จะขึ้นศาล หรือจะปฏิรูป? เส้นทางสู่กองทัพประชาธิปไตย
โดย สุรชาติ บำรุงสุข คอลัมน์ ยุทธบทความ
ในมติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 33 ฉบับที่ 1680 หน้า 36
"ไม่เพียงแต่ประชาชนเท่านั้นที่ต้องการลัทธิประชาธิปไตย กองทัพก็ต้องการลัทธิประชาธิปไตยเช่นเดียวกัน ระบอบประชาธิปไตยในกองทัพจะเป็นอาวุธที่สำคัญอย่างหนึ่งในการทำลายความเป็นกองทัพรับจ้างแบบศักดินา" ประธานเหมาเจ๋อตุง 25 พฤศจิกายน 1928
เมื่อวันศุกร์ที่ 21 กันยายน 2555 ที่ผ่านมา
หนึ่งในข่าวใหญ่ที่ปรากฏออกในสื่อทั่วโลกก็คือ
ศาลอาญาของประเทศตุรกีได้พิพากษาให้ทหารที่มีส่วนในการรัฐประหารเป็นจำนวน
ถึง 365 คน ถูกตัดสินจำคุก และส่วนหนึ่งของคำตัดสินนี้ส่งผลให้นายทหารเหล่านี้บางส่วนต้องถูกจำคุกเป็นเวลาสูงถึง 20 ปี แน่
นอนว่าคำตัดสินของศาลเช่นนี้ส่งผลโดยตรงให้บทบาทของทหารในการเมืองตุรกี
เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง
หรืออีกนัยหนึ่งคำตัดสินดังกล่าวทำให้อิทธิพลและอำนาจของทหารในการเมือง
ตุรกีลดลงโดยปริยาย ดัง
จะเห็นได้จากรูปธรรมของคำตัดสินที่อดีตผู้บัญชาการทหาร
อดีตผู้บัญชาการทหารเรือ และอดีตผู้บัญชาการทหารอากาศ
ถูกตัดสินโทษตลอดชีวิต และลดโทษเหลือเพียง 20 ปี
พร้อมกับนายทหารระดับนายพลอีก 6 คน ถูกตัดสินจำคุก 18 ปี
ซึ่งหากย้อนกลับไปสู่อดีต
คำตัดสินเช่นนี้เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย
แม้แต่จะคิดถึงเพียงเรื่องของการจับผู้นำทหารขึ้นศาลก็เป็นประเด็นที่เป็นไป
ไม่ได้แล้ว แต่
เมื่อเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นก็เท่ากับการบ่งบอกถึงระยะเปลี่ยนผ่านทางการ
เมืองของตุรกีก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาของ "การสร้างความเข้มแข็ง"
ให้แก่ระบอบประชาธิปไตย
ซึ่งอีกนัยหนึ่งก็คือก็บ่งบอกถึงความหมายในการสร้างความเข้มแข็งให้แก่ระบอบ
การเมืองแบบการเลือกตั้งให้เกิดขึ้นอย่างเป็นจริงให้ได้
และในกระบวนการเช่นนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า
การบริหารความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับกองทัพยังคงเป็นประเด็นสำคัญในกรณี
นี้ เพราะ
การจะทำให้กระบวนการของการสร้างความเข้มแข็งให้แก่ระบอบประชาธิปไตยเกิดขึ้น
ได้อย่างเป็นรูปธรรมนั้น
รัฐบาลพลเรือนจะต้องมีขีดความสามารถทางการเมืองที่ทฤษฎีในวิชารัฐศาสตร์
เรียกว่า "การควบคุมโดยพลเรือน"
ซึ่งตัวแบบที่เกิดขึ้นจากตุรกีก็คือการส่งสัญญาณถึงสมดุลของอำนาจในทางการ
เมืองที่เปลี่ยนแปลงไป สัญญาณ
ของปรากฏการณ์ดังกล่าวก็คือ
อำนาจทางการเมืองที่ถูกผูกขาดรวมศูนย์อยู่ในมือของผู้นำทหารนั้นได้ถูกส่ง
ผ่านมายังผู้นำรัฐบาลพลเรือนแล้ว
ดังนั้น
ปฏิบัติการของคำตัดสินของศาลในการจำคุกผู้นำทหารที่เคยมีบทบาทในการยึดอำนาจ
รัฐบาลพลเรือนตุรกี หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปในสังคมตุรกีว่า
"ปฏิบัติการค้อนเหล็ก" (The Sledgehammer)
ก็คือการส่งสัญญาณถึงทิศทางการเมืองใหม่ของประเทศ และเป็นการเมืองที่อำนาจเคลื่อนไปอยู่ในมือของผู้นำพลเรือนมากขึ้น
ผู้นำพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลกล่าวกับสำนักข่าว CNN
อย่างตรงไปตรงมาในกรณีนี้ว่า
"คำตัดสินของศาลคือการส่งสัญญาณอย่างชัดเจนถึงกองทัพว่า
เวลาของกองทัพในการเมืองนั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว" ดัง
นั้น การตัดสินของศาลในครั้งนี้ก็คือ การบอกว่า
"ใครก็ตามที่ต้องการโค่นล้มรัฐบาลประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้งในอนาคตจะ
ต้องคิดแล้วคิดอีก" เพราะอย่างน้อยสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ
แม้พวกเขาจะประสบความสำเร็จในการยึดอำนาจ แต่ก็มิได้หมายความว่า
ความสำเร็จดังกล่าวจะทำให้บรรดานายทหารทั้งหลายที่เกี่ยวข้องจะไม่ต้องถูก
ฟ้องร้องในศาล และที่สำคัญกว่านั้นก็คือ พวกเขาอาจถูกพิพากษาให้ต้องจำคุกได้
กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่าแม้จะรัฐประหารสำเร็จในวันนี้
แต่ก็อาจติดคุกได้ในวันหน้า
เพราะความสำเร็จในการยึดอำนาจไม่สามารถคุ้มครองให้กลุ่มทหารพ้นจากคำพิพากษา
ของศาลได้ กระบวน
การ "ค้อนเหล็ก" ในการสอบสวนคดีรัฐประหารของผู้นำทหารนั้น
เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2546
และว่าที่จริงการเริ่มการสอบสวนดังกล่าวก็คือสัญญาณที่บ่งบอกถึงการถดถอยของ
อำนาจของทหารในการเมืองตุรกี เพราะ
แต่เดิมนั้น อำนาจของกองทัพในการเมืองเป็นประเด็นที่แตะต้องไม่ได้เลย
และสำหรับผู้นำทหารแล้ว พวกเขาก็เป็นกลุ่มอำนาจที่แตะต้องไม่ได้เลยเช่นกัน ดัง
นั้น
คำตัดสินของศาลในครั้งนี้จึงเป็นเสมือนการเปิดประตูสู่การเมืองใหม่ของตุรกี
และเป็นการเมืองที่เดินคู่ขนานไปกับกระบวนการสร้างประชาธิปไตยของประเทศ จน
หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า
ปรากฏการณ์ครั้งนี้เป็นภาพสะท้อนอย่างสำคัญของการต่อสู้ระหว่างผู้นำทางโลก 2
กลุ่มของสังคมตุรกีคือ กลุ่มพลเรือนกับกลุ่มทหาร
และผลของคำตัดสินครั้งนี้ยังสะท้อนทิศทางใหม่ของการเมืองตุรกีที่ผู้นำ
พลเรือนมีอำนาจมากขึ้น ดัง
นั้น คงต้องยอมรับว่าจนถึงวันนี้ การเมืองตุรกีได้เปลี่ยนไปแล้ว
และเป็นการเมืองชุดใหม่ที่ยุคทองของทหารในการเมืองที่มาพร้อมกับการรัฐ
ประหารกำลังปิดฉากลงจริงๆ แล้วในการเมืองตุรกี
ระยะเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยของเกาหลีใต้ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อหลายปีที่ผ่าน
มา ก็มีปรากฏการณ์คล้ายๆ
กันที่มีการนำเอาผู้นำทหารขึ้นสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรม แต่ไม่ใช่เรื่องของการรัฐประหาร หากเป็นเรื่องของการคอร์รัปชั่น ซึ่ง
ก็คือการส่งสัญญาณถึงการสิ้นสุดอำนาจของทหารในการเมืองเกาหลีใต้เช่นกัน
เพราะหากย้อนกลับไปพิจารณาสถานการณ์ทางการเมืองในอดีต
ก็จะพบว่าเกาหลีใต้เป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารเป็น
ผู้ปกครอง และรัฐบาลทหารในเกาหลีใต้ก็อยู่อย่างยาวนานพอสมควร แต่จนถึงวันนี้ก็เห็นได้ชัดเจนว่า รัฐประหารเป็นสิ่งที่ไม่หวนกลับมาอีกแต่อย่างใด
หากเราเชื่อว่าปัจจัยภายนอกจากการคุกคามของคอมมิวนิสต์เป็นประเด็นสำคัญใน
การสร้างความชอบธรรมให้แก่กองทัพในการทำรัฐประหารแล้ว กอง
ทัพเกาหลีใต้ปัจจุบันกลับไม่สามารถอ้างความชอบธรรมดังกล่าวได้
แม้กองทัพเกาหลีเหนือจะเป็นภัยคุกคามที่ชัดเจน
ซึ่งมีทั้งขีปนาวุธพิสัยกลางติดหัวรบนิวเคลียร์ในรูปแบบต่างๆ แล้ว
ก็ยังมีกองทัพบกขนาดใหญ่โดยมีการจัดกำลังพลมากเป็นจำนวนถึง 27 กองพลและ 14
กองพลน้อยทหารราบ ในขณะที่กองทัพเกาหลีใต้มีกำลังพลทหารราบ 17 กองพล
เป็นต้น ดัง
นั้น แม้ว่าภัยคุกคามทางทหารจากภายนอกจะมีความชัดเจน
แต่ก็มิได้หมายความว่าภัยคุกคามนี้จะกลายเป็นปัจจัยที่ทำให้กองทัพเกาหลีใต้
หวนกลับสู่เวทีการเมืองอีกแต่อย่างใด ประกอบกับก็เห็นได้ชัดเจนถึงความเข้มแข็งของรัฐบาลพลเรือนหลังจากการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยที่เกิดขึ้น
และจนถึงวันนี้ต้องยอมรับว่าการเปลี่ยนผ่านดังกล่าวได้สร้างความเข้มแข็งให้แก่ระบอบประชาธิปไตยแล้ว ดัง
จะเห็นได้ว่าเกาหลีใต้เป็นประเทศหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในการสร้าง
ประชาธิปไตยที่ทำให้บทบาทการแทรกแซงทางการเมืองของทหารสิ้นสุดลงจริงๆ หรือ
อย่างน้อยก็เห็นได้ชัดเจนว่า
สังคมเกาหลีใต้ที่ต้องเผชิญกับภัยคุกคามของเกาหลีเหนือก็มิได้ออกมาเรียก
ร้องให้กองทัพเกาหลีใต้กลับมาเป็น "ผู้ปกป้อง"
ทางการเมืองด้วยการจัดตั้งรัฐบาลทหารอีกแต่อย่างใด
ในประเทศเพื่อนบ้านของไทยที่ผ่านประสบการณ์ของการรัฐประหารมาอย่างโชกโชน
เช่น ในกรณีของอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ก็เปลี่ยนแปลงไป
แต่หากย้อนกลับไปในอดีตจะพบว่ากองทัพของทั้งสองประเทศมีบทบาทอย่างมากในทาง
การเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของอินโดนีเซียนั้นถือได้ว่า
รัฐบาลทหารของประธานาธิบดีซูฮาร์โตเป็นหนึ่งในระบอบการปกครองของทหารที่มี
อายุยาวนานของโลก แต่
ด้วยผลพวงจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นแก่ประเทศไทย
และส่งผลกระทบทั่วทั้งภูมิภาคจนกลายเป็นวิกฤตทางการเมือง
และทำให้รัฐบาลทหารของอินโดนีเซียต้องยุติบทบาทไปในปี 2540
แม้จะมีข่าวลือเกี่ยวกับความพยายามของทหารในการหวนกลับสู่การยึดอำนาจใน
จาการ์ตา แต่ก็เห็นได้ว่าข่าวดังกล่าวเป็นเพียง "ข่าวลือ" และ
จวบจนปัจจุบันรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งก็ยังปฏิบัติหน้าที่เป็น
ปกติ และกล่าวได้ว่า
ระยะเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยในอินโดนีเซียสิ้นสุดลงจนสามารถสร้างความเข้ม
แข็งให้แก่ระบอบการปกครองของพลเรือน
จนเรื่องของทหารกับการแทรกแซงทางการเมืองในอินโดนีเซียน่าจะเป็นสิ่งที่สิ้น
สุดไปแล้ว
ในกรณีของกองทัพฟิลิปปินส์ก็เป็นในทิศทางเดียวกัน
ทหารในอดีตจะถูกใช้เป็นฐานอำนาจของรัฐบาลเผด็จการของประธานาธิบดีมาร์คอส
แม้รัฐบาลมาร์กอสจะสามารถควบคุมกองทัพได้
และรัฐประหารเป็นเรื่องที่ไม่เกิดในมะนิลา
แต่หลังจากการโค่นล้มรัฐบาลเผด็จการแล้ว ก็เช่นเดียวกับในหลายๆ
กรณีที่ในช่วงระยะเวลาของการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยล้วนเต็มไปด้วยข่าว
ลือของการรัฐประหาร แต่จนแล้วจนรอด
รัฐประหารก็เป็นเพียงข่าวลือท่ามกลางปัญหาการเมืองในมะนิลา นอก
จากนี้ ทั้งในกรณีของฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียนั้น
รัฐบาลประชาธิปไตยของประเทศทั้งสองยังได้สร้างหลักประกันเพื่อให้การเมือง
พลเรือนไม่ถูกโค่นล้มจากการยึดอำนาจของทหารอีก โดย
มีการสร้างกระบวนการ "ปฏิรูปภาคความมั่นคง" (Security Sector Reform หรือ
"SSR")
เพื่อให้กองทัพอยู่ภายในกรอบการเมืองของระบอบประชาธิปไตยแบบการเลือกตั้ง
แนวคิดเรื่องการปฏิรูปภาคความมั่นคงเป็นเรื่องใหม่
เพราะไม่ใช่แต่เพียงข้อเสนอในการปฏิรูปกองทัพเท่านั้น
หากแต่การปฏิรูปได้พุ่งเป้าไปสู่องค์กรความมั่นคงทั้งหมด ทั้งกองทัพ ตำรวจ
ระบบยุติธรรม ซึ่งรวมถึงงานอัยการและงานราชทัณฑ์
ตลอดรวมทั้งหน่วยข่าวกรองอีกด้วย แนว
คิดเช่นนี้เป็นกระแสหลักประการหนึ่งของยุคหลังสงครามเย็น
ที่ต้องการผลักดันให้เกิดการปฏิรูปแก่หน่วยงานความมั่นคงทั้งระบบ
และหวังว่าการปฏิรูปดังกล่าวจะมีส่วนโดยตรงต่อการสร้างความเข้มแข็งให้แก่
ระบอบประชาธิปไตย ตัวอย่างของการปฏิรูปภาคความมั่นคงในฟิลิปปินส์ทำให้เห็นชัดเจนถึงการควบคุมโดยพลเรือนตามทฤษฎีของวิชารัฐศาสตร์
กล่าวคือ กองทัพอยู่ภายใต้การกำกับดูแลโดยประธานาธิบดี
(ซึ่งรวมถึงรัฐมนตรีกลาโหมพลเรือน) โดยรัฐสภา และโดยสภาความมั่นคงแห่งชาติ
และนอกจากนี้การกำกับยังเกิดขึ้นจากองค์กรที่ไม่ได้อยู่ในสายงานราชการโดย
ตรง ได้แก่ การกำกับโดยองค์กรในภาคประชาสังคม เช่น
บทบาทในการตรวจสอบกองทัพโดยสื่อมวลชน
หรือการตรวจสอบที่เกิดขึ้นโดยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน เป็นต้น ภาพอย่างสังเขปของการปฏิรูปภาคความมั่นคงในฟิลิปปินส์สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า โอกาสของการรัฐประหารน่าจะจบลงแล้ว
เช่นเดียวกับกรณีของกองทัพอินโดนีเซียซึ่งก็อยู่ภายใต้กระบวนการของการปฏิรูปภาคความมั่นคงไม่แตกต่างกัน ซึ่ง
ผลของการปฏิรูปเช่นนี้ไม่แต่เพียงทำให้กองทัพอินโดนีเซียซึ่งเคยมีความแข็ง
แกร่งอย่างมากในทางการเมือง แต่วันนี้กลับยอมรับการควบคุมโดยพลเรือน
และทั้งยังยอมรับอย่างมีนัยสำคัญว่า
ยุทธศาสตร์ใหญ่ของการป้องกันประเทศของอินโดนีเซียเป็นเรื่องของการตัดสินใจ
ทางการเมืองของประธานาธิบดีพลเรือนและองค์กรด้านนิติบัญญัติของประเทศ โดยการตัดสินใจเช่นนี้วางอยู่บนพื้นฐานของหลักความสัมพันธ์พลเรือน-ทหารที่เป็นประชาธิปไตย
ผลพวงของการปฏิรูปดังกล่าวผสมกับการขับเคลื่อนของระยะเปลี่ยนผ่านสู่
ประชาธิปไตยในอินโดนีเซีย ทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่า
โอกาสของการยึดอำนาจในกรุงจาการ์ตาเป็นเรื่องที่ห่างไกลอย่างมาก ซึ่ง
ก็คือการเปิดโอกาสให้กระบวนการสร้างความเข้มแข็งของระบอบประชาธิปไตยเดิน
หน้าไปสู่ความสำเร็จไม่แตกต่างจากกรณีของฟิลิปปินส์
และว่าที่จริงก็ไม่แตกต่างจากกรณีของตุรกีและเกาหลีใต้
แต่ในกรณีของไทย ปัญหาทหารกับการเมืองยังต่างจากตัวแบบในข้างต้นอย่างมาก
โอกาสของการรัฐประหารยังเป็นสิ่งที่ถูกพูดถึงในเวทีการเมืองที่กรุงเทพฯ อยู่เสมอๆ
จนทำให้ต้องตระหนักว่า
หนึ่งในปัญหาสำคัญที่ตกทอดมาจากบทบาทของทหารกับการเมืองไทยในอดีตที่ถูกผนวก
อย่างมีนัยสำคัญกับผลของรัฐประหาร 2549 ก็คือปัญหาทหารกับการเมืองไทย
ซึ่งจนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่า แล้วปัญหานี้จะจบลงอย่างไรในอนาคต...!
|