วันอาทิตย์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ชัดไม๊! มาร์ค เขมรบอกสงครามครั้งนี้เกิดจากมึง ไปสั่งเขาเอาธงชาติเขาลง
ชัดไม๊! มาร์ค เขมรบอกสงครามครั้งนี้เกิดจากมึง ไปสั่งเขาเอาธงชาติเขาลง




โทษใครดีวะ โทษรัฐบาลชุดก่อนอีกดีป่าว แสรดดดดดดดด


[Image: 7d4bn.jpg]



ปากดีนัก ไปแก้ข้อกล่าวหาที่ UN ด่วนเลยมึง
.........รบไปทำไม.........
http://www.internetfreedom.us/thread-12344.html


[Image: 9070_full.jpg]
[Image: p8859_4]
[Image: p8859_6]

ด้วยหลักการ ความเกรียงไกรของกองทัพ เกิดจาก
กำลังพลเรือนล้าน อาวุธที่ทันสมัย งบประมาณมากมาย สายการบังคับบัญชาที่แข็งแกร่ง

หลัก
1.ผลของการทำให้ชายแดนไม่มั่นคง จากที่มีปัญหากันอยู่แล้ว กลายเป็นพื้นที่ที่พร้อมเปิดฉากรบวันไหนก็ได้
ทำให้ประเทศต้องเรียกระดมพล จะทำให้มีการฝึกทบทวนบ่อยๆ ถี่ขึ้น
การตรวจรับการเกณฑ์ทหารมีแนวโน้มว่าจะรับจำนวนเพิ่มขึ้น ภาษาชาวบ้าน ใบแดงเพิ่มขึ้น ใบดำน้อยลง
หากยังรบต่อเนื่องกัน อาจจะมีการเสริมด้วยการเรียกทหารกองหนุน(ทหารเกณฑ์เก่า) พ่อบ้านบางท่านอาจถูกหวย
ทั้งหมด คือ การเพิ่มกำลังพล มีกำลังพลใช้อย่างเหลือเฟือ

2.แน่นอนว่าความไม่สงบและการรบที่ชายแดนบ่อยครั้ง กองทัพต้องจัดหาสรรพอาวุธที่ทันสมัยมาทำการรบ
โดยยืนบนหลัก อาวุธต้องเพียงพอสนับสนุนกองทัพ อาวุธทันสมัยจะลดการสูญเสีย
อาวุธหรือเครื่องตรวจการทางยุทธภัณฑ์ใดๆ ที่ทำได้ในประสิทธิภาพสูง ราคาจะถูกหรือแพง?
แล้วประเทศไหนบ้างที่ไทยจะซื้อ มีไม่กี่ประเทศได้กำไรแน่ๆ ค่านายหน้าด้วย ประเทศใหญ่ๆนั่นแหละครับ
อาวุธเก่าๆ รถถังสมัยพระเจ้าเหา ก็ส่งไปให้เขมร ยิงทิ้ง ทำลายไป ซื้อใหม่ เอาแบบหรูๆ
ขนาดอาวุธเก่าๆ เรายังสู้ไม่ได้ คิดดู

3.งบประมาณทั้งกินและใช้กันบาน สวนสนามปีต่อไปอาจไม่น้อยหน้าประเทศใหญ่ๆ
ทั้งเหล่าม้า ปืนใหญ่ เครื่องบิน กองพลม้าสงคราม สนามกอล์ฟ ผุดขึ้นมากมาย
เพราะข้ออ้างชายแดนไม่สงบ งบส่วนนี้รัฐบาลต้องให้มากหน่อย
กรรม....ข้าวตันละกี่บาท

4.ตอนนี้การแต่งตั้งโยกย้าย แทบจะบอกได้ว่าคุมกำลังได้เบ็ดเสร็จ อีกหลายปี
ไม่แน่ไอ้ที่ตายตรงชายแดนนั้น อาจเป็นฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย ไม่ลงรอยกัน ส่งไปตาย

กลายเป็นกองทัพที่สะสมแสนยานุภาพ เพื่อความมั่นคง..........ของใคร?


รอง
1.ภาพของม็อบข้างทำเนียบจะถูกมองว่า เป็นม็อบกระหายสงคราม ม็อบที่ทำให้ชาวบ้านชายแดนเดือดร้อน
ซึ่งเป็นการทำให้ม็อบขาดความชอบธรรม(ปกติก็ไม่ถูกต้องอยู่แล้ว)ในข้อเรียกร้องห่าเหว​ ไม่สมเหตุผล
มีผลต่อการเรียกระดมคนของม็อบ คราวต่อไปคงหรอมแหรม (ไอ้ห้อยคงชอบใจ)
กองทัพไม่อยากรับภาระส่วนนี้ ตัดหางปล่อยวัดไป กำจัดโดยให้ม็อบฝ่อหมดพลังไปเอง

2.นายก.. ภาพหน่อมแน้มของนายก ไม่อาจแก้ปัญหาไหนให้เป็นชิ้นเป็นอัน ผลงานก็มาจากพรรคร่วมทั้งนั้น
เรื่องสงคราม ไม่มีปัญญาทำอะไร เรื่องไข่ชั่งกิโล ชาวบ้านหัวเราะกันขี้แตกขี้แตน
เรื่องฟ้องศาลICCอีก
เสื้อแดงที่โตพรวดๆ มีคู่กรณีกับรัฐบาล รัฐบาลที่มีนายกชื่ออภิสิทธิ์
การปัดเขาให้พ้นออกไป พอจะทำให้แดงสะดุดไปพักใหญ่ ยื้อเวลาต่อไป
ตอนนี้ อภิสิทธิ์ นอกจากเป็นแพะในเรื่องต่างๆ แทบจะไม่สร้างประโยชน์อีกแล้ว

3.เตรียมสถานการณ์ไว้สำหรับคิดก่อการใหญ่.........................


ถ้าถามผมตอนนี้จะมีการทำรัฐประหารหรือไม่ หากเป็นจากฝ่ายที่เราคิด ไม่ครับ
ปรากฎการณ์ที่เกิดกับตูนิเซีย อียิปต์ ประเทศแถบๆนั้น โลกยังจับตาอยู่
ใครคิดจะรัฐประหารช่วงนี้ก็เหมือนกับ เอาเรือขวางน้ำเชี่ยว
ซึ่งน่าจะเป็นเหตุผลหนึ่ง
ที่ต้องรบเขมรแบบเลี้ยงไข้ไป ไม่เบ็ดเสร็จเสียที เพื่อรอเวลาบางอย่าง ( และน่าจะมีต่อเรื่อยๆ ตามหลักของความเกรียงไกร)
ถัดจากนี้อีก 10-15 วัน อาจจะเกิดสงครามแบบเต็มรูปแบบ ช่วงนั้นกระแสที่อียิปต์อะไรคงซาลงแล้ว จะคิดทำอะไรก็เหมาะ
แต่จะเป็นรัฐประหารจากฝ่ายอื่นทำตลบหลัง ผมไม่แน่ใจ.

หากจะต้องเป็นคนที่เลี้ยงสัตว์ร้าย ก็เลี้ยงไม่ให้มันโตจนเกินไป
หากวันใดที่คนเลี้ยงต้องอ่อนแรงลง รายแรกที่มันจะขย้ำไม่แน่อาจเป็นคนเลี้ยงเสียเอง
แบบในหนัง โปรแกรม Smith ใน Matrix

ฤาวันหน้าจะเปลี่ยนเป็นยุคแห่งทหาร

อย่าเชื่อผม........ตรองดูครับ อะไรที่เป็นประโยชน์กับแดงบ้าง ไม่มีซักอย่างแถมให้โทษ

.........รบไปทำไม.........
"ตือ"เขียนบทความอัด"มาร์ค" ไม่เคารพสภาเร่งยุบสภา

http://www.internetfreedom.us/thread-12345.html
"ตือ"เขียนบทความอัด"มาร์ค" ไม่เคารพสภาเร่งยุบสภา ยืมมือ"กกต."ออกระเบียบแทนกม.ลูก
[Image: 00000000003988.jpg]
เมื่อ วันที่ 6 กุมภาพันธ์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล กรรมการที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา เขียนบทความเรื่อง "กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญกับความเป็นประชาธิปไตย" โดยระบุว่า กรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ออกมาให้สัมภาษณ์ออกรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์ ว่าหลังจากแก้รัฐธรรมนูญเสร็จจะยุบสภา ซึ่งหากดูตามกฎหมายก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ชอบธรรม เพราะการประกาศยุบสภาเป็นอำนาจโดยชอบธรรมของนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคือ การที่นายกฯส่งสัญญาณในเรื่องการตรากฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ โดยให้ กกต.ดำเนินการออกระเบียบเพื่อดำเนินการเลือกตั้งได้โดยไม่ต้องอาศัยกลไกของ รัฐสภา ที่จริงหากนายกฯไม่ประกาศจะยุบสภา อำนาจการตรากฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญก็จะถูกดำเนินการโดยหน้าที่ของรัฐสภาตาม ขั้นตอนปกติในระยะเวลาต่อเนื่องกันอยู่แล้ว แต่การประกาศยุบสภาหลายต่อหลายครั้งก็คล้ายกับเป็นการเร่งรัดให้ กกต.เป็นผู้ออกระเบียบกำหนดการเลือกตั้งโดยข้ามขั้นตอนของระบบรัฐสภา


"การที่นายกฯทำเช่นนี้จะเป็นการโยนหินถามทาง หรือคิดจะทำจริงๆ ก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก ใหญ่มากถึงขนาดที่กล่าวได้ว่านายกรัฐมนตรีกำลังจะเป็นผู้ทำลายหลักการของ ระบอบประชาธิปไตยด้วยตนเอง ด้วยการยืมมือ กกต.ที่มีเพียง 5 คน มาจัดทำระเบียบในเรื่องนี้แทนสมาชิกรัฐสภาซึ่งเป็นองค์กรที่ชอบธรรม เพราะรัฐสภามีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงในการตรากฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญในส่วน ที่เกี่ยวข้อง หลังจากการลงมติวาระ 3 ในท้ายที่สุด" นายสมศักดิ์ระบุ


นายสมศักดิ์ระบุว่า เหมือนใช้เสียงส่วนน้อยเข้ามาวางระเบียบเหนือเสียงส่วนใหญ่ โดยละเลยเจตนารมณ์ของระบอบประชาธิปไตยแทนที่จะให้สภาเข้ามาวางแนวทางกฎหมาย ประกอบรัฐธรรมนูญโดยชอบธรรม กลับโยนหินเตรียมการให้ กกต.เร่งรัดดำเนินการไว้ล่วงหน้า ใช้การตัดสินใจจากคนเพียง 5 คน แทนผู้แทนทั้งสภา เชื่อว่าจะมีคนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย อาจทำให้สังคมเกิดความรู้สึกว่านายกฯขาดความเชื่อมั่นและไม่เคารพต่อระบบ รัฐสภา อีกทั้ง กกต.เองก็ถูกสังคมมองด้วยสายตาที่เคลือบแคลงมาโดยตลอด ว่ามีความสัมพันธ์อันดีกับพรรคการเมืองบางพรรคไม่น้อย
***************************************
นักพูดคนนี้ก็พยายามทุกวิถีทาง ว่าทำอย่างไรจะได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง เพราะแมลงสาป

มันรู้กันทั้งพรรค ว่าถ้ามาวิธีธรรมดา มันไม่มีทางได้ มันก็เลยหาทุกวิธีที่คิดว่าได้นั่นแหละ ขนาดแมลงสาป

เป็นพรรค คะแนน เสียงรอง มันยังหน้าด้าน แย่งจัดตั้งรัฐบาล ทั้งๆที่ตาม มรรยาทแล้ว ต้องให้พรรคเสียง

ข้างมากตั้งก่อน มันก็เลี่ยงบาลีว่า รัฐธรรมนูญ ไม่ได้ห้ามไว้ แหมฟังมันพูดแล้ว อยาก.....จริงๆ

นี่แหละครับพี่น้อง นักการเมือง ประเทศสารขัณฑ์ ที่เอาประโยชน์ส่วนคตนเป็นที่ตั้ง มากว่าผลประโยชน์ของชาติ และประชาชน ให้อีก1000 ปี สารขัณฑ์ ก็คงย่ำอยู่แค่นี้ ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลง ขอทาย

พรรคแมลง

เอ้าแล้ว ..มาร์กเตรียมประกาศ พรบ.มั่นคง อีกรอบ

http://www.internetfreedom.us/thread-12352.html
ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เตรียมเสนอ นายกฯ ประกาศเขตพื้นที่ความมั่นคง โดยรอบทำเนียบฯ และสภา เพื่อขอคืนพื้นที่จากผู้ชุมนุม ขณะยังใช้กำลังตำรวจดูแลเหตุการณ์

[Image: 2686790].jpg]


พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวภายหลัง เข้าพบรองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง ว่า เตรียมเสนอให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน เสนอที่ประชุม
คณะรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้ เพื่อพิจารณาให้ประกาศเขตพื้นที่ความมั่นคง ตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 ในหมวดที่ 2 ในพื้นที่โดยรอบทำเนียบรัฐบาลและอาคารรัฐสภา ทั้งนี้ หากคณะรัฐมนตรีอนุมัติ ก็สามารถดำเนินการขอคืนพื้นที่จากกลุ่มพันธมิตรประชาชชนเพื่อประชาธิปไตย และกลุ่มเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ โดยจะมีการจัดกำลังเพื่อใช้ปฏิบัติการตามความเหมาะสมและตามสถานการณ์

ขณะที่ พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวว่า รองนายกรัฐมนตรี มีความเป็นห่วงสถานการณ์การชุมนุม โดยเฉพาะกรณีที่จะมีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่เตรียมมาสมทบอีก ในวันที่ 13 ก.พ. นี้ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจะยังคงใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นหลัก ในการดูแลความสงบเรียบร้อย



http://www.innnews.co.th/crime.php?nid=268679

มันเหล่านั้นเป็นใครถึงได้"คลั่งชาติ"ขนาดนั้น

http://www.internetfreedom.us/thread-12351.html
ต้องเรียกว่า"คลั่งชาติ"แล้วละ แบบนี้
ตั้งม๊อบแล้วกระโชกโฮกฮากกันจนบ้านเมืองฉิบหายป่นปี้มารอบหนึ่งแล้ว..นี่เอาอีกแหละ

แดงของผมไม่ต้องมี"แกนนำ"ก็ออกมากันพร้อมพรึบ
นี่เอา"เพลงอัปลักษณ์"กับ"นักปลุกระดม"มาโวยวายคุ้มคลั่งกันใหญ่โต"
..พร้อมขึ้นตัวหนังสื้อ"ให้รีบบริจาคซะโดยเร็ว"เดี๋ยวแพ้

ถาม(ผ่านทางนี้)ว่า"พวกมันแต่ละตัว..รายหัว-ถึงหาง"ใคร ตัวไหนเป็นใคร-เคยทำอะไรดีๆ
หรือประสพความสำเร็จในชีวิตกันบ้างไหม"


บางคนก็รู้อยู่ว่าทำธุรกิจสื่อ..ก็เจ๊งกะบ๊ง,กู้ธนาคารแล้วเบี้ยวตั้งหลายพันล้าน"(เงียบไปแระ)
ลืมตาอ้าปากได้..ก็เพราะรางวัลจากการปลุกม๊อบ"กู้ซาก"คราวก่อน
เอาความกะล่อนปลิ้นปล้อนในอาชีพ..คว้ารางวัลลูกชิ้นเนื้อปลาทะเล"ก้อนใหญ่"..ตายไม่เป็นเลยทีนี้

บางคน..แก่กว่าหน่อย มียศฐาฯ..ทำเหมือนว่าอุเบกขาคือ"นิ่ง"..แต่"นิ่งนอก-ร้อนใน"
กระหายสงครามเพราะ"จิตทราม-ขาสั่น"เป็น"แก่แล้วยังบกพร่องทางความคิด"

(เด็กชาย)บางคนขนาด"สัญชาติตัวเองยังกระดิกลิ้น ตะโกนให้ชาวบ้านงงว่า"ไทย..มิใช่มอนเต.."..(ทั้งที่เขาถามว่า"อังกฤษรึไม่?)
เกิดนอก.เรียนนอก..พูดอังกฤษเหมือน"ดีเจ.อ่านข่าวฝรั่งทางวิทยุ"..บางคนบอกพูดดี๊-ดี
ลองสังเกตดีๆ.."พูดขาดน้ำหนักภาวะผู้น้ำโดยสิ้นเชิง"(พูดให้ชัดอย่างเดียว-ลืมเน้นความสำคัญเนื้อหา)..บริหารประเทศจึงเป็นแบบ"เด็กฝึกงาน"ตลอด..รัฐมนตรีรอบข้างก็มีแต่"ยาวเกิน-สั้นเกิน-น้อยเกิน"(วุฒิภาวะ)

คืออยากรู้ว่า"พวกมัน"เป็นใคร ทำไมถึงต้องขุดกระแสให้คนคลั่งแผ่นดินของชาติซะขนาดนี้
ภาพพวก"อีแร้งแก่ๆ"หน้าทำเนียบ-แสยะแหกปากออกทีวี..กับชาวบ้านที่หนีภัยสงครามหน้าตาตื่นตระหนก..ทำให้กูทน(ด่า)พวกมึงไม่ได้จริงๆ

ถ้าพวกมันยังกอบโกบเงินรางวัลไม่อิ่ม..มันคงไม่หยุดแน่..เชื่อว่างั้น

ป่าวประกาศให้ใครๆรู้เดี๋ยวนี้เลยว่า"กู..ไม่เอาสงคราม"(โว๊ย)
[Image: 070220112860.jpg]

ฮอ นัม ฮง ตัดหน้า'กษิต'

http://www.internetfreedom.us/thread-12355.html
[Image: p01110207.jpg]

ชิงฟ้อง UN เหมือนเด็กๆพี่ไทยไม่ทันเกมเขมร?

ดูเหมือนว่าภายใต้กลไกการบริหารประเทศของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
จะมีปัญหาไปหมดแทบทุกเรื่อง

ไม่ว่าจะเป็น การเมือง เศรษฐกิจ และแม้แต่กระทั่งเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
โดยเฉพาะกับประเทศกัมพูชา

ทั้งกระทรวงการต่างประเทศ และกองทัพ ดูเหมือนจะก้าวช้ากว่าทางกัมพูชาหนึ่งก้าวเสมอ

ล่าสุดทั้งๆที่มีการเจรจาหยุดยิงกันแล้ว
ทั้งๆที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ออกมายืนยันว่าไม่มีอะไรแล้ว
พร้อมกับเหน็บให้บรรดาม็อบพันธมิตรที่กระเหี้ยนกระหือรือที่จะรบ ให้ไปที่ชายแดนได้เลย

แต่แล้วสุดท้ายการเจรจาหยุดยิงก็เป็นไปได้แค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น
เพราะปรากฏว่าเมื่อช่วงเย็นวันที่ 6 กุมภาพันธ์ เวลา 18.30 น. ได้เกิดเหตุปะทะขึ้นมาอีก
บริเวณชายแดนในพื้นที่ ภูมะเขือ และบ้านโดนเอาว์ ต.รุง อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ

โดยทหารกัมพูชามีการใช้จรวดยิงเข้ามาในฝั่งไทย
ส่งผลให้บ้านพักของประชาชนที่อยู่ในบริเวณดังกล่าวได้รับความเสียหาย
ขณะที่ทหารไทยได้ใช้ปืนใหญ่ยิงตอบโต้ โดยการปะทะยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง

รวมทั้งได้เกิดเหตุปะทะระหว่างทหารไทยและกัมพูชา
ในพื้นที่ชายแดน ต.ภูผาหมอก อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ
โดยทหารทั้งสองฝ่ายได้ใช้อาวุธปืนขนาดเล็ก
ซึ่งเป็นปืนประจำกายยิงตอบโต้กันเป็นเวลากว่า 15 นาที จึงสงบลง
โดยไม่พบว่ามีทหารไทยบาดเจ็บหรือเสียชีวิต

ทั้งนี้ พื้นที่ชายแดนบริเวณ ต.ภูผาหมอก ซึ่งอยู่ด้านทิศใต้ของปราสาทพระวิหารนั้น
อยู่ตรงข้ามกับเขตซัม แต ของกัมพูชา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ฝ่ายกัมพูชาได้นำรถถังเข้ามาประจำการ

พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ให้สัมภาษณ์ถึงการปะทะรอบที่ว่า
การปะทะกันของทหารทั้ง 2 ฝ่ายเริ่มขึ้นเมื่อเวลา 18.40 น.
เริ่มจากทางทหารกัมพูชายิงพลุส่องสว่างเข้ามาตกที่บริเวณภูมะเขือ อ.กันทรลักษ์
หลังจากนั้นทหารกัมพูชายิงปืนใหญ่ของรถถังเข้ามาอีก
ทำให้ทหารไทยต้องใช้มาตรการตอบโต้ตามความเหมาะสม
โดยยิงเครื่องยิงลูกระเบิดสวนกลับไป แต่ยังไม่ถึงขนาดต้องตอบโต้ด้วยปืนใหญ่
อย่างไรก็ตาม ต้องรอความชัดเจนอีกครั้ง

รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับอาวุธที่ทางทหารกัมพูชาใช้ในครั้งนี้ เป็นจรวดหลายลำกล้อง
หรือที่เรียกว่าบีเอ็ม 21 ซึ่งเป็นอาวุธที่ได้รับการช่วยเหลือทางทหารจากประเทศเวียดนาม
สามารถยิงได้ไกล 12 ไมล์ ใช้ในการทำลายรถถัง และเป้าหมายที่เป็นกลุ่มก้อน

เป็นการปะทะกัน หลังจากที่ นายฮอร์ นัม ฮง รัฐมนตรีต่างประเทศ กัมพูชา
ทำจดหมายด่วนถึงประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์
กรณีการปะทะกับทหารไทย วันที่ 4 และ 5 กุมภาพันธ์

โดยมีการระบุว่า เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ระหว่างเวลา 15.00 น. ถึง 17.00 น.
ทหารไทยประมาณ 300 นาย ได้เข้ามายังดินแดนกัมพูชาและโจมตีทหารกัมพูชา 3 จุด คือ
ขะมุม ตั้งอยู่ห่างบันไดปราสาทพระวิหาร 500 เมตร พื้นที่คานม้า และภูมะเขือ
ตั้งอยู่จากเส้นเขตแดนเข้ามาในแผ่นดินกัมพูชา 1,120 เมตร และ 1,600 เมตร ตามลำดับ

การรุกรานโดยทหารไทยนี้ ตามด้วยการยิงกระสุนปืนใหญ่ขนาด 130 มม. และ 155 มม.
ลึกเข้ามาในดินแดนกัมพูชาประมาณ 20 กิโลเมตร
การโจมตีเป็นผลให้เกิดความเสียหายรุนแรงจำนวนมากต่อปราสาทพระวิหาร มรดกโลก
เช่นเดียวกับการเสียชีวิตและบาดเจ็บของทหารกัมพูชาและชาวบ้านกว่าสิบราย

อีกครั้ง ในเช้าวันที่ 5 กุมภาพันธ์ เวลา 06.30 น. กำลังทหารไทย
ได้ยิงกระสุนปืนใหญ่ขนาด 105 มม. จำนวนหนึ่งที่ภูมะเขือ เป็นเวลาประมาณ 20 นาที

เผชิญหน้ากับการรุกรานอย่างโจ่งแจ้งนี้ ทหารกัมพูชาไม่มีทางเลือก
แต่ต้องตอบโต้ป้องกันตนเองและภายใต้คำสั่งให้ปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน

ขอย้อนเตือนความจำว่า
ประเทศไทยได้กระทำการรุกรานต่อกัมพูชาในสามโอกาสก่อนหน้า กล่าวคือ
เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2008 วันที่ 15 ตุลาคม 2008 และ วันที่ 3 เมษายน 2009
ในพื้นที่วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ช่องคานม้า ภูมะเขือ และตาเส็ม
ทั้งหมดนี้อยู่ในบริเวณใกล้เคียงปราสาทพระวิหาร
การรุกรานด้วยอาวุธเป็นผลให้เกิดความเสียหายต่อมนุษย์
เช่นเดียวกับความเสียหายต่อทรัพย์สิน

โดยเฉพาะต่อปราสาทพระวิหาร
ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2008

ซ้ำยังระบุด้วยว่าการรุกรานซ้ำต่อกัมพูชา
โดยประเทศไทยได้ละเมิดเครื่องมือทางกฎหมายดังต่อไปนี้:

1.ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เมื่อ 15 มิถุนายน 1962

2.ข้อ 2.3, 2.4 และ 94.1 ของกฎบัตรสหประชาชาติ

3.สนธิสัญญาทางไมตรีและความร่วมมือ 3 (TAC) ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ข้อ 2
ซึ่งกัมพูชาและประเทศไทยเป็นภาคี มีดังนี้:

มีความเคารพต่อกันในความเป็นเอกราช อธิปไตย ความเท่าเทียม บูรณภาพแห่งดินแดน
และเอกลักษณ์ของชาติของทุกชาติ ยุติความแตกต่าง
และข้อพิพาทด้วยสันติวิธี สละสิทธิที่จะคุกคามหรือใช้กำลัง

4.ข้อตกลงซึ่งคำนึงต่ออธิปไตย
ความเป็นเอกราช บูรณภาพแห่งดินแดนการไม่อาจล่วงล้ำ ความเป็นกลาง
ความเป็นเอกภาพของชาติของกัมพูชา ข้อ 2.2c, 2.2d ของข้อตกลงสันติภาพปารีส
ในปี ค.ศ.1991

ต่อการรุกรานซ้ำที่ครึกโครมโดยประเทศไทยนี้
กระผมจะพึงใจอย่างสูงหาก ฯพณฯ จะนำเวียนหนังสือนี้
ไปยังทุกชาติสมาชิกของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ
ในฐานะเอกสารอย่างเป็นทางการ

ฯพณฯ โปรดรับ เป็นหลักประกันต่อความวิตกกังวลอย่างสูงสุดของกระผมและด้วยความเคารพ

ลงนาม ฮอร์ นัม ฮง

เป็นการกล่าวหาไทยกับประเทศต่างๆทั่วโลกเลยทีเดียว

ในขณะที่ของไทย นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ยังรับมือไม่ทันอยู่เช่นเดิม
มีเพียงนายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ที่ระบุว่า
กระทรวงการต่างประเทศได้ส่งหนังสือถึงคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี)
ชี้แจงเหตุปะทะระหว่างทหารไทย-กัมพูชาแล้ว

แต่ขอยังไม่เปิดเผยรายละเอียดเพราะต้องรอให้หนังสือถึงเจ้าหน้าที่ยูเอ็นเอสซีก่อน
คาดว่าจะเผยแพร่ได้ต้นสัปดาห์

ทั้งนี้รัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย ในฐานะประธานอาเซียน
จะเดินทางรับทราบข้อมูลจากฝ่ายกัมพูชาก่อน
และจะมาถึงไทยในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ราว 12.00 น.

และนายอภิสิทธิ์ เองก็ได้มีการแถลงเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ยืนยันว่า
กัมพูชาเป็นฝ่ายที่ยิงเข้ามาก่อน ฝ่ายไทยจึงจำเป็นต้องตอบโต้

และเห็นว่าการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกควรชะลอไว้ก่อน

เรียกว่าขณะนี้ต่างฝ่ายต่างโทษกันว่าเป็นฝ่ายเริ่มต้นยิงก่อน
โดยที่มีองค์กรสหประชาชาติ เป็นผู้รับเรื่อง และจะต้องหาทางไกล่เกลี่ย
งานนี้เข้าสู่แนวทางสากลระหว่างประเทศ
ก็ไม่รู้ว่ากระทรวงการต่างประเทศของไทยที่มีนายกษิต เป็นรัฐมนตรี จะรับมือเกมนี้ได้แค่ไหน???

แต่ที่น่าจับตาก็คือ
ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
คณะนิติราษฎร์ นิติศาสตร์ ได้จัดสัมมนาวิชาการเรื่อง
"กองทัพ การเมือง ประชาธิปไตย"
โดยมี พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาคนที่ 2 และ ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย
พล.ท.พีระพงษ์ มานะกิจ เลขาธิการคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร
นายสุภลักษณ์ กาญจนขุนดี บรรณาธิการอาวุโสจากหนังสือพิมพ์เนชั่น
นายปิยบุตร แสงกนกกุล อ.นิติศาสตร์ สาขากฎหมายมหาชน ม.ธรรมศาสตร์
หรือผู้ก่อตั้งกลุ่มนิติราษฎร์ ร่วมเป็นวิทยากร

พ.อ.อภิวันท์กล่าวว่า
วันนี้กองทัพกำหนดยุทธศาสตร์ผิด ทำให้การปกป้องประเทศต้องตกไปอยู่อันดับ 3
เพราะผู้นำเหล่าทัพให้ความสำคัญปกป้องสถาบันกษัตริย์อันดับแรก
ตามมาด้วยดำเนินการโครงการพระราชดำริ ซึ่งเป็นประเทศเดียวในโลก
ทำให้กองทัพเดินเป็นอย่างที่อยู่ในปัจจุบัน
ดังนั้น กองทัพต้องปฏิรูป ต้องเปลี่ยน ด้วยการทำให้เป็นทหารอาชีพ

ด้านนายสุภลักษณ์มองว่า
ศึกสงครามที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาขณะนี้
ถูกมองว่าอาจจะเป็นข้ออ้างให้ทหารทำการปฏิวัติได้
โดยอาจจะอ้างว่ารัฐบาลพลเรือนอ่อนแอจนไม่สามารถบริหารประเทศต่อได้

และที่ผ่านมาสงครามถูกใช้เป็นข้ออ้างในการทำอะไรหลายๆ อย่าง

แต่ครั้งนี้ผู้บัญชาการทหารบก
ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ภายหลังเกิดเหตุในทำนองด่าผู้ประท้วงมากกว่ารัฐบาล
ดังนั้น โอกาสที่จะเกิดปฏิวัติก็คงเป็นแค่ข่าวลือ

แต่ข่าวลือเรื่องรัฐประหารจะลือๆ ไปอีกนานจนกว่าจะจริง
เพราะสังคมไทยเอาทหารออกไปจากการเมืองยาก

ทั้งนี้สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่าเกิดเหตุยิงปะทะกัน
ระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชาเป็นครั้งที่ 3 ใน รอบ 3 วัน
แม้ว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะเจรจาหยุดยิงกันแล้วถึง 2 รอบ
แต่ต่างยืนยันว่าจะพยายามปลดชนวนความตึงเครียดบริเวณชายแดนให้เร็วที่สุด

งานนี้ไทยเหนื่อยแน่ หากกลไกกระทรวงต่างประเทศยังลุ่มๆดอนๆ
และทหารไทยยังติดปลักเรื่องปฏิวัติอยู่เช่นนี้

http://www.bangkok-today.com/node/8347

ได้เวลาแล้ว คณะรัฐประหารรีบเลย เขมรUNประชุมด่วน เกาะติด!ชายแดนไทย-เขมรหลังปะทะอีกรอบ3

http://www.internetfreedom.us/thread-12357.html

[Image: kk.jpg]

ฮุนเซนร้องUNประชุมด่วนอ้างถูกไทยรุกราน

7 ก.พ. 54 06.44 น. ผู้นำกัมพูชา ออกแถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์หลักทุกช่องของกัมพูชาและส่งหนังสือร้องเรียนไปยังประธานคณ​ะมนตรีความมั่นแห่งสหประชาติขอให้เรียกประชุมด่วนโดยอ้างว่าถูกไทยรุกรานประเทศ

สมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ส่งหนังสือร้องเรียนไปยังประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติคนปัจจุบัน ให้เรียกประชุมฉุกเฉินด่วนเพื่อช่วยหยุดยั้งการรุกรานของไทย โดยแถลงการณ์ที่อ่านออกทางสถานีโทรทัศน์ของทางการกัมพูชา เมื่อคืนวันอาทิตย์

โดยเมื่อช่วงเวลาประมาณ 22.50น. ของวันที่ 6 ก.พ. โทรทัศน์ช่องทีวีบายนของกัมพูชา ได้เผยแพร่แถลงการณ์ของสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาที่ส่งถึงประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ให้ออกจดหมายเวียนอย่างเป็นทางการถึงประเทศสมาชิก โดยระบุว่ากองทัพไทยได้รุกรานกัมพูชาตั้งแต่วันศุกร์ที่ 4 ก.พ. ที่ผ่านมา ทำให้ทางกัมพูชาต้องปกป้องอธิปไตยของตนเอง พร้อมกับฟ้องว่าทางการไทยได้รุกล้ำดินแดนของกัมพูชา อย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ แถลงการณ์ของผู้นำกัมพูชายังอ้างด้วยว่าสงครามระหว่างไทยกับกัมพูชา ส่งผลให้ปราสาทพระวิหารซึ่งขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกตั้งแต่ปี 2551ได้รับความเสียหาย จึงเรียกร้องให้ทางสหประชาชาติเข้าแทรกแซงเพื่อยุติสงคราม


[Image: 268624[0]]


7 ก.พ. 54 07.50 น. เกาะติด!ชายแดนไทย-เขมรหลังปะทะอีกรอบ3

19.48 น. ทหารกัมพูชา ภายใต้การบัญชาการของ พล.อ.ฮิง บุนเฮียง (Hing Bunheang) ได้ยิงจรวด BM-21หลายร้อยลูกเข้าใส่ฐานบัญชาการของไทย

19:53 น. ฝ่ายไทยขอเจรจากับ พล.อ.ฮิง บุนเฮียง แต่ก็ไม่เป็นผล กัมพูชายังไม่ยอมตกลงเจรจาด้วย

20.16 น. ทหารกัมพูชา ได้ยิงกระสุนปืนใหญ่ขนาด 100 มิลลิเมตร เข้าใส่ฐานบัญชาการของไทย ขณะที่ทหารกัมพูชาที่ชายแดนด่านตาเส็ม ส่งข้อความผ่านสำนักข่าว DAP ถึง สมเด็จฮุน เซน ให้ได้รับทราบว่า ในขณะนี้กัมพูชายังไม่ได้รับความเดือดร้อน และความสูญเสียใดๆ และยังคงโจมตีไทยอย่างหนักหน่วง

20.42 น. นายโสวาน กล่าวว่า กองทัพไทยได้ยิงกระสุนปืนใหญ่ขนาด 130 และ 150 มิลลิเมตร ใส่ปราสาทพระวิหาร

20.45 น. นายชาญ สุคน ผู้บัญชาการทหารกัมพูชา ในพื้นที่ด่านพนมโตร๊ป กล่าวว่าขณะนี้ ทหารกัมพูชาเป็นฝ่ายได้เปรียบ และเป็นฝ่ายควบคุมสถานการณ์ ขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตยังไม่ปรากฏ

20.50 น. โฆษก ทบ. เผย สถานการณ์ล่าสุด เหตุทหารไทยปะทะกัมพูชา ยังไม่ยุติ ยิงอาวุธหนักตลอดแนว 10 กิโลเมตร เขาพระวิหาร มีทหารไทยบาดเจ็บแล้ว

20.54 น. ไทยสั่งปิดด่านถาวรช่องจอม ก่อนกำหนด หลังเหตุปะทะระลอกใหม่ ใกล้ปราสาทพระวิหาร พร้อมสั่งทหารเตรียมพร้อม 100 % ย้ำ อย่าตกหลุมพรางการยั่วยุจากกัมพูชา

21.22 น. ชาวบ้านที่รอดตายจากเหตุการณ์ปะทะเดือด เล่านาทีระทึก ทหารกัมพูชายิงถล่มหมู่บ้านภูมิซรอล และบ้านซำเม็ง พื้นที่ จ.ศรีสะเกษ ทำบ้านเรือนเสียหายยับเยิน

21.27 น. สถานการณ์ล่าสุดที่บ้านภูมิซรอล อ.กันทรลักษณ์ 4 ชม. บาดเจ็บ 5 นาย นำส่งรพ.แล้ว ยังมีเสียงปืนดังต่อเนื่อง ล่าสุดปราสาทพระวิหารเสียหายอย่างหนัก

21.32 น. โฆษก ทบ. เผย เมื่อเวลาประมาณ 21.25 น. เสียงปืนสงบแล้ว แต่ยังไม่ประมาท เพราะฝ่ายไทยไม่เริ่มอยู่แล้ว ไม่รับรองจะยิงอีกหรือไม่ กระสุนหลงตกเขต จ.อุบลราชธานี

22.55 น. โฆษกกองทัพบก วอนไทยอย่าเชื่อเขมรปล่อยข่าวลือ ด้าน ปณิธาน ชี้ เช้านี้ยื่นหนังสือประท้วงแจงเขมรยิงไทยก่อน พร้อมหาสาเหตุหลังเจรจาเรียบร้อยแต่ยังปะทะ

23.52 น. รถพยาบาบลลำเลียงผู้ได้รับบาดเจ็บ ส่ง ร.พ.กันทรลักษ์ ด้านหอประชุมผู้อพยพแน่น จราจรติดขัดอย่างหนัก

00.50 น. กต. รู้ ฮุนเซน ร้อง UN ให้แทรกแซง "ไทย-เขมร" แล้ว ยัน ยังยึดเจรจาทวิภาคี

01.28 น. ผอ.ร.พ.กันทรลักษ์ เผย มีผู้บาดเจ็บจากเหตุปะทะ รวม 14 ราย

02.27 น. เร่งอพยพชาวบ้าน 5 ตำบล ออกจากพื้นที่ หลังเสียงปืนสงบ พร้อมเตรียมลงพื้นที่ เช้านี้

03.35 น. รัฐบาลกัมพูชา เผย สื่อต่างประเทศ โดยอ้าง ประสาทพระวิหาร เสียหายบางส่วน จากการโดนทหารไทยโจมตี โดยยังอ้างกับสื่อต่างประเทศอีก ทหารไทย เป็นฝ่ายเริ่มโจมตีก่อน และมีรายงานว่า ทหารเขมร ได้บุกยึดปราสาทหินโดนตวล ที่อยู่ในพื้นที่ไทยแล้ว

05.25 น. ผู้นำกัมพูชา ออกแถลงการณ์ ผ่านโทรทัศน์หลักทุกช่องของกัมพูชาและส่งหนังสือร้องเรียน ไปยัง ประธานคณะมนตรีความมั่นแห่งสหประชาติ ขอให้เรียกประชุมด่วน เพื่อหยุดยั้งการรุกรานจากไทย โดยอ้าง เป็นการคุกคามต่อสันติภาพและเสถียรภาพของภูมิภาค

06.52 น. "ปณิธาน" เผย ไทย พร้อมชี้แจงคณะมนตรีความมั่นคงฯ หลังกัมพูชา ออกแถลงการณ์ให้เข้ามาแทรกแซง
ยืนยัน กัมพูชา ละเมิดกฎบัตรยูเอ็น เหตุ ยิงใส่พลเรือน

07.25 น. โฆษกกองทัพบก ยอมรับ มีทหารพลัดหลงถูกกัมพูชา คุมตัวไว้ 1 นาย ยืนยัน ทหารไทย จะหยุดตอบโต้ เมื่อกัมพูชา หยุดยิงเท่านั้น

07.35 น. ผอ.โรงเรียนภูมิซรอล เผย นาทีชีวิต วิ่งหลบกระสุนปืนใหญ่ พร้อม สั่งปิดโรงเรียนไม่มีกำหนด ด้าน ยอดผู้บาดเจ็บ ล่าสุด 27 ราย แล้ว


สื่อต่างชาติเผยไทย-เขมรปะทะอีกช่วงเช้า

7 ก.พ. 54 09.58 น. สื่อต่างประเทศ ได้ออกมาเผยว่า เมื่อเวลาประมาณ 08.15 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) ได้เกิดการปะทะกันของทหารไทยและกัมพูชา บริเวณภูมะเขือ ซึ่งเป็นจุดปะทะเดิม โดยมีการรายงานว่าได้มีเสียงปืนและปืนใหญ่อย่างต่อเนื่อง และในขณะนี้ สถานการณ์ได้สงบลงแล้ว

จากเหตุการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้ชาวบ้านในพื้นที่ชายแดน ต้องอพยพครอบครัวอีกครั้ง โดยที่ประชาชนไทยในเขตไทย ได้อพยพไปที่ว่าการ อ.กันทรลักษ์ ขณะที่บางส่วน ใช้หลุมหลบภัยเป็นที่ป้องกันตัวเอง

ขณะที่ สื่อกัมพูชา รายงานเหตุการณ์การปะทะกันที่เกิดขึ้น ในช่วงเช้าของวันจันทร์ที่ 7 ก.พ. เมื่อเวลาประมาณ08.15 น.ว่า ในตอนนี้ ปราสาทเขาพระวิหารบางส่วนได้ถูกทำลาย เนื่องจากการปะทะกันระหว่างกัมพูชาและไทย และยังอ้างคำให้สัมภาษณ์ของผู้ดูแลวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ว่า ในตอนนี้ ไม่สามารถเข้าด้านในวัดได้แล้ว เนื่องจากตัวโครงสร้างพังเสียหายจากการปะทะที่เกิดขึ้นล่าสุด

ขณะเดียวกัน สื่อดังกล่าวได้เผยว่า สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้ออกแถลงการณ์เมื่อคืนนี้ว่า สถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา เลวร้ายมากขึ้น ถึงแม้ว่าจะมีการเจรจาเกิดขึ้นก็ตาม แต่ทหารไทยยังคงโจมตีกัมพูชาอยู่ตลอดเวลา และการกระทำของไทย เป็นการคุกคามสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค จึงขอให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ประชุมฉุกเฉิน เพื่อให้ไทยยุติการโจมตี และจะส่งจดหมายฉบับนี้ เป็นจดหมายเวียน เพื่อแจ้งให้ประเทศสมาชิกได้รับทราบอย่างเป็นทางการ


[Image: 5.jpg]

หุ้นไทยร่วงตามคาด กังวลเหตุปะทะไทย–กัมพูชา และ ม็อบ พธม.

7 ก.พ. 54 11.54 น. หุ้นไทยร่วงตามคาด กังวลเหตุปะทะไทย–กัมพูชา และ ม็อบ พธม.
ผู้สื่อข่าวรายงานภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วันที่ 7 ก.พ. 2554 ดัชนีราคาหุ้นไทยปรับตัวลดลง ตั้งแต่เปิดการซื้อขาย โดยปรับลดลง 6.63 จุด อยู่ที่ 978.15 จุด และต่ำสุดที่ 976.32 จุด หลังจากนั้นเคลื่อนไหวแกว่งตัวในแดนลบ โดยมีแรงขายในหุ้นขนาดใหญ่ ทั้ง ปตท. , ปตท.สผ. , บ้านปู , ไทยออยล์ และ ธนาคารพาณิชย์

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วงการปรับฐาน ดังนั้น เมื่อมีปัจจัยลบเข้ามากระทบ นักลงทุนก็จะหาเหตุในการทำกำไร หลังจากที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นร้อยละ 40 ในปีที่ผ่านมา และย้ายกลับไปลงทุนในตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว แต่ก็ยอมรับว่าเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างทหารไทย และกัมพูชา แม้จะไม่มีผลกระทบโดยตรงต่อการลงทุนและเศรษฐกิจไทย เนื่องจากมูลค่าการค้าชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชามีไม่มาก แต่มีผลให้การชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ( พธม.) ที่จะเคลื่อนขบวนในวันที่ 11 ก.พ.หลังประกาศยกระดับการชุมนุมเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีลา ออก มีความเสี่ยงมากขึ้น

ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก คาดการณ์ว่า แนวโน้มผันผวนในกรอบ 960-997 จุด โดยมีแรงขายต่อเนื่องความไม่มั่นใจต่อเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างทหารไทย และกัมพูชา รวมทั้งการชุมนุมทางการเมืองที่กดดันรัฐบาล คาดนักลงทุนจะชะลอการซื้อขาย หรือเข้าซื้อเก็งกำไรผลประกอบการเฉพาะรายหลักทรัพย์ที่ออกมาดี

ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในช่วงการพักฐานต่อไป เนื่องจากมีปัจจัยกดดัน คือการปะทะกันระหว่างไทย กับกัมพูชาตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามมองว่าเหตุปะทะกันยังเป็นปัจจัยลบเชิงบรรยากาศการลงทุนมากกว่า ที่จะเป็นปัจจัยลบเชิงปัจจัยพื้นฐาน เนื่องจากไทยมีส่วนได้ ส่วนเสียทางเศรษฐกิจเกี่ยวข้องกับกัมพูชาไม่สูง โดยไทยมีการส่งออกไปกัมพูชาเพียง ร้อยละ 1.2 ของยอดส่งออกทั้งหมด

ต้องทำลายรัฐบาลประชาชน และเปลี่ยนเป็นรัฐทหารปิดประเทศเท่านั้น
สถานการณ์ประเทศในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมานี้..เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วจนแทบจะปรับจิตใจไม่ทัน.. นับตั้งแต่การเสื่อมความนิยมลงอย่างรวดเร็วจากกระแส “ตาสว่าง” ที่เกิดขึ้นทั้งแผ่นดิน.. ความขัดแย้งของประชาชนในประเทศที่แผ่ขยายจนรัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาได้... แม้ว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ จะได้รับการอุ้มสมให้ขึ้นมาบริหารประเทศโดยมีอำนาจที่มองไม่เห็นหนุนหลังอยู่อย่างเต​็มที่เพียงไร ก็ไม่สามารถทำให้กระแสความนิยมกลับคืนมาได้..และมีแต่จะลดถอยลงไปอย่างน่าตกใจ..


การจุดกระแสให้เกิดความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชาในเรื่องเขตแดนทับซ้อ​น.. ซึ่งใครๆ ก็มองออกว่าเป็นเพียงการปลุกกระแสคลั่งชาติขึ้นมาสร้างสถานการณ์เพื่อบังหน้าเท่านั้​น.. การที่นายวีระ สมความคิด.. และพรรคพวก เดินข้ามเขตแดนเข้าไปยังพื้นที่ ที่ยังมีข้อขัดแย้งกันอยู่ จนถูกทหารกัมพูชาจับไปนั้น จะมองไปเป็นอื่นไม่ได้เลยนอกจากว่าเป็นการจงใจเข้าไปเพื่อเป็นการจุดชนวนความขัดแย้ง​ขึ้นระหว่างไทยกับกัมพูชา แล้วกลุ่มพันธมิตร และกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ ก็ออกมาชุมนุมประท้วงขับไล่รัฐบาล...


จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใดที่กระแสการจุดชนวนคลั่งชาติเพื่อสร้างความขัดแย​้งกับกัมพูชาในครั้งนี้จึงไม่มีประชาชนไทยให้ความสนใจมากนัก.. พูดง่ายๆ ก็คือเพราะเราไปหาเรื่องเขาก่อน..


แต่สิ่งที่น่าจะพิจารณาและนำมาวิเคราะห์ถึงสถานการณ์ในขณะนี้ก็คือ.. ทำไมกลุ่มพันธมิตร ที่เคยแนบแน่นอยู่กับ รัฐบาลประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ เคยถึงขั้นเดินทางไปเยี่ยม พันธมิตร ถึงหน้าเวทีการชุมนุมและแสดงความเห็นอกเห็นใจมาแล้ว.. และที่สำคัญ พันธมิตรที่เรียกกันว่า “ม๊อบมีเส้น” กับรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ก็เป็น “รัฐบาลที่มีเส้น” เช่นกัน.. และที่แน่ๆ เส้นของทั้งสองฝ่ายก็เป็นเส้นชนิดเดียวกัน.. แล้วทำไมถึงมาเกิดความขัดแย้งกันได้..ชนิดผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ...


ความขัดแย้งจนถึงขั้นชุมนุมขับไล่นี้มิได้เกิดขึ้นระหว่าง “พันธมิตรและรัฐบาลอภิสิทธิ์” ด้วยตัวเอง.. เพราะถึงอย่างไรทั้งสองกลุ่มก็มีคนหนุนหลังที่เป็นคนเดียวกัน.. แต่ทว่าภาพความขัดแย้งรุนแรงถึงขั้นขับไล่กันนี้ น่าจะพิจารณาได้ว่าเป็นความขัดแย้งเทียม (หรือภาพเบื้องหน้า) ที่แสดงให้คนทั้งโลกและทั้งชาติเห็นว่า “เกิดความขัดแย้งและความวุ่นวาย” ขึ้นภายในประเทศนี้.. และต้องการให้เรื่องลุกลามจนกลายเป็นปัญหาระหว่างชาติ.. เพื่อเพิ่มน้ำหนักของความวุ่นวายให้มากยิ่งขึ้น.. เพื่อสอดคล้องกับกระแสข่าวการรัฐประหาร หรือการเข้ายึดกุมอำนาจรัฐของทหาร


การที่จะให้ทหารเข้ามายึดกุมอำนาจรัฐนั้นมิใช่เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งชายแดน หรือแก้ปัญหาการบริหารประเทศของรัฐบาลอภิสิทธิ์... แต่เป็นการให้ทหารเข้ามาเพื่อแก้ปัญหาวิกฤติศรัทธาที่กำลังเกิดขึ้นอย่างรุนแรงในขณะ​นี้.. เวลานี้หนทางเดียวที่จะทำให้เกิดการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จในการบริหารประเทศเพื่อแก้ไขปั​ญหาทุกปัญหาของฝ่ายเผด็จการอมาตย์ที่กำลังประสบอยู่นั้นก็คือ การยึดกุมอำนาจรัฐแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด.. และหนทางเดียวที่ทำได้ก็คือ การทำรัฐประหาร.. หรือ การประกาศกฎอัยการศึก เพื่อให้ทหารมีอำนาจเต็มในการควบคุมประเทศ

ปูนนก
แต่ดูเหมือนว่าหนทางทั้งสองก็เป็นหนทางที่เลือกที่สุ่มเสี่ยงมิใช่น้อย.. ท่ามกลางกระแสการต่อต้านเผด็จการที่กำลังดำเนินอยู่ทั่วโลกในขณะนี้.. ทว่าเวลาก็มีน้อยลงเรื่อยๆ นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ได้ยื่นฟ้อง ICC ต่อรัฐบาลไทยโดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะนายกรัฐมนตรี.. และให้บังเอิญเปิดช่องให้ฟ้องได้ในฐานะเป็นผู้มีสัญชาติอังกฤษ


เจ้าของอำนาจเผด็จการคงจะไม่ยอมให้นายอภิสิทธิ์ ถูกนำตัวขึ้นไต่สวนในคดีนี้อย่างแน่นอน เพราะทุกอย่างจะถูกเปิดเผยต่อหน้าชาวโลก..ด้วยเหตุนี้ การใช้อำนาจสุดท้ายที่มีอยู่ควบคุมประเทศนี้จึงเป็นหนทางสุดท้ายในเวลาอันจำกัดนี้.. 


แต่ถึงอย่างไรไม่ว่าจะให้ทหารออกมาทำรัฐประหารหรือไม่.. หรือจะปล่อยให้นายอภิสิทธิ์บริหารประเทศต่อไป ท่ามกลางกระแสประชาธิปไตยที่กำลังไหลเชี่ยวกรากไปทั่วทั้งโลกเวลานี้ ไม่มีทางที่อำนาจเผด็จการที่ครอบประเทศอยู่ขณะนี้จะดำรงอยู่ได้อีกแล้ว.. ประชาชนผู้รักประชาธิปไตย คนเสื้อแดงและผู้ที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมาตลอดหลายสิบปี ต่างรอคอยเวลานี้มาอย่างยาวนาน


ต้นไม้ประชาธิปไตยที่ถูกราดรดด้วยน้ำตา..คราบเลือด.. และชีวิตของวีรชนเหล่านั้น กำลังเกิดดอกออกผลแล้ว.. วันที่ประชาชนจะโห่ร้องด้วยความยินดีที่ได้รับประชาธิปไตยกลับมาอย่างแท้จริงกำลังจะ​มาถึงแล้ว.. “และครั้งนี้จะเป็นการต่อสู้กับเผด็จการครั้งสุดท้ายอย่างแท้จริง” แล้วเราจะร่วมถือป้ายประชาธิปไตยด้วยกัน


“To banish the trace of a tear from eyes;
A thousand deaths would I gladly die;
If one more life were granted me;
I’d spend that life in serving thee.”
By Awetik Issaakjan

“เพื่อลบรอยคราบน้ำตาประชาราษฎร์
สักพันชาติจักสู้ม้วยด้วยหฤหรรษ์
แม้นชีพใหม่มีเหมือนหวังอีกครั้งครัน
จักน้อมพลีชีพนั้นเพื่อมวลชน”
จิตร ภูมิศักดิ์ (ผู้แปล)

"ไม่มีอำนาจใดในโลกหล้า ผู้ปกครองต่างมาแล้วสาปสูญ
ไม่มีใครต่างล้ำเลิศน่าเทิดทูน ประชาชนสมบูรณ์นิรันดร์ไป
เมื่อยืนหยัดต่อสู้ผู้กดขี่ ประชาชนย่อมมีชีวิตใหม่
เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน"


วิสา คัญทัพ


ปูนนก
คำเตือน 5 ข้อ สำหรับประเทศไทย
เกี่ยวกับปราสาทพระวิหาร


โดย อัครพงษ์ ค่ำคูณ

เตือนที่ 1 ศาลโลกตัดสินยกแต่เฉพาะตัวปราสาท ไม่รวมพื้นดินใต้ปราสาท จริงหรือ?

(เอกสารอ้างอิง ทำเนียบนายกรัฐมนตรี, สำนัก. คำพิพากษาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ คดีปราสาทพระวิหาร. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์สำนักทำเนียบนายกรัฐมนตรี, 2505.)

"อย่างไรก็ดี ศาลมีความเห็นว่าประเทศไทยใน ค.ศ.1908-09 ได้ยอมรับแผนที่ในภาคผนวก 1 ว่าเป็นผลงานของการปักปันเขตแดน และด้วยเหตุนี้ จึงได้รับรองเส้นบนแผนที่ว่าเป็นเส้นเขตแดน อันเป็นผลให้พระวิหารตกอยู่ในดินแดนกัมพูชา ศาลมีความเห็นต่อไปว่า เมื่อพิจารณาโดยทั่วๆ ไป การกระทำต่อๆ มาของไทยมีแต่ยืนยันและชี้ให้เห็นชัดถึงการยอมรับแต่แรกนั้น และว่าการกระทำของไทยในเขตท้องที่ก็ไม่เพียงพอที่จะลบล้างข้อนี้ได้ คู่กรณีทั้งสองฝ่ายโดยการประพฤติปฏิบัติของตนเอง ได้รับรองเส้นแผนที่นี้และดังนั้นจึงถือได้ว่าเป็นการตกลงให้ถือว่าเส้นนี้ เป็นเส้นเขตแดน" (ทำเนียบนายกรัฐมนตรี 2505, 45)

"การระบุเส้นสันปันน้ำในข้อ 1 ของสนธิสัญญาฉบับ ค.ศ.1904 มิได้หมายความอะไรนอกไปจากว่าเป็นวิธีที่สะดวกและแจ่มแจ้งที่จะบรรยายเส้น เขตแดนอย่างให้เห็นได้ชัด ถึงแม้ว่าจะเป็นการกล่าวเพียงกว้างๆ ก็ตาม แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะให้คิดว่าคู่กรณีได้ให้ความสำคัญเป็นพิเศษแก่เส้นสัน ปันน้ำโดยเจาะจง เมื่อเปรียบเทียบกับความสำคัญที่เหนือกว่าของการยึดถือเส้นเขตแดนในแผนที่ ซึ่งได้ปักปันกันในเวลาต่อมาและเป็นที่ยอมรับแก่คู่กรณี ทั้งนี้ เพื่อให้เรื่องได้เป็นที่ยุติกันไป ฉะนั้น อาศัยหลักในการตีความสนธิสัญญา ศาลจึงจำต้องลงความเห็นให้ถือเส้นเขตแดนตามแผนที่ของบริเวณพิพาท" (ทำเนียบนายกรัฐมนตรี 2505, 49-50)

"ด้วยเหตุผลดังกล่าวแล้วนี้ ศาล โดยคะแนนเสียงเก้าต่อสาม ลงความเห็นว่าปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในอาณาเขตภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา

โดยเหตุนี้ จึงพิพากษา โดยคะแนนเสียงเก้าต่อสาม ว่าประเทศไทยมีพันธะที่จะต้องถอนกำลังทหารหรือตำรวจ ผู้เฝ้ารักษาหรือผู้ดูแลซึ่งประเทศไทยส่งไปประจำอยู่ที่ปราสาทพระวิหารหรือ ในบริเวณใกล้เคียงบนอาณาเขตของกัมพูชา"
 (ทำเนียบนายกรัฐมนตรี 2505, 51)

คำเตือนพิเศษ โปรดสังเกตว่า ไม่มีข้อความใดในคำพิพากษาที่ระบุว่า ศาลตัดสินยกแต่เฉพาะตัวปราสาทไม่รวมพื้นดินใต้ปราสาท หรือ ไม่มีข้อความใดระบุว่า พื้นดินใต้ปราสาทยังเป็นของประเทศไทย

เตือนที่ 2 แผนที่ 1 : 200,000 ทำขึ้นโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียว จริงหรือ?
(เอกสารอ้างอิง ทำเนียบนายกรัฐมนตรี, สำนัก. คำพิพากษาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ คดีปราสาทพระวิหาร. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์สำนักทำเนียบนายกรัฐมนตรี, 2505.)

"คณะกรรมการผสมชุดที่จัดตั้งขึ้นตามสนธิสัญญาฉบับ ค.ศ.1904 ได้มีการประชุมครั้งแรกในเดือนมกราคม ค.ศ.1905 แต่ก็มิได้ปฏิบัติงานจนถึงเขตแดนทางทิศตะวันออกของทิวเขาดงรักกระทั่งเดือน ธันวาคม ค.ศ.1906 ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าจะได้ระบุไว้ในรายงานการประชุมของคณะกรรมการในการประชุมเมื่อวัน ที่ 2 ธันวาคม ค.ศ.1906 ว่า สมาชิกฝ่ายฝรั่งเศสผู้หนึ่งของคณะกรรมการ ร้อยเอก ทิกซีเอ ได้เดินทางผ่านไปตามเขาดงรักในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1905 เช่นนั้นก็ตาม ในการประชุมเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ.1906 ซึ่งจัดให้มีขึ้นที่นครวัดได้มีการตกลงกันว่าคณะกรรมการจะขึ้นไปบนเขาดงรัก จากที่ราบต่ำของกัมพูชา โดยผ่านขึ้นทางช่องเกนซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกของพระวิหารและเดินทางไปยังทิศ ตะวันออกตามทิวเขาโดยอาศัยเส้นทางเดียวกัน (หรือตามเส้นเดียวกัน) กับเส้นที่ร้อยเอก ทิกซีเอ ได้ตระเวนสำรวจไว้ในปี ค.ศ.1905 ที่ประชุมตกลงกันว่า การสำรวจที่จำเป็นทั้งหมดระหว่างเส้นทางนี้และเส้นยอดเขา (ซึ่งเกือบจะขนานกัน) สามารถทำได้โดยวิธีนี้ เพราะเหตุว่าเส้นทางนี้อยู่ในด้านไทยห่างจากยอดเขาอย่างมากที่สุดประมาณ 10 ถึง 15 กิโลเมตรเท่านั้น คู่ความมิได้โต้แย้งว่าประธานฝ่ายฝรั่งเศสและประธานฝ่ายสยามในฐานะผู้แทนของ คณะกรรมการได้เดินทางมาตามนี้ และได้ไปที่ปราสาทพระวิหาร แต่ทั้งนี้ ก็ไม่มีบันทึกหลักฐานใด แสดงให้เห็นว่าประธานทั้งสองได้ให้คำวินิจฉัยไว้แต่ประการใด

ในการประชุมครั้งเดียวกันคือเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ.1906 ได้มีการตกลงกันด้วยว่า ร้อยเอกอุ่ม กรรมการผู้หนึ่งในฝ่ายฝรั่งเศสจะเป็นผู้สำรวจทิวเขาดงรักด้านตะวันออกทั้ง หมด ซึ่งเป็นเขตที่พระวิหารตั้งอยู่โดยเริ่มต้นสำรวจจากจุดปลายด้านตะวันออก และว่าร้อยเอกอุ่มจะออกเดินทางเพื่อการนี้ในวันรุ่งขึ้น

จึงเป็นที่แจ้งชัดว่า คณะกรรมการผสมเจตนาอย่างเต็มที่ที่จะปักปันเขตแดนในเขตภูเขาดงรักและจะได้ จัดทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อเตรียมการในเรื่องงานปักปัน งานปักปันนี้ย่อมต้องสำเร็จแล้ว เพราะว่าในปลายเดือนมกราคม ค.ศ.1907 อัครราชทูตฝรั่งเศสประจำกรุงเทพฯ ได้รายงานต่อรัฐมนตรีต่างประเทศในกรุงปารีสว่า เขาได้รับแจ้งอย่างเป็นทางการจากประธานฝ่ายฝรั่งเศสในคณะกรรมการผสมว่า การปักปันทั้งหมดได้เสร็จสิ้นลงแล้วโดยไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้น และว่าได้มีการกำหนดเส้นเขตแดนขึ้นเป็นที่แน่นอนแล้วนอกจากในอาณาบริเวณ เสียมราฐ นอกจากนั้น ในรายงานเกี่ยวกับการปักปันทั้งหมด ลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1907 ซึ่งประธานได้ส่งไปให้รัฐบาลของตนก็ได้ระบุไว้ว่า "ตลอดแนวเขาดงรักจนถึงแม่น้ำโขงการกำหนดเขตแดนไม่ได้ปรากฏความยุ่งยากใดๆ เลย" (ทำเนียบนายกรัฐมนตรี 2505, 21-22)

งานขั้นสุดท้ายในการดำเนินการปักปันเขตแดนได้แก่การตระเตรียมและการจัดพิมพ์ แผนที่เพื่อจะทำงานชิ้นนี้ให้สำเร็จ รัฐบาลสยามซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีเครื่องมือเครื่องใช้เพียงพอ จึงได้ร้องขอเป็นทางการให้พนักงานสำรวจพื้นที่ของฝรั่งเศสจัดทำแผนที่อาณา บริเวณเขตแดนนี้ขึ้น ดังจะเห็นได้ชัดจากข้อความวรรคเริ่มต้นของรายงานการประชุมคณะกรรมการผสมชุด แรก เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ.1905 คำร้องขอนี้ได้รับความเห็นชอบจากฝ่ายสยามในคณะกรรมการซึ่งอาจเป็นผู้ให้ความ ดำรินี้เพราะว่าในหนังสือลงวันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ.1908 อัครราชทูตสยาม ณ กรุงปารีส (หม่อมเจ้าจรูญศักดิ์ กฤษฎากร) ได้ติดต่อแจ้งผลงานเกี่ยวกับการทำแผนที่ไปยังรัฐบาลของตนมีความตอนหนึ่งอ้าง ถึง "คณะกรรมการการปักปันเขตแดนผสม โดยคำขอร้องของกรรมการฝ่ายสยามได้มอบหมายให้กรรมการฝ่ายฝรั่งเศส จึงทำแผนที่บริเวณเขตแดนส่วนต่างๆ ขึ้น" ที่ว่าเรื่องนี้เป็นนโยบายเจาะจงของเจ้าหน้าที่ฝ่ายสยาม....(ทำเนียบนายก รัฐมนตรี 2505, 25)

รัฐบาลฝรั่งเศสได้มอบหมายให้คณะเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสรวม 4 คน เป็นผู้จัดทำงานนี้ เจ้าหน้าที่ 3 คนในจำนวนนี้ ได้แก่ ร้อยเอก ทิกซีเอ แคร์เล และ เดอ บาทซ์ ซึ่งได้เคยเป็นสมาชิกในคณะกรรมการผสมชุดแรก เจ้าหน้าที่ชุดนี้ทำงานภายใต้ความควบคุมของพันเอกแบร์นาร์ด และในปลายฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ.1907 ก็ได้จัดทำแผนที่ขึ้นสำเร็จรวม 11 ฉบับ ซึ่งคลุมถึงเขตแดนส่วนใหญ่ระหว่างสยามกับอินโดจีน...แผนที่เหล่านี้ได้พิมพ์ ขึ้นและจำหน่ายโดยบริษัทพิมพ์แผนที่มีชื่อของฝรั่งเศสชื่อว่า อาช บาร์แรร์ (ทำเนียบนายกรัฐมนตรี 2505, 25)

อนุสัญญาฉบับวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2446/ค.ศ.1904 ระหว่างสยามกับอินโดจีนฝรั่งเศส ทำให้เกิดการตั้งคณะกรรมการปักปันเขตแดนขึ้น คือ "คณะกรรมการเขตแดนผสมอินโดจีนและสยาม (COMMISSION DE DELIMITATION ENTRE L′ INDO-CHINE ET LE SIAM)" โดยมีประธานร่วมสองคน คือ พลตรีหม่อมชาติเดชอุดม เป็นประธานฝ่ายสยาม และมี พันเอก แบร์นาร์ด เป็นประธานฝ่ายฝรั่งเศส ทำให้เกิดแผนที่ 11 ฉบับ มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งตามเอกสารราชการ เลขที่ 89/525 ลงวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ.2451/ค.ศ.1908 หม่อมเจ้าจรูญศักดิ์ กฤษดากร อัครราชทูตสยามประจำฝรั่งเศส มีข้อความในจดหมายว่า "ในเรื่องที่คณะกรรมการการปักปันเขตแดนผสม ตามคำร้องขอของกรรมการฝ่ายสยามให้กรรมการฝ่ายฝรั่งเศสช่วยจัดทำแผนที่ในเขต แดนต่างๆ ขึ้นนั้น บัดนี้ คณะกรรมการฝ่ายฝรั่งเศสได้ปฏิบัติงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว" จึงได้ส่งมอบให้ สมเด็จกรมพระยาเทวะ วงศ์วโรปการ เสนาบดีกระทรวงต่างประเทศ โดยระบุรายชื่อแผนที่ทั้ง 11 ระวาง จำนวนอย่างละ 50 แผ่น ซึ่งได้แก่ แผนที่ส่วนเหนือ (Map for the north region) จำนวน 5 ระวาง คือ 1.Meakhop and Chianglom 2.rivers in the north 3.Muang Nan 4.Paklai 5.Huang River ซึ่งปัจจุบันคือ เส้นเขตแดนกับลาว และแผนที่ส่วนใต้ (Map for the south region) จำนวน 6 ระวาง คือ 6.Pasak 7.Mekong 8.Dangrek 9.Phnom Kulen 10.Lake และ 11.Muang Trat ซึ่งเป็นเส้นเขตแดนกับกัมพูชา

อัครราชทูตลงท้ายว่า ได้เก็บแผนที่ไว้ที่สถานอัครราชทูตฝรั่งเศสอย่างละ 2 ชุด และจะได้ส่งแผนที่อย่างละชุดไปยังสถานอัครราชทูต ณ กรุงลอนดอน กรุงเบอร์ลิน ประเทศรัสเซีย และสหรัฐอเมริกา จึงเหลือส่งมายังราชสำนักสยามเพียงระวางละ 44 แผ่น รวมทั้งสิ้น 484 แผ่น แผนที่ชุดนี้ปัจจุบันมีอยู่ที่กระทรวงต่างประเทศของไทย พิมพ์โดย H.BARRERE, Editeur Geographe.21 Rue du Bac, PARIS

เตือนที่ 3 เราไม่มีเทคโนโลยีและองค์ความรู้ด้านการทำแผนที่จึงถูกฝรั่งเศสโกงและเอาเปรียบ

(เอกสารอ้างอิง แผนที่ทหาร, กรม. ที่ระลึก ครบรอบวันสถาปนา 100 ปี กรมแผนที่ทหาร 3 กันยายน 2528. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์กรมแผนที่ทหาร, 2528.)

เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ขึ้นครองราชย์ ในวันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2411/ค.ศ.1868 พระองค์ก็ดำเนินพระบรมราชวิเทโศบายเพื่อนำพาพระราชอาณาจักรให้รอดพ้นจาก อำนาจและอิทธิพลของเจ้าอาณานิคม ดังนั้น จึงทรงริเริ่ม "แบบแผนตะวันตก" เพื่อพัฒนาปรับปรุงให้สยามมีความทันสมัยทัดเทียมนานาอารยประเทศ หนึ่งในพระราชกรณียกิจเหล่านั้นคือ ทรงก่อตั้ง "กองทำแผนที่" ครั้งแรกในปี พ.ศ.2418/ค.ศ.1875 ต่อมาจึงตั้ง "โรงเรียนแผนที่" เมื่อวันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ.2425/ค.ศ.1882 และตั้ง "กรมทำแผนที่" ในวันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ.2428/ค.ศ.1885 โดยมี พระวิภาคภูวดล (James Fitzroy McCarthy) ชาวอังกฤษ เป็นเจ้ากรมคนแรกผู้วางรากฐานหลักวิชาการทำแผนที่ตามเทคนิคและวิธีการแบบ ตะวันตก และมีผู้บัญชาการกำกับดูแลเมื่อเริ่มตั้งกรมทำแผนที่ คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ (แผนที่ทหาร 2528, 1-2)

โปรดสังเกตว่า สยามได้มีการก่อตั้ง "กรมทำแผนที่" อย่างเป็นทางการมาแล้วตั้งแต่ พ.ศ.2428/ค.ศ.1885 แสดงให้เห็นว่า ราชอาณาจักรสยามก็ได้เตรียมองค์กรรับผิดชอบกิจการด้านการทำ "แผนที่" แบบสมัยใหม่เป็นเวลากว่า 23 ปี หรือ ถ้านับตั้งแต่การเริ่มทดลองตั้ง "กองทำแผนที่" พ.ศ.2418/ค.ศ.1875 ก็เป็นเวลากว่า 33 ปี และล่วงมาแล้วกว่า 25 ปีของการสถาปนา "โรงเรียนแผนที่" พ.ศ.2425/ค.ศ.1882 ก่อนที่จะมีการทำแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 จำนวน 11 ระวางแล้วเสร็จ อันเป็นผลจากอนุสัญญาฉบับวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2446/ค.ศ.1904

เตือนที่ 4 ต้องยึดหลักสากลใช้ "สันปันน้ำ" ในการแบ่งเขตแดนระหว่างประเทศ

(เอกสารอ้างอิง ทำเนียบนายกรัฐมนตรี, สำนัก. คำพิพากษาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ คดีปราสาทพระวิหาร. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์สำนักทำเนียบนายกรัฐมนตรี, 2505.

ราชบัณฑิตยสถาน. อักขรานุกรมภูมิศาสตร์ไทย เล่ม 1 ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. กรุงเทพฯ: ห้างหุ้นส่วน จำกัด อรุณการพิมพ์, 2545.)

เส้นเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีนฝรั่งเศส เกิดขึ้นตามข้อกำหนดในมาตรา 1 ของอนุสัญญาฉบับวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2446/ค.ศ.1904 ที่มี "เขตร์แดนเนื่องไปตามแนวยอดภูเขาปันน้ำ" ซึ่งเป็น "ความประสงค์...ที่จะมีเส้นเขตแดนที่เป็นธรรมชาติและเห็นได้ง่าย....โดย เลือกถือเอาเส้นใดเส้นหนึ่งที่มองเห็นเป็นแนวเส้นได้ชัดเจนตามทิวเขาใหญ่ๆ ในหมู่เขาดงรัก เส้นนั้นอาจเป็นเส้นสันเขา เส้นสันปันน้ำ หรือชะง่อนหน้าผา.....ดังจะเห็นได้ว่า....ได้ตกลงที่จะถือตามเส้นสันปันน้ำ ในการทำเช่นนี้จะต้องสันนิษฐานว่า....ได้ทราบดีแล้วว่า ในท้องถิ่นบางแห่ง เส้นสันปันน้ำนี้ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นเส้นเดียวกันกับเส้นสันเขาหรือ ชะง่อนหน้าผา...." (ทำเนียบนายกรัฐมนตรี 2505, 17-18)

คำว่า "สันปันน้ำ (watershed) หมายถึง บริเวณที่สูงหรือสันเขา ซึ่งแบ่งน้ำที่อยู่แต่ละด้านของสันเขา ให้ไหลออกไป 2 ฟาก (หรือมีทิศทางตรงกันข้าม) ไปสู่แม่น้ำลำธาร แต่สันปันน้ำในการกำหนดเขตแดนนั้น หมายถึง ที่สูงหรือส่วนใหญ่คือสันเขาที่ต่อเนื่องกัน และจะปันน้ำหรือน้ำฝนที่ตกลงมา ให้แบ่งออกเป็น 2 ฟากโดยไม่มีการไหลย้อนกลับ ในกรณีที่มีสันเขาแยกออกเป็นหลายสันจะยึดถือสันเขาที่มีความต่อเนื่องมากที่ สุด นั่นคือ สันเขาที่สูงที่สุดไม่จำเป็นต้องเป็นสันปันน้ำเสมอไป แต่สันเขาที่สูงและมีความต่อเนื่องมากที่สุดมักจะได้รับการพิจารณาให้เป็น สันปันน้ำ" (ราชบัณฑิตยสถาน 2545, 11)

เตือนที่ 5 ชาตินิยม กับ คลั่งชาติ

ปรีดี พนมยงค์ กล่าวว่า "เป็นความจำเป็นและผลประโยชน์ของประเทศไทยและประชาชนชาวไทย ที่จะต้องอยู่ร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านโดยสันติ ไม่ควรตกเป็นเหยื่อของสงครามเย็นและสงครามประสาท

"เราไม่ควรมีความคิดเรื่องถือผิวหรือเชื้อชาติ แต่ควรยึดมั่นในความคิดที่ชนทุกชาติอยู่ร่วมกันอย่างสันติในโลกได้"


จิตร ภูมิศักดิ์ กล่าวว่า "สำหรับข้าพเจ้า ความรู้สึกชาตินิยมกับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์นั้น รู้สึกว่าบางครั้งก็อาจจะขัดกัน; ในบทความนี้จึงเริ่มต้นด้วยข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์, มิได้เริ่มต้นจากความรู้สึกชาตินิยม, มิได้ปิดประตูตายสำหรับความหมายที่ร้าย และเปิดประตูต้อนรับเฉพาะความหมายที่ดีด้านเดียว."

ขงจื๊อกล่าวว่า "เรียนแล้วไม่คิด เป็นการเสียแรงเสียเวลา แต่คิดโดยไม่เรียน เป็นการเสี่ยงอันตราย"

ที่มา.มติชนออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////
POSTED BY : ปรีชา จาสมุทร DATE : วันพุธ, กุมภาพันธ์ 02, 201

เอามาซุกไว้นี่

ฝากทีวีชั่วคราวครับ

Thai People Voice 1


Thai People Voice 2


Speed Horse 1


Asia Update

UDD THAILAND

http://redusala.blogspot.com

Thai and Cambodian soldiers clash again in border dispute

Fighting resumes between Thailand and Cambodia over disputed Preah Vihear boundary

Preah Vihear temple
Clashes between Cambodia and Thailand over land around the Preah Vihear temple, above, have resumed despite the announcement of a ceasefire. Photograph: Tang Chin Sothy/AFP/Getty
Thai and Cambodian soldiers exchanged fire on a disputed stretch of their border today, witnesses said, the third flare-up in three days in an ancient feud over territory surrounding a 900-year-old Hindu temple.
The latest fighting occurred despite Thailand's announcement of a ceasefire yesterday after clashes in the area that killed at least five people.
A witness said about 20 rounds went off in the vicinity of a 4.6 sq km contested area around the 11th-century Preah Vihear temple, a jungle-clad escarpment overlooking northern Cambodia and claimed by both countries.
"We are receiving reports of fresh shooting right now. But there is no report of casualties," said a Thai army spokesman, Colonel Sansern Kaewkamnerd.
Although sporadic clashes in the area are not unusual, it is rare for the two sides to fight over consecutive days.
Washington has called on the countries to show restraint.
The Association of South East Asian Nations (Asean), a regional forum that includes Thailand and Cambodia, said the deteriorating situation was undermining confidence in the region and would affect its economic recovery.
Thai and Cambodian troops fought with rocket-propelled grenades and guns for about 25 minutes yesterday in a clash that killed one Thai soldier, before reaching a truce in the early afternoon and agreeing not to reinforce troops.
That followed an intense two-hour battle in which three Cambodians, including two soldiers, and a Thai villager were killed on Friday, the first fatalities in the militarised border area since a Thai soldier was shot dead in January last year.
The fighting, the latest episode in tension between the neighbours, has inflamed passions among Thai "yellow shirt" protesters who are demanding prime minister Abhisit Vejjajiva takes a tougher line against Cambodia.
Up to 4,000 yellow shirt protesters gathered outside Government House yesterday, criticising Abhisit's government for its handling of the dispute and calling for his resignation.
The Thai foreign ministry has accused Cambodia of engaging in "an act of aggression in violation of Thai sovereignty and territorial integrity". Cambodia has accused Thailand of invasion and filed a complaint with the UN security council.
The temple, known as Preah Vihear in Cambodia and Khao Phra Viharn in Thailand, sits on land that forms a natural border.
The International Court of Justice awarded it to Cambodia in 1962 but the ruling did not determine the ownership of the scrub next to the ruins, leaving scope for disagreement.

ชายแดนไทย-เขมรปะทะหนัก-หามชาวบ้านส่งรพ.
  • 06 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา 19:38 น. 

ชายแดนเดือดอีก ไทย-กัมพูชาระดมยิงปืนใหญ่ใส่กันตลอดแนว
ชายแดนเขาพระวิหาร ขณะที่ประชาชนในพื้นที่ได้รับบาดเจ็บระนาว 

เมื่อเวลา 19.40 น.สถานการณ์ปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จ.ศรีสะเกษ
ได้ขยายวงกว้างมากขึ้น โดยมีการปะทะตลอดแนวชายแดนเป็นระยะทาง 10
กิโลเมตร ตั้งแต่บ้านทิศเหนือเขาพระวิหาร ต.ภูมิซรอล ไปจนถึง ภูมะเขือ
ตรงข้าม ต.รุง อ.กันทรลักษ์ โดยทั้งสองฝ่ายได้ยิงตอบโต้กันด้วยปืนใหญ่
อย่างต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้ได้มีผู้บาดเจ็บจากเหตุปะทะดังกล่าวแล้ว โดย
ส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านในพื้นที่ และเจ้าหน้าที่ได้เร่งนำตัวส่งโรงพยาบาล
เป็นการเร่งด่วนแล้ว 
ทั้งนี้เหตุปะทะดังกล่าวเริ่มขึ้นเมื่อเวลาราว 18.30 น. โดยฝ่ายกัมพูชา
ได้ยิงจรวดเข้ามายังฝั่งไทยบริเวณ บ้านโดนเอาว์ ต.รุง อ.กันทรลักษ์
ส่งผลให้บ้านเรือนของประชาชนได้รับความเสียหาย ขณะที่ทหารไทย
ได้ยิงปืนใหญ่เป็นการตอบโต้  
ขณะที่ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ให้สัมภาษณ์สถานี
ทีวีไทยว่า เมื่อเวลาประมาณ 18.40 น. ได้เกิดเหตุปะทะบริเวณชายแดน
ไทย - เขมร โดยทางเขมรยิงกระสุนส่องสว่างมาตกที่ภูมะเขือ และ
บ้านโดนเอาว์ ทางไทยจึงตอบโต้กลับไป จากนั้นเขมรได้ยิงจรวด
มาตกฝั่งไทยอีก จึงตอบโต้กลับไป โดยการปะทะก็ยังดำเนินอยู่
คำอธิบายเพิ่มเติม 
รวมคลิป ข่าว ไทยปะทะเขมร ที่ภูมะเขือ 4 กพ 54 

ข่าวช่อง 3


 

ข่าวช่อง 5


ข่าวช่อง 7


ข่าวช่อง 11 หอยม่วง


เครดิต คุณ พิราบ dang  ขอบคุณค่ะ


Under attack at Preah Vihear temple on Thai-Cambodia border



ไทย-เขมรปะทะอีก ทหารดับ 3พันอพยพหนี ข่าวสด

http://www.internetfreedom.us/thread-12186.html
วันที่ 06 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7374 ข่าวสดรายวัน

ไทย-เขมรปะทะอีก ทหารดับ 3พันอพยพหนี

มทภ.2โร่ถก-หยุดยิงแล้ว มาร์คโวย-กัมพูชายิงก่อน ฉันทามติพธม.-แค่ไล่นายก

พลีชีพ- ศพส.อ.วุธชรินทร์ ชาติคำดี ซึ่งคลุมด้วยธงชาติ ตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดศิริวราวาส อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ช่วงเย็นวันที่ 5 ก.พ. หลังเสียชีวิตจากการปะทะกับกัมพูชาระลอก 2 ตอนเช้าวันเดียวกัน

มทภ.2 นำทีมถกกัมพูชายุติหยุดยิงตั้งแต่เที่ยง พร้อม 4 เงื่อน ไข หยุดยิง-ไม�เพิ่มกำลัง-หยุดทำป?นลั่น-ถอนคนจากพื้นที่ หลังเกิดเหตุปะทะอีกระลอกช่วงเช้าตรู่ที่ช่องโดนอาว จ.ศรีสะเกษ ทหารไทยเจ็บ 2 เสียชีวิต 1 นาย ส่วนสถานการณ์ชายแดนรอบข้างกลับสู่ภาวะปกติหลังหยุดยิง มาร์คเรียกประชุมฝ่ายความมั่นคง พร้อมแถลงหนุนการทำงานของ กองทัพ บัวแก้ว 2 ประเทศต่างอ้างอีกฝ่ายยิงก่อน พธม.ระดมพลขอประชามติเคลื่อนไหวต่อ

ปะทะเดือดอีกรอบ-ตาย 1 เจ็บ 2

เมื่อเวลา 06.25 น. วันที่ 5 ก.พ. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้เกิดการปะทะกันระหว่างทหาร ไทยกับทหารกัมพูชาที่ช่องโดนอาว อยู่ใกล้กับ ภูมะเขือ ด้านทิศตะวันตกของเขาพระวิหาร ซึ่งทหารทั้งสองฝ่ายได้ใช้อาวุธปืนประจำกายยิงปะทะกันนานประมาณ 30 นาที เสียงปืนจึงได้สงบลง ผลจากการปะทะกันในครั้งนี้ปรากฏว่า ส.อ.วุธชรินทร์ ชาติคำดี สังกัด พัน ร.162 จ.ยโสธร โดนสะเก็ดระเบิดที่ศีรษะเสียชีวิตคาที่ พลฯ ธวัชชัย ศรีวิเศษ ได้รับบาดเจ็บที่เข่าขวา และทหารพรานสงคราม ธุรชัย โดนสะเก็ดระเบิดที่หน้าอก รวมแล้วมีทหารไทยเสียชีวิต 1 นายและบาดเจ็บอีก 2 ราย ซึ่งผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตทั้งหมดถูกส่งไปที่ ร.พ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะ เกษ เพื่อให้แพทย์รักษาพยาบาลและชันสูตรศพต่อไป

รายงานข่าวจากแหล่งข่าวทางทหารว่า จากการปะทะกันมีทหารกัมพูชาได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต 64 นาย และรถถังถูกกระสุนปืนใหญ่ของไทยพังเสียหาย 12 คัน ซึ่งรถถังทั้งหมดของกัมพูชาที่ถูกทำลายนี้จะประจำอยู่ตามแนวชายแดน ไทย-กัมพูชา ด้านเขาพระวิหาร ขณะเดียวกัน วัดแก้วสิกขาคีรีศวรซึ่งสร้างอยู่ในพื้นที่ที่ยังไม่มีการปักปันเขตแดน ปรากฏว่าได้ถูกกระสุนปืนใหญ่ของไทย หลังคาวัดได้รับความเสียหาย ขณะที่ชุมชนรอบวัดแก้วสิกขาคีรีศวรก็ได้ถูกกระสุนปืนใหญ่ได้รับความเสียหาย หลายสิบหลังด้วยกัน

3 พันกว่าชีวิตอพยพหนีสงคราม

ต่อมาเวลา 08.00 น. วันเดียวกัน ที่บริเวณบ้านภูมิซรอล ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะ เกษ นายโชคชัย สายแก้ว นายก อบต.เสาธงชัย ได้สั่งให้รถดับเพลิงมาทำการฉีดน้ำดับไฟที่ไหม้บ้านเรือนของชาวบ้าน ซึ่งถูกไหม้ทั้งหลัง เนื่อง จากถูกกระสุนปืนใหญ่ของกัมพูชา เมื่อวานนี้ และขณะนี้ไฟกำลังลุกกรุ่นอยู่ ส่วนชาวบ้านภูมิซ

รอลทั้งหมดได้พากัน อพยพไปอยู่ที่ศูนย์อพยพบริเวณหอประชุมที่ว่าการ อ.กันทรลักษ์ ทั้งหอประชุมใหม่และเก่าจนล้นหอประชุมทั้งสองแห่ง และต้องขยายพื้นที่ในการรองรับผู้อพยพไปอยู่ที่หอประชุมวิทยาลัยการอาชีพ กันทรลักษ์ หอประชุมที่ว่าการ อ.ศรีรัตนะ หอประชุม ร.ร.บ้านท่าสว่าง และศีรษะอโศก ซึ่งขณะนี้มีผู้อพยพหนีภัยสงครามประมาณกว่า 3,000 คน

กองทัพเคลื่อนกำลังตรึงพื้นที่

ต่อมาเวลา 08.15 น. พล.ท.ธวัชชัย สมุทร สาคร แม่ทัพภาคที่ 2 ได้สั่งการให้ทหารสังกัดกองกำลังสุรนารี พร้อมอาวุธหนัก เคลื่อนกำลังไปเสริมกำลังเพิ่มเติมที่บริเวณภูมะเขือ ด้านทิศตะวันตกของเขาพระวิหาร และที่บริเวณช่องโดนอาว ซึ่งเป็นที่ที่มีการปะทะกันระหว่างทหาร ไทยกับทหารกัมพูชาอีกครั้งหนึ่ง ขณะเดียวกันหลายส่วนราชการของ จ.ศรีสะเกษ ได้นำรถยนต์ไปรับชาวบ้านที่ยังตกค้างอยู่ หลังจากที่มีการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา เพื่ออพยพชาวบ้านให้มารวมกันอยู่ที่ศูนย์อพยพที่ทางราชการจัดไว้เพื่อความ ปลอดภัย

สั่งปิดด่านช่องสะงำ

เวลา 08.30 น. ที่บริเวณจุดผ่านแดนถาวรไทย-กัมพูชา ช่องสะงำ ต.ไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ ปรากฏว่า ทางราชการได้มีการสั่งปิดช่องสะงำเป็นการชั่วคราว ห้ามไม่ให้ประชา ชนชาวไทยและชาวกัมพูชาผ่านเข้าออก เนื่องจากสถานการณ์ที่มีการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชาที่บริเวณ เขาพระวิหาร ซึ่งจากการปิดด่านช่องสะงำในครั้งนี้ปรากฏว่า ได้ทำให้คณะทัวร์ของคนไทยจาก จ.อุบลราชธานี ประมาณ 30 คน ติดค้างอยู่ในเขตกัมพูชา ที่จ.เสียมราฐ ประเทศกัมพูชา ซึ่งยังไม่ทราบว่ากลุ่มทัวร์คนไทยดังกล่าวจะสามารถเข้ามาในเขตแดนไทยได้ใน ช่วงวัน เวลาใด

ส่วนที่อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ต.เสาธงชัย แม้จะยังไม่ได้มีการสั่งปิดเป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีนักท่องเที่ยวคนใดกล้าที่จะขึ้นไปเที่ยวชมอุทยานแห่งชาติเขาพระ วิหาร เนื่องจากเกรงว่าอาจจะได้รับอันตรายจากการปะทะกันระหว่าง ทหารไทยกับทหารกัมพูชา ขณะที่บริเวณด่านเก็บค่าธรรมเนียมอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร มีทหารไทยพร้อมอาวุธปืนครบมือเต็มอัตรา ตั้งด่านตรวจเข้ม เพื่อเป็นการรักษาความสงบเรียบร้อยอย่างเต็มที่ มีเพียงรถทหารที่บรรทุกกำลังทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ รวมทั้งเสบียงอาหารเท่านั้นที่ผ่านขึ้นลงตลอดเวลา

ส่งจนท.สำรวจ-ดูแลบ้านราษฎร

เวลา 08.45 น. นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ผวจ.ศรีสะเกษ ได้สั่งการให้ส่วนราชการที่เกี่ยว ข้องทำการสำรวจความเสียหายอาคารบ้านเรือน สถานที่ราชการที่ได้รับความเสียหายจากการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหาร กัมพูชา ขณะที่พ.ต.ท.ทิพย์พงษ์ ทิพย์เกสร สารวัตรใหญ่ สภ.บึงมะลู อ.กันทรลักษ์ และร.ต.อ.ไพรวัลย์ อายุวงค์ หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ภ.จว. ศรีสะเกษ พร้อมด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บึงมะลู และสภ.โดนอาว ออกตรวจสอบดูแล รักษาความสงบเรียบร้อยในเขต ต.เสาธงชัย และทุกหมู่บ้านตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านอ.กันทรลักษ์ ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันการโจรกรรมทรัพย์สินของชาวบ้านที่ทิ้งบ้านเรือน ทรัพย์สินเอาไว้ และอพยพหนีภัยสงครามไปอยู่ที่ศูนย์อพยพของทางราชการ

นายวีระยุทธ ดวงแก้ว กำนัน ต.เสาธงชัย กล่าวว่า จากการสำรวจบ้านเรือนของชาวบ้าน พบว่า มีบ้านเรือนของชาวบ้านได้รับความเสียหาย เนื่องจากถูกกระสุนปืนใหญ่ของฝ่ายกัมพูชา ปรากฏว่า มีบ้านเรือนถูกไฟไหม้ทั้งหลัง 7 หลัง และบ้านเรือนเสียหายเป็นบางส่วน หลังคาและฝาบ้านพังเสียหายเล็กน้อย และได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า เมื่อช่วงเวลา 20.00 น. ของคืนที่ผ่านมา มีทหารกัมพูชาประมาณ 200 นาย บุกเข้ามาที่บริเวณเขื่อนห้วยขนุน ต.ภูผาหมอก อ.กันทรลักษ์ แต่ว่าถูกทหารไทยยิงปะทะสกัดเอาไว้ได้

มทภ.2 บุกถกกัมพูชาหยุดยิง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.00 น. ที่บริเวณจุดผ่านแดนถาวรไทย- กัมพูชา ช่องสะงำ ต.ไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 พร้อมด้วยพล.ต.ชวลิต ชุนประสาน ผบ.กองกำลังสุรนารี และคณะนายทหารระดับสูงของกองทัพภาคที่ 2 ได้เดินทางเข้าไปในเขตกัมพูชาที่ร้านอาหารใกล้กับจุดผ่านแดนถาวรไทย-กัมพูชา โดยได้ไปเจรจากับพล.ท.เจีย มอน ผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 4 ของกัมพูชา รวมทั้งคณะนายทหารระดับสูงของฝ่ายกัมพูชา เพื่อเจรจาหารือเกี่ยวกับสถานการณ์การสู้รบที่บริเวณเขาพระวิหาร ตั้งแต่ช่วงเย็นวันที่ 4 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยประชุมหารือกันอย่างเคร่งเครียดนานประมาณ 2 ช.ม. ซึ่งได้ข้อสรุปการประชุมว่า จะหยุดยิงพร้อมกันตั้งแต่เวลา 12.00 น. ของวันนี้เป็นต้นไป และจะไม่มีการเพิ่มกำลังทหารหรือเสริมกำลังทหารตามแนวชายแดนอีก

จากนั้นทางฝ่ายกัมพูชาได้ส่งมอบทหาร ไทย 4 นาย ซึ่งเป็นทหารชุดประสานงานอยู่ที่บริเวณวัดแก้วสิกขาคีรีศวรกลับคืนให้กับ ฝ่ายไทย ซึ่งทหารไทยทั้ง 4 นายไม่ได้ถูกจับเป็นตัวประกันแต่อย่างใด แต่ว่าเขมรได้ขอให้อยู่ในพื้นที่จำกัดระหว่างการสู้รบและอนุญาตให้โทรศัพท์ พูดคุยกับลูกเมียได้ แต่ไม่ให้รายงานสถานการณ์การสู้รบบริเวณวัดแก้วสิกขาคีรีศวร เพื่อเป็น การชี้เป้าหมายพิกัดให้กับทางฝ่ายทหารไทยได้ทราบ และนับตั้งแต่เวลา 12.00 น.ของวันนี้เป็นต้นไป ไม่ได้ยินเสียงปืนระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาปะทะกันอีกแต่อย่างใด ขณะเดียวกันเมื่อเวลา 11.00 น. ทหารฝ่ายกัมพูชาได้ยิงปืนใหญ่เข้ามาในเขตแดนไทย 2 นัด แต่กระสุนปืนใหญ่ตกไปทางด้านทิศตะวันของบ้านภูมิซรอล ห่างจากชุมชนประมาณ 4 ก.ม.

ไก่อูเผยเงื่อนไขหยุดยิง

พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 12.10 น. พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 ได้ข้อสรุปจากการเจรจากับทหารฝ่ายกัมพูชาซึ่งตกลงกันใน 4 ประเด็น คือ 1.ต่างฝ่ายตกลงกันว่าหยุดยิง 2.จะไม่มีการเพิ่มกำลังทั้งสองฝ่าย 3.ผู้บังคับบัญชาของแต่ละฝ่ายจะต้องกำกับดูแลกำลังพลของตัวเองไม่ให้มี อุบัติเหตุเล่นปืนลั่นกันขึ้นมาแล้วนำไปสู่การปะทะอีกและ4.ให้นำทหารชุด ประสานงานซึ่งเป็นทหารของทั้งสองฝ่ายออกจากพื้นที่ใกล้เขาพระวิหาร เพราะที่ผ่านมาจุดประสานงานซึ่งมีกำลังทหารของทั้งสองฝ่ายร่วมกัน แต่ฝ่ายกัมพูชามักไปออกข่าวว่ามีทหารไทยถูกจับกุมตัวอยู่ จึงยืนยันว่าไม่เป็นความจริง ไม่มีการจับเชลยศึกซึ่งเป็นทหารไทยไป มีแต่เพียงกำลังชุดประสานงานร่วมที่อยู่บริเวณดังกล่าวเท่านั้น ซึ่งจากการปะทะที่เกิดขึ้น ทำให้จุดประสานงานได้รับความเสียหาย ต่างฝ่ายจึงตกลงถอนกำลังกลับมา รอให้มีการสร้างจุดประสานงานขึ้นใหม่และมีความพร้อมก่อน จึงจะส่งกำลังกลับขึ้นไปใหม่

พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า เบื้องต้นจะดำเนินการตามข้อตกลงใน 4 ประเด็นก่อน ยังไม่มีการระบุแผนการดำเนินการอื่นต่อไป และหลังการเจรจาของแม่ทัพภาคที่ 2 ได้ความชัดเจน จึงสั่งเปิดจุดผ่านแดนได้ตามปกติ หลังสั่งปิดไปเมื่อวันที่ 4 ก.พ. ได้แก่ บริเวณ ด่านที่ช่องจอม ช่องอานม้า และช่องสะงำ

พ.อ.สรรเสริญ กล่าวต่อว่า ส่วนความเสียหายจากการปะทะ ที่รับรายงานล่าสุดมีดังนี้ ฝ่ายไทย เมื่อวันที่ 4 ก.พ.ซึ่งเริ่มปะทะ มีทหารไทยบาดเจ็บ 8 นาย วันที่ 5 ก.พ.ปะทะวันที่ 2 บาดเจ็บอีก 4 นาย เสียชีวิต 1 นาย รวมทหารไทยบาดเจ็บ 12 นาย เสียชีวิต 1 นาย แต่มีพลเรือนไทยเสียชีวิตด้วย 1 ราย ส่วนฝ่ายกัมพูชา ทราบว่าได้รับความเสียหายเยอะ ทหารเสียชีวิตจากการปะทะ 60-64 นาย สูญเสียรถถังและยานเกราะ 12-13 คัน แต่ไม่มีพลเรือนกัมพูชาเสียชีวิต ดังนั้นขอให้ประชาชนที่รักชาติทั้งหลายใช้สติคิดให้ดี เพราะการปะทะกันไม่ใช่หนทางแก้ปัญหา เพราะเหตุที่เกิดขึ้นแม้มีการปะทะกันแล้ว ก็ต้องกลับมาสู่โต๊ะเจรจาอยู่ดี ดังนั้นขอว่าใครจะทำอะไรก็ต้องใช้สติ

ช่วงเย็นเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ

เวลา 14.45 น. ที่วัดศิริวราวาส รถร.พ. กันทรลักษ์ ได้นำศพของ ส.อ.วุธชรินทร์ ที่เสียชีวิต คลุมด้วยธงชาติโดยมีเพื่อนทหารช่วยกันยกศพมาวางบนแท่นบนศาลาวัด โดยมีพล.อ. พิเชษฐ์ วิสัยจร ผช.ผบ.ทบ. เป็นประธานในพิธีรดน้ำศพ มีผู้บังคับบัญชา และเพื่อนทหารของ ส.อ.วุธชรินทร์ มาร่วมรดน้ำศพกันเป็นจำนวนมากท่ามกลางบรรยากาศที่เศร้าสลด จากนั้นพระสงฆ์ได้ประกอบพิธีสวดพระอภิธรรมศพ ซึ่งกำหนดการที่จะประกอบพิธีพระราชทานเพลิงศพนั้นต้องรอให้ญาติพี่น้องของ ส.อ.วุธชรินทร์ ประชุมปรึกษาหารือกันเสียก่อน

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า จนถึงช่วงเย็นบรรยากาศตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ สถานการณ์เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว หลังจากการเจรจาหยุดยิงระหว่างแม่ทัพภาคที่ 2 ของไทยกับผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 4 ของกัมพูชา อย่างไรก็ตามชาวบ้านที่อพยพหนีภัยสงครามก็ยังไม่กล้าที่จะกลับเข้าไปพัก อาศัยในบ้านเรือนของตนเองที่บ้านภูมิซรอล เนื่องจากว่า บริเวณหมู่บ้านภูมิซรอลเป็นบริเวณที่กระสุนปืนใหญ่ของฝ่ายกัมพูชายิงเข้ามา ตกเป็นแนวในเขตแดนไทย หากกลับเข้าไปเกรงว่าอาจจะได้รับอันตรายจากการสู้รบที่อาจจะเกิดขึ้นได้ตลอด เวลานั่นเอง

สุรินทร์ปิดช่องจอมถึงบ่าย

ผู้สื่อข่าวรายงานจากจ.สุรินทร์ว่า เมื่อเวลา 07.00 น. บริเวนตลาดช่องจอม บ้านบ้านพัฒนา ต.ด่าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ เงียบเหงาพ่อค้ากัมพูชาปิดประตูร้าน แต่ยังคงมีเพียงพ่อค้าคนไทย เปิดค้าขายเล็กน้อย ส่วนจุดผ่านแดนถาวรช่องจอม ต.ด่าน ฝั่งตรงข้าม บ่อนกาสิโน อ.สำโรง จ.อุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา ตลอดเส้นทาง ทหารพราน ตั้งด่านตรวจเข้ม เนื่องจากประตูด่านถูกสั่งปิด และห้ามยานพาหนะเข้า

พ.ต.ต.อนันต์ ทองสุข สว.ตม.ช่องจอม กล่าวว่า ช่วงคืนที่ผ่านมามีหนังสือสั่งการด่วนให้ ปิดจุดผ่านแดนถาวรช่องจอมไม่มีกำหนด เนื่องจากสถานการณ์แนวชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านจ.สุรินทร์ และบุรีรัมย์ ตึงเครียด เพราะมีกองกำลังทหารกัมพูชาเคลื่อนไหวมาก หวั่นเกรงนักท่องเที่ยวไม่ปลอดภัย จึงมีคำสั่งให้ปิดด่านตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา จนกระทั่งเวลา 13.00 น. จึงมีคำสั่งให้เปิดจุดผ่านแดนถาวรช่องจอม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเปิดประตูด่านมีชาวกัมพูชาลำเลียงสิ่งของ เครื่องจักสานหวาย และปลาแห้ง ปลาร้า ขึ้นฝั่งไทยไปจำหน่ายตลาดช่องจอม แต่ช่องตรวจหนังสือเดินทางเงียบเหงา ไม่มีคนเข้าไปใช้บริการ ส่วนฝั่งไทยก็มีขบวนรถบรรทุกพ่วง 3 คัน ลำเลียงวัสดุก่อสร้าง หิน ปูน ทราย ไปส่งในหมู่บ้านโอเสม็ด อ.สำโรง จ.อุดรมีชัย

นายศิริชัย ตันติรัตนานนท์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ด่าน อ.กาบเชิง กล่าวว่า อบต.เตรียมแผนรองรับสถานการณ์สู้รบไทย-กัมพูชา โดยได้ซักซ้อมเมื่อเสียงปืนกัมพูชาถล่มในพื้นที่ คือ จุดนัดพบประชาชน โรงเรียนบ้านนาเรือง จากนั้นได้ใช้รถยนต์รับประชาชนอพยพไปในที่ปลอดภัย คือ โรงเรียนปราสาทเบง

บ่อนปอยเปตแจ้งจุดพลุตรุษจีน

ผู้สื่อข่าวรายงานจากจ.สระแก้วว่า บรรยา กาศที่ด่านชายแดนบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ในเช้าวันนี้ พ่อค้าแม่ค้าชาวกัมพูชาที่เข้ามาค้าขายในตลาดโรงเกลือข่าวการสู้รบของทั้ง สองประเทศ กลับมาเก็บข้าวของ พร้อมปิดร้านกลับบ้าน และรอฟังข่าวอยู่ทางฝั่งกัมพูชา โดยมีพ.ต.อ.มานัด ศรีวงษา ผกก.ตม. อรัญประเทศ อรัญประเทศมาคอยอำนวยความสะดวกให้ เพื่อให้ความปลอดภัย กับนักท่องเที่ยวและประชาชนชาวกัมพูชา ที่ต่างเร่งรีบเดินทางเข้ามาที่ร้านเพื่อเตรียมเก็บข้าวของกัน ทำให้ตลาดโรงเกลือเงียบ เหงา ส่วนที่จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ ก็มีชาวกัมพูชามารอข้ามฝั่งเข้ามาในเขตไทยไม่ถึง 400 คน จากที่ปกติจะเข้าออกกันนับหมื่นคนต่อวัน

หยุดยิง - พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 นั่งเจรจากับพล.ท.เจีย มอน ผบ.ภูมิภาคทหารที่ 4 กัมพูชา ที่จุดผ่านแดนถาวรช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ ได้ข้อยุติว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะหยุดยิงและไม่เพิ่มกำลังทหารอีก



ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า วันนี้นายศานิตย์ นาคสุขศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว พร้อมด้วยพล.ต.วลิต โรจนภักดี ผบ.กกล.บูรพา และเจ้าหน้าที่กว่า 10 คนได้เดินทางเข้าไปพบปะกับเจ้าหน้าที่ประสานงานกัมพูชา-ไทย เจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองปอยเปต อ.โอดจรว จังหวัดบันเตียเมียนเจย ที่บริเวณสะพานมิตรภาพชายแดนไทย-กัมพูชา และที่ตลาดโรงเกลือ ขณะที่ฝ่ายไทยและกัมพูชาได้พูดคุยกันที่บริเวณสะพานมิตรภาพชายแดน ไทย-กัมพูชา ฝ่ายประสานงานชายแดนไทย-กัมพูชา ได้เข้ามาแจ้งว่า ในคืนนี้วันที่ 5 ก.พ.นี้ ทางบ่อนกาสิโน สตาร์เวกัส ในปอยเปต จะจัดงานฉลองวันตรุษจีน และจะจุดพลุขึ้นฟ้า หลายร้อยนัด จึงได้ขอประสานกับฝ่ายไทยเพื่อประชาสัมพันธ์ให้ชาวไทยและกัมพูชารับทราบ โดยทั่วกัน เพื่อป้อง กันการเข้าใจผิด อาจเกิดความตระหนกตกใจได้

ส่วนความเคลื่อนไหวตามแนวชายแดนด้าน อ.โคกสูง อ.ตาพระยา และ อ.อรัญประเทศ จนท.ทหารไทยและ จนท.ตชด.เตรียมพร้อมรบอยู่ในที่ตั้ง เช่นเดียวกันกับ จนท.ทหารฝั่งกัมพูชามีการเคลื่อนไหวกำลังรบตามจุดสำคัญต่างๆ ตลอดทั้งคืนเช่นกัน แต่ยังไม่มีเหตุการณ์อะไรด้านจังหวัดสระแก้วเหตุการณ์ทั่วไปยังปกติอยู่

ที่ตราดไม่วิตกเหตุปะทะ

ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.ตราด ว่า ที่จุดผ่านแดนถาวรบ้านหาดเล็ก อ.คลองใหญ่ จ.ตราด นายอดิศร สิทธิชอบธรรม ผู้ช่วยนายด่านศุลกากรคลองใหญ่ นายวิชัย กันสาด นักวิชาการศุลกากร พร้อมเจ้าหน้าที่เดินทางตรวจที่บริเวณจุดผ่านแดนถาวรบ้านหาดเล็ก เพื่อตรวจดูสถาน การณ์ พบว่ายังมีพ่อค้าแม่ค้าชาวกัมพูชาเดินทางเข้ามาซื้อสินค้าในตลาดชายแดนบ้าน หาดเล็กกว่า 300 คน ซึ่งถือว่าเป็นไปตามปกติ ขณะที่พ่อค้า-แม่ค้าชาวไทยสามารถขายสินค้าได้มากขึ้น แต่เป็นที่น่าสังเกตว่านักท่องเที่ยวชาวไทย และผู้เล่นพนันเดินทางเข้ายังบ้านหาดเล็กและเดินทางเข้าไปยังฝั่งกัมพูชา น้อยลง จากเดิมที่มีอยู่จำนวน 200-300 คน แต่ขณะนี้มีเพียงไม่ถึง 100 คน ขณะที่จุดผ่อนปรนการค้าชั่วคราว บ้านท่าเส้น ต.แหลมกลัด อ.เมือง ที่ตั้งของตลาดถาวรค้าชายแดน ปรากฏว่า บริเวณฐานทหารพรานนาวิกโยธินที่ 535 บ้านท่าเส้น มีชาวบ้านทมอดา ต.ทมอดา อ.เวียงเวล จ.โพธิสัต นำสินค้าและของป่ามาขายในตลาดบ้านท่าเส้นโดยก่อนลงมาจากชายแดนได้ลงทะเบียน เข้า-ออก ที่ฐานบ้านท่าเส้นจำนวน 220 คน และไม่ได้วิตกกังวลกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่าง 2 ประเทศ

ร.อ.ซก อุล ผบ.กองลาดตระเวนที่ 2 กอง พัน 501 (คลองม่วง) อ.เวียงเวล จ.โพธิสัต ที่เดินทางมาประสานงานกับ ร.อ.ณัฐพงษ์ ปรีดารัตน ผบ.ร้อย ทพ.นย.ที่ 535 (บ้านท่าเส้น) พร้อมนายอดิสร สิทธิชอบธรรม ได้ร่วมกันสนทนาถึงสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นใน จ.ศรีสะเกษ และยืนยันว่าสถานการณ์ในพื้นที่ไม่มีความขัดแย้งใดๆ โดยในขณะนี้พล.ท.บุญ เซ็ง ผู้บัญชาการทหารภูมิภาคที่ 5 ได้ย้ำเตือนทหารกัมพูชาในชายแดนให้เตรียมพร้อมก็ตาม แต่ทหารทั้ง 2 ฝ่าย มีความสัมพันธ์ที่ดีและยังติดต่อไปมากันตลอดแนวด้านจ.ตราด ซึ่งระหว่างสนทนาทั้ง 2 ฝ่ายได้ร่วมดื่มกาแฟและร่วมกันจับมือแสดงความสามัคคีและร่วมมือกัน

นาวิกฯ-กล.บูรพาคุมเข้ม

พล.ร.ท.พงษ์ศักดิ์ ภูรีโรจน์ ผบ.กองกำลังป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด และผบ.นาวิกโยธิน เดินทางมาตรวจเยี่ยมพื้นที่ชายแดนและหน่วยทหารนาวิกโยธินที่ อ.บ่อไร่ อ.เมือง และ อ.คลองใหญ่ เพื่อมอบนโยบายและมอบขวัญและกำลังใจ และให้ทหารนาวิกโยธินในพื้นที่เตรียมความพร้อม 100% โดยหากมีคำสั่งใดๆ ก็สามารถดำเนินการได้ทันที

พล.ร.ท.พงษ์ศักดิ์กล่าวด้วยว่า ได้โทรศัพท์พูดคุยกับผู้บัญชาการทหารภูมิภาคที่ 3 และผู้บัญชาการทหารภูมิภาคที่ 5 ของกัมพูชาแล้ว ซึ่งทั้ง 2 คน เข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งไม่ต้องการให้เกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่าง 2 ฝ่าย และยังต้องการร่วมมือในการทำงานในพื้นที่ด้วย

พล.ต.วลิต โรจนภักดี ผบ.พล.ร.2 รอ. ค่ายพรหมโยธี ต.บ้านพระ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี กล่าวถึงสถานการณ์การปะทะระหว่างทหารไทยกับกัมพูชาที่จ.ศรีสะเกษ ว่า กรณีดังกล่าวนั้นไม่ใช่พื้นที่รับผิดชอบของกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ แต่ในด้านกองกำลังบูรพาได้สั่งการให้มีการติดตามสถานการณ์เฝ้าระวังชายแดน ฝั่งภาคตะวันออกติดต่อกัมพูชาอย่างใกล้ชิด ยังไม่ได้เพิ่มกำลังพล หรืออาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหารแต่อย่างใด

พท.เร่งรัฐบาลระงับขัดแย้ง

เวลา 10.00 น. ที่พรรคเพื่อไทย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการปะทะกันระหว่างทหารไทยและกัมพูชา บริเวณภูมะเขือ จนมีชาวบ้านภูมิซรอลที่เคยออกมาเรียกร้องสันติสุขด้วยการต่อต้านกลุ่ม พันธมิตรฯ บาดเจ็บและเสียชีวิต ว่า พรรคเข้าใจถึงความจำเป็นในการทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของทหาร และจะไม่ก้าวล่วงกับการทำงานรักษาความมั่นคงของกองทัพ แต่อยากเรียกร้องให้รัฐบาลรับผิดชอบความปลอดภัยของราษฎรมากกว่านี้ ต้องมีมาตรการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ ไม่ให้เกิดความสูญเสียเช่นนี้ขึ้นอีก นอกจากนี้ รัฐบาลควรเร่งเจรจากับกัมพูชา เพื่อหาข้อยุติจากปัญหาข้อพิพาทที่เริ่มบานปลายและอาจนำไปสู่ความขัดแย้งที่ มากขึ้น

"หากยังปล่อยปละละเลยและตั้งใจเล่นการเมืองมากเกินไป คิดแต่จะใช้สถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นแสวงประโยชน์ให้กับตนเองและพวก พ้องโดยขาดความจริงใจในการแก้ปัญหาเพื่อประเทศชาติ และประชาชน ความหวังที่จะพบกับความสำเร็จในการยุติข้อพิพาทระหว่างประเทศด้วยการเจรจา จะลดลงไปเรื่อยๆ หากรัฐบาลยังคงยืนยันจะยึดแนวทางแก้ไขปัญหาแบบที่ผ่านมา โดยไม่ฟังคำเตือนและคำแนะนำจากทุกฝ่าย เช่น ฝ่ายค้าน นักวิชาการ สื่อมวลชนที่ต้องการให้แก้ไขปัญหาด้วยการเจรจามากกว่า ความสูญเสียที่เกิดขึ้นอาจเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ" น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าว

อัดข้อมูลมั่ว-กษิตเหลว

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการ ทหาร สภาผู้แทนราษฎรที่มีพ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ได้ร่วมประชุมหารือต่อกรณีการปะทะกันที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เห็นว่ากองทัพต้องจัดลำดับความเข้าใจ ในการสื่อสารกันเองในการข่าวก่อนออกมาบอกประชาชน เพราะหากข้อมูลผิดเพี้ยน หรือยังไม่ชัดเจน ไม่ควรรีบออกมาแถลงข่าว ไม่เช่นนั้นจะเติมเชื้อไฟให้ปะทุ โดยเฉพาะเรื่องที่พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ให้สัมภาษณ์ว่าฝ่ายตรงข้ามเปิดฉากยิงก่อนและมีทหารไทยถูกจับไป 5 นาย ขณะที่พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ให้สัมภาษณ์ในเวลาต่อมาว่าไม่มีทหารไทยถูกจับไป ส่วนใครยิงก่อนนั้นอยู่ระหว่างสอบสวน ซึ่งการออกมาให้ข่าวคนละทิศละทางอาจเป็นการให้ข้อมูลที่สับสนและเกรงว่ากอง ทัพอาจตกเป็นประเด็นในการจุดชนวนอื่นๆ

นายจิรายุ กล่าวว่า ปัจจุบันมีประเทศซึ่งมีเรื่องพื้นที่ทับซ้อนกว่า 200 ประเทศ แต่ที่มีปัญหาข้อพิพาทมีกว่า 70 ประเทศ ได้ใช้วิธีเจรจาตกลงกันได้ แต่เมื่อรัฐบาลชุดนี้ขึ้นมาบริหารประเทศก็มีปัญหากับประเทศเพื่อนบ้านมาตลอด เมื่อถึงเวลานี้ รัฐบาลไม่ต้องกลัวเสียฟอร์ม นายกฯ หรือรองนายกฯ ควรเป็นผู้เดินไปเจรจากับผู้นำกัมพูชาเอง แทนที่จะให้นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ซึ่งเคยพิพาททางวาจากับผู้นำกัมพูชาไปแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เห็นได้จากการเจรจากับกัมพูชาในตอนกลางวัน แต่ตกบ่ายก็เกิดเหตุการณ์ปะทะขึ้น รัฐบาลควรสนใจเรื่องนี้ให้เหมือนสมัยที่เคยเป็นฝ่ายค้าน

มาร์คเรียกถกด่วน

เวลา 13.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้เรียกประชุมด่วน หน่วยงานด้านความมั่นคงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือถึงสถานการณ์ชาย แดนไทย-กัมพูชา อาทิ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. นายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ นายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรมว.การต่างประเทศ นายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โดยใช้เวลาหารือนาน 1 ชั่วโมง

นายอภิสิทธิ์แถลงภายหลังการประชุมว่า เหตุการณ์ปะทะกันที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 ก.พ. บริเวณชายแดนระหว่างเวลา 15.00-18.00 น. รัฐบาลได้รับทราบมาตั้งแต่เกิดเหตุขึ้น และกองทัพได้ปฏิบัติหน้าที่ปกป้องอธิปไตยและตอบโต้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จนเวลา 18.00 น. เหตุการณ์จึงยุติลง รายละเอียดของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ทางผบ.ทบ.และโฆษกทบ.ได้แถลงไปเรียบร้อยแล้ว ขอยืนยันข้อเท็จจริงตามนั้น

แถลงหนุนกองทัพ

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ขอเรียนให้ประชาชนมีความมั่นใจว่ารัฐบาลไทยและกองทัพไทยถือหลักปฏิบัติ ชัดเจนคือเราไม่ไปรุกรานใคร แต่เราจะปกป้องอธิปไตยของเราให้ถึงที่สุด ฉะนั้นปฏิบัติการที่ดำเนินการเมื่อวันที่ 4 ก.พ. รัฐบาลให้การสนับสนุนกองทัพอย่างเต็มที่ และจะสนับสนุนอย่างต่อเนื่องในการกระทำสิ่งที่มีความจำเป็นพอควรแก่เหตุใน การปกป้องอธิปไตยของเรา ส่วนกระทรวงการต่างประเทศได้ออกแถลงการณ์ยืนยันจุดยืนนี้ให้ชาวโลก ประชาคมโลก ให้รับทราบ และจะชี้แจงต่อเอกอัครราชทูตของประเทศที่มีบทบาทสำคัญทั้งในส่วนของมนตรี ความมั่นคง สหประชาชาติ มรดกโลก และประเทศอื่นๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องว่า ปัญหาที่เกิดขึ้น เกิดจากปัญหาที่มีการโจมตีและล่วงล้ำอธิปไตยของไทยก่อนจึงได้มีการตอบโต้ไป

นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อว่า ส่วนมรดกโลก ทางประเทศไทยจะชี้ให้เห็นอีกครั้งว่าพื้นที่บริเวณปราสาทพระวิหารนั้น เป็นพื้นที่ที่มีความละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง จึงไม่สมควรดำเนินการอะไรที่จะเพิ่มเติมความตึงเครียดและนำไปสู่ความเสี่ยง ต่อการสูญเสียในบริเวณดังกล่าว นั่นหมายถึงสมควรระงับในเรื่องการดำเนินการตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับการ ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกไว้ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นการยืนยันสิ่งที่ทางฝ่ายไทยได้เคยเตือนคณะกรรมการมรดกโลกมาตลอด

ยันอยู่ในวิสัยแก้ไขได้

นายกฯ กล่าวว่า ขณะเดียวกันกระทรวงการต่างประเทศได้ประสานกับกัมพูชา ยืนยันว่าปัญหาทั้งหมดนั้นอยู่ในวิสัยที่จะแก้ไขได้ตามข้อตกลงและตามกลไกของ กรรมาธิการร่วม คือเอ็มโอยู และเจบีซี และเหตุการณ์ในลักษณะนี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าไม่มีการมาล่วงละเมิดในเรื่องของ เอ็มโอยูและเจบีซี เพราะทางกระทรวงการต่างประเทศยืนยันว่าประเทศไทยต้องการแก้ไขปัญหาโดยสันติ วิธีและใช้กระบวนการ กลไกตามหลักสากล

นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เมื่อช่วงเช้าวันเดียวกันนี้ ได้กำชับนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย ให้กำชับไปยังพื้นที่ โดยเฉพาะผู้ว่าฯของจังหวัดที่เกี่ยวข้องในการดูแลความเป็นอยู่ประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะประชาชนที่ต้องอพยพออกจากที่อยู่อาศัยเพื่อความปลอดภัยและขอเรียน ว่าในหลักปฏิบัติที่ทำอยู่ขณะนี้ คือ กองทัพมีแผนรองรับสถาน การณ์ต่างๆ อยู่แล้ว และสามารถประสานได้กับฝ่ายปกครองในการที่จะดูแลความปลอดภัยของประชาชน

ยึดหลัก'รักสงบ-รบไม่ขลาด'

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น รัฐบาลมีความเสียใจกับความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับประชาชนไทย เป็นสิ่งที่เราจำเป็นต้องตอบโต้ เพราะเห็นได้ชัดว่าโจมตีเป้าหมายที่เป็นพลเรือน ซึ่งฝ่ายไทยไม่ได้ทำเลย ฝ่ายไทยทำคือตอบโต้ไปยังจุดหมายที่เป็นจุดหมายทางทหารเท่านั้น แต่ความสูญเสียที่เกิดขึ้นในฝั่งกัมพูชาที่ขณะนี้มีรายงานว่าหลายสิบคนนั้น เป็นข้อเท็จจริง แต่ฝ่ายไทยไม่ได้มีการโจมตีไปยังเป้าหมายที่เป็นพลเรือนเลย มีแต่การตอบโต้ไปยังเป้าหมายทางทหารเท่านั้น นี่คือข้อเท็จจริงที่อยากเรียนทั้งหมด และการดำเนินการในส่วนของรัฐบาล และกองทัพ กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

"ผมอยากเรียนว่าเวลานี้เป็นเวลาที่ผมอยากเห็นประชาชนคนไทยมีความสมัครสมาน สามัคคี รวมใจเป็นหนึ่ง ในการสนับสนุนกองทัพ และเจ้าหน้าที่ของเราในการปกป้องอธิปไตย และขอให้ยึดตามหลักหรือนโยบายที่ผมคิดว่าอยู่ในใจของคนไทยทุกคนอยู่แล้ว เพราะอยู่ในเพลงชาติของเรา รักสามัคคี ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด 3 วรรคเท่านี้ที่ผมคิดว่าถ้าตอนนี้คนไทยได้ยึดถือตรงนี้จะทำให้เราสามารถเดิน หน้าในการดูแลสถานการณ์ ปกป้องอธิปไตยได้อย่างมีประ สิทธิภาพ เรียบร้อย ราบรื่น" นายอภิสิทธิ์กล่าว

นายกฯ กล่าวว่า ให้ความมั่นใจว่ารัฐบาลเอาใจใส่เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด และพร้อมสนับสนุนบุคลากร กองทัพ ฝ่ายปกครอง ทุกวิถีทางที่จะดูแลประชาชนคนไทย ขอให้ประชาชนมีความมั่นใจว่าหน่วยงานของรัฐนั้นมีความเป็นเอกภาพทั้งในทาง ความคิด แนวปฏิบัติ และทำหน้าที่อย่างเต็มที่ในการที่จะดูแลประโยชน์ของประเทศและประชาชน และขอบคุณประชาชนจำนวนมากที่เป็นกำลังใจและห่วงใยกองทัพ ประชาชนของเราตลอดบริเวณแนวชายแดน

โฆษกรบ.ยันไม่กระทบสัมพันธ์

เวลา 14.00 น. นายปณิธาน กล่าวภายหลังการประชุมฝ่ายความมั่นคงว่า รัฐบาลยืนยันว่าจะเร่งรัดแก้ไขสถานการณ์ให้คลี่คลายโดยเร็ว ขณะนี้ได้เรียกร้องให้ทุกฝ่ายในประเทศสามัคคีกันเพื่อแก้ปัญหาของประเทศ และแสดงความเสียใจกับการเสียชีวิตที่เกิดขึ้นทั้งไทยและกัมพูชา เรื่องนี้จะมีการชี้แจงกับนานาชาติและทูตของประเทศต่างๆ คณะมนตรีความมั่นคง สหประชาชาติ และสมาชิกของประเทศของยูเนสโก เพื่อยืนยันว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเนื่องจากการเข้าไปในพื้นที่โดยไม่ตกลงกัน หรือมีข้อยุติเรื่องของเขตแดน

1.เขมรตรึง - เว็บไซต์ข่าวของกัมพูชาโชว์ภาพทหารเขมรพร้อมอาวุธครบมือ ประจำการอยู่ที่ปราสาทพระวิหาร หลังเกิดเหตุปะทะกับทหารไทยจนมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตทั้งสองฝ่าย

2.เขมรตรึง - เว็บไซต์ข่าวของกัมพูชาโชว์ภาพทหารเขมรพร้อมอาวุธหนักกำลังตรึงแนวชายแดน หลังสถานการณ์ตึงเครียดจนเกิดการปะทะกันรุนแรงถึง 2 รอบ เมื่อวันที่ 5 ก.พ.

3.-5.พิษสงคราม - ชาวบ้านภูมิซรอลกว่า 3 พันชีวิตอพยพมาอาศัยอยู่ที่บริเวณที่ว่าการ อ.กันทรลักษ์ ชั่วคราว สภาพความเสียหายของโรงเรียนฝั่งไทยที่ถูกอาวุธหนักของกัมพูชายิงถล่มใส่ เมื่อวันที่ 4 ก.พ. และบังเกอ
ไทย-เขมรปะทะอีก ทหารดับ 3พันอพยพหนี ข่าวสด