ASTVผู้จัดการยังนำเสนอผิดเพี้ยนด้วยว่า ไทยอี-นิวส์อ้างว่า มีการจัดงานทั้งหมด 61 จังหวัดทั่วประเทศ และในต่างประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ รวมทั้งที่ดูไบ สหรัฐอาหรับอามิเรตส์ ความเป็นจริงเรานำเสนอว่า ในการจัดงานวันเกิดให้ทักษิณครั้งแรกเมื่อ 26 กรกฎาคม 2552 นั้น มีการจัดงานทั้งหมด 61จังหวัดทั่วประเทศ และในต่างประเทศที่จัดแซยิดกระหึ่มโลก โดยเป็นกิจกรรมที่ประชาชนจัดให้ประชาชนที่พวกเขาสนับสนุน 4.ไทยอีนิวส์อยากชี้แจงต่อสื่อกระแสหลักจอมเสี้ยมทั้งหลายว่า ในเมื่อพยายามเสี้ยมรัฐบาลรักษาการนายอภิสิทธิ์ให้เล่นงานไทยอีนิวส์แล้วไม่ได้ดั่งใจก็อย่าท้อถอย พยายามกันต่อไป เหมือนที่ทำด้วยอคติบิดเบือนไร้ความเป็นมืออาชีพต่อไปเหมือนที่ทำมาตลอด 5 ปี แต่อยากบอกว่าเรื่องนี้ไม่มีคนเสื้อแดงที่ไหนเขาจัดงานตามชื่อที่ว่านั่นหรอก เป็นเพียงนำคอนเซ็ปต์งานที่เขาจัดกันปีที่แล้วมาพาดหัวให้"ฮือฮา"แบบที่สื่อนิยมชมชอบกัน งานนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับพรรคเพื่อไทยหรือทักษิณ เพราะไทยอีนิวส์ไม่ใช่สื่อของทักษิณหรือเพื่อไทย สั่งซ้ายหันขวาหันไม่ได้ ไม่เหมือนสื่อกระแสหลักปฏิบัติกันเป็นปกติสันดาน อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่การ"มั่ว"เพื่อให้ร้ายป้ายสีครั้งแรกของเวบไซต์ASTVผู้จัดการ เพราะเมื่อไวๆนี้เมื่อ 14 กรกฎาคม เวบไซต์นี้ก็เคยกล่าวหาว่าไทยอีนิวส์มั่วเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ซึ่งพอไทยอีนิวส์ชี้แจงอย่างมีหลักฐานย้อนกลับไป ก็กลับเงียบเฉย ไม่ยอมโต้แย้ง เพราะจำนนด้วยหลักฐานข้อมูล ถึงASTVผู้จัดการ:เห็นฝีมือลูกน้องแล้วสงสารลูกพี่ลิ้ม หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการ และเวบไซต์ASTVผู้จัดการเมื่อวานนี้พาดหัวว่า ไทยอีนิวส์โยงมั่วหอการค้า-สภาอุตฯ ค้านขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ300บาท เพราะ “อำมาตย์” ไม่ให้ขึ้น แต่กลับไม่พูดกรณีAISตั้ง “ดุสิต-ประธานหอการค้าไทย” เป็นบอร์ด ลองอ่านรายงานข่าวที่เต็มไปด้วยหลักฐานด้านล่างนี้ ก็จะได้คำตอบชัดๆว่า ใครกันแน่ที่"มั่ว" โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์ 15 กรกฎาคม 2554 ตามที่ไทยอีนิวส์นำเสนอรายงานข่าวเรื่อง เบื้องหลังการกวนตีนจากสภาหอการค้า-การต่อต้านค่าแรง300จากสภาอุตฯ องค์กรซ่อนเงื่อนของใคร..? ใจความสำคัญสรุปว่า การที่หอการค้าไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยแสดงท่าทีคัดค้านนโยบายรัฐบาลใหม่ของยิ่งลักษณ์ โดยเฉพาะเรื่องขึ้นค่าแรงวันละ 300 บาท อาจมีมูลเหตุจากการที่ประธานหอการค้าไทย และประธานสภาอุตสาหกรรม มีแบ็คกราวนด์มาจากเครือซิเมนต์ไทย ทุนอำมาตย์ ด้วยกันทั้งคู่ จึงมีทัศนะท่าทีนโยบายสนับสนุนรัฐบาลประชาธิปัตย์ และคัดค้านเครือข่ายของทักษิณ ชินวัตร อย่างต่อเนื่อง ต่อมาเวบไซต์ ASTVผู้จัดการออนไลน์ ได้นำเสนอรายงานข่าวตอบโต้เรื่อง เว็บเสื้อแดงโวยจะเอาค่าแรง 300 บาท โยงมั่วหอการค้า-สภาอุตฯ ค้านเพราะ “อำมาตย์” ไม่ให้ขึ้น โปรยข่าวว่า เว็บไทยอีนิวส์ของคนเสื้อแดงโวยวายจะเอาค่าแรง 300 บาท ตามนโยบายเพื่อไทยให้ได้ จินตนาการเลอะเทอะระบุที่สภาหอการค้า-สภาอุตฯ ออกมาคัดค้านเพราะ “อำมาตย์” ส่งคนมาเตะตัดขา แต่กลับไม่พูดกรณีเอไอเอสตั้ง “ดุสิต” เป็น กรรมการบริษัท โดยระบุว่า อย่างไรก็ตาม ไทยอีนิวส์ กลับไม่กล่าวถึงกรณีเมื่อวันที่ 21 ก.พ. 2554 บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติการแต่งตั้ง นายดุสิต นนทะนาคร ประธานสภาหอการค้าไทย ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการบริษัทแทนนายศุภเดช พูนพิพัฒน์ซึ่งได้ขอลาออก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2554 เป็นต้นไป แต่อย่างใด หนังสือพิมพ์รายวันผู้จัดการASTVฉบับวันที่ 15 กรกฎาคม นำไปเป็นข่าวพาดหัวตัวไม้ว่า เสื้อแดงมั่วดึงอำมาตย์เอี่ยว สกัดค่าแรง300 ไทยอีนิวส์เห็นว่าข่าวของASTVผู้จัดการนั้น ต่ำชั้นกว่ามาตรฐานที่พึงจะเป็น จึงขอชี้แจงความจริงกรณีถูกพาดพิงดังนี้ 1.ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รายงานว่า ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ AIS หรือ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ที่เวบไซต์ ASTV ผู้จัดการระบุว่า ได้แต่งตั้งนายดุสิต ไปเป็นกรรมการนั้น ในปัจจุบันนี้มีผู้ถือหุ้นใหญ่ ดังนี้ 1. บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) 1,263,712,000 หุ้น คิดเป็น 42.52 % 2. SINGTEL STRATEGIC INVESTMENTS PTE LTD. 568,000,000 หุ้น คิดเป็น 19.11 % ดูลิ้งค์ http://www.set.or.th/set/companyholder.do?symbol=ADVANC&language=th&country=TH 2.สำหรับบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้ถือหุ้นใหญ่ของAIS เดิมชื่อย่อ SHIN ตอนนี้เปลี่ยนเป็นINTUCH ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยรายงานว่า มีผู้ถือหุ้นใหญ่ดังนี้ 1. บริษัท ซีดาร์ โฮลดิ้งส์ จำกัด 1,742,407,239 หุ้น คิดเป็น 54.42 % 2. บริษัท แอสเพน โฮลดิ้งส์ จำกัด 1,334,354,825 หุ้น คิดเป็น 41.67 % ดูลิ้งค์ http://www.set.or.th/set/companyholder.do?symbol=INTUCH&language=th&country=TH ทั้งนี้เมื่อต้นปี 2549 กองทุนเทมาเส็ก สิงคโปร์ เข้ามาซื้อหุ้น ชิน คอร์ปอเรชั่น จากตระกูลชินวัตร โดยปัจจุบันถือหุ้นผ่าน บริษัท ซีดาร์ โฮลดิ้งส์ และบริษัท แอสเพน โฮลดิ้งส์ 3.บริษัท ซีดาร์ โฮลดิ้งส์ ผู้ถือหุ้นใหญ่ของชิน คอร์ปอเรชั่น ในปัจจุบัน กระทรวงพาณิชย์ รายงานว่า มีผู้ถือหุ้นใหญ่ดังนี้ 1.บริษัท ไซเพรส โฮลดิ้งส์ (นิติบุคคลต่างด้าว) 48.99% 2.บริษัท กุหลาบแก้ว (นิติบุคคลสัญชาติไทย) 41.1% 3.ธนาคารไทยพาณิชย์ (นิติบุคคลสัญชาติไทย) 9.9% 4.สำหรับธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยรายงานว่า มีผู้ถือหุ้นใหญ่ดังนี้ 1. สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ 722,941,958 หุ้น คิดเป็น 21.31% ดูลิ้งค์ http://www.set.or.th/set/companyholder.do?symbol=SCB&language=th&country=TH 5.การที่เวบไซต์ASTVผู้จัดการระบุว่า นายดุสิต นนทะนาคร ประธานสภาหอการค้าไทย ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการบริษัทAIS แทนนายศุภเดช พูนพิพัฒน์ นั้น ต้องดูที่ไปที่มาของนายศุภเดช ตอนที่เข้ามาในบริษัทชินฯตอนที่เทมาเส็กเข้าซื้อหุ้นไปจากตระกูลชินวัตร นั้น ธนาคารไทยพาณิชย์ได้ปล่อยกู้ให้นายศุภเดชไปซื้อหุ้นจำนวน32.8ล้านบาท (รายละเอียด ดู หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10412) ดังนั้นก็อาจมีร่องรอยว่า นายดุสิต ประธานหอการค้าไทย อดีตผู้บริหารเครือซิเมนต์ไทย ซึ่งสำนักงานทรัพย์สินฯเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ น่าจะเข้ามาเป็นกรรมการในบริษัทAISแทนนายศุภเดช ซึ่งเป็นโควต้าของธนาคารไทยพาณิชย์ อันเป็นธนาคารในเครือสำนักงานทรัพย์สินฯ ธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในซีดาร์ โฮลดิ้งส์ จึงเรียนมาเพื่อให้เวบไซต์ ASTV ผู้จัดการได้รับทราบ ความจริง ณ โอกาสนี้ หากผู้เขียนข่าวของASTVผู้จัดการ ยังเข้าใจมั่วๆว่าAIS ยังเป็นของตระกูลชินวัตร ก็ย่อมแสดงว่าที่นายสนธิ ลิ้มฯทำมาตลอด 5 ปีนี้ล้มเหลวในการสื่อสารโดยสิ้นเชิง เพราะลูกน้องของนายสนธิก็ยังเข้าใจผิดถนัดขนาดนี้ เข้าใจผิดปล่อยไก่หมดเล้าว่า..นายดุสิตเข้ามาเป็นกรรมการบริษัทAISเพราะตระกูลชินวัตรแต่งตั้งมา...อนิจจาอนิจจัง ****** เรื่องเกี่ยวเนื่อง: ไทยอีนิวส์:เบื้องหลังการกวนตีนจากสภาหอการค้า-การต่อต้านค่าแรง300จากสภาอุตฯ องค์กรซ่อนเงื่อนของใคร..? -ASTVผู้จัดการออนไลน์:เว็บเสื้อแดงโวยจะเอาค่าแรง 300 บาท โยงมั่วหอการค้า-สภาอุตฯ ค้านเพราะ “อำมาตย์” ไม่ให้ขึ้น -หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการ ฉบับวันที่ 14 กรกฎาคม 54:เสื้อแดงมั่วดึงอำมาตย์เอี่ยว สกัดค่าแรง300 เอกชนถล่มเอสเอ็มอีสูญพันธุ์ | |
http://redusala.blogspot.com |
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)