วันเสาร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ตำรวจจับกุม "โกตี๋" แกนนำแดงปทุมธานี

ตำรวจจับกุม "โกตี๋" แกนนำแดงปทุมธานี - นำขบวนประท้วง "มาร์ค" ปราศรัยที่ม.รังสิต

 เมื่อวันที่ 8 ธ.ค.  รายงานข่าวแจ้งว่า บช.ส.รายงานมายัง บช.น.ว่า ในวันที่ 10 ธ.ค. เวลา 10.00 น. กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นำโดย พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ นายพายัพ ปั้นเกตุ นางดารุณี กฤตบุญญาลัย และ นายประแสง มงคลศิริ นัดรวมตัวกันที่ลานพระบรมรูปทรงม้า บริเวณหมุดคณะราษฎร เพื่อจัดกิจกรรมภายใต้ชื่อว่า แรลลี่โค่นอำมาตย์ สถาปนารัฐธรรมนูญของประชาชนและจะเคลื่อนขบวนผ่านจุดต่างๆ ดังนี้

              1.รวมตัวกันที่ลานพระบรมรูปทรงม้า 

           2.เคลื่อนไปที่รัฐสภา โดยจะอ่านบทกวี โดยกวีราษฎร 
           3.เคลื่อนไปที่ทำเนียบรัฐบาล ยื่นหนังสือข้อเรียกร้องให้ผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 พร้อมกับมอบดอกไม้ให้กำลังใจรัฐบาล 
          4.เคลื่อนไปที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ทำกิจกรรมร้องเพลงชาติ 
          5.เคลื่อนไปที่ศาลฎีกา สนามหลวง 
          6.เคลื่อนไปที่ลานพระบรมรูปรัชกาลที่ 6 สวนลุมพินี ใช้เส้นทางถนนเจริญกรุง ถนนพระราม 4 หัวลำโพง และสวนลุมพินี และ 
          7. เวลา 13.00 น. เปิดเวทีปราศรัยและการเสวนาของเหล่าแกนนำ โดยคาดว่าจะมีผู้ชุมนุมประมาณ 3,000 คน

        ในวันที่ 13 ธ.ค. กลุ่มนปช.จะนัดรวมตัวกันอีกครั้งที่หน้าศาลอาญา เพื่อฟังคำไต่สวนพิจารณานัดสืบพยานเพิ่ม ในคดีที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย และแกนนำนปช. ตกเป็นจำเลยในคดีก่อการร้าย

          เวลา 14.30 น. วันเดียวกัน พล.ต.ต.สมิทธิ มุกดาสนิท ผบก.ภ.จว.ปทุมธานี พร้อมพ.ต.อ.วัฒนา วงศ์จันทร์ รองผบก. ร่วมประชุมร่วมวางแผนรักษาความปลอดภัยในการปราศรัยของพรรคประชาธิปัตย์ ที่นำแกนนำของพรรคมาเปิดปราศรัย เวทีประชาชนเดินหน้าผ่าความจริงžในห้องประชุมอาคารนันทการ มหาวิทยาลัยรังสิต ตั้งแต่เวลา 15.00 น. ถึง 22.00 น.

        โดยพล.ต.ต.สมิทธิ กล่าวว่า ขณะนี้มีข่าวว่ากลุ่มคนเสื้อแดงนำโดยนายโกตี๋ จะเข้ามาประท้วงนายอภิสิทธิ์ในการปราศรัย จึงจัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ 400 นาย และเจ้าหน้าที่ศูนย์วิทยุเหยี่ยวเวหาปทุมธานี 100 นาย ร่วมรายงานในการป้องกันเหตุด้วย

        เวลา 16.00 น. พรรคประชาธิปัตย์ เปิดเวทีเดินหน้าผ่าความจริง โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค จะขึ้นเวทีในเวลา 17.10 น. แต่ปรากฏว่าเมื่อเวลา 17.00 น. ที่บริเวณด้านหน้ามหาวิทยาลัยรังสิต มีกลุ่มคนเสื้อแดงประมาณ 50 คน นำโดยนายนายวุฒิพงษ์ กชธรรมคุณ หรือ โกตี๋ แกนนำคนเสื้อแดงปทุมธานี พยายามจะขอเข้าไปภายในบริเวณที่จัดเวที แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจและรปภ.ของมหาวิทยาลัย นำแผงเหล็กมากั้น จนเกิดการผลักดันกันไปมาแต่ยังไม่มีเหตุรุนแรงใดๆ 

 
 

      ต่อมาเวลา 17.40 น. กลุ่มคนเสื้อแดงผลักดันจนสามารถเข้าไปภายในบริเวณมหาวิทยาลัยสำเร็จ เจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 กองร้อยจึงเข้าจับกุมนายโกตี๋ พร้อมพวกรวม 15 คน ขึ้นรถผู้ต้องขังไปที่สภ.คลองหลวง

       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่เกิดเหตุวุ่นวายขึ้นบริเวณด้านหน้าทางเข้า นายอภิสิทธิ์เดินทางเข้าทางด้านหลังของมหาวิทยาลัยและขึ้นปราศรัยโจมตีกรณีถูกออกหมายเชิญในคดีสลายการชุมนุม โดยใช้เวลา 15 นาที ก่อนเดินทางกลับ 

แผนชั่วๆ สร้างความรำคาญให้ต่างชาติ





...แผนชั่วๆ สร้างความรำคาญให้ต่างชาติ เลิกซื้อข้าวไทย!...

        แผนชั่วๆแผนนี้ เคยทำมาแล้วกับทักษิณ เมื่อครั้งปชป.เป็นรัฐบาล สำเร็จบ้างไม่สำเร็จบ้าง ก็คือ เมื่อทักษิณไปประเทศใด ก็ให้ รมต.ต่างประเทศ คอยไปก่อกวน ไปวุ่นวายกับเขา ไปประท้วงเขา ไปต่อว่าเขา เรียกทูตมาชี้แจง หวังผลให้เขารำคาญ ..แล้วห้ามทักษิณเข้าประเทศ
         ตอนนี้ ปชป.เริ่มใช้แผนก่อกวน สร้างความรำคาญให้จีนอีกแล้ว โดยไปวุ่นวายกับจีน ขอดูสัญญาจีนกับไทย ส่ง ปปช.ตรวจสอบสัญญาจีทูจี เพื่อสร้างความรำคาญให้จีน ยกขึ้นมาเป็นประเด็นการเมือง หวังผลให้จีนเลิกซื้อข้าวไทย..ช่างถ่วงความเจริญดีแท้
          “บางประเทศไม่ต้องการให้มีการเปิดเผยข้อมูล เพราะจะเป็นการผิดกติกา มารยาท จึงขอให้ปกปิดไว้ แต่พรรคนี้ มันไม่คำนึงอะไรทั้งนั้น ต้องการจะล้มโครงการจำนำข้าวให้ได้ จึงไร้มารยาท ไปก้าวก่ายถึงสถานทูต..ไม่เลวจริงทำไม่ได้”หารู้ไม่ ! ประชาธิปัตย์ กำลังฆ่าตัวตายทางการเมือง เพราะความอิจฉาริษยาเข้าสิงในจิตใจ จนลืมความถูกต้อง และหลักการต่างๆจนหมด ไม่รู้แล้วว่า อะไรผิดอะไรถูก ..น่าสงสาร !
          รัฐบาลแก้เกมส์ได้ง่ายๆ สบายๆแบบเบิร์ดๆ เพื่อดัดหลังให้รู้สำนึก ว่าการคัดค้านมติมหาชนส่วนใหญ่..ผลจะเป็นอย่างไร ?
          ประการแรก “ประกาศยุติโครงการจำนำข้าว” ไปก่อน อ้างว่า เพราะพรรคประชาธิปัตย์ไปยื่นให้ ปชป.ตรวจสอบ ทำให้รัฐบาลสุ่มเสี่ยงกับการทำผิดรัฐธรรมนูญ..ดูซิ จะเกิดอะไรขึ้น
          ประการที่สอง “พูดว่าอาจยุบสภา เลือกตั้งใหม่ เพื่อให้ประชาชนตัดสินใจใหม่ จะเอาจำนำข้าว หรือไม่เอา !” ..แค่นี้ มีเฮ !
         
          ผมไม่ได้ฝันถึงรังสิมาเหมือนจ่าประสิทธิ์ เพราะไม่พิศวาส แต่ฝันถึงการเลือกตั้งครั้งใหม่ หากจะต้องเกิดขึ้น ..ทำได้ก็ดี !
          แต่ฝันว่าพรรคการเมือง ที่คอยถ่วงความเจริญของชาติ พรรคการเมืองที่เป็นศัตรูของชาวนา พรรคการเมืองที่คอยทำตัวรับใช้นายทุน พรรคการเมืองที่ทำร้ายประเทศมาตลอด ที่ชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์นี่..มันจะเหลือรอดกี่คน !!!

พัลลภแฉสุรยุทธ์ให้ล้มทักษิณพื่อชาติ

        “พัลลภ”แฉ“สุ รยุทธ์”ให้วางแผนล้มรัฐบาลทักษิณเพื่อชาติ จี้แสดงสปิริต “ลาออก”จากองคมนตรีเพื่อปกป้องสถาบัน จวกยับไม่มีสัจจะรับตำแหน่งนายกฯ ปฏิเสธไม่เคยรับเงินแม้ว อ้างได้แค่รองเท้าคู่เดียว







           พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (รอง ผอ.รมน.) ให้สัมภาษณ์เปิดใจถึงเหตุการณ์ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โฟนอินพาดพิง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรี อยู่เบื้องหลังร่วมวางแผนโค่นล้มระบอบทักษิณ เมื่อ 19 ก.ย.2549 ว่า เป็นเรื่องจริง แต่ว่าเขาไม่เคยเชิญผมเข้าร่วมประชุม แต่เจ้าของบ้านที่สุขุมวิทเชิญผมและประชุมร่วมกัน ซึ่งไม่ได้ประชุมแค่ครั้งเดียว แต่มีการประชุมกัน 3-4 ครั้ง ซึ่งมีการพูดคุยปัญหาของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าจะให้รัฐบาลล้มไปอย่างไร โดยมี 2 แนวทาง คือ ทางด้านรัฐธรรมนูญหรือทางด้านกฎหมาย ถ้าแนวทางแรกไม่สำเร็จก็จะทำรัฐประหาร

ถามว่า การทำรัฐประหารมีการพูดหรือไม่ว่าใครจะเป็นนายกรัฐมนตรีต่อจาก พ.ต.ท.ทักษิณ

 พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า  ไม่ได้มีการพูดถึง เพียงแต่ พล.อ.สุรยุทธ์ เสนอ ขึ้นมาว่า การทำครั้งนี้ทำเพื่อประเทศชาติ ทุกคนจะต้องไม่หวังตำแหน่งใดๆ ซึ่งทุกคนศรัทธาในตัวท่าน ทั้งนี้การหารือเป็นลักษณะโต๊ะกลม ซึ่งไม่มี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช.นั่งอยู่ด้วย

 ถามว่า พอจะบอกได้หรือไม่ว่าคนที่เป็นแกนนำในการล้มรัฐบาลเป็นใคร

 พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า อันนี้ผมบอกไม่ได้ เพราะว่าผมไม่อยากพาดพิงถึงคนอื่น แต่เมื่อ พล.อ.สุรยุทธ์ มาพาดพิงถึงผม ผมก็จะพูดถึง พล.อ.สุรยุทธ์ เท่านั้น การประชุม 3-4 ครั้ง ก็จะมีการพูดถึงแนวทางเรื่องการล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ตลอด อย่างไรก็ตาม ที่ประชุม พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นคนเสนอในที่ประชุมเองว่า การทำงานครั้งนี้ เราทำเพื่อประเทศชาติ ทุกคนต้องไม่หวังตำแหน่งลาภยศใด ๆ

 หลังจากที่ปฏิวัติรัฐประหาร พล.อ.สุรยุทธ์ ก็ไปเป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้พูดง่าย ๆ พวกเราผิดหวังมากและผมก็ผิดหวัง ตอนแรกก็ชื่นชม พล.อ.สุรยุทธ์ มากเกี่ยวกับแนวความคิดดังกล่าว พูดง่าย ๆ พล.อ.สุรยุทธ์ เสีย สัจจะกลายเป็นคนไม่มีสัจจะและผิดมติในที่ประชุม แต่ท่านอ้างว่าได้ประชุม ได้คุยกัน ซึ่งถือว่าเป็นการผิดมติในที่ประชุม ซึ่งในการพูดคุยในวันนั้นมีประมาณ 7 คน ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมืองทั้งนั้น หลังจากนั้นผมไม่ได้พูดจากับ พล.อ.สุรยุทธ์ อีก เลย เจอหน้ากันก็ทำเหมือนคนไม่รู้จักทั้งๆ ที่เคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของผม และเป็นนายทหารรุ่นน้องสมัยที่ผมเป็น ผบ.ค่ายสฤษดิ์เสนา ส่วน พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นผู้บังคับหมวด

 ถามว่า ในการพูดคุยมีการวางแผนอย่างไร

 พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า อย่างแรกคือการวางแผนทางด้านกฎหมาย และการทำรัฐประหารว่าจะทำอย่างไร ซึ่งการที่ผมไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ท่านทราบหมดแล้ว แต่ท่านถามผมในลักษณะใช่หรือไม่ใช่ ยกตัวอย่างเรื่องที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เล่าให้ผมฟังคือ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง กับ พล.อ.สุรยุทธ์ มี ครั้งหนึ่งที่เชิญ พล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ อดีต กกต. ไปพบที่บ้าน พล.ต.จำลอง แถวราชวัตร และล็อบบี้ให้ พล.อ.จารุภัทร ถอนตัวออกจาก กกต. เพื่อล้มการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2549 ซึ่ง พล.อ.จารุภัทรรายงานให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับทราบ จากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ไปหา พล.อ.สุรยุทธ์ ที่ทำเนียบองคมนตรี เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงแต่ พล.อ.สุรยุทธ์ ปฏิเสธ

 เรื่องแบบนี้ พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ อดีตประธาน กกต.เคยได้รับเชิญไปที่บ้านสุขุมวิท เพื่อไปพบ พล.อ.สุรยุทธ์ และล็อบบี้ให้ลาออกออกจากตำแหน่งและล้มการเลือกตั้ง ดังนั้น เรื่องนี้ไม่เป็นความลับ พ.ต.ท.ทักษิณ รู้ ดีตั้งแต่ต้นว่าจะมีการล้มรัฐบาล เพราะมีแหล่งข่าวที่ติดตามพวกที่เคลื่อนไหวทั้งหมด เพียงแต่มาสอบถามผมว่า เรื่องที่รู้มาจริงหรือไม่ เมื่อตอนที่ผมเดินทางไปพบพ.ต.ท.ทักษิณ ที่จีน

 ถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณรู้ตลอดเวลาว่าจะถูกปฏิวัติใช่หรือไม่

 พล.อ.พัลลภ กล่าว ว่า ท่านรู้มาตลอดทุกเรื่อง แม้แต่แผนการปฏิวัติ ซึ่งไม่รู้ว่า ปฏิวัติเมื่อไร แต่ท่านประมาทเพราะไว้ใจคนใกล้ตัวและเพื่อน ตท.10 ที่คุมกำลังอยู่ในกองทัพ

 ส่วนการลอบสังหารพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ มี ซึ่งการรัฐประหารโดยปกติจะต้องล็อกตัวนายกฯ ซึ่งคนละเรื่องกับการลอบสังหาร ขอยืนยันว่า ไม่มีการลอบสังหาร แต่อาจเป็นการเข้าชาร์จหรือ ล็อกตัวนายกฯ

 ถามว่า จนถึงขณะนี้ประเทศชาติจะมีทางออกอย่างไร เมื่อมีกลุ่มเสื้อแดงออกมาชุมนุม

 ที่ผมตัดสินใจไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ คือ เรื่องความวุ่นวายในบ้านเมือง ผมไม่อยากเห็นคนไทยฆ่ากัน เกิดสงครามการเมือง มีผู้ใหญ่ในบ้านเมืองให้สัมภาษณ์ว่า คนที่จะแก้ไขปัญหาได้คือ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงทำให้ผมอยากพบ พ.ต.ท.ทักษิณ วันนี้ เงื่อนไขทางการเมืองเปลี่ยนไป คือ รัฐบาลตั้งขึ้นมาโดยไม่มีความชอบธรรม เป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตย เพราะต้องให้เสียงข้างมากเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล แต่นี่เป็นการล็อบบี้กันแบบงูเห่า ผมมองว่า ไม่ถูกต้อง เพราะควรให้เสียงข้างมากตั้งก่อน หากเขาตั้งไม่ได้ ตัวเองจึงจะค่อยตั้ง แต่เป็นการชิงตั้งก่อน

 ถามว่า ในฐานะอดีตทหารเก่ามองภาพผู้นำกองทัพตอนนี้อย่างไร

 พล.อ.พัลลภ กล่าว ว่า ผมเป็นทหารรุ่นพี่ของเขา ผมไม่อยากวิจารณ์ เพราะคนที่เป็นผู้นำเหล่าทัพส่วนใหญ่ก็เป็นลูกศิษย์ผมทั้งนั้น ผมเหมือนกับ “บิ๊กจ๊อด” พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ อดีต ผบ.ทหารสูงสุด ที่ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน ผมยึดถือตรงนี้เพราะผมเคารพท่านมาก ผมคิดว่าทหารจะต้องยืนอยู่เคียงข้างประชาชน คือยึดถือความมั่นคงของประเทศชาติ และความสันติของประชาชนเป็นหลัก

 ผมอยากฝากไปถึง พล.อ.สุรยุทธ์ ว่า เพื่อรักษาสถาบันอันมีเกียรติแห่งนี้ท่านควรจะลาออกจากตำแหน่งองคมนตรี เพราะองคมนตรีต้องไม่ยุ่งกับการเมือง แต่ท่านเป็นคนที่เข้ามายุ่งกับการเมือง ดังนั้นเพื่อรักษาสถาบันอันสำคัญยิ่งไว้ ผมคิดว่าท่านควรจะต้องลาออกในฐานะที่ผมเป็นอดีตผู้บังคับบัญชา และรุ่นพี่ ผมไม่มีอะไรกับท่านเลย

 บางคนกล่าวหาว่าผมไปรับเงินจาก พ.ต.ท.ทักษิณ 3,000 – 4,000 ล้านบาท ผมยืนยันได้ว่า ที่ผมไปครั้งนี้ได้รองเท้ากอล์ฟมาเพียงคู่เดียว ผมจะไปซื้อรองเท้ามาเล่นกอล์ฟ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่าไม่ต้องออกเงิน ท่านจะออกให้ รวมถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ จ่ายเงินค่าแคดดี้ และค่าที่พักให้เท่านั้น ตกเป็นเงินไทยไม่ถึง 5,000 บาท ผมยืนยันว่าไม่ได้ไปรับเงิน เพราะผมไม่ได้ไปคนเดียว แต่ไปถึง 4 คน และเวลาคุยก็คุยด้วยกันทั้งหมด หากรับเงินจริงวันนี้ซื้อรถเบนซ์แล้ว

 ถามว่า ได้มีการพูดคุยทางโทรศัพท์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือไม่

 พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า โทรคุยเมื่อสองวันที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ ถามว่าผมสบายดีหรือไม่ ผมก็บอกว่าสบายดี ตอนนี้กำลังเล่นกอล์ฟอยู่ ไม่ได้คุยอะไรกันมาก พ.ต.ท.ทักษิณ ได้กล่าวขอโทษที่อ้างชื่อผม

5 ธันวา น้อมสำนึก103 ปี ครูเตียง ศิริขันธ์ 

กฤษดาภินิหารอันบดบังมิได้ของวีรชนประชาชน



           ''ข้าพเจ้า เป็นราษฎรไทย ทั้งข้าพเจ้าต้องการให้ทุกๆ คนบนพื้นอันเป็นสยามประเทศนี้เป็นราษฎรเสมอหน้ากันหมด ปราศจากความเหลื่อมล้ำต่ำสูง ความเป็นราษฎรจึงเป็นอุดมคติที่ข้าพเจ้าบูชา''-เตียง ศิริขันธ์ ( 5 ธันวาคม 2452-12 ธันวาคม 2495,นสพ.เสรีราษฎร 9 กรกฎาคม 2479 )

       ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ปราศรัยสดุดีน้ำใจรักชาติรักประชาชน ต่อสู้กอบกู้เอกราชและประชาธิปไตยของครูเตียง ศิริขันธ์ และอดีตนักการเมืองเลือดอีสาน(ดูตั้งแต่นาทีที่47เป็นต้นไป)
เรียบเรียงโดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
5 ธันวาคม 2555


ปฏิทิน 103 ปีชาตกาลขุนพลภูพาน:เตียง ศิริขันธ์

''ข้าพเจ้า เป็นราษฎรไทย ทั้งข้าพเจ้าต้องการให้ทุกๆ คนบนพื้นอันเป็นสยามประเทศนี้เป็นราษฎรเสมอหน้ากันหมด ปราศจากความเหลื่อมล้ำต่ำสูง ความเป็นราษฎรจึงเป็นอุดมคติที่ข้าพเจ้าบูชา''-เตียง ศิริขันธ์ ( 5 ธันวาคม 2452-12 ธันวาคม 2495,นสพ.เสรีราษฎร 9 กรกฎาคม 2479 )

-5 ธันวาคม 2452 เตียง ศิริขันธ์ เกิดที่จังหวัดสกลนคร หากมีชีวิตถึงวันนี้จะอายุครบ 103 ปี
-พ.ศ.2473 จบการศึกษาจากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ
-พ.ศ.2477 ถูกจับกุมข้อหาคอมมิวนิสต์ ขณะเป็นครูที่อุดรธานี
-7พ.ย.2480เป็นส.ส.สมัยแรก และเป็นต่อมาอีก5สมัย
-8ธ.ค.2484วันญี่ปุ่นบุกยึดไทย นายเตียงเข้าพบปรีดี พนมยงค์ขอให้ตั้งขบวนการเสรีไทย
-ปฏิบัติงานเสรีไทยใช้รหัสชื่อ"พลูโต"เป็นหัวหน้าเสรีไทยภาคอีสานจนถึงวันประกาศสันติภาพ16ส.ค.2488
-31ส.ค.2488 เป็นรัฐมนตรีครั้งแรก
-9 มิ.ย. 2489 เกิดกรณีร.8สวรรคต นายปรีดี พนมยงค์ลาออก
-8 พ.ย.2490 เกิดรัฐประหารยึดอำนาจ กลุ่มนายปรีดีถูกขจัดออกจากอำนาจ
-26ก.พ.2492 นายปรีดีพยายามยึดอำนาจคืนแต่พ่ายแพ้กลายเป็นกบฎวังหลวง
-4 มี.ค.2492 อดีต4รัฐมนตรีสายปรีดีถูกสังหารโหดที่บางเขนคือดร.ทองเปลว ชลภูมิ,ถวิล อุดล,จำลอง ดาวเรือง,ทองอินทร์ ภูริพัฒน์ แต่ครูเตียงรอด

เตียงได้เขียนบันทึกถึงกรณีนี้ไว้ว่า...

"...การ ตายของพวกนาย ทำให้เราเศร้าใจและว้าเหว่มาก แต่เมื่อนึกถึงการตายในสภาพเดียวกันของนักการเมืองและบุคคลสำคัญทางประวัติ ศาสตร์อีกหลายคนก็พอจะทำให้เราคลายความขมขื่นลงไปบ้าง ส่วนด้านประชาชนแล้วรู้สึกว่าจะเป็นเรื่องทำลายขวัญกันอย่างรุนแรง โดยเฉพาะประชาชนชาวอีสานการตายของพวกนายมิใช่เป็นการหลู่เกียรติกันอย่าง เดียว แต่เป็นการท้าทายประชาชนชาวอีสานทั้งมวล...ถึงแม้พวกนายจากไปแล้วก็ตาม เรายังคงยึดมั่นในอุดมการณ์สละชีพอยู่อย่างเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่ ชีวิตและความเป็นอยู่ของเราขณะนี้ ทั้งในด้านส่วนตัวและการเมือง ตกอยู่ในสภาวะที่เลวร้ายที่สุด มันเป็นอุปสรรคอันสำคัญยิ่งที่เราไม่สามารถปฏิบัติงานใดๆ ได้ดังปรารถนา ถ้าหากว่าเรามีอิทธิพลทางการเมืองขึ้นเมื่อใด เมื่อนั้นเราจะดำเนินงานตามอุดมคติของเราทันที" (จากข้อความปกหลังหนังสือ เตียง ศิริขันธ์ ลับสุดยอดเมื่อข้าพเจ้าเป็นเสรีไทย โดย สวัสดิ์ ตราชู)


-12 ธ.ค.2495 ครูเตียงถูกพล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์เชิญไปพบและหายสาบสูญ หลายปีต่อมาถูกเปิดเผยว่าโดนฆ่ารัดคอและเผาที่กาญจนบุรี เมื่อ14 ธ.ค.2495 เสียชีวิตในวัยเพียง 43 ปี

-16 ส.ค.2554 วันสันติภาพไทยครบรอบ 66 ปี มีการประดิษฐานและเปิดอนุสาวรีย์เตียง ศิริขันธ์ ที่ถ้ำเสรีไทย จังหวัดสกลนคร(ดูภาพชุด)

ศรีบูรพา หรือ กุหลาบ สายประดิษฐ์ ได้กล่าวถึงนายเตียง ตอนหนึ่งความว่า "บุคคลที่มีความสุจริต จริงใจ และบากบั่นในการทำหน้าที่ของตนนั้น เป็นบุคคลที่ข้าพเจ้าเห็นว่าสมควรเป็นผู้แทนราษฎรอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าแน่ใจว่า ข้าพเจ้าได้พบคุณสมบัติสาระสำคัญนี้ใน เตียง ศิริขันธ์ ผู้แทนของชาวสกลนคร"

สุภา ศิริมานนท์ นักหนังสือพิมพ์อุดมคติ กล่าวถึงครูเตียงว่า "ในจำนวนผู้แทนราษฎรทั้งหมด…เตียง ศิริขันธ์ เป็นบุคคลที่ดี ซึ่งมีอยู่ไม่กี่คน เตียง ศิริขันธ์ เป็นนักรัฐธรรมนูญที่แท้จริง เขาทำหน้าที่ผู้แทนราษฎรชาวสยาม สมหน้าที่โดยสมบูรณ์" 

ส่วนเตียงพูดถึงตัวเองใน วัยหนุ่มว่า “...ข้าพเจ้าเป็นคนไทย ข้าพเจ้าเป็นไทแก่ตนเอง ข้าพเจ้าเป็นราษฎรไทยราษฎรสยาม ทั้งข้าพเจ้าต้องการให้ทุกๆ คนบนพื้นอันเป็นสยามประเทศนี้เป็นราษฎรเสมอหน้ากันหมด ปราศจากความเหลื่อมล้ำต่ำสูง...จึงเป็นอุดมคติที่ข้าพเจ้าบูชาอีกอันหนึ่ง” (จากบทความ เตียง ศิริขันธ์ เผยแพร่ใน นสพ.เสรีราษฎร 9 ก.ค.2779)

กฤษดาภินิหารอันบดบังมิได้ของวีรชนประชาชน-ประชาชน ไทยได้ทำพิธีเปิดอนุสาวรีย์สามัญชนผู้มีจิตใจเสียสละรักชาติรักประชาชนอย่าง สูงส่ง ครูเตียง ศิริขันธ์ อันสร้างจากงบประมาณการระดมทุนของประชาชนด้วยกันไปประดิษฐานอยู่บริเวณถ้ำ เสรีไทย จังหวัดสกลนคร เมื่อ 16 สิงหาคมที่ผ่านมา อันตรงกับวันสันติภาพ หรือวันเอกราชไทยครบรอบ 66 ปี ซึ่งนายเตียงเคยเป็นขุนพลภูพานต่อสู้กอบกู้เอกราชชาติไทยในช่วงสงครามโลก ครั้งที่ 2 ซึ่งถูกจักรวรรดิญี่ปุ่นยึดครอง(ดูภาพชุด)

16 สิงหาคม 2555-ณ อนุสาวรีย์ นายเตียง ศิริขันธ์ ถ้ำเสรีไท อำเมืองเมืองจังหวัดสกลนคร นายพัณณ์เดชน์ ศรีจันทร์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร ได้เป็นประธานในพิธีมอบอนุสาวรีย์ นายเตียง ศิริขันธ์ อนุสรณ์สถานเสรีไทยภูพาน ให้กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชเป็นผู้ดูแลรักษาต่อไป โดยมีนายวิมล อึ้งพรหมบัณฑิต หัวหน้าอุทยานแห่งชาติภูพาน เป็นตัวแทนรับมอบ ทั้งนี้จังหวัดสกลนครร่วมกับสมาคมข้าราชการนอกประจำการได้ทำพิธีวางศิลาฤกษ์ และลงมือก่อสร้างเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2553 โดยการก่อสร้างอนุสาวรีย์ นายเตียง ศิริขันธ์ ได้ใช้เงินกองทุนที่ได้รับบริจาครวมเป็นเงินทั้งสิ้น 2,281,000 บาท สำหรับฤกษ์พิธีมอบอนุสาวรีย์ในวันที่ 16 สิงหาคม 2555 ก็เพราะว่าเป็นวันที่ขบวนการเสรีไทยประกาศสันติภาพเมื่อครั้งสงครามโลกครั้ง ที่ 2 โดยสามารถรักษาเอกราชและอธิปไตยของชาติไทยได้จนถึงทุกวันนี้ 

5 ธันวาคม 2555 ครบ 102 ปีชาตกาลของเตียง ดูเหมือนอุดมคติที่เขาบูชายังอยู่ห่างไกล แต่ประชาชนชาวไทยยังยืดหยัดสืบสานเจตนารมณ์ให้สมบูรณ์



สดุดีวีรประวัติสามัญชน67ปีวันสันติภาพ:เอกราชชาติไทยได้มาด้วยน้ำใจเสียสละรักชาติของราษฎร


สหายศึก-เตียง ศิริขันธ์ กับทหารอังกฤษ พันตรีเดวิด สไมเลย์(ซ้าย)และสิบเอก"กันเนอร์"คอลลินส์ พนักงานวิทยุของผู้พันสไมเลย์
ภารกิจ ของกองบัญชาการเสรีไทยภายในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้ง"พลพรรคเสรีไทย"สามารถ บรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ได้ก็ด้วยความร่วมมืออย่างเอาชีวิตเข้าแลกของ บรรดาผู้แทนราษฎรที่มีความรักชาติและมีความศรัทธาในตัวนายปรีดี พนมยงค์ หัวหน้าขบวนการเสรีไทย

โดยรับคำสั่งและนโยบายไป ปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจังและมีประสิทธิภาพ ผู้แทนราษฎรที่เข้าร่วมในขบวนการเสรีไทยส่วนใหญ่เป็นส.ส.จากภาคตะวันออก เฉียงเหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ภารกิจของขบวนการเสรีไทยมีความหลากหลาย มีความเป็นปึกแผ่นของพลพรรค มีการจัดสร้างสนามบินลับเพื่อรับส่งบุคคลากร ตลอดจนอาวุธยุมโธปกรณ์จากฝ่ายสัมพันธมิตร
เตียงขณะปฏิบัติภารกิจลับเสรีไทยกู้ชาติบนเทือกเขาภูพาน

นายเตียง ผู้แทนราษฎรจังหวัดสกลนครเป็นเสรีไทยที่มีผลงานโดดเด่นที่สุดผู้หนึ่ง จนกระทั่งได้รับสมญาว่า"ขุนพลภูพาน"

นายเตียงเป็นคนหนึ่งที่ ได้ไปพบนายปรีดีที่บ้านถนนสีลมในตอนค่ำของวันที่ 8 ธันวาคม 2484 หลังจากญี่ปุ่นบุกเข้ายึดประเทศไทยในรุ่งสางวันนั้น และรัฐบาลจอมพลป.พิบูลสงครามได้มีมติยอมให้ญี่ปุ่นเดินทัพผ่านประเทศไทยไป โจมตีมลายูและพม่า อาณานิคมของอังกฤษ

การประชุมในวันนั้นทุกคนได้ตกลงร่วมมือกันจัดตั้ง"องค์การต่อต้านญี่ปุ่น"ขึ้น และมอบให้นายปรีดี ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้สำเร็จราชการ เป็นหัวหน้า

ผู้ที่มาพบนายปรีดีเพื่อ ร่วมกันก่อตั้งหน่วยใต้ดินต่อต้านญี่ปุ่นค่ำวันนั้นประกอบไปด้วย หลวงบรรณกรโกวิท(เปา จักกะพาก) หลวงเดชาติวงศ์วราวัตน์(ม.ล.กรี เดชาติวงศ์) นายสงวน ตุลารักษ์ นายจำกัด พลางกูร นายวิจิตร ลุลิตานนท์ นายเตียง ศิริขันธ์ ส.ส.สกลนคร นายถวิล อุดล ส.ส.ร้อยเอ็ด เป็นต้น

ทั้งหมดมอบหมายคณะกู้ ชาติให้อยู่ใต้บังคับบัญชาของนายปรีดีโดยเด็ดขาด และกระทำสัตย์สาบานว่า จะอยู่ในระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด รวมทั้งอุทิศตัว หรือแม้กระทั่งชีวิตสำหรับการทำงานเพื่อชาติ

ควรบันทึกคั่นไว้ด้วยว่า ในเวลานั้นนายปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้สำเร็จราชการ ในห้วงเวลานั้นในหลวงรัชกาลที่ 8 รวมทั้งพระชนนี สมเด็จพระอนุชา(ในหลวงรัชกาลปัจจุบัน) ประทับอยูที่สวิตเซอร์แลนด์ 

พระราชวงศ์ชั้นสูงในเวลา นั้นที่ประทับในเมืองไทยมีสมเด็จพระพันวสาอัยยิกาเจ้า นายปรีดีได้เชิญเสด็จอพยพไปประทับที่อยุธยา ระหว่างที่เสด็จอพยพหลบภัยอยู่นี้ สมเด็จฯ ทรงมีพระราชหฤทัยนึกถึงสมเด็จพระราชนัดดาอยู่เสมอ ได้ตรัสว่า

“ดีใจ๊ ดีใจ หลานอยู่เมืองนอกไม่ต้องมาลำบากอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นฉันคงเอาไม่รอด ห่วงหลาน”

การถวายความอารักขาให้ พ้นภัยสงครามครั้งนั้น สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ได้ทรงซาบซึ้งพระทัยดี และเมื่อสิ้นสงคราม ได้รับสั่งเรียกนายปรีดี ไปที่ประทับและขอบใจ ซึ่งคณะเสรีไทยถือว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นอย่างยิ่ง (อ่านรายละเอียด)
องค์การใต้ดินนี้ ซึ่งต่อมาคือเสรีไทย มีภารกิจที่จะต้องปฏิบัติอยู่ 3 ด้านคือ
1.ต่อสู้ ญี่ปุ่นผู้รุกรานโดยพลังของคนไทยผู้รักชาติและร่วมมือกับฝ่ายสัมพันธมิตร และ2.ปฏิบัติการเพื่อให้สัมพันธมิตรรับรองว่าเจตนารมณ์อันแท้จริงของคนไทย นั้นไม่ได้เป็นศัตรูต่อสัมพันธมิตร และ3.การปฏิบัติการเพื่อให้สัมพันธมิตรรับรองว่าประเทศไทยจะไม่ตกเป็นฝ่าย แพ้สงคราม และการผ่อนหนักเป็นเบาเมื่อสงครามยุติ


นายปรีดีได้ขอให้ผู้ร่วม ก่อตั้งขบวนการรักษาความลับและปฎิบัติตามวินัยอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันมิให้ศัตรูทำลายขบวนการได้ และให้ถือว่าเขตปฏิบัติการของขบวนการภายในประเทศคือ ดินแดนของประเทศไทยที่ตกอยู่ภายใต้การยึดครองของญี่ปุ่น และรัฐบาลไทยที่อยู่ภายใต้อำนาจและอิทธิพลของญี่ปุ่น ทั้งนี้จนกว่าจะยึดพื้นที่นอกกรุงเทพฯได้ แล้วจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นต่อต้านญี่ปุ่น การต่อสู้จึงจะกระทำการอย่างเปิดเผย

หลังจากพยายามจัดตั้ง รัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นในหลายที่ใกล้เคียงกับไทย รวมทั้งพม่าไม่บรรลุผล ในปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2486 นายปรีดีตัดสินใจส่งนายจำกัด พลางกูร นัก เรียนนอกอังกฤษ บัณฑิตเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ดเป็นผู้แทนขององค์การเล็ดลอดออก จากประเทศไทยไปนครจุงกิงของจีน เพื่อประสานงานกับฝ่ายสัมพันธมิตร คือจีน อังกฤษ สหรัฐฯ เพื่อขอการสนับสนุนจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในอินเดียขึ้นต่อต้านญี่ปุ่น

หัวหน้าขบวนการเสรีไทย ได้มอบหมายให้เตียงเป็นผู้นำทางจำกัดไปยังจังหวัดนครพนมเพื่อลงเรือข้ามฟาก แม่น้ำโขงไปยังเมืองท่าแขกของลาว และเล็ดลอดเข้าประเทศจีน

เตียงกับจำกัดเป็นสหาย ร่วมอุดมการณ์ประชาธิปไตย และเป็นคนต้นคิดตั้งขบวนการองค์การต่อต้านญี่ปุ่นด้วยกัน ก่อนจะไปขอให้ปรีดีเป็นหัวหน้าขบวนการ
เตียงกับภรรยา นางนิวาศน์ ศิริขันธ์ 

เตียงได้ถอดแหวนนาม สกุลของเขาที่สวมอยู่ให้จำกัดเอาไว้ขายยามที่ต้องการใช้เงิน นอกจากนั้นได้ขอยืมกำไลและสร้อยล็อกเก็ตฝังเพชรของนางนิวาศน์ ศิริขันธ์ ผู้ภรรยาให้จำกัดนำไปใช้ติดตัวในภารกิจกู้ชาติ ก่อนส่งจำกัดข้ามโขง

คุณฉลบชลัยย์ พลางกูร ( ภรรยาของจำกัด พลางกูร ) กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า...
"...ตอน นั้นคุณเตียงให้คุณนิวาศน์ ถอดเครื่องประดับทั้งหมด มีสายสร้อย ล็อกเกต แหวน รวมทั้งแหวนของตัวเองด้วย มอบให้จำกัดเผื่อว่าจะไปตกทุกข์ได้ยาก เพราะการเดินทางนั้นมืดมนเต็มที ญี่ปุ่นอยู่เต็มไปหมด ดิฉันเชื่อว่าถ้าคุณเตียงรู้ตัวก่อนนั้น คงจะรวบรวมเงินทองให้จำกัดอีกเป็นแน่ และของเหล่านี้ (จำกัดเขียนไว้ในสมุดบันทึก) ว่าได้ช่วยเขาอย่างมากจริงๆ..." (จาก คำเกริ่นนำโดย ฉลบชลัยย์ พลางกูร ในหนังสือ เตียง ศิริขันธ์ วีรชนนักประชาธิปไตย ขุนพลภูพาน โดย ศ.วิสุทธ์ บุษยกุล หน้า 17)
นั่น เป็นหนสุดท้ายที่สหายร่วมอุดมการณ์ได้พบกัน เพราะหลังจากไปปฏิบัติภารกิจกู้ชาติในจีนอย่างยากลำบาก จำกัดได้เสียชีวิตลงในจีนเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2486 นั่นเอง

แต่ด้วยผลงานของจำกัดที่ ไปติดต่อกับฝ่ายสัมพันธมิตรจนสำเร็จ ในกลางปี2487 กองบัญชาการเสรีไทยในกรุงเทพฯสามารถติดต่อกองบัญชาการสูงสุดของพันธมิตรได้ ทางฝ่ายสัมพันธมิตรจึงเริ่มจัดส่งอาวุธยุทโธปกรณ์มาให้เสรีไทย โดยทิ้งร่มลงมาทางเครื่องบิน
เตียงกับทองอินทร์ ภูริพัฒน์ สหายร่วมรบเสรีไทย 1 ใน 4 รัฐมนตรีอีสานที่ถูกสังหารโหดทางการเมืองในเวลาต่อมา

นายเตียงได้รับมอบหมาย จากปรีดีให้เป็นหัวหน้าเสรีไทยอีสาน ทำงานร่วมกับทองอินทร์ ภูริพัฒน์ ส.ส.อุบลราชธานี จำลอง ดาวเรือง ส.ส.มหาสารคาม ถวิล อุดล ส.ส.ร้อยเอ็ด โดยเตียงใช้รหัสลับว่า"พลูโต"เป็นผู้ควบคุมปฏิบัติการทั้งหมด

เตียงได้จัดตั้งค่ายพล พรรคเสรีไทยหน่วยแรกขึ้นที่บ้านโนนหอม อยู่ห่างจากจังหวัดสกลนครไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 15 กิโลเมตร ต่อมาจัดตั้งหน่วยอื่นๆขึ้นที่บ้านเต่างอย และบ้านตาดภูวง เป็นต้น และร่วมกับจำลอง ดาวเรือง จัด ตั้งค่ายที่บ้านนาคู กุจินารายณ์ กาฬสินธุ์ เชิงเทือกเขาภูพาน และสร้างสนามบินลับนาคูขึ้นเพื่อใช้สำหรับการขึ้นลงของเครื่องบินฝ่าย สัมพันธมิตร

การจัดตั้งพลพรรคเสรีไทยอีสานนี้ได้รับความร่วมมืออย่างดีจากส.ส.อีสานที่รักชาติ ผู้นำชาวบ้าน ผู้นำครู รวมทั้งครูครอง จันดาวงศ์ (ซึ่ง ต่อมาถูกจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัตน์ สั่งยิงเป้าข้อหาคอมมิวนิสต์) และสงวน ตุลารักษ์ ซึ่งเดินทางกลับจากจีนได้มาร่วมมือกับเตียงในการตั้งสถานีรับส่งวิทยุที่ เทือกเขาภูพาน

นายทหารเสรีไทยสายอังกฤษ และสหรัฐฯที่เดินทางเล็ดลอดเข้ามาร่วมภารกิจกู้ชาติกับนายเตียง เช่น ร.อ.กฤษณ์ โตษยานนท์ ร.อ.ฉลอง ปึงตระกูล ร.อ.อำนวย พูนพิพัฒน์ เป็นต้น

ภารกิจเสรีไทยนั้นเป็น เรื่องเสี่ยงอันตราย เพราะกองทหารญี่ปุ่นกระจายไปยึดครองทั่วประเทศ ไม่ใช่การใช้ประเทศไทยเป็นทางเดินทัพผ่านอย่างที่พูดกัน

นายสุจิต โรจนชีวะ อดีต ครูโรงเรียนสกลราชวิทยานุกูล เขียนบันทึกไว้ว่า ในเดือนมกราคม 2488 นายเตียงเป็นหัวหน้าใหญ่มาอบรมให้พวกเราเป็นกองโจรกู้ชาติ ต้องทนต่อความลำบากหลายอย่าง ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2488 ขณะหัวหน้าใหญ่(เตียง)กำลังฝึกอบรมอยู่ก็มีรายนงานว่าทหารญี่ปุ่น 12 นายเดินทางมาใกล้ค่ายของเรา หัวหน้าใหญ่ได้รวมพลและสั่งให้พวกเรารักษาค่าย และออกสกัดจับทหารญี่ปุ่นทั้ง 12 นายให้ได้ โดยเราติดตามทหารญี่ปุ่นไปจนเวลาตีหนึ่งกว่าจึงทราบพิกัด และวางแผนจับในเช้าวันรุ่งขึ้น หากพบญี่ปุ่นคนใดขัดขืนก็คงต้องยิงกัน และจับไม่ให้เหลือรอดแม้แต่คนเดียว แต่ราว16.00น.ก็มีรายงานว่าญี่ปุ่นเล็ดรอดดงหลวงเข้าไปตัวเมืองสกลนครเสีย แล้ว เราจึงถอนตัวกลับเข้าค่าย

ในวันที่ 28 กรกฎาคมเมื่อหัวหน้าใหญ่(เตียง)ได้กลับจากสนามบินลับนาคู พวกเราก็รายงานเรื่องนี้ให้ทราบ หัวหน้าใหญ่กล่าวว่า ที่พวกเรามิได้ทำอันตรายใดๆให้แก่ญี่ปุ่นเป็นการดีแล้ว เพราะถ้าญี่ปุ่นได้รับอันตรายกจะเป็นชนวนให้เกิดเรื่องใหญ่ระดับชาติ "รูธ"(ปรีดี)หัวหน้าใหญ่เสรีไทยได้สั่งการมาว่าอย่าเพิ่งทำอันตรายแก่ญี่ปุ่นเป็นอันขาด

รุ่งขึ้นพวกเราต้องอพยพ ย้ายค่ายไปยังถ้ำผาด่าง,ถ้ำผานาง เพราะญี่ปุ่นสงสัยว่ามีกองโจรต่อต้านญี่ปุ่นอยู่ที่ค่ายนี้ ส่วนรัฐบาลไทยอ้างว่าเป็นที่หลบภัยของรัฐบาลไทย เมื่อพวกเราอพยพไปแล้วก็ได้ดัดแปลงให้เป็นที่หลบภัยของฝ่ายรัฐบาลไทยตามที่ อ้างไว้กับญี่ปุ่น การเดินทางเป็นไปด้วยความยากลำบากเพราะต้องขนยุทโธปกรณ์ไปด้วย การอยู่ในถ้ำก็ลำบากมาก เพราะอยู่ในชะเง้อหินใต้เขายาวไปตามไหล่เขา อีกข้างเป็นเหวลึก เมื่อโผล่ออกจากถ้ำจะเห็นพื้นดินชันลง45องศา กลางวันแทบไม่เห็นพระอาทิตย์

ต่อมาทหารญี่ปุ่น200นาย ขอเข้าค้นค่ายกองโจรของเรา เราก็เตรียมปะทะเต็มที่ แต่พอถึงวันที่ 10 สิงหาคม 2488 ได้รับทราบจากวิทยุสนามของอังกฤษว่าญี่ปุ่นยอมแพ้สงครามแล้วหลังจากถูก สัมพันธมิตรทิ้งระเบิดปรมาณู วันที่15สิงหาคมข้าพเจ้าพร้อมกับหัวหน้าใหญ่ได้ไปร่วมงานเลี้ยงฉลองที่ ญี่ปุ่นยอมยุสงครามในโรงเรีบนประจำอำเภอพรรณานิคม

ในปลายเดือน กันยายน2488เมื่อสงครามสงบลง มีการสวนสนามของพลพรรคเสรีไทยทั่วประเทศ จังหวัดสกลนครได้ร่วมขบวนสวนสนามจำนวน 4 กองร้อย เดินสวนสนามจากสนามหลวงมาตามถนนราชดำเนินใน ผ่านอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยถึงพระบรมรูปทรงม้า เป็นการสิ้นสุดสวนสนาม นับเป็นอันสิ้นสุดภารกิจเสรีไทย
 
การเดินสวนสนามของเสรีไทย ณ ถนนราชดำเนิน เมื่อ 25 กันยายน 2488

ต่อจากนั้นข้าพเจ้าก็ กลับไปรับราชการครู โดยมิได้รับอะไรเป็นเครื่องตอบแทนในการทำงานเสรีไทยแต่ประการใด มีแต่ความภาคภูมิใจที่ได้ทำงานเพื่อประเทศชาติ เมื่อมีความจำเป็นก็ต้องพร้อมสละกระทั่งชีวิต โดยมิได้หวังผลตอบแทนใดๆทั้งสิ้น นอกจากเพื่อความเป็นเอกราชของชาติ

ส่วนผู้ปฏิบัติงานเสรี ไทยที่สนามบินลับนาคูเล่าว่า ในภารกิจกู้ชาติร่วมกับเตียงและส.ส.ถิล ส.ส.จำลองนั้นเกิดการปะทะกับทหารญี่ปุ่น2ครั้ง ครั้งแรกพลพรรคเสรีไทยที่เป็นครูประชาบาลเสียสละชีพ 1 นาย ส่วนทหารญี่ปุ่นเสียชีวิตหมด หนที่สองปะทะกันที่บ้านหนองห้างห่างจากสนามบินลับ 17 กิโลเมตร ทหารญี่ปุ่นถูกสังหาร 18 นาย พลพรรคเสรีไทยปลอดภัย
ปรีดี พนมยงค์ "รูธ"หัวหน้าขบวนการเสรีไทยประกาศสันติภาพ ฝ่ายสัมพันธมิตรรับรองเอกราชอธิปไตยของชาติไทย รับรองคุณูปการของเสรีไทยและรับรองฐานะผู้นำขบวนการเสรีไทย

หลังญี่ปุ่นประกาศยอม ยุติสงคราม นายปรีดีได้ประกาศสันติภาพในวันที่ 16 สิงหาคม 2488 วีรกรรมของเสรีไทยทำให้ประเทศไทยพ้นจากสภาพประเทศแพ้สงคราม ไม่ต้องถูกมหาอำนาจผู้ชนะต้องยึดครอง หรือแบ่งแยกประเทศไทยออกเป็นเสี่ยงๆเหมือนที่กระทำกับประเทศผู้แพ้สงครามโดย ทั่วไป

ไทยมีอิสรภาพและมี เอกราชสืบมาถึงวันนี้ น้ำใจเสียสละอาจหาญอุทิศตัวไม่กลัวความยากลำบาก ไม่กลัวตายของเตียงกับคณะพลพรรคเสรีไทยอีสาน มีส่วนสำคัญที่ชาวไทยในรุ่นเราพึงน้อมสำนึกในบุญคุณ

=========================
ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก Thaienew
โปรดดูรายละเอียดได้ที่   http://thaienews.blogspot.com