วันพุธที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2555



Manchester City fans mob former owner Thaksin Shinawatra at Manchester United game
Manchester City fans mob former owner Thaksin Shinawatra at Manchester United game
              Manchester City fans mobbed former club owner Thaksin Shinawatra as he watched the Barclays Premier League match against Manchester United among the faithful.
Thaksin Shinawatra

The Thai businessman, and former Prime Minister of Thailand, bought City for £82million in the summer of 2007.



He appointed Sven-Goran Eriksson as coach, and sanctioned a number of expensive signings he hoped would propel City towards silverware.  But City failed to win trophies under Shinawatra and the Thai sold the club to Sheik Mansour of Abu Dhabi for a reported £200m little more than 12 months after buying it.

Shinawatra was subsequently found guilty of corruption in Thailand, and was sentenced to two years in prison.

But still City fans asked him for photographs and autographs at the match against Manchester United that may ultimately have decided the 2011-2012 Barclays Premier League title race.

City fans still hold Shinawatra in regard as he was the man who first turned around the fortunes of the then-underperforming club.






























http://redusala.blogspot.com

มึน! "สนธิลิ้ม" ขอโทษ "ไทยรัฐ" ศาลไกล่เกลี่ยอ้าง "ปรองดอง!"
มึน! "สนธิลิ้ม" ขอโทษ "ไทยรัฐ" ศาลไกล่เกลี่ยอ้าง "ปรองดอง!"

        ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หนังสือพิมพ์ "ไทยรัฐ" ฉบับประจำวันที่ 1 พฤษภาคม 2555 ได้ลงข่าว "สนธิ ลิ้มทองกุล ขออภัย ไทยรัฐ หลังไกล่เกลี่ยในคดีหมิ่นฯ" โดยมีเนื้อหาว่า


        คดีพิพาทไทยรัฐ-สนธิ ลิ้มทองกุล จบลงด้วยดี กรณีสนธิกับรายการยามเฝ้าแผ่นดิน ทางเอเอสทีวีใส่ความผู้บริหารไทยรัฐและพนักงานไทยรัฐให้เสียหายต่อเกียรติยศ และยุชาวบ้านให้เลิกซื้อไทยรัฐ  หาว่าเป็นอัปมงคล ยอมรับเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะคลาดเคลื่อนจากความจริง จึงขอประกาศขออภัย 3 วัน ในหนังสือพิมพ์ทั้งสองฉบับ ศาลเชื่อเป็นตัวอย่างที่ดีของการปรองดองในชาติ


           สนธิ ลิ้มทองกุล ยอมรับพูดหมิ่นประมาท "ไทยรัฐ" พร้อมแสดงความเสียใจและขออภัยผู้บริหาร โดยเมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 30 เม.ย. ที่ห้องพิจารณาคดี 909 ศาลนัดสืบพยานโจทก์หรือทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ในคดีหมายเลขดำ อ.3680/2550 ที่ บริษัท วัชรพล จำกัด โดยนายกมล ศรีวัฒนา ผู้รับมอบอำนาจที่ 1 และนายไพฑูรย์ สุนทร โดยนายกมล ศรีวัฒนา ผู้รับมอบอำนาจที่ 2 เป็นโจทก์ฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ในเครือผู้จัดการ บริษัทไทยเดย์ ด็อท คอม จำกัด นายปัญจภัทร อังคสุวรรณ นายขุนทอง ลอเสรีวาณิช และบริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)  เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา


          โดยคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 13 ก.ค. 50 ถึงวันที่ 15 ก.ค. 50 จำเลยที่ 1 ได้กล่าวข้อความอันเป็นเท็จ หมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ทั้งสอง จำเลยที่ 2 นำไปเผยแพร่โฆษณาในทางโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม จำเลยที่ 3 นำไปเผยแพร่ในเว็บไซต์ จำเลยที่ 4 นำไปเผยแพร่บทความในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ซึ่งมีจำเลยที่ 5 เป็นเจ้าของนั้น เป็นการแสดงเจตนาที่จะมุ่งร้ายใส่ความโจทก์ทั้งสอง ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย ถูกดูหมิ่นและเกลียดชัง เสื่อมเสียต่อเกียรติยศชื่อเสียง ฐานะทางสังคม และส่งผลกระทบต่อการประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนอย่างร้ายแรงรวม 3 ครั้ง ขอให้ศาลลงโทษตามกฎหมายและลงโฆษณาคำพิพากษา


       ปรากฏว่านัดนี้นายสราวุธ วัชรพล หัวหน้ากองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ และนายสนธิ ลิ้มทองกุล มาพร้อมกันที่ห้องพิจารณาแล้วแถลงต่อศาลว่า โจทก์จำเลยตกลงกันได้แล้ว ต่อมาศาลจึงมีคำสั่งรายงานกระบวนพิจารณาว่า นัดสืบพยานโจทก์หรือนัดทำสัญญาประนีประนอมยอมความวันนี้ โจทก์จำเลยมาศาล นายสราวุธ วัชรพล ผู้บริหารระดับสูงของโจทก์ และจำเลยที่ 1 มาศาล แถลงร่วมกันว่าสามารถตกลงยอมความกับจำเลยทั้ง 5 ได้แล้ว โดยจำเลยจะลงโฆษณาประกาศขออภัยรายละเอียดตามประกาศที่ยื่นต่อศาลทางหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ 3 วัน และหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ 3 วัน และไม่ประสงค์ดำเนินคดีต่อไป ศาลจึงสอบจำเลยทั้ง 5 แล้วแถลงไม่คัดค้านการถอนฟ้อง ศาลเห็นว่าคู่ความสามารถตกลงกันได้แล้ว และขอถอนฟ้องแล้ว จึงอนุญาตให้ถอนฟ้อง ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความต่อไป


          สำหรับข้อความประกาศขออภัยของนายสนธิ ลิ้มทองกุล มีใจความว่า ตามที่ตนได้เคยพูดออกอากาศในรายการยามเฝ้าแผ่นดินทางเอเอสทีวีและกล่าวหาว่า "หนังสือพิมพ์ไทยรัฐอยู่ในขบวนการล้มล้างระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขหรือเปล่า" และข้อความว่า คอลัมนิสต์ไทยรัฐกินเงินเดือนพรรคไทยรักไทย กับมีข้อความกล่าวหาคุณหญิงประณีตศิลป์ วัชรพล กล่าวหานายสราวุธ วัชรพล กับข้อความอื่นๆ บัดนี้ตนยอมรับว่าข้อความดังกล่าวคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงทั้งสิ้น ข้อความดังกล่าวทำให้คุณหญิงประณีตศิลป์และ นสพ.ไทยรัฐ ได้รับความเข้าใจผิดจากสังคมอย่างมาก ตนเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงขออภัยต่อคุณหญิงประณีตศิลป์ และ นสพ.ไทยรัฐ


         นายทวี ประจวบลาภ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาฯ กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่คดีนี้ลุล่วงไปได้ เพราะคดีระหว่าง นสพ.ไทยรัฐ กับนายสนธิ ก็น่าเห็นใจทุกฝ่าย เมื่อตกลงกันได้ก็เป็นการดี เพราะการไกล่เกลี่ยจะสำเร็จหรือไม่อยู่ที่คู่ความต่อรองกัน ยอมลดข้อเรียกร้องและต้องยอมรับปฏิบัติไปตามที่ตกลง คดีนี้จึงเป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่าคดีความต่างๆ แม้ช่วงแรกจะตกลงกันไม่ได้แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็เริ่มคลี่คลายและเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย และคดีนี้เป็นตัวอย่างแก่ประชาชนว่าความปรองดองจะยุติความขัดแย้งในสังคมได้


        ขณะที่ข้อความ "ประกาศขอภัย" ที่เผยแพร่ผ่านหนังสือพิมพ์เอเอสทีวี ผู้จัดการรายวัน ฉบับประจำวันที่ 1 พฤษภาคม 2555 มีเนื้อหาโดยละเอียดว่า


       ตามที่ข้าพเจ้า นายสนธิ ลิ้มทองกุล เคยพูดออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ "เอเอสทีวี" ในรายการยามเฝ้าแผ่นดิน และได้นำเผยแพร่บนเว็บไซต์ www.manager.co.th และเผยแพร่ใน นสพ.ผู้จัดการรายวัน เมื่อวันที่ 13 ก.ค. 2550 กล่าวหาว่า "หนังสือพิมพ์ไทยรัฐไม่มีส่วนสร้างสรรค์พัฒนาสังคม ย่ำยีสังคมไทย ดึงให้สังคมไทยถอยหลัง มีอิทธิพลเป็นหนังสือพิมพ์สถุล...คุณอยู่ในขบวนการจะล้มล้างระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขหรือเปล่า..."


        เมื่อวันที่ 20 ก.ค. 2550 กล่าวหาว่า "คอลัมนิสต์ของไทยรัฐหลายคนกินเงินเดือนของพวกพรรคไทยรักไทย ไทยรัฐไม่เคยพูด.....ผมพูดมาหลายครั้งแล้วว่าวิธีเดียวที่จะสั่งสอนไทยรัฐได้ สั่งสอนความยิ่งใหญ่จอมปลอมของเขาได้คือเลิกซื้อ นสพ.เขา...ผมถามพ่อแม่พี่น้องโชวห่วย 3 แสนเจ้าในประเทศไทย ไทยรัฐเคยต่อต้านเทสโก้ โลตัส ให้คุณบ้างไหม แล้วคุณไปซื้อมันอ่านทำไม..."


          และเมื่อวันที่ 27 ก.ค. 2550 กล่าวหาว่า "...คุณหญิงประณีตศิลป์ วัชรพล ได้คุณหญิงมาเพราะว่าพระบารมีของสถาบันกษัตริย์ แต่กลับปล่อยให้ลูกน้องตัวเองมาทำงานอย่างนี้ คุณกำพล วัชรพล ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูง ตอนตายยังมีโกศให้ ยังมาทำอย่างนี้อีกเหมือนกัน นายสราวุธ วัชรพล เป็น สนช.อยู่ในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ คำพูดซักคำก็ไม่เคยพูดในสภา ปล่อยให้ลูกน้องตัวเองทำอย่างนี้ หนังสือพิมพ์ฉบับนี้เป็นอัปมงคลของประเทศ มีอยู่ในประเทศ ประเทศไทยมีแต่จะล่มสลายเพราะไม่เคยก่อให้เกิดประโยชน์อะไรแก่สังคมไทยเลยแม้แต่นิดเดียว..."


         บัดนี้ ข้าพเจ้ายอมรับว่าข้อความที่ได้กล่าวในรายการยามเฝ้าแผ่นดิน และเว็บไซต์ www.manager.co.th กับ นสพ.ผู้จัดการรายวัน ได้นำไปเผยแพร่ดังกล่าวคลาดเคลื่อนต่อข้อเท็จจริงทั้งสิ้น ข้อความดังกล่าวทำให้คุณหญิงประณีตศิลป์ และ นสพ.ไทยรัฐได้รับความเข้าใจผิดจากสังคมอย่างมาก


      ข้าพเจ้า นายสนธิ ลิ้มทองกุล เสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงประกาศขออภัยต่อคุณหญิงประณีตศิลป์ วัชรพล และ นสพ.ไทยรัฐ

นายสนธิ ลิ้มทองกุล
http://redusala.blogspot.com

"จตุพร พรหมพันธุ์" ก่อนวันพิพากษา 18 พ.ค.
"จตุพร พรหมพันธุ์" ก่อนวันพิพากษา 18 พ.ค.


           นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทยและแกนนำคนเสื้อแดง เปิดใจถึงคดีที่ยังค้างอยู่ รวมถึงคดีการสิ้นสถานภาพส.ส. ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำพิพากษาในวันที่ 18 พ.ค.นี้

ตลอดจนเสียงวิจารณ์ว่าคนเสื้อแดงเลิกให้การสนับสนุนพรรคเพื่อไทยโดยสะท้อนผ่านการเลือกตั้งซ่อมส.ส.และนายกอบจ.ปทุมธานี

ตอนนี้คดีที่มีค้างอยู่กี่คดี

         มีเยอะมาก ทั้งหมดเป็นผลพวงการต่อสู้จากการรัฐ ประหารปี 2549 เป็นต้นมา รวมกว่า 40 คดี อยู่ในชั้นกระบวนการยุติธรรมเป็นส่วนใหญ่ ก็ต่อสู้ตามกระบวน การทุกอย่าง

         ไม่มีคดีที่เป็นเรื่องส่วนตัว แต่มาจากการต่อสู้ทางการเมืองทั้งสิ้น รวมถึงคดีที่อยู่ในศาลรัฐธรรมนูญที่จะวินิจฉัยวันที่ 18 พ.ค.นี้ ซึ่งเป็นคดีเกี่ยวกับสถานภาพส.ส. เป็นผลพวงจากการถูกจับกุมคุมขังในคดีที่ถูกถอนประกันคือคดีก่อการร้าย แต่เวลาอธิบายความเข้าใจว่าเป็นคดีความในอีกคดีหนึ่ง

          เราตั้งใจว่าจะขอแถลงเปิดคดีในศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งศาลไม่อนุญาตแล้ว แต่เหตุผลที่คิดในเวลานั้น ตั้งใจจะลำดับความตั้งแต่ต้นว่าในแต่ละกระบวนการนั้นไม่มีความยุติธรรมอย่างไรบ้าง

          ตั้งแต่การถอนประกันเป็นคนละเรื่องกับเงื่อนไขประกันรวมถึงการทำหน้าที่ของกกต.จนมาสู่ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งประธานศาลรัฐธรรมนูญเองก็ยอมรับว่ากรณีของผมเป็นรายแรกของประเทศ

          ฉะนั้น ถ้าถูกถอนประกันแล้วจะต้องทำให้สิ้นสถาน ภาพ ก่อนหน้านี้ทำไมไม่ปฏิบัติอย่างเดียวกัน ตอนนาย ก่อแก้ว พิกุลทองก็ไม่ดำเนินการอะไร

         คดีอยู่ในศาลรธน.เพราะจำเลยชื่อจตุพร ถูกล็อกเป้ามาตั้งแต่ว่าถูกขังแล้วจะทำให้เป็นส.ส.ไม่ได้ จะเห็นว่ารับรองผมคนที่ 500 ดังนั้น เมื่อไม่สะเด็ดน้ำก็ต้องมาแขวนเป็นรายแรก

          ส่วนคดีหมิ่นฯ เมื่อวันที่ 10 เม.ย.53 ครบรอบปี ซึ่งคดีนี้ในเวลานั้นดูเหมือนจะเป็นความผิดที่สำเร็จแล้ว แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าการไปแจ้งความของผู้ไปแจ้งความนั้นมีการตัดต่อเทป ถอดเทปแล้วทำเครื่องหมายคำพูดแล้วไปตัดต่อเพราะถ้าถอดฉบับเต็ม จะพบเลยว่าไม่มีข้อความใดหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

          ถ้อยคำที่เป็นปัญหา ก็พูดในลักษณะปกป้องสถาบันว่าอีกฝ่ายหนึ่งจงใจเจตนาให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิดต่อสถาบัน ซึ่งผมได้ถอดเทปส่งดีเอสไอ และเคยส่งให้ศาลในช่วงไม่ให้การประกันตัวในขณะนั้นว่าบริบทฉบับเต็มเป็นอย่างนี้

          เมื่อดีเอสไอเห็นว่าคดีนี้เป็นการแจ้งความเพื่อประสงค์ร้าย มีการตัดต่อ เขาก็มีคำสั่งไม่ฟ้องแล้วส่งให้อัยการ ตอนนี้รออัยการพิจารณาว่าจะเห็นพ้องหรือไม่ ซึ่งมีกระบวน การอยู่

         ผมเชื่อว่าถ้าอัยการดูฉบับเต็มจะรู้ว่าไม่มีถ้อยคำตามที่อธิบายกัน ในยูทูบก็ไปตัดต่อ กลายเป็นการกล่าวหาให้ร้าย


ถ้าเกิดตัดสินให้พ้นจากส.ส. คดีอื่นจะตามมาหรือไม่

         คดีก็มีอยู่ตามปกติแต่จะไม่มีเอกสิทธิ์คุ้มครองเพราะไม่ได้เป็นส.ส. คดีก็จะไปเร็ว ส่วนเรื่องการถอนประกันนั้น อยู่ที่ว่าเราทำผิดเงื่อนไขการประกันตัวอีกหรือไม่

คนเสื้อแดงมีปัญหาแตกแยกกับพรรคเพื่อไทย

         ในระหว่างคนเสื้อแดงด้วยกันคือนปช.กับคนเสื้อแดงทั้งประเทศเราบริหารด้วยความรู้สึกอย่างเดียวไม่มีเรื่องตำแหน่ง ไม่มีเรื่องผลประโยชน์ เป็นการบริหารแบบจิตอาสาเพื่อให้คนมีอารมณ์ความรู้สึกร่วม ประชาชนที่มาสู้เขาออกเงินเอง ออกชีวิตเอง ออกอิสรภาพเอง

        สิ่งที่จะรักษากระบวนการนี้เดินไปได้คือการรักษาความรู้สึก บริหารความรู้สึก นี่คือระหว่างเสื้อแดงกันเอง

          ระหว่างเสื้อแดงกับพรรคเพื่อไทยก็เช่นเดียวกันต้องบริหารความรู้สึก ผมเคยพูดในพรรคว่าเสื้อแดงไม่ใช่ของตายของพรรคเพื่อไทยที่จะทำอะไรก็ได้ เพราะเสื้อแดงสู้ด้วยความรู้สึก เขาเป็นนักประชาธิป ไตย ถ้านักการเมืองคนใดปรับตัวให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้ นักการเมืองคนนั้นจะตกขบวน จงคิดว่าเขาเป็นผู้ร่วมต่อสู้ ตรงข้ามกับคำว่าผู้เลือกตั้งกับนักเลือกตั้ง เขาไม่ใช่หัวคะแนน

ดังนั้น ต้องบริหารตามความรู้สึก เพราะคนเสื้อแดงมีความคิดมีความหวัง

         ถ้าคนเสื้อแดงเสียความรู้สึก จะนำมาซึ่งความล่มสลาย เพราะเราไม่มีผลประโยชน์อื่นใดที่เป็นเครื่องรักษาความกลมเกลียวความเหนียวแน่น มีแต่จุดยืน อุดมการณ์อย่างเดียว

        ผมเคยบอกแกนนำนปช.ว่าแกนนำคือเรื่องสมมติ ถ้าวันหนึ่งแกนนำทรยศต่ออุดมการณ์ ประชาชนเขาก็ไม่ตามไป ที่เขาเดินตามเพราะเชื่อว่าแกนนำไม่ทรยศ

เลือกตั้งที่ปทุมธานีถือเป็นบทเรียน

       ผมเห็นใจผู้สมัครทั้งสองคน แต่พรรคต้องยอมรับความจริงว่าคนเสื้อแดงส่วนใหญ่เขาไม่ออกมาเลือกตั้งหนนี้ จะด้วยเรื่องอะไรก็ตาม ถือว่าเป็นบทเรียนราคาแพง ต้องมองเรื่องนี้เป็นคุณค่า อย่ามองเป็นความเสียหาย เพราะบทเรียนที่เขาให้ในปีแรกนี้ เป็นบทเรียนที่มีเวลาแก้ไข เพราะยังมีเวลาบริหารประเทศอีก 3 ปี

          บทเรียนราคาแพงนี้ พรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงที่มีหน้าที่ทางการเมืองต้องตระหนักว่าประชาชนไม่ใช่ของตาย เขามีความคิดและส่งสัญญาณมายังพรรคเพื่อไทย รัฐบาลและคนเสื้อแดงด้วยกันเอง

          ที่ปทุมธานี ต้องยอมรับว่าเป็นฐานคนเสื้อแดงที่เข้มแข็งมาก แต่ในสถานการณ์เลือกตั้งที่เกิดขึ้น เสื้อแดงปทุมฯ เขาเล่นบทกระชาก เตือนแรงๆ เพราะเขารักพรรค และความรักพรรค รักในขบวนการเสื้อแดงว่าถ้าเดินไปโดยไม่สนใจความรู้สึก มันจะพัง จึงกระชากเตือนเช่นนี้

          แต่เชื่อว่าสถานการณ์นี้จะผ่านพ้นไปด้วยดี ถ้าแต่ละฝ่ายเห็นบทเรียนนี้แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไข

        มีเสียงไม่พอใจที่นายกฯ เข้ารดน้ำขอพรพล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ

         เป็นเรื่องของนายกฯ และผู้นำเหล่าทัพที่ปฏิบัติตาม ประเพณีไทยๆ และผมกับพล.อ.เปรม ไม่ได้เป็นศัตรู ไม่มีเรื่องส่วนตัวเจือปน

         ผมเข้าใจเรื่องการทำหน้าที่ของนายกฯ ต้องการประคับประคองรักษาความเป็นรัฐบาลให้ยาวนานเพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศ เข้าใจในความรู้สึกของคนเสื้อแดง ซึ่งพวกผมยังเหมือนเดิม ยังยืนอยู่ในบริบทเดิม

พรรคเพื่อไทยพยายามผลักดันพ.ร.บ.นิรโทษกรรมเพื่อช่วยเหลือพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

          พ.ต.ท.ทักษิณ พูดชัดเจนว่าจะไม่ขอกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี และจะไม่ขอทวงเงินที่ถูกยึดไป 4.6 หมื่นล้านบาทคืน

         ถ้าเทียบมาตรฐานเดียวกับคดีแจกส.ป.ก. ที่ภูเก็ต ถือว่าคดีนั้นหนักกว่าเป็นสิบเท่า เทียบไม่ได้กับที่ดินรัชดาฯ แต่เมื่อความเหลื่อมล้ำทางความยุติธรรมปรากฏ เรื่องนิรโทษกรรมจึงไม่มีใครพูดถึง แต่ฝ่ายตรงกันข้ามปฏิปักษ์ที่เอามายัดเยียด ทั้งที่พ.ต.ท.ทักษิณ พูดชัดเจนแล้วว่าไม่กลับมาเป็นนายกฯ ไม่ทวงเงินคืน

        แต่ไม่ว่าพ.ต.ท.ทักษิณ จะกลับมาเป็นอะไร ประชาธิ ปัตย์เขากลัวอยู่แล้ว แค่ส่งเสียงมา เขายังแพ้เลือกตั้งหลุดลุ่ย ถ้าตัวมาแม้จะไม่ลงเลือกตั้งก็คงหนักกว่านี้

       เชื่อว่าพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนรู้สถานการณ์ในประเทศดีที่สุด ห้วงเวลาต่างๆ ท่านจะรู้ว่าจะทำอย่างไร ท่านรักประเทศไทยและรัฐบาลนี้ต้องยอมรับว่ามีความผูกพัน เป็นลูกน้องมาทั้งนั้น


ที่มา ข่าวการเมือง นสพ.ข่าวสด
http://redusala.blogspot.com