‘เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง’ นำรณรงค์ล่ารายชื่อ ‘มหาวิทยาลัยไม่ใช่ค่ายทหาร ประเทศไม่ใช่ค่ายกักกัน’ ร้องรัฐบาลทหารหยุดดำเนินคดี-คุกคามการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองของประชาชน และคืนอำนาจ
2 ธ.ค.2558 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่เว็บไซต์ change.org เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง (Thai Academics for Civil Rights) ได้ตั้งการรณรงค์เพื่อล่ารายชื่อภายใต้หัวข้อ ‘มหาวิทยาลัยไม่ใช่ค่ายทหาร ประเทศไม่ใช่ค่ายกักกัน’ เพื่อเรียกร้องต่อรัฐบาลทหาร คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และอธิการบดีมหาวิทยาลัย เพื่อเรียร้องให้ยุติการกระทำอันละเมิดต่อสิทธิมนุษยชนในทันทีอย่างไม่มีเงื่อนไข
โดยการรณรงค์ระบุว่า คำสั่ง คสช. ไม่ชอบด้วยกฎหมายนับตั้งแต่ต้น เพราะเป็นผลของการละเมิดรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ขาดความชอบธรรมด้วยไม่ได้รับการยินยอมจากประชาชนจำนวนมาก อีกทั้งยังขัดกับกฎหมายระหว่างประเทศที่รับรองสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน
นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้ รัฐบาลทหาร และ คสช. ต้องหยุดการดำเนินคดีและการข่มขู่คุกคามการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองโดยสุจริตและอย่างสันติของประชาชน นักวิชาการนักศึกษา และสื่อมวลชน เครือข่ายประชาชนเห็นว่าการใช้วาทกรรม “ปรับทัศนคติ” นั้นส่อเจตนารมณ์ของการใช้อำนาจเผด็จการบังคับชี้นำรัฐบาลทหารและ คสช. ควรที่จะเรียนรู้วิถีทางประชาธิปไตยโดยใช้วิธีการ “แลกเปลี่ยนทัศนคติ” กับประชาชนที่มีความคิดเห็นแตกต่างอย่างเปิดเผย ทั่วหน้าและเสมอภาค อันจะนำมาซึ่งความสุขสงบและความมั่นคงของสังคมอย่างแท้จริง
“รัฐบาลทหารและ คสช. ต้องคืนอำนาจให้ประชาชน เลิกใช้วิธีการร่างรัฐธรรมนูญที่มีประเด็นแอบแฝงซ่อนเร้น สร้างเงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรมหรือใช้กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญที่ประชาชนไม่อาจยอมรับได้ มาถ่วงเวลายื้อยืดอำนาจของตนเอง รัฐบาลทหารและ คสช. พึงยอมรับความจริงว่า ช่วงเวลาปีกว่าที่ผ่านมาได้แสดงให้พลเมืองเห็นแล้วว่า รัฐบาลทหารไม่มีความสามารถ ไม่มีความจริงใจและไม่มีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาของประเทศจริงๆ อีกทั้งกลับทำให้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเลวร้ายยิ่งขึ้นกว่าเดิม” เนื้อหาในการรณรงค์ระบุ
สำหรับกลุ่มที่ลงชื่อนอกจากเครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง แล้วยังมี กลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท กลุ่มประชาคมจุฬาฯเพื่อประชาชน Chulalongkorn Community for the People (CCP) กลุ่มประชาธิปไตยศึกษา กลุ่มเพื่อประชาธิปไตยและความหลากหลายทางเพศ กลุ่มแม่โจ้เสรีเพื่อประชาธิปไตย กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (เอฟทีเอ ว็อชท์) กลุ่มเสรีนนทรี ม.เกษตรศาสตร์ กลุ่ม ANTI SOTUS ขบวนการประชาธิปไตยใหม่ ขบวนการอีสานใหม่ ชุมชนนักกิจกรรมภาคเหนือ ปาตานีฟอรั่ม พลเมืองโต้กลับ พลเมืองเสมอกัน สมัชชาคนจน และ สมัชชาเสรีแห่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เพื่อประชาธิปไตย รวมทั้งยังเปิดรับลงรายชื่อในฐานะปัจเจคด้วย (ดู)
สำหรับรายละเอียดการรณรงค์หรือแถลงการณ์มีดังนี้
แถลงการณ์ของเครือข่ายประชาชนเพื่อสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
“มหาวิทยาลัยไม่ใช่ค่ายทหาร ประเทศไม่ใช่ค่ายกักกัน”
นับตั้งแต่รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา รัฐบาลทหารมีพฤติการณ์ในการข่มขู่และปราบปรามการแสดงความคิดเห็นของพลเมืองอย่างรุนแรงชัดเจน มีทั้งการเรียกตัวประชาชน อาจารย์ นักศึกษาและสื่อมวลชน ไปเข้าค่ายทหารภายใต้วาทกรรม “ปรับทัศนคติ” การส่งเจ้าหน้าที่ทหารและเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าคุกคามบุคคลต่างๆ ตามสถานที่ทำงาน ที่พักอาศัยและสถานศึกษา การปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นในรูปแบบนานาประการ การนำตัวพลเรือนขึ้นศาลทหาร การตัดสินโทษหนักโดยไม่ได้สัดส่วนกับความผิดที่มีตามจริง การไม่ยินยอมให้สาธารณะตรวจสอบการดำเนินโครงการอันไม่ชอบธรรมของทหารหรือมีเงื่อนงำทุจริตของรัฐบาลทหาร ตลอดจนกระทั่งการปฏิบัติตนของผู้นำรัฐบาลทหาร ซึ่งแสดงออกต่อสาธารณชนด้วยท่าที วาจาและการกระทำอันหยาบคายไร้มารยาท
เครือข่ายประชาชน เครือข่ายคณาจารย์และเครือข่ายนักศึกษาดังรายนามข้างล่างนี้ จึงใคร่ขอเชิญชวนประชาชนทั่วไปร่วมกันลงชื่อเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลทหารและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยุติการกระทำอันละเมิดต่อสิทธิมนุษยชนในทันทีอย่างไม่มีเงื่อนไข ด้วยเหตุผลที่ชอบธรรมดังนี้
1. คำสั่ง คสช. ไม่ชอบด้วยกฎหมายนับตั้งแต่ต้น เพราะเป็นผลของการละเมิดรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ขาดความชอบธรรมด้วยไม่ได้รับการยินยอมจากประชาชนจำนวนมาก อีกทั้งยังขัดกับกฎหมายระหว่างประเทศที่รับรองสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน รัฐบาลทหารจึงไม่สามารถอาศัยคำสั่ง คสช. ซึ่งผิดกฎหมายเป็นเกณฑ์ในการกล่าวหาว่าบุคคลกระทำผิดกฎหมายหรืออาศัยเป็นหลักหมายเพื่อให้บุคคลประพฤติปฏิบัติตามได้ การกล่าวหาว่าประชาชน นักวิชาการ นักศึกษา และสื่อมวลชน ไม่เคารพหรือทำผิดกฎหมายโดยอาศัยคำสั่ง คสช. จึงสะท้อนให้เห็นถึงการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จ ที่ขัดต่อหลักกฎหมายของประเทศและระหว่างประเทศ
2. การเปิดโอกาสให้บุคคลได้แสดงความคิดเห็นที่แตกต่างหลากหลายเป็นคุณลักษณะพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย หาได้เป็นความสับสนวุ่นวายอย่างที่รัฐบาลทหารกล่าวหา การแสดงความเห็นของประชาชน นักวิชาการ นักศึกษา และสื่อมวลชน ด้วยการเสนอข้อมูลอย่างสันติและไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่นนั้น เป็นไปเพื่อให้สังคมมีมุมมองรอบด้านและแสวงหาทางออกร่วมกัน ดังที่เคยเป็นมาในรัฐบาลประชาธิปไตย วิถีทางประชาธิปไตยไม่ได้เป็นเหตุแห่งความสับสนวุ่นวายแต่อย่างใด รัฐบาลที่ใช้อำนาจเผด็จการโดยไม่ยอมฟังเสียงพลเมืองของตนย่อมขัดต่อหลักการประชาธิปไตย
3. รัฐบาลทหาร และ คสช. ต้องหยุดการดำเนินคดีและการข่มขู่คุกคามการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองโดยสุจริตและอย่างสันติของประชาชน นักวิชาการนักศึกษา และสื่อมวลชน เครือข่ายประชาชนเห็นว่าการใช้วาทกรรม “ปรับทัศนคติ” นั้นส่อเจตนารมณ์ของการใช้อำนาจเผด็จการบังคับชี้นำรัฐบาลทหารและ คสช. ควรที่จะเรียนรู้วิถีทางประชาธิปไตยโดยใช้วิธีการ “แลกเปลี่ยนทัศนคติ” กับประชาชนที่มีความคิดเห็นแตกต่างอย่างเปิดเผย ทั่วหน้าและเสมอภาค อันจะนำมาซึ่งความสุขสงบและความมั่นคงของสังคมอย่างแท้จริง
4. รัฐบาลทหารและ คสช. ต้องคืนอำนาจให้ประชาชน เลิกใช้วิธีการร่างรัฐธรรมนูญที่มีประเด็นแอบแฝงซ่อนเร้น สร้างเงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรมหรือใช้กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญที่ประชาชนไม่อาจยอมรับได้ มาถ่วงเวลายื้อยืดอำนาจของตนเอง รัฐบาลทหารและ คสช. พึงยอมรับความจริงว่า ช่วงเวลาปีกว่าที่ผ่านมาได้แสดงให้พลเมืองเห็นแล้วว่า รัฐบาลทหารไม่มีความสามารถ ไม่มีความจริงใจและไม่มีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาของประเทศจริงๆ อีกทั้งกลับทำให้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเลวร้ายยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ดังนั้น เราขอประกาศว่า “มหาวิทยาลัยไม่ใช่ค่ายทหาร” หากแต่เป็นสถานที่แสวงหาความรู้ แลกเปลี่ยนถกเถียงกันบนพื้นฐานของการใช้เหตุผลและข้อเท็จจริง นำมาซึ่งความรู้ใหม่ เพิ่มพูนสติปัญญาเพื่อรับรู้โลกที่เปลี่ยนแปลงไปและแก้ไขปัญหาของประเทศชาติ ในการแสวงหาความรู้และการแสดงความคิดเห็นจำเป็นจะต้องมีเสรีภาพเป็นปัจจัยพื้นฐาน การที่รัฐบาลทหาร และ คสช. พยายามยัดเยียดให้สถานศึกษาบรรจุวิชายกย่องเชิดชูทหารจึงเป็นแนวคิดที่ขัดแย้งกับหลักสิทธิเสรีภาพในการศึกษาอย่างแท้จริง การกระทำเช่นนี้นับได้ว่าเป็นการใช้อำนาจเผด็จการเพื่อสร้างการครอบงำความคิดเห็นของพลเมือง
เราขอประกาศอีกว่า “ประเทศไม่ใช่ค่ายกักกัน” ประชาชนมีความหลากหลายทางความเชื่อและความคิดทางการเมือง หนทางที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขคือ การมีเสรีภาพในความเชื่อและการแสดงความคิดเห็นด้วยหลักเหตุผลประกอบข้อเท็จจริง การปฏิบัติต่อประชาชนประดุจผู้ถูกกักกันด้วยการปลูกฝังอุดมการณ์หรือความเชื่อหนึ่งๆ เพื่อครอบงำสังคมทั้งหมดภายใต้โครงสร้างอำนาจของคนบางกลุ่ม ด้วยวิธีการปิดหูปิดตา บังคับข่มขู่ คุกคามด้วยอำนาจกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมให้ผู้เห็นต่างยุติการแสดงความคิดเห็นนั้น รังแต่จะนำมาซึ่งความขัดแย้งมากขึ้น และไม่สามารถนำพาสังคมไปสู่ความเสมอภาค เสรีภาพ ประชาธิปไตย ความเป็นธรรม และสันติสุขได้อย่างแน่นอน
ลงชื่อ
เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง (Thai Academics for Civil Rights)
กลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท
กลุ่มประชาคมจุฬาฯเพื่อประชาชน Chulalongkorn Community for the People (CCP)
กลุ่มประชาธิปไตยศึกษา
กลุ่มเพื่อประชาธิปไตยและความหลากหลายทางเพศ
กลุ่มแม่โจ้เสรีเพื่อประชาธิปไตย
กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (เอฟทีเอ ว็อชท์)
กลุ่มเสรีนนทรี ม.เกษตรศาสตร์
กลุ่ม ANTI SOTUS
ขบวนการประชาธิปไตยใหม่
ขบวนการอีสานใหม่
ชุมชนนักกิจกรรมภาคเหนือ
ปาตานีฟอรั่ม
พลเมืองโต้กลับ
พลเมืองเสมอกัน
สมัชชาคนจน
สมัชชาเสรีแห่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เพื่อประชาธิปไตย
|