ปริศนา...ชาติกำเนิด..สนธิ ลิ้มทองกุล??!!
โพสต์28 ส.ค. 2553, 23:54โดยsira rungsiraนายสนธิ เค้ามีใบแบบนี้รึเปล่า อยากรู้จังเลย ..... ประเทศไทยในขณะนี้หากกล่าวถึงชื่อ สนธิ ลิ้มทองกุล ใครที่ไม่รู้จักเป็นไม่มี แน่นอน...เขานี่แหละที่ทำให้คนหลายล้านคนเคลิบเคลิ้ม ประดุจอยู่ในความฝัน สยบยอมรับสถานะภาพของ สนธิ ลิ้มทองกุล เสมือน "อัศวิน" ที่ขี่ม้าขาวมากลางอากาศ ช่วยชำระสะสางความโป้ปดมดเท็จ ความฉ้อฉลของ นักการเมืองที่เลวทรามต่ำช้า...เขาก้าวเข้ามากำจัดคนทุจริตคอรัปชั่น และเป็นแกนนำในการ "กู้ชาติ " ....ใช่ คนส่วนใหญ่ที่ได้รับชมASTV ที่ถ่ายทอดตลอดมาเป็นเวลา 3 เดือน ไม่มีวันหยุด ก็คิดเช่นนั้น...และเข้าร่วม การชุมนุมบุกยึดทำเนียบรัฐบาล ปิดล้อมรัฐสภา ตามคำสั่งของ สนธิ ลิ้มทองกุล ..... ไม่เพียงเท่านั้น สนธิ ยังมี กองกำลังพร้อมอาวุูธ อีกหลายร้อยคน พร้อมยอมตาย พลีชีพเพื่อสนธิ ลิ้มทองกุล หากมีการจับกุมคุมขัง ในกรณี "กบฏ" สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นคนเดียวในประวัติศาสตร์ไทย ที่ไม่ยอมรับอำนาจกฏหมาย ปฏิเสธหมายจับ แถมประกาศท้า ทายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาจับกุม ยิ่งไปกว่านั้น... สนธิ ลิ้มทองกุล กล้าประกาศกร้าวต่อคนไทยทั้งในประเทศ และ ชาวต่างประเทศทั่วโลก ให้รับรู้ผ่าน ทางโทรทัศน์ดาวเทียมASTV ว่า ..... ที่สำคัญ...คือ สนธิ ลิ้มทองกุล สามารถใช้วาทะที่ปลุกเร้าความรักชาติผ่านเสียงทุ้มหล่อ พร้อมท่วงทำนองที่โดนใจ ผู้เก็บกด จึงทำให้ปลุกระดมคนไทยทั้งในประเทศที่มี "ความรักชาติ" ออกมาชุมนุม ยึดสถานที่ราชการ ยึดทำเนียบ ปิดล้อมรัฐสภา เข่นฆ่าผู้ไม่เห็นด้วย ทำร้ายเจ้าหน้าที่ ตัดไฟรัฐสภาขณะที่รัฐบาลประชุมสภาแถลงนโยบาย ปิดล้อม สนามบิน และหยุดงานทั่วประเทศ ....ซึ่งเขาเรียกว่า "นี่คือสงครามครั้งสุดท้าย....เพื่อ...กู้ชาติ" ฉะนั้น... ความหมายของคำว่า "ชาติ" มีความหมายที่ลึกลงไปในจิตวิญญาณของคนไทยทุกคน ที่มีความรักชาติรัก แผ่นดินที่มีชื่อว่าประเทศไทย และนี่คือธรรมชาติของความเป็นคนไทย แต่ความหมายของคำว่า "ชาติ" ของ สนธิ ลิ้มทองกุล คืออะไร หมายถึง "ประเทศไทย" ใช่หรือไม่ ? ข้อมูลต่อไปนี้จะเป็นคำตอบ.... เจียง ไค เชค และ เหมา เจ๋อ ตุง ในปี พ.ศ.2492 ขณะนั้นประเทศจีนได้เกิดการ แบ่งฝ่ายออกเป็น 2 ฝ่าย คือฝ่ายประชาธิปไตยซึ่งเป็นรัฐบาลจีน ขณะนั้น ภายใต้การนำของ นายพลเจียงไคเช็ค พรรค ก๊กมินตั๋ง และ อีกฝ่ายหนึ่งก็คือ ฝ่ายคอมมิวนิสต์ ภายใต้ การนำของ เหมาเจ๋อตุง ทั้งสองฝ่ายต่างมีกำลังทหารของตนเองและสู้รบกันเพื่อแย่งชิงประชาชนและอำนาจ การปก ครองประเทศจีน ฝ่ายของ นายพลเจียงไคเช็ค มีกำลังทหารส่วนหนึ่งเรียกว่า กองพลหน่วยที่ 93 ได้ปฏิบัติการอยู่ แถบคุนหมิง มณฑลยูนาน ทั้งสองฝ่ายต่างรบสู้กันอย่างดุเดือดและในที่สุดฝ่ายคอมมิวนิสต์ ภายใต้การนำของเหมาก็เป็นผู้ชนะ พรรคก๊กมินตั๋ง จึงได้ถอยหนีไปอยู่เกาะไต้หวัน และนายพลเจียงไคเช็คก็ได้เป็นประธานาธิบดีของไต้หวัน ในเวลาต่อมา กองพลที่ 93 อพยพติดตามไปไต้หวันไม่ทัน หรือโดนเจียงไคเช็คทิ้งก็ไม่อาจทราบได้ จึงตั้งกองกำลังอยู่ที่ยูนาน จากนั้นก็ถูกกองทัพจีนคอมมิวนิสต์ คุกคามอย่างหนักจึงต้องสู้ไปพลางถอยไปพลาง สุดท้ายก็ถอยไปเข้าเขตของพม่า ตอนบนพม่าก็ไม่ยอมเพราะถือว่าเป็นการรุกล้ำ อธิปไตยจึงส่งกำลังมาต่อสู้เพื่อพลักดันให้ออกจากพม่าสู้หลายครั้งแม้ ว่าพม่าจะเป็นฝ่ายรุก กองพล 93 เป็นฝ่ายถอย แต่สุดท้ายก็พลักดันออกจากพม่าไม่สำเร็จ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับไทยด้วย เพราะมีกองกำลังบางส่วนที่ถอยเข้ามาในเขตรอยต่อของไทยกับพม่าเช่นบริเวณ ดอยตุง ดอยแม่สลอง เป็นต้น ในที่สุดพม่า ก็เรียกร้องให้สหประชาชาติ เข้ามาแก้ไขปัญหาดังกล่าว สหประชาชาติได้เปิดประชุมและได้กำหนดตัว แทน 4 ฝ่าย เพื่อทำการอพยพ ทหารกองพล 93 และครอบครัวไปที่ประเทศ ไต้หวัน สำหรับตัวแทนทั้ง 4 ฝ่าย ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ไทย พม่า และ รัฐบาลจีนคณะชาติ ( ไต้หวัน ) สหประชาชาติ ได้ให้ทำการอพยบ กองพล 93 ไป ไต้หวัน โดยเริ่มตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2496 ถึง พฤษภาคม ค.ศ.2497 รวมทั้งสิ้น 3 ครั้ง โดยจำนวนผู้อพยพมี ประมาณ 12,000 คนซึ่งการอพยพดังกล่าว รัฐบาลไต้หวันได้ส่งเครื่องบินมารับที่ อำเภอท่าฝาง จังหวัดเชียงใหม่ จากนั้นรัฐาลไต้หวันก็ไม่รับผู้อพยพเพิ่มอีก สำหรับการอพยพของกองกำลังที่ 93 มาจากจีนนั้น ในเวลาเดียวกันก็มีชาวบ้านที่ไม่ได้เป็นกองทหารอพยบตาม มาด้วย ทั้งนี้เพราะชาวบ้านเหล่านั้นไม่ต้องการอยู่ภายใต้การปกครองของ จีนคอมมิวนิสต์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ นำทางทหารของ กองพลที่ 93 คือ นายพลหลี่มี่ เป็นที่นับถือของชาวบ้านในเป็นอย่างมาก ดังนั้นกองพล 93 จึงประ กอบไปด้วยทหารของกองพลเอง ชาวบ้าน ชาวไร่ชาวนา และกองกำลังต่าง ๆ ที่กระจัด กระจายกันไปเพราะถูกคอมมิว นิสต์ คุกคาม เข้ามารวมตัวอยู่ด้วยกัน เช่น นายพลหลี่เหวินฝาน ได้นำ กองกำลังอาสาสมัครป้องกันหมู่บ้าน เข้า มาร่วมกับ นายพลหลี่มี่ ด้วยการอพยพเข้ามาสู่ดินแดน ประเทศไทยนั้น กระจายอยู่ตามแนวชายแดนต่างๆคือ อำเภอ แม่อาย อำเภอแม่จันอำเภอแม่สรวย อำเภอพาน(จังหวัดเชียงราย) อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ และเทือกเขาบางส่วน ในเขตจังหวัดน่าน ในช่วงที่ไต้หวัน ทำการอพยพชาวกองพลที่ 93 ไปสู่ประเทศไต้หวันนั้นได้มีชาวไร่ชาวนาบางส่วนที่มากับพวกทหาร ของกองพลที่ 93 ไม่ได้อพยพไปด้วยกลับตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เมืองไทย ทั้งนี้เพราะหลายคนมีครอบครัวที่นี่หลายคนเกิดที่นี่ และคิดว่าตนเองแท้จริงไม่ได้เป็นทหารของ กองพลที่ 93 การไปไต้หวัน เหมือนกับเป็นส่วนเกิน และต้องไปเริ่มต้นใหม่ และหลายคนรักที่จะอยู่ประเทศไทย ช่วงนั้นได้มีขบวนการผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์เริ่มเข้ามาในประเทศไทยและชาวบ้านเหล่านี้ก็ไม่ชอบคอมมิวนิสต์ ประกอบกับได้รับการฝึกอบรมแบบทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฝึกตามแบบของโรงเรียนนายร้อยหวังผู่ จึงมีความพร้อม ที่จะทำการรบและป้องกันตนเอง รัฐบาลจอมพลถนอม ในขณะนั้นได้ทำการติดต่อชาวบ้านเหล่านี้ให้อยู่ที่เมืองไทยเพื่อ ร่วมกันต่อต้านผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่เห็นด้วย จึงปักหลักอยู่ต่อที่ประเทศไทย รัฐบาลไทยได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปเจรจากับไต้หวัน เพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับชาวจีนอพยพ ที่ยังเหลืออยู่ในเมืองไทย รัฐบาลไต้หวันได้สรุปว่ากลุ่มชาวจีนดังกล่าวให้อยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาลไทย รัฐบาลไทยจึงได้สั่งให้กลุ่มชาวจีน ที่อพยพ อาศัยอยู่ในเขตจังหวัดเชียงใหม่ และ เชียงราย เพื่อความสะดวกในการควบคุมผู้อพยพ รัฐบาลไทยจึงตั้งให้ กองบัญชาการ ที่ ดอยแม่สลอง กองบัญชาการ ทหารสูงสุด นำโดย พล.อ.อ. ทวี จุลละทรัพย์ เสธฯ บ.ก.ทหารสูงสุด และ พล.ท. เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ รองเสธฯ เป็นผู้ดูแล โดยประสานงานกับผู้ว่าราชการจังหวัด มีผู้นำที่มีชื่ออยู่สองคน คือ นายพลหลี่เหวินฝาน และ พันเอกเฉินโหม่วซิว ได้เป็นผู้นำของชาวจีนที่เหลืออยู่ใน เมืองไทย ขณะนั้นมีการแทรกซึมของ คอมมิวนิสต์ เป็นอย่างมาก และเนื่องจากคอมมิวนิสต์ไม่ถูกกับชาวจีนที่อพยพ จึงมักสร้างสถานการณ์ต่างๆนาๆเพื่อโยนความผิดให้กับชาวจีนกลุ่มนี้ เช่น ปล้นสะดม ฆ่าผู้นำชนกลุ่มน้อยเผ่าม้ง ที่ จงรักภักดีต่อรัฐบาลไทยโดยคนทั่วไปในขณะนั้นรู้จักชาวจีนกลุ่มนี้ในนามของกองพลที่ 93 แต่แล้วคนไทยก็รู้ว่าหลง กล พวกคอมมิวนิสต์เมื่อมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น คือ หน่วยงานของจังหวัดได้รับการติดต่อขอเข้ามอบตัวจากกลุ่มผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ที่บ้านห้วยกว้าง ตำบลแซว อำเภอเชียงแสน ทำให้เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2512 นายประหยัด สมานมิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย พ.ต.อ. ศรีเดช ภูมิประหมัน ผู้กำกับตำรวจภูธรเชียงราย นายทหารจาก กองทัพภาคที่3 และคณะ รวมทั้งสิ้น 8 นาย ได้เดินทางเพื่อเข้าไปต้อนรับการกลับตัวกลับใจของกลุ่มผู้ก่อการร้ายดังกล่าว การเดินทางไปครั้งนี้ผู้นำชาวจีนอพยพได้ ทำการทักท้วงมิให้คณะของผู้ว่าเข้า ไปในเขตของคอมมิวนิสต์ เพราะรู้ว่าเป็นกลลวงแต่ทางคณะไม่ฟังคำทักท้วงจึงได้ เดินทางเข้าไปในบริเวณ พื้นที่ที่ ผกค. ตกลงจะทำการมอบตัวแต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ผู้ใหญ่ทั้ง คณะถูก ผกค. สังหารเกือบหมดเหลือรอดมาได้แต่เพียงนายอำเภอเมืองเชียงรายเพียงคนเดียว เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ รัฐบาลไทย รู้ว่า คอมมิวนิสต์ ร้ายแรงเพียงใด เมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นทางกองบัญชาการทหารสูงสุดได้มีคำสั่งให้ชาวจีนอพยพที่เคย ได้รับการฝึกแบบทหาร ออกช่วย ปราบปรามโดยเข้าร่วมกับกองกำลังทหารและตำรวจ ซึงการปราบปรามผู้ก่อการร้ายใช้เวลายืดเยื้อ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2512 ไปจนถึง พ.ศ.2516 เหตุการณ์ผู้ก่อการร้ายจึงได้สงบลง เมื่อสิ้นสุดการปราบปรามผู้ก่อการร้ายสงบลงแล้ว รัฐบาลไทยก็ได้ให้ กองกำลังจีนอพยพ(กองพล93) จัดตั้งเป็น หมู่บ้านยุทธการได้แก่ หมู่บ้านผาตั้ง หมู่บ้านแม่แอบ สำหรับ หมู่บ้านแม่สลอง เดิมที่เรียกว่า หมู่บ้านหินแตก จึงให้เปลี่ยน ชื่อเป็น หมู่บ้านสันติคีรี โดย พล.อ.อ. ทวี จุลละทรัพย์ เป็นผู้กำหนดชื่อหมู่บ้าน ปี พ.ศ.2524 พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้ให้ชาวจีนอพยพจัดตั้งเป็นกองกำลังอาสาสมัครไทย จำนวน4กองร้อย ร่วมกับกองกำลัง กองทัพภาคที่ 3 เพื่อออกกวาดล้างผู้ก่อการร้ายที่เขาค้อ และที่เขาหญ้าจังหวัดเพชรบูรณ์ ผลการ กวาดล้างได้รับชัยชนะตามเป้าหมายที่รัฐบาลไทยกำหนด ทางรัฐบาลไทยมองเห็นความสำคัญและผลงานที่ได้กระทำต่อบ้านเมืองของกลุ่มชาวจีนอพยพ หรือที่รู้จักในนามของ กองพล 93 กองบัญชาการทหารสูงสุดจึงตั้งคณะกรรมการเพื่อแปลงสัญชาติให้เป็นคนไทย ในพ.ศ. 2514, 2518, 2520 สิ้นสุดในปี พ.ศ. 2521 โดยทางราชการจะออกบัตรประจำตัวชั่วคราวให้กับ นายทหารจีน(กองพล93) ใช้ในการออกจาก เขตกำหนด(ดอยแม่สลอง) โดยใช้บัตร(ตามภาพ)แสดงแทนบัตรประชาชนไทย หลังจากนั้นอีก8ปี จึงได้อนุมัติให้ทำบัตรประชาชนไทยถาวรแก่ชาวจีนอพยพ(กองพล93)เป็นครั้งแรกในปีพ.ศ.2529 โดยออกให้กับครอบครัวของนายทหารก่อน จากนั้นจึงออกให้ประชาชนจีนที่ติดตามกองทัพมานั้นเป็นลำดับไป สำหรับบัตรประจำตัวนายทหารจีน(กองพล93) ที่ทางราชการออกให้ก่อนหน้านั้น(ตามภาพ) ทางราชการได้เรียกกลับคืน โดยเปลี่ยนกับบัตรประชาชนไทยถาวร ในเวลาเดียวกันนั้น เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ กองทัพภาคที่ 3 จึงได้มอบอำนาจการปกครอง หมู่บ้านอดีตทหารจีน(กองพล93) บางหมู่บ้านให้ กับกระทรวงมหาดไทย ตามนโยบายของรัฐบาล เช่น หมู่บ้านสันติคีรี (ดอยแม่สลอง) เป็นหมู่ที่ 18 ตำบลป่าซาง อำเภอ แม่จัน จังหวัดเชียงราย ตามข้อมูลที่กล่าว มาข้างต้น จะเห็นได้ว่า ชาวจีนอพยพ(กองพล 93) เพิ่งจะได้รับอนุญาตให้มีบัตรประชาชนไทยถาวรได้ ในปี พ.ศ.2529 (2514-2521 เป็นช่วงของการอนุญาตให้แปลงสัญชาติเป็นไทย) โรงเรียนนายร้อยหว่างฟู่ ไม่ใช่มีแต่นักเรียนที่เป็น ชาวจีนเท่านั้น แต่มีคนไทยเข้ารับการศึกษาด้วย (ตามภาพ เป็นคนไทยแท้ๆ บ้านอยู่บางกอกน้อย ธนบุรี) จึงเป็นการสะดวกในสืบค้นข้อมูลกรณีของ บิดานายสนธิ ลิ้มทองกุล ดังนั้น เราสามารถที่จะพิจารณา วิเคราะห์จากหลักฐาน ข้างต้น จึงสามารถสรุปได้ดังนี้ ว่า 1. กรณีนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่อ้างว่าบิดาเป็นนายทหารกองร้อยหว่างฟู่ สังกัด กองพล93 จากรายงานพบว่า บิดาของนายสนธิ ได้ " หลบหนีจากกองพล93(หนีทหาร)" ก่อน พ.ศ.2514 ซึ่งเป็นระยะก่อนที่รัฐบาลไทย จะมีคำสั่งอนุญาตให้กองพล93 แปลงสัญชาติเป็นไทยได้ นั่นหมายถึง ซึ่งบิดาของนายสนธิ จึงเป็นเพียง คนจีนหลบหนีเข้าเมืองอย่างผิดกฏหมาย จึงไม่ได้รับสิทธิในการแปลงสัญชาติเป็นไทย เช่นบุคคลที่อยู่ใน กองพล93 ตามคำสั่งของกองบัญชาการทหารสูงสุด (เพราะหนีทหารไปก่อนหน้านั้น จึงไม่ปรากฏหลักฐานการ ได้สัญชาติ เช่นผู้อื่นที่สังกัดกองพล93 ในระยะเวลาดังกล่าวโดยสิ้นเชิง) ดังนั้น 2. เมื่อบิดาของนายสนธิ ไม่ได้สัญชาติไทย มีฐานะทางกฏหมายเป็นผู้กระทำความผิด ฐานเป็น คนต่างด้าว หลบหนีเข้าเมือง แต่ เหตุใดนายสนธิ ซึ่งเป็นบุตร จึงมีสัญชาติไทยได้ ? 3. ตาม บัตรประชาชน ซึ่งหลักฐานปรากฏตามหมายจับ(ดูภาพในวงกลมสีแดง) ระบุว่า นายสนธิ "เชื้อชาติไทย" คำว่า "เชื้อชาติ" หมายถึง "ผู้ที่เกิดในประเทศ" แต่เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นว่า "นายสนธิ เกิดปี พ.ศ.2490" ซึ่งเป็นระยะเวลาก่อนที่ กองพล 93 จะรบกับกองทัพปลดแอกของเหมาเจอตุง และก่อนที่ กองพล93 จะพ่าย แพ้ และหลบหนีเข้ามายัง เมืองเชียงตุงของพม่า และก่อนเวลาที่ รัฐบาลไทย จะรับ กองพล93 เข้ามาตั้งหมู่ บ้านเป็นกันชนคอมมิวนิสต์ ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า "นายสนธิ ลิ้มทองกุล ไม่ใช่เชื้อชาติไทย"แน่นอน 4. ในระยะช่วงเวลาดังกล่าว (พ.ศ.2514-2520) ผู้ที่อยู่ ฐานชายแดนแถบพม่า จะทราบดีว่าการเดินทางระหว่าง เชียงราย มาลำปาง ก็กินเวลาเป็นวันๆ เพราะถนนไม่ดี (สายเอเซียยังไม่สร้าง... นั่งรถกันงี้ขี้เป็นเลือด..เรื่อง จริง เพราะไม่มีเบาะมีแต่กระดานไม้) ไม่ต้องกล่าวถึงจังหวัดสุโขทัย ซึ่งอยู่ห่างไกลกับพื้นที่ตั้งของจังหวัดเชียงราย ซึ่ง กองพล93 อยู่ (คิดในด้านดีไว้ก่อน) จึงมีคำถามว่า "นายวิเชียร บิดาของนายสนธิ มามีภรรยาที่สุโขทัยได้อย่างไร ?" ฉะนั้น เมื่อเทียบตามระยะเวลาจากบัตรประชาชนของนายสนธิ ลิ้มทองกุล กับ วันเวลาที่ทางราชการ อนุมัติให้ผู้ที่อยู่ใน ปกครองของ กองพล93 แปลงสัญชาติได้นั้น(2514) นายสนธิ ลิ้มทองกุล จะบรรลุนิติภาวะแล้ว และมีอายุ 24ปี หากอนุมานว่าเป็นเช่นนั้น จุดที่เป็นสิ่งสังเกตุสำคัญคือ "จะเป็นได้เพียงแค่ สัญชาติไทย ไม่ใช่ เชื้อชาติไทย" ข้อพิรุธ นายสนธิ เกิดก่อนที่ นายวิเชียร บิดาของตนซึ่งอยู่ที่เมืองจีน จะพบกับแม่ของตนซึ่งอยู่ที่ประเทศไทยจังหวัดสุโขทัย (กรณีหากว่าแม่มีสัญชาติไทย) เพราะกองพล 93 เข้าประเทศไทยปี 2504 นั่นหมายถึงบิดาของนายสนธิ มาพบและ แต่งงานกับมารดานายสนธิ จึงจะตั้งท้องและคลอดเป็นนายสนธิได้ ก็ต้องเป็นปี 2505 ตามหลักฐานปรากฏว่าปี2504 นายสนธิอายุได้ 14 ปีแล้ว...จึงเป็นไปไม่ได้ว่า นายสนธิ จะเกิดก่อนพ่อแม่แต่งงานกัน ตกลง นายสนธิ เกิดจาก ใคร ... หรือ รูกระบอกไม้..???!! ภาพ นายพลเจียงไคเชค เป็นผู้บังคับการโรงเรียนนายร้อยหว่างฟู่ (ไม่ใช่พ่อนายสนธิ) เมื่อคำนวณนับจากปีเกิดนายสนธิ (พ.ศ.2490) ก็ยังเป็นระยะเวลาก่อนที่ เจียงไคเชค จะตั้ง กองพล93 รบกับกองทัพ เหมาเจ๋อตุง ซึ่งเป็น พ.ศ.2492 นั่นหมายถึง นายสนธิมีอายุได้ 2 ขวบแล้ว คำถาม ณ เวลานี้คือ
ในชั้นต้นสรุปได้ว่า เอกสารบัตรประจำตัวประชาชน เป็นของปลอมแน่นอน ดังนั้น การเคลื่อนไหวทางการเมืองของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่ปลุกระดมชาวไทยออกไปก่อการชุมนุม ยึด ทำลายทรัพย์สิน จนถึงขั้นใช้กำลังอาวุธปะทะกัน โดยอ้างว่า "กู้ชาติ" จึงเป็นไปไม่ได้ เพราะ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ไม่ได้มี สัญชาติไทย หรือ เชื้อชาติไทย โดยสถานะทางกฏหมาย ปรากฏตามหลักฐานหมายจับ (ซึ่งเป็นเอกสารทางราชการ รับรองแล้ว) นายสนธิ ลิ้มทองกุล ณ เวลาปัจจุบัน สถานะทางกฏหมาย เท่ากับเป็น "บุคคลไร้สัญชาติ" การกระทำของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล จึงมีลักษณะไม่ผิดกับว่า นายสนธิฯ เป็นนักท่องเที่ยว เข้ามาในประเทศไทย หรือ กะเหรี่ยงหลบหนีเข้าเมือง แล้วมาปลุกระดมให้ประชาชน เจ้าของประเทศเกิดความแตกแยกทางความคิด แบ่งฝ่ายใช้อาวุธเข้าประหัตประหารกัน โดยอ้างคำว่า " กู้ชาติ " .!! เป็นเครื่องบังหน้าเพื่อก่อความไม่สงบขึ้นในบ้านเมือง เมื่อเทียบลักษณะความผิดที่ปรากฏทั้งหลักฐานและพยานเชิงประจักษ์แล้ว การกระทำของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล เข้าข่าย "จารชน" ซึ่งประชาชนไทยมีสิทธิ "ยิงทิ้ง" หรือ "จับตาย" ได้โดยไม่ผิดกฏหมาย (ตามระเบียบรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๑๗) ทั้งยังเป็นการช่วยทางราชการอีกด้วย ในส่วนของเจ้าหน้าที่ฝ่ายรักษาความสงบเรียบร้อย หรือเจ้าพนักงานตำรวจ สามารถจับกุมได้โดยไม่ต้องใช้หมายจับ โทษของ "จารชน" มีสถานเดียวคือ "ประหาร" โดยไม่ต้องขึ้นศาลอีกด้วย(เป็นกฏหมายสากล International Law ) หมายเหตุ ข้อมูลเชิงลึก ในกรณีอาชีพของ บิดานายสนธิซึ่งหนีราชการทหาร แต่กลับมีเงินตั้งโรงพิมพ์ (เขาเอาเงินมาจาก ไหน...ประกอบอาชีพอะไรจึงร่ำรวย และเหตุใดจึงถูกฆ่าล้างครัวที่กรุงเทพฯ) ที่เหลือ จะนำมาเสนอให้ทราบต่อไปในโอกาสหน้า.. จำได้ว่า สนธิลิ้ม เขามี passport เป็นของจีนไต้หวันด้วย? สงสัยอยู่ว่า ทำไม สนธิ ถึงได้รับ passport สองประเทศ มีทั้งประเทศไทย และ ประเทศจีนไต้หวัน ตามหมายจับบอกว่า เป็นเชื้อชาติ ไทย สัญชาติไทย แต่ถ้าได้รับ passport จากประเทศไต้หวัน เขาจะเป็นคนต่างด้าว ที่ประเทศไหน? การได้รับ passport นั้น แสดงว่า เขาเป็นบุคคลสัญชาติของประเทศนั้น หรือ อาศัยว่า พ่อเป็นคนจีนไต้หวัน ถ้าเขาได้รับ passport จากไต้หวัน จะมีเชื้อชาติ ไทย ได้อย่างไร ก็ควรจะเป็นคน ต่างด้าว ถือ passport จีนไต้หวัน ใช่ไหม? ตกลงที่เค้าว่ากันว่า เลขประจำตัวประชาชน ตัวที่ 2-5 เป็นตัวชี้จังหวัดและอำเภอขณะที่ได้เลขนั้นจริงมั้ยครับ ทำไมกะทิ เป็นเลข 1017อ่ะ งี้แปลว่าเกิด กทม. อ่ะดิ มันยังไงกันแน่ บางคนบอกเข้ามาอยู่ไทยที่ภาคเหนือก่อน บางคนบอกเกิดสุโขทัย แต่เลข 10 นี่มันกรุงเทพไม่ใช่เหรอครับ มันยังไงอ่ะครับ ประวัติครอบครัวและชีวิตในวัยเด็ก ของ สนธิ ลิ้มทองกุล (โต) สนธิ เมื่อเกิดมา มีชื่อว่า ตั๊บ แซ่ลิ้ม ชื่อเล่นชื่อ โต สนธิ ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ในวัยเด็ก เขาถูกส่งไปอยู่โรงเรียนประจำที่ อัสสัมชัญศรีราชา สนธิ ขณะเรียนที่ ที่ อัสสัมชัญศรีราชา ได้คะแนน 49.5% (สอบตกไม่ผ่าน) แต่ได้รองอธิการฯ ไปคุยกับอธิการให้ช่วยปัดเศษเพิ่มขึ้นอีก 0.5% ทำให้เขาจบชั้น ม.7 จากโรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา ต่อมาสนธิได้ ย้ายไปอยู่ที่ โรงเรียนอำนวยศิลป์ จบ ม.8 ด้วยคะแนนติดบอร์ด พ่อบังคับให้สนธิเรียนหมอ สนธิจึงตอบโต้ ด้วยการโกหกว่าสอบข้อเขียนได้แต่สอบตกสัมภาษณ์ (ทั้งที่ไม่ได้ไปสอบสัมภาษณ์) พ่อจึงจัดการให้สนธิ ไปเรียนที่ต่อไต้หวัน ในวิชาวิศวกรรมเครื่องกล (ตามความต้องการของพ่อ) นสพ.ผจก.รายวัน ฉบับประจำ 23 ส.ค. 2536 สนธิให้สัมภาษณ์ว่า ขณะที่เรียนไต้หวัน 1 ปี ไม่ได้อะไร นอกจากภาษาพูด และ การท่องราตรี ขณะเรียนมัธยมอยู่ในสมัยนั้น ผมกบฏกับทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นระบบของสังคม กติกาของครอบครัว หรือ กรอบของการปฏิบัติตน. พ่อ ของสนธิ ชื่อ วิเชียร แซ่ลิ้ม เป็นอดีตสมาชิก พรรคก๊กมินตั๋ง และ ผู้บังคับการโรงเรียนนายร้อยหว่างผู่ (ประวัติบางอันเขียนว่าเรียนจบจากโรงเรียนนายร้องหว่างผู่ ที่จอมพลเจียงไคเช็ค แห่งพรรคก๊กมินตั๋ง เป็นผู้บังคับการโรงเรียน) สนธิเติบโตมาในขณะที่ พรรคก๊กมินตั๋ง กับ จีนคอมมิวนิสต์ อยู่ในสภาพของความเป็นศัตรูต่อกันอย่างรุนแรง ทั้งที่เป็นชาติเดียวกัน ปี 2485 คุณปู่ได้เปลี่ยนแซ่มาใช้นามสกุล “ลิ้มทองกุล” แต่น้องชายคุณปู่เปลี่ยนแซ่เป็น “มหาวนา” ซึ่งแปลว่า “ป่าใหญ่” แม่ สนธิ ชื่อ นางไชย้ง แซ่ลิ้ม คุณพ่อได้แต่งงานกับคุณแม่ เมื่อมาทำงานโรงพิมพ์และหนังสือพิมพ์จีนในกรุงเทพฯ ตาโกรธคุณแม่ จนถึงตัดพ่อตัดลูกกัน เพราะแม่มาแต่งงานกับพ่อ ทั้งพ่อและแม่ ทำกิจการโรงพิมพ์ และออกหนังสือพิมพ์จีน จำหน่ายให้กับชาวจีนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร สนธิ ได้ฝึกวิชาชีพ กับ นาย พอล สิทธิอำนวย นาย พอล สิทธิอำนวย ได้ โกงเงินธนาคาร ๒๐๐๐ พันล้านบาท แล้วหลบหนีไปอยู่อเมริกาเมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว โดยโอนชื่อกิจการที่เหลือทั้งหมดให้ นายสนธิ ลิ้มทองกุล สนธิ ขาดความรัก ความอบอุ่น จากครอบครัวในวัยเด็ก สนธิ โกรธแค้น เกลียดชัง พ่อ (และอาจรวมถึงแม่ด้วย) ในส่วนลึก และแก้แค้น โดยการตอบโต้ด้วยวิธีต่างๆเช่น พูดโกหกฯลฯ โดยความโกรธนี้ลามมาถึง การโกรธสังคมด้วย สนธิ รู้สึกสะใจเมื่อสร้างความทุกข์ให้พ่อแม่ได้สำเร็จ การทำร้ายสังคมได้เลวร้ายขึ้น ตามความรู้ความสามารถที่เพิ่มขึ้นของสนธิ (ตราบเท่าที่ความเป็นเด็ก ที่ขาดในตัวสนธิยังไม่ได้รับการเติมเต็ม) พ่อมองว่า สนธิ เป็นเด็กมีปัญหา พ่อเลี้ยงสนธิขึ้นมา เพื่อเป็นตามที่พ่อต้องการ ไม่ใช่ตามที่เด็กในตัวสนธิอยากจะเป็น (พ่อชอบบังคับ) ขณะที่เด็กโรงเรียนประจำ มักจะขาดความรัก แต่ ดช.ตั๊บ ออกจะอาการหนักหน่อย ทำให้ผลการเรียนค่อนข้างแย่ เมื่อถูกบังคับให้ไปเรียนที่ไต้หวัน และ ขาดเป้าหมายของตนเอง และ ไม่ต้องการทำเพื่อพ่อแม่ หรือ ใคร สนธิ จึงเที่ยวกลางคืน เพื่อเติมในสิ่งที่ขาด (เติมไม่เต็ม) แม้ว่า สนธิ ลิ้มทองกุล จะโกรธเกลียดในนิสัยของพ่อตัวเอง แต่ว่า สนธิ ลิ้มทองกุล ก็ถอดแบบนิสัยที่เขาเกลียดนั้นมาเป็นตัวเขา ปู่กับน้องของปู่สนธิ ไม่ได้ใช้นามสกุลเดียวกัน เมื่อเปลี่ยนจากแซ่เป็นนามสกุล สนธิ โตมาในสภาพแวดล้อมที่ ประเทศจีน แยกเป็นสองส่วน จีน กับ ไต้หวัน สนธิ สนิทกับเจ้านาย และ ได้รับอิทธิพลการทำงานแบบโกงเงินชาติมาจากเจ้านาย.. บทสรุปสุดท้ายประวัติ สนธิฯ ที่คุณ More นำมาให้อ่าน เนื้อหาอาจจะแตกต่างกันไปแต่สิ่งที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือปริศนา "เชื้อชาติไทย" ว่า สนธิฯ ได้มายังไง ? เพราะ สนธิ ไม่ได้เกิดในประเทศไทย อันนี้แน่นอน เพราะไม่ว่า ประวัติจะมาไง ไปไง นั่นไม่เท่าไร แต่มันสำคัญที่บัตรประชาชน นั้น "ปลอม" ผู้ที่ถือ "บัตรประชาชนไทยปลอม" ย่อมจะไม่ใช่ชาวไทยโดยสุจริต จึงไม่ต้องกล่าวถึงกรณี "นายสนธิ ลิ้มทองกุล ถือบัตรประชาชน เชื้อชาติไทย" โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พฤติกรรมอันปรากฏในปัจจุบันก็คือ การปลุกระดมประชาชนในชาติ ให้แตกแยกเป็นฝักฝ่าย จึงเป็นพฤติกรรม ที่เข้าข่ายความผิดฐาน "จารชน" ตามกฏหมายสากลโดยแท้ และ สร้างสถานการณ์ "บ่อนทำลาย เพื่อล้มล้างสถาบันกษัตริย์" โดยนำเอาสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเครื่องมือ แล้วสร้าง เหตุให้สถาบันเสื่อมความนิยม โดยตนเองเป็นผู้สร้างเหตุการณ์นั้นขึ้น นี่คือสิ่งที่เราชาวไทยย่อมยอมให้เกิดขึ้นต่อไปไม่ได้... ....แน่นอนที่สุด ...เชื่อว่าข้อมูลที่นำเสนอจะมีทั้งผู้เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่ที่แน่ ๆ หากไม่จริง ก็ไม่เห็นว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล ต้องเถียงมาแล้ว ว่าไม่จริง แต่ งานนี้ มันนิ่งไม่กล้าเถียง ไม่กล้าเขียนคอลัมภ์เรื่องนี้ขึ้นมาในหนังสือพิมพ์ของมัน..แม้แต่ตัวอักษร เดียว!! ไม่ใช่ว่ามันไม่ได้อ่าน และหากว่าไม่จริง ป่านนี้เวปเราคงถูกเอาไปด่าที่เวทีหน้าทำเนียบ เหมือนกับเวปประชาไท ฯลฯ ไปแล้ว... ไม่นานเกินรอ...ท่านจะพบศพบุคคลผู้นี้...แบบไม่ครบชิ้นส่วน...!!! เพราะยุค IT กรรมติดจรวด ชนิด Dot เวร Dot กรรม ....กดEnter เจอนรก ....กล้ารับรอง ความจริงจะไปโทษว่า "สนธิ เป็นคนเลว" เห็นจะไม่ถูกทีเดียว เพราะอันที่จริง แล้วเป็นเพราะ GENE มันเลว ดังนั้นการถ่ายทอด พันธุกรรม DNA จึงสืบสายพันธุ์ความเลวมาได้โดยตลอด คุณอาจไม่เชื่อ..แต่พิสูจน์ได้ ว่ามันเลวทั้งโคตร จริง ๆ 18 กันยายน 2550 เจ้าพนักงานการพิมพ์ กทม. ได้ตรวจยึดหนังสือการ์ตูนที่ ลูก "สนธิ" เป็น บก. อาทิ ตาอสูรพิฆาตมาร, เผ่าทรชนพันธุ์เถื่อน และ คุณแม่จิ๊กกี๋แช่แข็ง พล.ต.ต. สมบัติ ศุภชีวะ ผู้บังคับการอำนวยการ (ผบก.อก.) สำนักงานตำรวจสันติบาล (บช.ส.) กล่าวภายหลังจากร่วมประชุมเจ้า พนักงานการพิมพ์ กรุงเทพมหานคร วันนี้ (18 ก.ย.) ว่า หลังจากเจ้าพนักงานการพิมพ์ กทม. ได้ตรวจยึดหนังสือการ์ตูน อาทิ ตาอสูรพิฆาตมาร, เผ่าทรชนพันธุ์เถื่อน และคุณแม่จิ๊กกี๋แช่แข็ง ที่มี นายจิตนาถ ลิ้มทองกุล บุตรชายของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน เป็นบรรณาธิการบริหาร กว่า 10 เรื่อง จากร้านหนังสือทั่วประเทศ เนื่องจากเข้าข่ายเป็น หนังสือลามกอนาจาร ทางสำนักงานตำรวจสันติบาลได้ให้ตำรวจไปแจ้งความเพื่อให้ดำเนินคดีข้อหา ผู้ทำ, ผู้ผลิต หนังสือลามกอนาจาร เพื่อการค้าและเพื่อจำหน่ายจ่ายแจก ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ ผบก.อก.บช.ส.กล่าว และว่าขอฝากผู้ปกครองสังเกตบุตรหลานซึ่งอาจซื้อหนังสือประเภทนี้มาอ่าน และหากพบเบาะแสแจ้งได้ ที่ 0 2205 1455 " เพราะ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้เป็นพ่อ ปฏิบัติการสร้างความแตกแยกให้กับคนบนผืนแผ่นดินไทย ดังปรากฏชัดและต่อเนื่อง เป็นการทำลายสถาบันระดับผู้มีอายุตั้งแต่20 ปีขึ้นไป ที่มีศักยภาพในเชิงสร้างการขับเคลื่อน เศรษฐกิจ และการเมืองของประเทศ ส่วน นายจินตนาถ ลิ้มทองกุล บุตรชาย ปฏิบัติการทำลาย "ภาคเยาวชนไทย" ซึ่งจะเป็นอนาคตของชาติ นี่คือ ...อาวุธชีวภาคชนิดใหม่ ปฏิบัติการ ทำ " สงครามล้างเผ่าพันธุ์ชนชาติไทย " อย่างแท้จริง จะเห็นได้ว่า.. สนธิ ลิ้มทองกุล และบุคคลในตระกูลนี้ จัดเป็นสายพันธุ์อันตราย ที่สามารถทำลายล้าง ขนบธรรมเนียม ประเพณี พระพุทธศาสนา วัฒนธรรม และสถาบันอันดีงามของไทยให้สูญสิ้นไป รุนแรงกว่าระเบิดชีวภาพ ที่เป็นอันตรายต่อมวลมนุษยชาติ ซึ่งสมควรที่สังคมโลกจะต้องร่วมมือกันกำจัด ก่อนที่จะแพร่เชื้อขยายพันธุ์จนเกินกว่าแก้ไข หรือว่า .... สนธิ ลิ้มทองกุล และ บุตรชาย คือ นวตกรรมใหม่ จาก Change Human mankind Project ??? "The princess was asked at a press conference following her talk whether she agreed with protesters who say they are acting on behalf of the monarchy." รายงานข่าวเดียวกันแจ้งต่อไปว่า สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ตรัสตอบว่า “I don"t think so. They do things for themselves.” ผมไม่ทราบว่า หนังสือพิมพ์ฉบับอื่นจะแปลพระราชดำรัสตอบนั้นเป็นภาษาไทยว่าอย่างไร แต่หนังสือพิมพ์ข่าวสด ฉบับ ประจำวันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคมนี้ แปลว่า “ข้าพเจ้าไม่คิดเช่นนั้น พวกเขาดำเนินการสิ่งต่างๆ เพื่อตัวพวกเขาเอง” หลังจากที่ข่าวการพระราชทานสัมภาษณ์และคำแปลของหนังสือพิมพ์ข่าวสด แพร่ออกไปแล้ว ก็มีความเห็นและปฏิกิริยา เกิดขึ้นจากหลายคนหลายฝ่าย ที่รุนแรงที่สุดดูเหมือนจะมาจากผู้นำคนหนึ่งของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่หาว่า หนังสือพิมพ์ข่าวสด จงใจแปลพระราชดำรัสผิด และเรียกร้องให้หยุดซื้อหนังสือพิมพ์อีกสองฉบับในเครือมติชน ผม อ่านรายงานข่าวของฝรั่งในหนังสือพิมพ์ฝรั่งแล้ว และเห็นว่า ข่าวสด แปลพระราชดำรัสถูกต้องตรงตามตัวหนังสือ แต่ ความหมายคลาดเคลื่อน เพราะฉะนั้น จึงอาจทำให้คนอ่านเข้าใจผิดได้ คำว่า “for” ในภาษาอังกฤษที่ทรงใช้นั้น เป็น preposition คือ บุรพบท ภาษาไทยมักแปลว่า “เพื่อ” หรือ “สำหรับ” เพราะ ฉะนั้น ที่ ข่าวสด แปล “they do things for themselves” ว่า“พวกเขาดำเนินการสิ่งต่างๆ เพื่อตัวพวกเขาเอง” นั้นจึงถูกต้อง แต่ถูกเพียงตามตัวหนังสือ ไม่อยู่ในบริบทของการสัมภาษณ์ เมื่อไม่อยู่ในบริบท ก็ทำให้ความหมายคลาด เคลื่อนไป บริบทของการสัมภาษณ์นั้น เริ่มและอยู่ตรงที่คำกราบบังคมทูลถามของผู้สื่อข่าวฝรั่ง ผู้สื่อข่าวฝรั่งกราบบังคมทูล ถามว่า ทรงเห็นด้วยหรือไม่กับผู้ประท้วง ซึ่งบอกว่า เขากำลังกระทำ ในนามของสถาบันพระมหากษัตริย์ (whether she agreed with protesters who say they are acting on behalf of the monarchy.) พึงสังเกตด้วยว่า คำว่า “on behalf of” หรือ “in behalf of” ที่แปลว่า “ในนามของ” นั้นหมายความว่า ผู้ทำ ทำใน ฐานะเป็นผู้แทนของผู้ใดผู้หนึ่ง หรือได้รับมอบอำนาจจากผู้นั้นให้ทำ การกราบบังคมทูลถามของผู้สื่อข่าวฝรั่ง จึงกระทำ โดยเจตนา เพื่อให้ทรงยืนยันว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ มอบหมายให้กลุ่มพันธมิตรฯประท้วงหรือไม่ และให้ทรงตอบว่า ทรงเห็นด้วยหรือไม่ ที่ผู้ประท้วงบอกเช่นนั้น ส่วนคำว่า “for” นั้น ก็ไม่ได้แปลว่า “เพื่อ” หรือ “สำหรับ” เท่านั้น แต่ยังแปลว่า “on behalf of” หรือ “in behalf of” คือแปลว่า “ในนามของ”ได้ด้วย โปรดดู Webster"s New Collegiate Dictionary เล่มของผมอาจจะไม่ new (ใหม่)นัก เพราะพิมพ์และใช้มาตั้งแต่ปี ค.ศ.1959 (พ.ศ.2502) เพราะฉะนั้น จะดูเล่มอื่นก็ได้ เช่น Random House Unabridged Dictionary เล่มพิมพ์ปี ค.ศ.2006 (พ.ศ.2549) หรือ Merriam-Webster On-line Dictionary ที่ผมเพิ่งเปิดดูในอินเตอร์ เน็ตเมื่อคืนวันที่เขียนนี้ (ศุกร์ที่ 17 ตุลาคม 2551) เพราะฉะนั้น พระราชดำรัสตอบที่ว่า“I don"t think so. They do things for themselves.”จึงเป็นการตอบปฏิเสธ ที่อยู่ในบริบทของการสัมภาษณ์ ตรงคำถามที่เขากราบบังคมทูลถาม คำแปลพระราชดำรัสตอบจึงควรจะเป็น “ฉันไม่คิด อย่างนั้น เขาทำของเขาเอง” คือ ไม่ทรงคิดว่าผู้ประท้วงทำในนามของสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือทำในฐานะเป็นผู้แทน ของสถาบัน หรือได้รับมอบหมายจากสถาบัน |