จับโกงเกณฑ์ทหาร http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERXdPVEE1TURRMU5BPT0= วันที่ 09 เมษายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7436 ข่าวสดรายวัน โกงทหาร - ตร.บุรีรัมย์จับ 4 วัยรุ่นรับจ้างเกณฑ์ทหารแทนในหลายจังหวัดภาคอีสาน โดยรู้ว่าร่างกายไม่ผ่านเกณฑ์ ยึดได้ของกลางบัตรประชาชนปลอมจำนวนมาก สืบพบหัวหน้าขบวนเป็นทหารยศพันเอก ตามข่าว แฉปลอมบัตร-จ้างคนเตี้ย ซัดทอด"พันเอก"หน.แก๊ง |
ดาวน์โหลดคลิ๊ปคนเสื้อแดง
วันเสาร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2554
ยกระดับ BOYCOTT สินค้าเครือสหพัฒน์ http://easy-net.appspot.com/u?purl=bG10aC4wOS0xLzEwLz ExMDIvbW9jLnRvcHNnb2xiLnN3ZW5laWFodC8vOnB0dGg%3D%0A โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์ 15 มกราคม 2554 เครือข่ายผู้บริโภคสีแดงประกาศยกระดับคว่ำบาตรสินค้าหนุนเผด็จการ จากเดือนแรกก่อผลสะเทือนมาม่า ยกสองขยายเวลา 3 เดือน พุ่งเป้าเครือสหพัฒน์ยกแผง คิกออฟวันนี้ถึง15เมษายนรวม3เดือน เน้นสินค้ามวลชนแบรนด์ดังทั้งมาม่า ผงซักฟอกเปา ยาสีฟันSALZ แป้งโคโดโมะ น้ำยาบ้วนปากSYSTEMA ชุดชั้นในสตรีWACOAL เสื้อเชิ้ตARROW-LACOSTE รองเท้าPAN ร้านสะดวกซื้อ108SHOP เครือข่ายผู้บริโภคสีแดงประกาศว่า หลังจากคนไทยไม่ต่ำกว่า 20 ล้านคนเข้าร่วมรณรงค์คว่ำบาตรมาม่ามาเป็นเวลา 1 เดือน ระหว่างวันที่ 8 ธันวาคม 2553-8 มกราคม 2554 แม้จะก่อผลสะเทือนขนานใหญ่ ทว่าผู้บริหารในเครือสหพัฒนพิบูลยังไม่ได้แสดงความสำนึกหรือขอขมาต่อลูกค้าผู้บริโภคชาวไทยผู้มีพระคุณ ที่รักประชาธิปไตยชิงชังเผด็จการ และยังไม่ได้แสดงตนว่าจะยุติการรับใช้เผด็จการแต่อย่างใด ดังนั้นจึงเห็นสมควรเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรดังต่อไปนี้ 1.ขยายเวลาการรณงค์หยุดซื้อ หยุดกินมาม่าออกไปอีก 3 เดือนระหว่างวันที่ 15 มกราคม -15 เมษายน 2554 หรือจนกว่าผู้บริหารของมาม่า และสหพัฒน์จะสำนึกผิดและขอขมาคนไทยอย่างเป็นทางการ พร้อมประกาศยุติการรับใช้เผด็จการ 2.ยกระดับคว่ำบาตรสินค้าเครือสหพัฒน์ทั้งหมด 90 แบรนด์สินค้า โดยระยะ 3 เดือนแรกให้เริ่มจากสินค้าที่เป็นสินค้ามวลชน ผู้บริโภคจดจำตราสินค้าได้ง่าย โดยแบ่งเป็นหมวดหมู่ดังนี้ 2.1 ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ( ดูรายชื่อสินค้าหมวดนี้ของเครือสหพัฒน์ ) มุ่งโฟกัสการคว่ำบาตรมาม่า เป็นหลัก 2.2ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในครัวเรือน ( ดูรายชื่อสินค้า ) มุ่งโฟกัสคว่ำบาตรหยุดซื้อ หยุดใช้ผงซักฟอกเปา รองลงมาคือน้ำยาล้างจานไลป้อน 2.3ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ส่วนบุคคล (ดูสินค้าหมวดนี้เครือสหพัฒน์) มุ่งเป้าโฟกัสการคว่ำบาตรหยุดซื้อหยุดใช้ ยาสีฟันSALZ และแป้ง+ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กKODOMO น้ำยาบ้วนปากSYSTEMA ชุดชั้นในสตรีWACOAL เสื้อเชิ้ตARROW-LACOSTE รองเท้าPAN เป็นต้น 2.4ธุรกิจค้าปลีก ร้านสะดวกซื้อ 108 SHOP หยุดเข้า หยุดซื้อ "เหตุที่ต้องประกาศยกระดับการคว่ำบาตรเครือสหพัฒน์ในวันนี้ ก็เนื่องจากตรงกับวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ซึ่งพฤติกรรมการจับจ่ายของผู้บริโภค โดยเฉพาะคุณแม่บ้านมักจะช็อปปิ้งในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ หากคุณแม่บ้านเสื้อแดง หรือประชาชนไทยทั่วประเทศที่เคยเทคะแนนเสียงเลือกตั้งให้พรรคไทยรักไทย 19 ล้านเสียง บวกกับคนในครอบครัวอีกครอบครัวละ 3คน รวมกันราวๆ50ล้านคนทั่วประเทศ เริ่มหยุดซื้อมาม่า หยุดซื้อผงซักฟอกเปา หยุดซื้อยาสีฟันSALZ แป้งเด็กKODOMOในช่วง2วันของการเริ่มต้น คือ15-16มกราคมนี้ จะก่อผลสะเทือนแก่เครือสหพัฒน์แค่ไหน"เครือข่ายฯระบุ เครือข่ายผู้บริโภคสีแดงกล่าวว่า จึงขอความร่วมมือคนเสื้อแดงร่วมกันคว่ำบาตรสินค้าเครือสหพัฒน์ตั้งแต่นี้ไป มีกำหนดระยะเวลา 3 เดือน หรือจนกว่าจะสำนึกกลับตัวกลับใจ แต่หากไม่ยอมกลับตัวกลับใจก็ต้องเจอแบนตลอดชีวิต พร้อมกันนี้ได้ประกาศเตือนไปยังองค์กรธุรกิจต่างๆที่ยังทำตัวเป็นมือตีนสมุนรับใช้เผด็จการ เกื้อหนุนเผด็จการก็อาจตกเป็นเป้าหมายการคว่ำบาตรของประชาชนไทยเช่นกัน โดยมีบัญชีที่ต้องจับตา เช่น อินเตอร์เน็ตTRUE ห้างสะดวกซื้อ7-ELEVEN สินค้าเครื่องดื่มกระทิงแดง คาราบาวแดง เป็นต้น แต่ยังให้โอกาสปรับปรุงพฤติกรรมซักระยะก่อน หากยังไม่ดีขึ้น ก็ต้องขึ้นบัญชีดำบอยคอตแบบเครือสหพัฒน์ต่อไป ลำดับเหตุการณ์และผลสะเทือนการคว่ำบาตรมาม่า 1 เดือนแรก 8 ธันวาคม 2553 คิกออฟคว่ำบาตรมาม่า-เครือข่ายผู้บริโภคสีแดง ได้ประกาศเริ่มมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อองค์กรธุรกิจที่ให้การสนับสนุนระบอบปกครองเผด็จการอำมาตย์ และได้รับการเกื้อหนุนจากฝ่ายเผด็จการ โดยประกาศเริ่มต้นคว่ำบาตรเศรษฐกิจต่อสินค้าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตรามาม่า ของบริษัท ไทยเพรสซิเด้นต์ฟู้ดส์ ในเครือสหพัฒนพิบูล ของตระกูลโชควัฒนา ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ของประเทศ สินค้าเผด็จการ-ลังมาม่าที่ผู้บริหารเครือสหพัฒน์ส่งไปบำรุงพันธมิตรในช่วงยึดสนามบินสุวรรณภูมิ 9 ธันวาคม 2553 มั่นใจเกิน 20 ล้านคนร่วมคว่ำบาตร-โดยเครือข่ายผู้บริโภคสีแดงกำหนดเวลาการคว่ำบาตร ไม่ซื้อ ไม่บริโภคเป็นเวลา 1 เดือน ระหว่างวันที่ 8 ธันวาคม 2553 ถึง 8 มกราคม 2554 โดยตั้งเป้าหมายเชิญชวนให้ผู้ที่เคยสนับสนุนพรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาล และถูกระบอบอำมาตย์กับกลุ่มทุนบริวารโค่นล้ม ไม่น้อยกว่า 20 ล้านคนทั่วประเทศเข้าร่วมการรณรงค์ครั้งนี้ 13 ธันวาคม 2553 มาม่าเอะใจทำไมส่วนแบ่งการตลาดวูบ10%-ช่วงเดียวกันนี้มีการศึกษาวิจัยหัวข้อเรื่อง "เหตุใด ส่วนแบ่งทางการตลาดของมาม่าจึงมีสัดส่วนที่ลดลง" ทั้งนี้กลุ่มผู้ทำการศึกษาวิจัยได้เผยแพร่เอกสารดังกล่าวไว้ในระบบข้อมูลlearners ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ระบุว่า ส่วนแบ่งการตลาดของมาม่าที่เคยสูงถึงง 60%ในตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ลดวูบลงมาเหลือราว 50%ในปัจจุบัน รายงานระบุว่าส่วนแบ่งทางการตลาดของ “มาม่า” ลดลงอย่างต่อเนื่อง และค่อนข้างคงที่ในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา ดังนั้น ”มาม่า” จึงต้องทำการวิจัยศึกษาว่า เพราะเหตุใด “มาม่า”จึงมีส่วนแบ่งทางการตลาดลดลง และจะสามารถแก้ปัญหานั้นได้อย่างไร เพื่อให้ตนเองนั้นได้กลับมามีส่วนแบ่งทางการตลาดที่เท่าเดิม หรือมากกว่าเดิมได้ 15 ธันวาคม 2553 ผู้บริหารมาม่าไหวตัวโดนรุมต้าน กระจายข่าวบิ๊กบริษัท-นางสาวพจนา พะเนียงเวทย์ ผู้จัดการฝ่ายส่งออกของมาม่า และ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เพรสซิเด้นท์อินเตอร์ฟู้ด บริษัทในเครือของมาม่า ได้แจ้งต่อผู้ถือหุ้รายย่อยของบริษัทที่ร้องเรียนไปยังบริษัทมาม่าให้ชี้แจง หลังถูกบอยคอตว่า ขอขอบคุณที่ผู้ถือหุ้นไทยเพรสซิเดนท์ฟู้ดส์แจ้งข่าวการบอยคอตคว่ำบาตรมา ดิฉันจะส่งต่อ Link ข่าว ให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป 18 ธันวาคม 2553 ผู้บริหารกราดใส่คนบอยคอตไร้การศึกษา-มีรายงานว่า บิ๊กของบริษัทระดับการศึกษาสูงได้แสดงปฏิกริยาในทางลบหลังจากได้รับหนังสือเวียนจากนางสาวพจนา โดยระบุว่า "ขอบคุณมากสำหรับข้อมูลที่แจ้งมา ซึ่งได้สร้างปฏิกริยาต่อต้านให้ขยายวงออกไป เนื่องจากผู้บริโภคมาม่าส่วนใหญ่ไม่ได้มีดีกรีการศึกษาสูงระดับด๊อกเตอร์ แต่เป็นคนจน เกษตรกร แรงงาน นักศึกษา และผู้มีรายได้น้อย เป็นส่วนใหญ่ 20 ธันวาคม 2553 สามนักวิชาการสาวชี้คว่ำบาตรมาม่าเทียบเคียงคานธีบอยคอตอังกฤษ-3 นักวิชาการสาว ผศ.ดร.สุดา รังกุพันธ์ อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อาจารย์หวาน) ,รศ.ดร.สุดสงวน สุธีสร อาจารย์คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (อาจารย์ตุ้ม) และ ผศ.ดร.จารุพรรณ กุลดิลก อาจารย์พิเศษคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล (อาจารย์จา)ดำเนินรายการที่นี่ความจริง ทางโทรทัศน์ Asia Update-DNN กล่าวถึงความเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงในแคมเปญการรณรงค์คว่ำบาตรมาม่า-สินค้ากลุ่มทุนที่สนับสนุนเผด็จการ ทั้งนี้นักวิชาการทั้งสามชี้ว่า หากใครเห็นว่าเรื่องนี้ตลก หรือคงไม่มีผลในการเปลี่ยนแปลงอะไร ก็ขอให้ลองย้อนมองไปถึงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์สำคัญกรณีหนึ่ง คือกรณีที่ มหาตมะ คานธี เคยรณรงค์ในด้านเศรษฐกิจเพื่อเรียกร้องเอกราชอินเดียจากอังกฤษ โดยมหาตมะ คานธี ใช้การดื้อแพ่งนำพาชาวอินเดียผลิตเกลือบริโภคเอง แม้อังกฤษจะมีกฎหมายบังคับให้ซื้อเกลือจากอังกฤษเท่านั้น และเป็นกรณีสำคัญที่นำไปสู่เอกราชของอินเดียใในเวลาต่อมา 22 ธันวาคม 2553 หุ้นมาม่าร่วง กลต.จี้เคลียร์ข่าว-ฐานเศรษฐกิจรายงานว่า ราคาหุ้นมาม่าได้ร่วงลงหลังจากเสื้อแดงพากันคว่ำบาตร สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.)เปิดเผย มีนักลงทุนที่เป็นผู้ถือหุ้นมาม่าร้องเรียนมายังสำนักงานขอให้แจ้งต่อบริษัท ไทยเพรสซิเด้นต์ฟู้ดส์ชี้แจงเป็นการด่วนเรื่องมีกระแสข่าวถูกคว่ำบาตร "ผู้ถือหุ้นของไทยเพรสซิเด้นต์ฟู้ดส์(TF)ร้องเรียนมายังสำนักงานฯว่า ปรากฎข่าวโจมตีบริษัทไทยเพรสสิเด้นฟู้ดส์แพร่หลายในอินเตอร์เน็ตและสื่อต่างๆ ชักชวนให้คนต่อต้านไม่ซื้อสินค้ามาม่า ซึ่งเป็นรายได้หลักของTF อ้างว่าสนับสนุนเผด็จการ โดยแจ้งว่าจะมีคนเข้าร่วมการคว่ำบาตรเกิน20ล้านคน จึงขอให้สำนักงานกลต.ได้แจ้งให้บริษัทชี้แจงแก้ไขข่าวด้วย เพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้ถือหุ้นรายย่อย" รายงานจากกลต.ระบุ พร้อมทั้งเปิดเผยว่า ตอนนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาดำเนินการ ต่อมากลต.เผยว่าได้แจ้งไปยังตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ให้ประสานงานกับTF เจ้าของมาม่าแล้ว 25 ธันวาคม 2553 เครือข่ายลูกค้ารายใหญ่ของมาม่า 36 องค์กรแถลงการณ์หนุนคว่ำบาตร-องค์กรเครือข่ายต่างๆ 36 องค์กร ซึ่งประกอบด้วย เครือข่ายองค์กรนิสิตนักศึกษา คนจนเมือง เกษตรกร ผู้ใช้แรงงาน และเครือข่ายประชาชนต่างๆรวมทั้งนักกิจกรรม และประชาชนทั้งในและต่างประเทศพากันออกแถลงการณ์ฉบับหนึ่ง สนับสนุนกิจกรรมรณรงค์คว่ำบาตรมาม่า-สินค้าที่สนับสนุนเผด็จการ 7 มกราคม 2554 มาม่าประกาศตรึงราคาถึงสิ้นมี.ค. ส่อหนีตายไปหากินอินเดีย-นายพิพัฒ พะเนียงเวทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ -"มาม่า" เปิดเผยว่า บริษัทพร้อมตรึงราคามาม่าออกไปอีก 3 เดือน จนถึงวันที่ 31 มี.ค. 2554 แต่ยอมรับว่าในขณะนี้ต้นทุนวัตถุดิบในการผลิตสินค้าปรับตัวขึ้นสูงมาก ทั้งน้ำมันปาล์ม และแป้งสาลี รวมทั้งราคาวัตถุดิบในด้านอื่นๆ ซึ่งมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง วันเดียวกันนี้กระทรวงพาณิชย์อนุมัติให้ขึ้นราคาน้ำมันปาล์ม บรรจุขวดอีกขวดละ 9 บาท เป็น 47 บาท ทำให้ต้นทุนมาม่าพุ่ง ขณะที่ขึ้นราคาก็ไม่ได้ เพราะเจอแรงคว่ำบาตรกดดัน นายพิพัฒกล่าวว่า มีแผนจะลงทุนในตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเบื้องต้นบริษัทมีแผนลงทุนในหลักหลายสิบล้านบาท เพื่อเปิดโรงงานผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในประเทศอินเดีย 8 มกราคม 2554 คว่ำบาตรมาม่าต่อเฟส2ถึงสิ้นมีค54 ฮึ่มยกระดับคว่ำบาตรสหพัฒน์ทั้งเครือ-เครือข่ายผู้บริโภคสีแดงประเมินผลว่า ระยะ 1 เดือนแรกมีผลสะเทือนจากการคว่ำบาตรสูงเกินคาด จากการประเมินแล้ว มวลชนที่เข้าร่วมเกินกว่า 20 ล้านคน ต้องการให้บทเรียนสั่งสอนมาม่าต่อไปอีก 3 เดือน 'มีประชาชนที่ร่วมการรณรงค์เสนอเข้ามาว่าทำไมไม่แบนถาวร หรือบอยคอตยาวไปเลย คำตอบคือแคมเปญในลักษณะนี้ควรมีการกำหนดตัวสินค้าผลิตภัณฑ์ที่ชัดเจน จำกัดวง โฟกัสระยะเวลาที่แน่นอน เพื่อให้ผู้เข้าร่วมรณรงค์มีความตื่นตัวที่จะเข้าร่วมกิจกรรม และก่อผลสะเทือนชัดเจน หากกระจายไปในหลายๆสินค้า และกำหนดกรอบกว้างๆเช่น แบนตลอดชาติ การตื่นตัวที่จะเข้าร่วมแคมเปญจะไม่ดีนัก"เครือข่ายฯระบุ 15 มกราคม 2554 ยกระดับคว่ำบาตรสินค้าสหพัฒน์ทั้งเครือเครือข่ายผู้บริโภคสีแดงประกาศคิกออเริ่มต้นการคว่ำบาตรสินค้าเครือสหพัฒน์ทั้งเครือ กำหนดระยะเวลาช่วงแรก 3 เดือน นับจากวันที่ 15 มกราคม2554 -15 เมษายน 2554 หรือจนกว่าเครือสหพัฒน์จะสำนึกกลับตัวกลับใจเลิกรับใช้เผด็จการ และประกาศขอขมาต่อประชาชนชาวไทยผู้รักประชาธิปไตย ชิงชังเผด็จการ ******* เรื่องเกี่ยวเนื่อง: -วิวาทะประธานมาม่า VS เครือข่ายผู้บริโภคสีแดง:สงครามคว่ำบาตรก่อผลสะเทือนฐานเผด็จการ -นิธิ เอียวศรีวงศ์:มาม่ากับเสื้อแดง |
รัก สัน ตูด พรรครักษ์สันตูด!!! วาทตะวัน สุพรรณเภษัช เมื่อราวปลายเดือน มี.ค.2554 หนังสือพิมพ์บางกอกทูเดย์ เขาโปรยพาดหัวข่าวนำ เรียกความสนใจจากผู้คนได้ คือหัวงูหราเย้ยกฎเหล็ก ก.พ.ยุคมาร์ค แฉบิ๊กระดับ 10 หัวงูหรา? ยังมีภาพประกอบ ที่แสดงปริศนาธรรมของความเป็น “หัวงู” ได้ชนิดกระชากใจชายวัยรุ่นอย่างผู้เขียน เป็นอันมาก บางกอกทูเดย์ได้ เปิดเผยรายละเอียด ซึ่งสรุปได้อย่างย่นย่อดังนี้ มีผู้ร้องเรียนเป็นหนังสือ ส่งไปยังวุฒิสมาชิกชื่อ ภารดี จงสุขธนามณี เนื้อหาของการร้องเรียนมีอยู่ว่า สตรีผู้ร้องเรียนนั้น จบการศึกษาจากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำงานเป็นถึงเลขานุการประธานกรรมการบริษัท ซึ่งบริษัทนี้ได้รับมอบหมายไปช่วยการสัมมนาโครงการ “การสร้างภาพลักษณ์ไหมไทยสู่ตลาดโลก” ที่จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 14-16 มีนาคม 2554 ซึ่งจัดโดยกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ปรากฏว่าผู้ร้องเรียนได้ถูกหนึ่งในวิทยากร ที่ทางกรมทรัพย์สินทางปัญญาเชิญมาร่วมบรรยาย ซึ่งเป็นข้าราชการระดับสูง ระดับ 10 กระทำการคุกคามทางเพศ ลวนลามทางวาจาและทำกิริยาไม่เหมาะสม เช่น ถามเรื่องส่วนตัว ละลาบละล้วง ว่ามีสามีหรือมีลูกแล้วหรือยัง บ้านอยู่ที่ไหน และพูดเป็นนัยยะเชิงชู้สาวอยู่ตลอดเวลา อาทิ “ลักยิ้มสวยจัง ขอขโมยไปวันหนึ่งจะได้ไหมจ๊ะ?” สรุปง่ายๆ ก็คือ พฤติกรรมของอีตาคนนี้ คนไทยเรียกขาน หรือจัดอันดับเอาไว้ว่า เป็นพวก “หัวงู” และเมื่อมีอายุแล้ว ก็เรียกว่า “เฒ่าหัวงู” ผู้ร้องเรียนถือว่า เป็นการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศ ของข้าราชการระดับสูง ซึ่งไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง จึงได้มีการร้องเรียนดังกล่าว การร้องเรียนครั้งนี้ สิ่งที่ทางราชการโดยเฉพาะกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ได้รับไปเต็มๆ คือ “การสร้างภาพลักษณ์ ‘หัวงูไทย’ สู่ตลาดโลก!!!” เรื่องนี้ บังเอิญเกิดผู้ถูกกล่าวโทษ เป็นข้าราชการระดับสูง คงจะต้องมีการสอบสวนทวนความกัน ไปตามระเบียบของทางราชการ แต่ถ้าเรื่องนี้เกิดกับนักการเมือง ชื่อเสียงของเขาคนนั้น ก็จะมัวหมองไปทันที และตกเป็นขี้ปากของชาวบ้าน ซึ่งรู้กันดีว่าคนไทยชอบวิพากษ์วิจารณ์นัก โดยเฉพาะเรื่องคาวๆอย่างนี้ สำหรับแวดวงการเมือง ก็มีนักการเมืองคนโต ที่โดนเข้าอย่างจัง ที่นำมาเอ่ยตรงนี้ก็คงได้ เขาคือ นายสนั่น เจ้าของฉายา “นกกระจอกเทศ-หนังกลับ” ขานี้โดนเข้าไปเต็มๆ เพราะดันนัดนักข่าวสาว ไปให้สัมภาษณ์แบบเอ็กซคลูซีฟ ที่ห้องหรูบนโรงแรมของพรรคพวกตัวบนถนนรัชดา ที่พวกสื่อเขาลือว่าเป็น...“ห้องเชือด” เจ้าตัวเลย...เสียหายไปแยะ! ความจริงแล้ว ‘ตัณหา’ นี้เป็นเรื่องของโลก ไม่ว่าชาติไทยหรือชาติไหน ก็ล้วนแต่มีเรื่องอย่างนี้ คนระดับประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาอย่างนายบิล คลินตัน ก็ไม่วายมีเรื่องอื้อฉาว เพราะไปมีเรื่องกับ น.ส.ลูวินสกี้ เข้า แกก็บอกว่าไม่ได้ประพฤติผิด เพราะไม่ได้สมสู่ หากเป็นแต่ให้เด็กฝึกงานทำเนียบ อย่างอีหนูลูวินสกี้ เธอแค่อมกระเจี๊ยวให้เท่านั้น มันก็น่าประหลาดใจนะครับ ที่ผู้ชายจำนวนมาก คิดว่า “การนอกใจ” นั้น หมายถึงต้องมีการ “ร่วมเพศ” กับหญิงอื่นที่ไม่ใช่ภริยาของตน ด้วยการสอดใส่องคชาติ เข้าไปในช่องคลอดของผู้หญิงเท่านั้น แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ การนอกใจนั้น หมายถึง คุณไปมีความสัมพันธ์กับหญิงอื่น ในทางชู้สาว ไม่ว่าจะมีการลูบคลำ สำเร็จความใคร่ด้วยวิธีอื่น ไม่ว่าจะเป็นการให้สตรีที่มีความสัมพันธ์ด้วย แค่ “อมกระเจี๊ยว” หรือ “ชักว่าว” ให้ ก็เรียกว่า เป็น“การนอกใจ” แล้วทั้งนั้น เมืองไทยนั้น การประพฤติผิดทางเพศ หรือมีความสัมพันธ์กับหญิงอื่น ที่ไม่ใช่ภริยาของตน ในบางองค์กรอย่างตำรวจนั้น ถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรง ต้องถูกไล่ออกจากราชการสถานเดียวเท่านั้น เรื่องลงโทษต่ำกว่า “ไล่ออก” ในความผิดฐานนี้ เป็นไม่มี ที่น่ายินดีอีกองค์กรหนึ่ง คือ “ศาล” เพราะเพิ่งมีการไล่ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ออกไป 1 ราย เพราะมีความสัมพันธ์กับภริยาผู้อื่น (รายนี้ยังมีข้อหา ‘ทุจริต’ พ่วงด้วย) ท่านผู้อ่าน เชื่อไหมครับว่า การประพฤตินอกใจ หรือมีเมียมากกว่า 1 ของบุคคล ที่จะเข้าดำรงตำแหน่งสำคัญของชาติ กลับกลายเป็นที่ยอมรับกันได้ แม้แต่ใน วุฒิสภา...ประเทศไทย! ที่ผมพูดอย่างนี้ เพราะมีการเลือกคณะกรรมการองค์การอิสระคณะหนึ่ง ผู้สมัครที่เป็นทหารเก่า ยศสูงด้วย ถูกกรรมการ(ซึ่งได้ข้อมูลจากบัตรสนเท่ห์) ถามว่า “ท่านมี ‘เมียน้อย’ หรือเปล่า?” ผู้สมัครซึ่งเป็นนายทหารใหญ่ ตอบเสียงเบาๆว่า “มีครับ...แต่ภริยาของผมอนุญาต เพราะเธอป่วย มีความสัมพันธ์ทางเพศไม่ได้!” ท่านผู้อ่านเชื่อไหมครับว่า บุคคลผู้นี้ได้รับการเลือกให้เป็นคณะกรรมการองค์การอิสระ ได้รับความเห็นชอบจากเสียงส่วนใหญ่ของสมาชิกรัฐสภา จึงเข้าดำรงตำแหน่งสำคัญและมีเกียรติได้ นี่คือมาตรฐาน...แบบไทยๆ! เรื่องอย่างนี้ บางประเทศที่เขาเคร่งครัดในมาตรฐานจริยธรรม จะไม่มีวันเกิดขึ้นได้อย่างเด็ดขาด เช่น หากเป็นวงการเมืองอเมริกัน นายทหารคนนี้ จะต้องถูกถล่มคาคอก ไม่มีทางหลุดเล็ดลอด ไปดำรงตำแหน่งได้แน่ๆ!! นักการเมืองประเทศสาระขันขันนั้น เรื่องมี “เมียน้อย” ก่อนเข้ารับตำแหน่ง ไม่ได้มีการยึดถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ เลยมีเรื่องที่ข้าราชการกระทรวงมหาดไทยไม่ลืม คือยุครัฐมนตวยที่ผู้คนในกระทรวง เขาเรียกขานแกลับหลังว่า “นายสะโหนก หัวกระเปาะ!” คนนี้ได้รับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการ แต่หลังจากรับตำแหน่ง กลับไม่ยอมไปมาหาสู่เมียน้อยเหมือนเดิม เธอจึงบุกมา ถึงกระทรวงเลยทีเดียว! นักหนังสือพิมพ์รู้ข่าว เมียน้อยบุกกระทรวง จึงไปทำข่าวกันเต็ม ท่านรัฐมนตรีว่าการเองก็ตกใจมาก คงกลัวเมียน้อยแทงเอาไส้แตกไส้แตน จึงไม่ยอมเข้าที่ทำงาน โดยไม่มีใครรู้ว่าไป นายสะโหนก แกไปนอนเกากระเปาะ อยู่ที่ไหน!? กระทรวงวุ่นวายไปสองสามวัน เพราะรัฐมนตรีไม่มาปฏิบัติหน้าที่ราชการ ราชการงานเมืองเสียหาย น่าขายหน้าเหลือเกิน แต่ตัวนายสะโหนก กลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุเรศมากๆ!! พูดถึงเรื่องนักการเมืองไทย ที่ล่วงละเมิดทางเพศนั้น ทำให้ผมนึกถึงคดีที่ถือกันว่าเป็นเรื่อง Sexual Harassment หรือการคุกคามทางเพศที่อื้อฉาวที่สุดของสหรัฐ คือ กรณีประธานาธิบดีจอร์จ บุช เสนอการแต่งตั้งผู้พิพากษาศาลสูงสหรัฐ คือนายแคลเรซ์ โธมัส (Clarence Thomas) ซึ่งยังอยู่ระหว่างการพิจารณา ศาสตราจารย์ แอนิต้า ฮิล (Anita Hill) ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ทางกฎหมายผู้ร่วมงานของโธมัสใน มหาวิทยาลัยโอคลาโฮมา (University of Oklahoma) อยู่นานหลายปี ได้ออกมากล่าวหาผู้พิพากษาโธมัส ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานกัน ก่อนที่ผู้พิพากษาโธมัสจะได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้พิพากษาศาลสูงสหรัฐ (มีเพียง 9 ท่านเท่านั้น) ข้อกล่าวหามีว่า ผู้พิพากษาโธมัสนั้น มีพฤติการณ์ไม่เหมาะสมฐานะตำแหน่งตุลาการศาลสูงสหรัฐ พูดง่ายๆคือแสดงการคุกคามทางเพศกับเธอนั่นเอง ซึ่งได้สร้างความอึดอัดและมีผลกระทบต่อการทำงานของศาสตราจารย์ แอนิต้า ฮิล ผู้นี้ การกระทำมีตั้งแต่การใช้คำพูดแบบสองแง่สองง่าม หรือบางครั้งก็พูดโดยเปิดเผยถึงกิจกรรมทางเพศ หลายครั้งที่ผู้พิพากษาโธมัสชักชวนให้เธอใช้เวลานอกงานกับเขา ซึ่งเป็นการกระทำอันไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง สำหรับคนที่จะดำรงตำแหน่งในศาลสูงอันมีเกียรติยิ่ง บังเอิญ ศาสตราจารย์ อนิต้า ฮิล ร้องเรียนช้าไปหลายปี กระนั้นนายแคลเรนซ์ โธมัส เกือบเสียมนุษย์ไปเลย ต้องต่อสู้กับข้อกล่าวหานี้อย่างหนักหน่วง ก่อนที่จะได้รับคะแนนโหวตจากวุฒิสภาสหรัฐด้วยคะแนนเสียง 52 – 48 ได้รับเลือกให้เป็นผู้พิพากษาศาลสูงไป คดีนี้อื้อฉาวแค่ไหน? ท่านผู้อ่านก็ลองดูหน้าปกนิตยสาร Time เอาก็แล้วกัน ฉะนั้น เรื่องการคุกคามทางเพศนั้น เป็นเรื่องใหญ่ คนที่อยู่ในตำแหน่งหน้าที่สูง แต่วุฒิภาวะทางอารมณ์ต่ำ อาจเป็นผู้กระทำความผิดเสียเอง จนกลายเป็นข่าวดัง ขนาดขึ้นหนังสือระดับโลกอย่างไทม์แมกกาซีน บุคลากรบางอาชีพ ที่มักมีข่าวเรื่องการถูกคุกคามทางเพศ จากบรรดานักการเมือง คือ พนักงานสตรีผู้ให้บริการบนอากาศยานหรือเครื่องบินโดยสาร หรือที่เรียกกันจนคุ้นว่า “แอร์โฮสเตส” เราต้องถือว่า บุคคลเหล่านี้กำลังให้บริการกับผู้อื่นตามหน้าที่ของตน นักการเมืองหรือใครก็ตาม ไม่มีสิทธิทะลึ่งทำลามกจกเปรตหรือรังแกพวกเธอ หากใครขืนกระทำ สมควรต้องถูกลงโทษให้หนัก! ความจริงแล้ว ในผู้ให้บริการบนรถโดยสารธรรมดา หรือที่เราเรียกให้เรียบร้อยหน่อยก็คือ“พนักงานเก็บค่าโดยสารผู้หญิง” (การเรียกว่า “กระปี๋” ผมว่ามันฟังไม่ดีเลย) นั้นไม่ค่อยน่าห่วงเท่าไหร่ เพราะนักการเมืองร่ำรวยเกินกว่าจะใช้บริการรถโดยสาร อีกทั้งกระเป๋าผู้หญิงที่เก็บค่าโดยสารนั้น เธอมีกระบอกตั๋วซึ่งทำด้วยทองเหลือง น้ำหนักกำลังพอเหมาะอยู่ในมือ หากขืนดันมาจับหน้าอกหน้าใจหรือจับบั้นท้าย ก็เอากระบอกตั๋วฟาดหน้าแงเปรี้ยงเข้าให้ เท่านั้นก็จบกัน! ดังนั้น ผมคิดว่าหากแอร์โฮสเตส ของสายการบินของคนไทยสายใดก็ตาม ไม่ว่าจะโลว์หรือไฮคอส จะบินระหว่างประเทศหรือภายในก็ตามที ถ้าหากเธอถูกพวกนักการเมือง สายพันธ์เดียวกันกับไอ้นกกระจอกเทศหนังกลับหน้าเต้าหู้ยี้ ที่แก่แล้วยังตัณหากลับ หรือแม้ยังไม่แก่แต่ “หื่นจัด” มาลวนลามแอร์โฮสเตส ตามที่มีข่าวให้ได้ยินกันเสมอ ต้องยุให้นางฟ้าของเรา ต้องช่วยกันเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ในฐานะประชาชน พวกเรามีหน้าที่ต้องช่วยกันปกป้องสิทธิของผู้ทำงานบนเครื่องบิน เพื่อความสงบเรียบร้อยของสังคมโดยส่วนรวม อีกทั้งยังเป็นการสร้างกรอบวินัย และความประพฤติให้สมาชิกรัฐสภา ด้วยการให้กำลังใจแอร์โฮสเตสผู้เสียหาย โดยยุให้ร้องทุกข์ ดำเนินคดีกับคนพวกนี้ด้วย ถ้าเราเห็นการลวนลามกันจะๆ บนเครื่องบินของสายการบินประเทศเรา ท่านผู้อ่านที่เป็นสุภาพสตรี หากบังเอิญโดยสารเที่ยวบินดังกล่าวด้วย อาจช่วยยับยั้งพฤติกรรมของนักการเมืองอัปรีย์เหล่านั้น ด้วยการร้องตะโกนดังๆให้มันได้อายว่า “ทะลึ่ง! มาลูบก้นแอร์โอสเตส...เดี๋ยวโดนนะ!!” สำหรับท่านผู้อ่าน ที่เป็นผู้ชายอย่างผม อาจพูดให้เข้มแข็งหน่อยก็ได้ว่า “ทะลึ่ง! มาลูบก้นนางฟ้าของฉัน เดี๋ยวโดน...ตีกบาล... นะโว้ย!!” ถ้ามันยังไม่เชื่อ ก็หาอะไรใกล้มือ ทุบกบาลเปรี้ยงเข้าให้ เอาให้มันเป็นข่าว จะได้เข็ดขี้อ่อนขี้แก่ไปเลย ..เป็นไงเป็นกัน!!! ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ เรื่องการคุกคามทางเพศ ในหมู่นักการเมืองนั้น พักนี้ดูจะจางหายไป นับแต่เรื่อง “ป๋าเหลิม”อดีตวุฒิสมาชิก ที่ติดตะรางไปหลายปี แต่นั่นก็ไมไม่ใช่เรื่องคุกคามทางเพศ แต่เป็นการซื้อบริการทางเพศจากผู้เยาว์ หรือการ “ชำเราเด็ก” นั่นเอง! แม้จะไม่มีข่าวพรรค์นี้เล็ดลอดมา แต่ระยะนี้ดันมีข่าวอัปมงคลมาเข้าหู นั่นคือการเบี่ยงเบนทางเพศ ในหมู่นักการเมืองชายที่นิยมเรื่อง “เว็จมรรคสังวาส” หรือ “ชายรักชาย” กำลังเป็นเรื่องฮิต ซุบซิบกันมากในขณะนี้!! แหล่งแพร่ข่าว เรื่องการเบี่ยงเบนทางเพศของนักการเมือง ที่สำคัญคือเวทีมัฆวาน เพราะที่นั่น มักมีการนำเรื่องแปลกๆ มาเปิดโปงอยู่เรื่อย แม้กระทั่งพรรคการเมืองที่เกิดใหม่ ก็มีข่าวประเภทเรทเอ็กซ์ ผิดช่องผิดทาง หนาหูมากจริงๆ ผมสดับตรับฟังข่าวแล้ว คงจะมีเค้ามูลอยู่ไม่ใช่น้อย เพราะได้ยินพวก ‘ตำรวจ’ ที่รู้จักกัน เขาหัวเราะ แล้วเรียกพรรคนี้ว่า “พรรครักษ์...สันตูด!!!” .............................. ท้ายบท ผมเขียนบทความชื่อ DNA ในสันดานประชาธิปัตย์ ยังไม่เปลี่ยนแปลง!!! ลงในwww.vattavan.com 13 กุมภาพันธ์ 2552 (http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=130) และลงในหนังสือพิมพ์ประชาทรรศน์รายวันด้วย บัดนี้ วันเวลาได้ผ่านมาแล้วกว่า 2 ปี แกนนำพันธ์มิตรคนสำคัญ คือ สนธิ ลิ้มทองกุล ได้ขึ้นเวทีที่มัฆวาน เมื่อ 1 เม.ย.2554 ปราศรัยถล่มพรรคโลซก อย่างแหลกลาญ ซึ่งทางเว็บไซด์ “ผู้จัดการออนไลน์” ได้นำรายละเอียดมาลงด้วย โดยพาดหัวคล้ายคลึงกับบทความของผมเมื่อ 2 ปีก่อน ว่า “สนธิ”แฉ ดีเอ็นเอ.ปชป. 40 ปีเลวไม่เคยเปลี่ยน! (http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9540000041526) อยากให้แฟนๆได้ลองอ่าน แล้วแสดงความเห็นกันหน่อย หากเห็นด้วยกับผม หรือเห็นด้วยกับคุณสนธิ หรือเห็นด้วยทั้งสองคน ก็จงโปรดบอกญาติพี่น้องว่า “อย่าเลือกประชาธิเปรต และพรรคร่วม ‘รัฐบาลกาลี’ ให้พวกมันเข้ามา...ทำร้ายบ้านเมืองของเรา อีกนะ!!!” (***บทความประจำสัปดาห์ ตอน พรรครักษ์สันตูด!!! ออนไลน์วันเสาร์ ที่ 9 มีนาคม 2554) |
เสื้อแดงปทุมฯประท้วง "ป๋าเปรม" ยกเลิกงานเลี้ยงวันกองทัพอากาศ http://easy-net.appspot.com/u?purl=bG10aC4zMTIwMi1kYWVyaHQ vc3UubW9kZWVyZnRlbnJldG5pLnd3dy8vOnB0dGg%3D%0A เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 9 เมษายน ที่หอประชุมกองทัพอากาศ ถนนพหลโยธิน ได้มีกลุ่มคนเสื้อแดงปทุมธานีประมาณ 30 คน พร้อมรถขยายเสียงมาชุมนุมที่บริเวณด้านหน้าหอประชุมฝั่งถนนพหลโยธินขาออก เพื่อประท้วงและเรียกร้องให้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ยกเลิกงานเลี้ยง เนื่องในโอกาสวันกองทัพอากาศ ซึ่งจะมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ตลอดจนผู้บัญชาการเหล่าทัพเดินทางมาร่วมงานในเวลา 18.50 น. ทั้งนี้ กลุ่มผู้ชุมนุมอ้างเหตุผลที่เรียกร้องให้ยกเลิกการจัดงานเลี้่ยงว่า ขณะนี้กำลังเกิดวิกฤตการณ์น้ำท่วมภาคใต้อย่างหนัก กองทัพอากาศไม่ควรจัดงานเลี้ยงสังสรรค์กันอย่างหรูหรา อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลา 18.40 น. นายการุณ โหสกุล ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย ได้เดินทางมาพูดคุยกับกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดง โดยขอร้องให้ยุติการชุมนุมหน้าหอประชุมกองทัพอากาศ โดยนายการุณกล่าวบนเวทีปราศรัยชั่วคราวว่า พื้นที่เขตดอนเมืองเป็นพื้นที่ฐานเสียงของตน โดยเฉพาะกองทัพอากาศ อีกทั้งเหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดง เมื่อปี 2553 ทหารอากาศได้เป็นผู้ช่วยชีวิตตนไว้ จึงอยากบอกว่าในกองทัพอากาศมีทหารอยู่ไม่กี่คนที่ไม่ใช่เสื้อแดง และล่าสุดตนได้รับแจ้งว่า พล.อ.เปรมจะไม่ได้เดินทางมาร่วมงาน ฉะนั้นขอให้เก็บแรงไว้เพื่อชุมนุมใหญ่ในวันที่ 10 เมษายน จากนั้นกลุ่มเสื้อแดงได้ทยอยเดินทางกลับ จากนั้น เวลา 19.00 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็เดินทางถึงขณะที่ พล.อ.เปรมก็ได้เดินทางมาถึงบริเวณหอประชุมในเวลา 19.10 น. ซึ่งบุคคลทั้งคู่ไม่ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนแต่อย่างใด http://www.matichon.co.th/news_detail.ph...o&catid=no |
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)