ทำความเข้าใจเรื่องคำร้องไอซีซีกรณีประเทศไทย
วันที่ 2 พฤศจิกายน 2555
(go6TV) นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ได้เขียนบทความลงในเว็บไซต์โรเบิร์ตอัมสเตอร์ดัม แสดงเหตุผลถึงความสำคัญและจำเป็นที่ประเทศไทยควรลงนามประกาศรับรองเขตอำนาจศาลเฉพาะกรณีเหตุการณ์เมษายน-พฤษภาคม 2553 ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้
“รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทย
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุลจะเข้าพบหัวหน้าอัยการศาลอาญาระหว่างประเทศ (ไอซีซี)
มาดามฟาทู เบนซูดาในวันนี้ ( 1 พ.ย.)
เพื่อพูดคุยเรื่องความเป็นไปได้ในการเปิดการสอบสวนกรณีเหตุการณ์การชุมนุมในเดือนเมษายนและพฤษภาคม
ปี 2553
รายละเอียดข้างล่างคือคำถามที่มีการถามกันบ่อยครั้งเกี่ยวความเป็นไปได้ที่ประเทศไทยจะขยายเขตอำนาจพิจารณาคดีของไอซีซี
คำถามที่ถามบ่อยครั้ง
คำถาม:
ไอซีซีคืออะไรและทำไมอัยการถึงมาประเทศไทย?
คำตอบ:
ไอซีซีตั้งอยู่ ณ กรุงเฮก และจัดตั้งโดยสนธิสัญญาที่เรียกว่าธรรมนูญแห่งกรุงโรม
ซึ่งประเทศไทยได้ลงนามแต่มิได้ให้สัตยาบัณดังนั้นประเทศไทยจึงมิใช่ภาคีต่อสนธิสัญญาดังกล่าว ทนายความนปช.
นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัมยื่นคำร้องต่ออัยการไอซีซีเมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ.2554 โดยร้องขอให้ไอซีซีเปิดการสอบสวนเบื้องต้นในกรณีเหตุการณ์ชุมนุมที่เกิดขึ้นในประเทศไทยระหว่างเดือนเมษายนและพฤษภาคม
พ.ศ. 2553 ซึ่งมีพลเรือน98 รายถูกสังหารและถูกทำร้ายกว่า 2,000 รายโดยกองทัพไทย
คำร้องระบุว่ามีการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติต่อผู้ชุมนุมที่เป็นพลเรือน
และะในคำร้องเกี่ยวกับประเทศไทยได้กล่าวถึงการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติเท่านั้น
โดยไม่มีหลักพื้นฐานใดที่กล่าวถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธ์หรืออาชญากรรมสงคราม
คำถาม:เมื่อประเทศไทยมิใช่ภาคีของสนธิสัญญาก่อตั้งไอซีซีแล้ว
ไอซีซีจะสอบสวนกรณีการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติที่อ้างถึงและเกิดขึ้นในประเทศไทยได้อย่างไร?
คำตอบ:
ในกรณีนี้ อำนาจพิจารณาของไอซีซีสามารถจัดตั้งขึ้นได้สองประการ
ประการแรก
ไอซีซีสามารถใช้อำนาจพิจารณาคดีเหนือบุคคลต่อนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะภายใต้มาตรา 12.2(b) ของธรรมนูญโรม เนื่องจากเขาเป็นพลเมืองอังกฤษ ซึ่งเป็นภาคีกับไอซีซี
ประการที่สอง
มาตรา 12.3 ได้
ให้อำนาจรัฐที่มิได้เป็นภาคีกับไอซีซี อย่างเช่นประเทศไทย
ให้ทำการยอมรับอำนาจพิจารณาคดีของไอซีซีบนหลักการของการยอมรับให้ไอซีซี
พิจารณาเป็นเฉพาะคดีไป
โดยการประกาศยอมรับอำนาจของไอซีซี
ขณะนี้รัฐบาลไทยกำลังพิจารณาว่าจะประกาศยอมรับอำนาจของไอซีซีเพื่อให้ไอซีซี
ทำการการสอบสวนกรณีการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติที่กล่วงอ้างในปี 2553 หรือไม่
คำถาม:คำประกาศดังกล่าวเป็นการกล่าวหาผู้ใดว่ากระทำอาชญากรรมหรือไม่?
คำตอบ:
ไม่ใช่
มันเป็นเพียงการอนุญาตให้ไอซีซีเข้ามาพิจารณาว่ามีใครหรือกลุ่มบุคคลใดบ่างที่ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาตินับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2553 หรือไม่เท่านั้น
คำถาม:
คำประกาศดังกล่าวเป็นการส่งต่อความรับผิดชอบให้แก่ไอซีซีในการสอบสวนอาชญากรรมต่อมนุษยชาติใช่หรือไม่?
คำตอบ:
ไม่ใช่ ประเทศไทยจะยังคงต้องรับผิดชอบเป็นลำดับแรกในการสอบสวน และหากเหมาะสม
ต้องดำเนินคดีต่อคนที่ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ
ไอซีซีสามารถสอบสวนหรือดำเนินคดีหากเจ้าหน้าที่รัฐไทยไม่สามารถหรือไม่เต็มใจที่จะทำเช่นนั้นเท่านั้น
คำถาม:
แล้วหากเป็นเช่นนั้น
เหตุใดจึงต้องยอมรับอำนาจพิจารณาคดีของไอซีซีต่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติที่กล่าวอ้าง?
คำ
ตอบ:
คำประกาศดังกล่าวทำให้อัยการไอซีซีสามารถเปิดการตรวจสอบเบื้องต้นได้
การตรวจสอบดังกล่าวทำให้อัยการสามารถเข้าร่วมกับกระบวนการพูดคุยกับเจ้า
หน้าที่รัฐไทยเกี่ยวกับความคืบหน้าของการสอบสวนและดำเนินคดีในประเทศไทยหาก
อัยการสรุปว่าความยุติธรรมไม่ได้บังเกิดขึ้นในประเทศไทย
อัยการสามารถเข้ามาดำเนินการได้
คำถาม:
ดังนั้นอัยการสามารถสอบสวนและดำเนินคดีต่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติที่กล่าวอ้างได้หรือไม่?
คำตอบ:
อัยการสามารถเปิดการสอบสวนเต็มขั้นได้ในสองกรณีเท่านั้น
กรณีแรก
อัยการต้องแจ้งต่อประเทศไทยถึงเจตจำนงค์ในการเปิดการสอบสวนเบื้องต้น
ประเทศไทยมีเวลาหนึ่งในการตอบรับ
ประเทศไทยสามารถเลือกที่จะยอมให้อัยการเข้ามาทำการสอบสวน
อีกทางเลือกหนึ่งคือ
ประเทศไทยสามารถปฏิเสธและยืนยันสิทธิของเจ้าหน้าที่รัฐไทยในการสอบสวนคดีดัง
กล่าวก็ได้
ทำให้อัยการไอซีซีไม่มีอำนาจเปิดการสอบสวนแบบเต็มขั้น นอกเสียจากว่า
อัยการจะได้รับอนุญาติจากผู้พิพากษาไอซีซี
อัยการต้องพิสูจน์ให้ผู้พิพากษาเห็นว่า
การสอบสวนในประเทศไทยไม่ได้เป็นไปในแนวทางเพื่อแสวงหาความยุติธรรม
ประเทศไทยจะได้รับโอกาสชี้แจงต่อผู้พิพากษาไอซีซีสามคนเพื่อนำเสนอเหตุผลใน
การปฏิเสธ
หากผู้พิพากษาตัดสินตามคำร้องขอของอัยการไอซีซี
ประเทศไทยสามารถอุทธรณ์ต่อองค์คณะของผู้พิพากษาชั้นอุทรณ์ของไอซีซี
กรณีที่สอง
แม้ประเทศไทยจะไม่ปฏิเสธ อัยการไอซีซียังไม่สามารถเปิดการสอบสวนแบบเต็มขั้นได้
นอกจากอัยการจะได้รับความเห็นชอบจากองค์คณะผู้พิพากษาไอซีซีสามคนเสียก่อน
หากไม่มีความเห็นชอบดังกล่าว อัยการสามารถเปิดทำการตรวจสอบเบื้องต้นได้เท่านั้น
โดยสรุปคือ
การประกาศยอมรับอำนาจศาลไอซีซีของรัฐบาลภายใต้มาตรา 12.3 เป็นเพียงการเปิดประตูให้กับกระบวนการการพูดคุยอย่างต่อเนื่องระหว่างประเทศไทยและไอซีซีเท่านั้น
มันเป็นเพียงแค่การเริ่มต้น ไม่ใช่จุดจบ
คำถาม:
อะไรคือการตรวจสอบเบื้องต้น?
คำตอบ:
การตรวจสอบเบื้องต้นคือก้าวแรกที่ออกแบบมาเพื่อกำหนดว่าอัยการไอซีซีควรขอ
ความเห็นชอบจากผู้พิพากษาไอซีซีก่อนว่าจะเปิดการสอบสวนแบบเต็มขั้นหรือไม่
ในการตรวจสอบเบื้องต้น
อัยการไอซีซีสามารถพิจารณาติดตามความคืบหน้าการสอบสวนและการดำเนินคดีใน
ประเทศไทย
อัยการสามารถทำการไต่สวนอย่างจำกัดว่าอาชญากรรมต่อมนุษยชาติเกิดขึ้นจริง
หรือไม่
การตรวจสอบเบื้องต้นจะไม่แทรกแซงการสอบสวนหรือดำเนินคดีอาชญากรรมในประเทศ
ไทย
กระบวนการในไทยสามารถเดินหน้าไปได้ในเวลาเดียวกัน
คำถาม:
หากรัฐบาลไทยประกาศยอมรับอำนาจพิจารณาคดีของศาลไอซีซี
อัยการจะเปิดการตรวจสอบเบื้องต้นหรือไม่?
คำตอบ:
อัยการจะต้องเป็นผู้ตัดสินเอง อย่างไรก็ตาม
หากประเทศไทยยอมรับอำนาจพิจารณาคดีของศาลไอซีซี
เราเข้าใจว่าอัยการจะเปิดการตรวจสอบเบื้องต้นต่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติที่กล่าวอ้างอันเกิดขึ้นในปี 2553
คำถาม:
อัยการไอซีซีสามารถทำอะไรได้บ้างในการตรวจสอบเบื้องต้น?
คำตอบ:
อัยการสามารถวิเคราะห์ข้อมูลที่ส่งให้อัยการโดยสมัครใจ
อัยการสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมบนพื้นฐานของความสมัครใจจากรัฐบาลไทยหรือรัฐบาลต่างชาติ
จากองค์กรสหประชาชาติ และจากองค์กรเอกชน หรือองค์กรรัฐบาลสากล นอกจากนี้
อัยการสามารถรับคำให้การที่เสนอให้โดยความสมัตรใจในกรุงเฮก และจากข้อมูลทั้งหมดนี้
อัยการสามารถตัดสินว่ามีหลักพื้นฐานอันสมเหตุสมผลที่จะเปิดการสอบสวนอย่างเต็มขั้นหรือไม่
คำถาม:
อัยการไม่มีอำนาจทำอะไรในการตรวจสอบเบื้องต้น?
คำตอบ:
ในการตรวจสอบเบื้องต้น อัยการไอซีซีไม่สามารถเรียกร้องให้รัฐบาลส่งตัวพยาน
และไม่สามารถสัมภาษณ์หรือทำการสอบสวนในประเทศไทยได้ หากอัยการเชื่อว่า
การกระทำดังกล่าวมีความจำเป็น
อัยการต้องแจ้งให้ประเทศไทยทราบและขอความเห็นชอบจากผู้พิพากษาไอซีซีให้เปิดการสอบสวนแบบเต็มขั้นตามที่อธิบายในข้างต้น
คำถาม:การตรวจสอบเบื้องต้นใช้เวลานานเท่าไร?
คำตอบ:
ไม่มีกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน อาจใช้เวลาหลายเดือน
หากอัยการไอซีซีตัดสินว่าจะให้รัฐไทยทำการสอบสวนดังกล่าวเอง อาจต้องใช้เวลาหลายปี
คำถาม:
เป็นไปได้หรือไม่ที่อัยการไอซีซีอาจไม่ร้องขอให้เปิดการสอบสวนแบบเต็มขั้น?
คำตอบ:
เป็นไปได้ หากเกิดความยุติธรรมขึ้นในประเทศไทยแล้ว
เพราะไม่มีความจำเป็นที่อัยการไอซีซีจะต้องร้องขอให้มีการเปิดการสอบสวนแบบเต็มขั้น
คำถาม:
หากอัยการร้องขอให้เปิดการสอบสวนอย่างเต็มขั้น
และสรุปว่ามีผู้ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติขึ้น อัยการสามารถแจ้งข้อหาทางอาญาต่อบุคคลเหล่านั้นได้หรือไม่?
คำตอบ:
ไม่ได้ ขั้นแรกเลยอัยการต้องขอความเห็นชอบจากผู้พิพากษาไอซีซีเสียก่อน
ผู้ที่ถูกกล่าวหาและรัฐบาลไทยจะได้รับโอกาสชี้แจงและปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าวต่อศาล
หากผู้พิพากษาไอซีซีสามคนตัดสินว่าคำปฏิเสธนั้นฟังไม่ขึ้น พวกเขาสามารถอุทรณ์ต่อองค์คณะผู้พิพากษาอุทรณ์ไอซีซีห้าคนได้
คำถาม:
หากผู้พิพาพากษาไอซีซีเห็นชอบให้อัยการแจ้งข้อหาได้
อัยการสามารถสั่งจับกุมบุคคลนั้นได้หรือไม่?
คำตอบ:
ไม่ได้
มีเพียงผู้พิพากษาไอซีซีเท่านั้นที่สามารถสั่งให้จับกุมบุคคลที่ถูกกล่าวหาได้
คำถาม:
หากผู้พิพากษาไอซีซีออกหมายจับ
ประเทศไทยจะต้องจับกุมและส่งตัวบุคคลที่ถูกกล่าวหาให้ไอซีซีใช่หรือไม่?
คำตอบ:
ใช่เพราะตามข้อตกลงทางตุลาการ
โดยการประกาศว่าจะยอมรับอำนาจพิจารณาคดีของไอซีซีต่อกรณีอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ
ประเทศไทยจึงยอมรับที่จะให้ความร่วมมือกับไอซีซี อย่างไรก็ตาม
ผู้ที่ถูกจับกุมมีสิทธิที่จะโต้แย้งเรื่องความชอบด้วยกฎหมายของการจับกุมนั้นต่อศาลไทยเป็นลำดับแรก
และหลังจากนั้นต่อผู้พิพากษาไอซีซี หลังจากที่เขาถูกส่งตัวไปยังกรุงเฮกแล้ว
คำถาม:
การดำเนินคดีของไอซีซีจะเป็นไปอย่างยุติธรรมหรือไม่?
คำตอบ:
มีความเป็นธรรม
เพราะผู้พิพากษาไอซีซีเป็นผู้เชี่ยวชาญอิสระทางกฎหมายอาญาและกฎหมายระหว่างประเทศ
เลือกโดยรัฐบาลจากประเทศมากกว่า120 ประเทศที่เป็นภาคีกับไอซีซี
ผู้ถูกกล่าวหามีสิทธิที่จะแก้ต่างต่อศาลไอซีซีโดยใช้ทนายของตนเอง
และจะได้รับความเป็นธรรมในสิทธิการพิจารณาคดีซึ่งกฎหมายระหว่างประเทศให้การยอมรับ
ผู้ถูกกล่าวหาทุกรายจะถูกสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์
พวกเขาจะไม่ถูกตัดสินว่ามีความผิดได้นอกจากจะมีการพิสูจน์ว่าพวกเขากระทำผิดอย่างแน่แท้
และหากถูกตัดสินว่ามีความผิด
ผู้ถูกกล่าวหามีสิทธิที่จะอุทรณ์ต่อองค์คณะผู้พิพากษาอุทรณ์ไอซีซีห้าคน
คำถาม:
รัฐบาลไทยต้องได้รับความเห็นชอบจากพระมหากษัตริย์หรือรัฐสภาเพื่อที่จะประกาศยอมรับอำนาจพิจารณาของไอซีซีต่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติในปี 2553 หรือไม่?
คำตอบ:
ไม่จำเป็นเพราะภายใต้มาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญไทยระบุว่า
การลงนามในสนธิสัญญาทุกอย่างต้องได้รัความเห็นชอบจากพระมหากษัตริย์
และการลงนามในสนธิสัญญาบางประเภทต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐสภา อย่างไรก็ตาม
การประกาศยอมรับอำนาจพิจารณาคดีของรัฐบาลไทยในกรณีชั่วคราวตามมาตรา12.3 แห่งธรรมนูญกรุงโรมไม่ใช่สนธิสัญญา ตามคำนิยามคือ
สนธิสัญญาเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับสัญญาสองฝ่ายหรือหลายฝ่ายระหว่างประเทศไทยกับคู่สัญญาหรือคณะสัญญาอื่น
สนธิสัญญาจะมีผลทางกฎหมายต่อเมื่อหลังจากที่บุคคลอย่างน้อยสองฝ่ายตกลงที่จะยอมรับข้อผูกพันธ์ทางกฎหมาย
ในทางตรงข้าม
การประกาศตามมาตรา 12.3 เป็นการกระทำฝ่ายเดียวโดยประเทศไทย
การประกาศมีผลทางกฎหมายทันทีเมื่อประเทศไทยประกาศแจ้งต่อไอซีซี
ไม่จำเป็นต้องได้รับการตอบตกลงจากไอซีซีเพื่อให้การกระทำดังกล่าวมีผลทางกฎหมาย
คำประกาศไม่ใช่สัญญา แต่เป็นการกระทำใช้อำนาจทางอธิปไตยของประเทศไทย
เนื่องจากไม่ใช่สนธิสัญญา จึงไม่ต้องดำเนินตามขั้นตอนในมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญไทย
และไม่จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากพระมหากษัตริย์หรือรัฐสภา
คำถาม:
การประกาศภายใต้มาตรา 12.3 จะทำให้มีการแก้ไขกฎหมายไทยฉบับใดหรือไม่?
คำตอบ:
ยังไม่ต้องในขั้นตอนนี้ และบางทีอาจไม่จำเป็นต้องแก้ไขกฎหมายฉบับใดเลยก็ได้
รัฐบาลสามารถยอมรับคำประกาศตามมาตรา 12.3โดยไม่ต้องออกกฎหมายใหม่
หากอัยการไอซีซีตัดสินใจที่จะเปิดการตรวจสอบเบื้องต้น
และเราเชื่อว่าอัยการจะทำเช่นนั้น ในขั้นตอนนี้ยังไม่ต้องมีการออกกฎหมายใหม่เช่นกัน
แต่อาจต้องมีการการแก้ไขกฎหมายไทยบางฉบับเท่านั้นหากไอซีซีตัดสินใจที่จะเปิดการสอบสวนแบบเต็มขั้น
ซึ่งอย่างอาจต้องใช้เวลาเป็นเดือนหรือหลายปีนับจากนี้ไป
คำถาม:
ไอซีซีทำให้พระมหากษัตริย์ตกอยู่ในภัยอันตรายหรือไม่?
คำตอบ:
ไม่ ไม่โอกาสที่ไอซีซีจะดำเนินคดีต่อพระมหากษัตริย์ได้เลย
|