วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ตลก.ก่อนบ่าย(ศุกร์13)คลายเครียด


ตลก.ก่อนบ่าย(ศุกร์13)คลายเครียด

จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้ วันสุข
ปีที่ 8 ฉบับที่ 368 ประจำวัน จันทร์ ที่ 16 กรกฏาคม 2012


   


วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม 2555 ตรงกับ “โลกวันนี้วันสุข” วางตลาด ซึ่งตุลาการศาลรัฐธรรม นูญนัดฟังคำวินิจฉัยคดีการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอา ณาจักรไทยแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 291 ว่าเป็นการล้มล้างการปก ครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประ มุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 หรือไม่?

ไม่ว่าผลคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะออกมาอย่างไรก็ไม่สำคัญ เพราะ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทุกคนต้องเขียนคำวินิจฉัยส่วนตนก่อนจะไปแถลงด้วยวาจาและลงมติ จากนั้นจึงจัดทำคำวินิจฉัยกลางก่อนที่จะออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัย ซึ่งกระบวนการทั้งหมดจะกระทำในวันที่ 13 กรกฎาคมเพียงวันเดียว

คำวินิจฉัยส่วนตนเป็นการแสดงให้เห็นตัวตนที่แท้จริงของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแต่ละคนว่ามีแนวคิดอย่างไรทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายว่า การรับคำร้องและสั่งให้รัฐสภาชะลอการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นถูกต้อง หรือทำเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด หรือเกินจากคำขอหรือไม่

ศาลรัฐธรรมนูญขยายเขตอำนาจ

ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายนิติบัญญัติคือ ส.ส. และ ส.ว. หรือฝ่ายบริหารคือรัฐบาล วันนี้เท่ากับยอมรับ “การขยายเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ” ไปแล้ว อย่างที่คณะนิติราษฎร์ออกแถลงการณ์ว่า รัฐสภายอมรับให้คำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญมีสภาพบังคับทางรัฐธรรมนูญ ทั้งที่ไม่มีอำนาจตามรัฐธรรมนูญ ย่อมส่งผลให้ศาลรัฐธรรม นูญสามารถขยายเขตอำนาจของตนออกไปจนกลายเป็นองค์กรที่อยู่เหนือรัฐธรรมนูญ อยู่เหนือองค์กรทั้งปวงของรัฐ และมีผลเป็นการทำลายหลักนิติรัฐ-ประชา ธิปไตยลงอย่างสิ้นเชิงในที่สุด

ขณะที่นายนันทวัฒน์ บรมานันท์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า เรื่องนี้ผิดปรกติตั้งแต่ต้น เพราะ

1.ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจรับไว้พิจารณา การ รับไว้พิจารณาจึงเป็นการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญ

2.เมื่อรับไว้แล้ว คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องต้องพิจารณา ว่าร้ายแรงถึงขนาดตัวเองอยู่ในองค์คณะได้หรือไม่ได้ เช่น เป็นกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญหรือเป็น ส.ส.ร. มาก่อน ต้องพิจารณาว่าการเป็น ส.ส.ร. มาก่อนก่อให้เกิดผลกระทบต่อกรณีนี้หรือเปล่า หลักง่ายๆคือ ใช้หลักวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองมาเป็นเกณฑ์เทียบ ถ้าสิ่งที่เกี่ยวข้องร้ายแรงก็มีโอกาสทำให้คนที่มีอำนาจพิจารณาไม่เป็นกลางเท่าที่ควร มีผลกระทบต่อคำวินิจฉัย

“ศาลรัฐธรรมนูญไม่สามารถตรวจสอบร่างรัฐ ธรรมนูญได้ประการที่หนึ่ง แล้วประการที่สองเรื่องตาม มาตรา 68 เราก็เห็นได้ชัดว่าต้องผ่านอัยการก่อน เพราะฉะนั้นในทางปฏิบัติพอฝ่ายรัฐสภาไปยอมรับว่าศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจตรงนั้น มันก็เลยเกิดวันที่ 5 วันที่ 6 ขึ้น (เป็นวันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีการไต่สวนผู้ร้องและผู้ถูกร้อง)”

นายนันทวัฒน์ให้ความเห็น และชี้ถึงการถอนตัว ของนายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จากองค์คณะพิจารณาคดี เนื่องจากเคยให้สัมภาษณ์ครั้งเป็น ส.ส.ร. ว่าการถอนตัวกลางคันทำได้แต่ไม่สง่า จริงๆควรทำตั้งแต่ต้น เพราะทุกคนรู้บทบาทตัวเอง ทุกคนที่เข้าไปเขียนรัฐธรรมนูญก็เขียนมาตั้งนานแล้ว ส่วนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอีก 2 คนคือ นายนุรักษ์ มาประณีต และนายสุพจน์ ไข่มุกด์ เป็นอดีต ส.ส.ร. และกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 2550 แต่กลับไม่ยอมถอนตัว แม้แต่นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ก็ควรถอนตัวตั้งแต่มีการยื่นเรื่องตุลา การศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาจะหรือไม่รับแล้ว

ตลกแก้เกี้ยว!

ส่วนนายพนัส ทัศนียานนท์ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นถึงการถอนตัวหรือไม่ถอนตัวของตุลาการศาลรัฐธรรม นูญว่า เลยขั้นตอนมาแล้ว เพราะจริงๆศาลรัฐธรรม นูญไม่มีอำนาจรับวินิจฉัยเรื่องนี้ตั้งแต่ต้น การถอนตัวหรือเสนอถอนตัวตอนนี้ทำให้ดูตลก ทั้งที่มีความเห็นและร่วมพิจารณาลงมติรับวินิจฉัยรับไปแล้ว

การถอนตัวหรือเสนอถอนตัวจึงเป็นการแก้เกี้ยวเพื่อทำให้ตัวเองดูดีขึ้น เป็นที่ยอมรับในสังคม แสดงให้เห็นว่ามีอำนาจพิจารณา แต่ขณะเดียวกันก็มีจรรยาบรรณ เมื่อถูกโจมตีก็แสดงความรับผิดชอบ เป็นการหลอกประชาชน หากมีการถอนตัวทั้ง 4 คน ก็ไม่กระทบองค์คณะในการวินิจฉัย เพราะยังเหลือ 5 คน เกินครึ่งตัดสินได้ แต่คงกลัวว่าจะน่าเกลียดหากมติออกมา 2 ต่อ 3 เหมือนตอนตัดสินไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ที่มติออกมา 4 ต่อ 2

“ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจหลักคือชี้ว่ากฎหมายที่รัฐสภาออกขัดหรือไม่ขัดรัฐธรรมนูญ แต่นี่พยายามหาอำนาจให้ตัวเอง ทั้งที่ไม่ชัดเจน แต่กลับนำมาตรา 68 มาบังคับใช้ ทั้งยังบอกว่ามีอำนาจสั่งบุคคล พรรค การเมือง แต่ที่สั่งเป็นรัฐสภา ซึ่งไม่ใช่บุคคล แต่เป็นองค์กรของรัฐธรรมนูญ จึงเห็นชัดเจนว่าพยายามเอากฎหมายมาใช้บิดกันไปมาเพื่อไปสู่จุดหมายตัวเอง”


กลืนน้ำลายตัวเอง?

นายวสันต์เคยแสดงความคิดเห็นถึงการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2555 ว่า “เขายังไม่ได้เขียนเลย แล้วเราไปรู้ได้ยังไงว่าจะแก้เพื่อคนนั้นคนนี้ ควรดูเขาก่อน และตอนนี้ก็กำลังจะเริ่มตั้ง ส.ส.ร. ใหม่ เรายังไม่รู้เลยว่าใครจะเข้ามาเป็น ส.ส.ร. บ้าง ยังไม่เห็นตัวบุคคลเลยแล้วรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะแก้รัฐธรรมนูญเพื่อใคร มันอาจไม่ใช่ก็ได้”

คำวินิจฉัยของนายวสันต์ถูกจับตามองว่าจะ “กลืน น้ำลายตัวเอง” หรือไม่ เช่นเดียวกับ 2 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่มีตำหนิและยังอยู่ในองค์คณะพิจารณาคดีนั้นสมควรหรือไม่ ไม่ว่าคำวินิจฉัยจะออกมาอย่างไร คนจำนวนหนึ่งก็อาจมองว่าไม่สง่างามและทำให้ศาลรัฐธรรมนูญยิ่งมัวหมอง เพราะคำวินิจฉัยของศาลยุติ ธรรมหรือศาลรัฐธรรมนูญต่างก็มีคำว่าใน “พระปรมา ภิไธย” ที่ให้ตระหนักว่าการพิจารณาอรรถคดีต้องเป็นไปด้วยความเที่ยงธรรมภายใต้พระปรมาภิไธย ศาลจึงต้องยึดมั่นในความยุติธรรม เป็นกลาง และเป็นธรรมเยี่ยง ชีวิต ไม่เลือกข้าง ไม่เลือกปฏิบัติ หรือสองมาตรฐาน

และดูเหมือนจะเป็น “คนละเรื่องเดียวกัน” ที่รัฐ บาลเองก็ยังไม่กล้าลงสัตยาบันรับรองเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ (ไอซีซี) หรือศาลโลก เพื่อให้เอาผิดกับผู้ทำให้เกิดความตาย 98 ศพ เมื่อเดือนเมษา- พฤษภา 2553 เพราะหลายฝ่ายติงว่าการลงนามในสัตยาบันนั้น ศาลโลกไม่ได้ยกเว้นสถาบันเบื้องสูงใดๆ

ศุกร์ 13 เพื่อไทยสยอง?

ขณะที่นายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักกฎหมายอิสระ เขียนบทความ “ศุกร์ 13 เพื่อไทยสยอง?” การไต่สวน ของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 5-6 กรกฎาคมที่ผ่านมาว่า ฝ่ายศาลเป็นฝ่ายได้เปรียบมากที่สุด เพราะได้เพิ่มอำนาจให้ตนเองอย่างมหาศาล ไม่เพียงการรวบรัดพิจาร ณาคดีเท่านั้น แต่ยังตีความรัฐธรรมนูญมาตรา 68 อย่างกว้างขวางจนทำให้อัยการสูงสุดไร้ความหมาย โดยศาลได้ตีความกฎหมายให้กลายเป็น “ไทม์แมชีน ข้ามเวลา” สามารถตรวจสอบคดีที่จบสิ้นลงแล้ว เช่น กรณีการตั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ร้อง หรือแม้แต่คดีนี้ก็พิจารณาสิ่งที่จบสิ้นไปแล้ว เช่น การเสนอญัตติ หรือสิ่งที่ต้องรอในอนาคต เช่น การทำงานของ ส.ส.ร. หรือการตรวจสอบร่างรัฐธรรมนูญโดยประธานรัฐสภา

นอกจากนี้ศาลได้เรียงประเด็นพิจารณา “อย่างน่าเคลือบแคลง” 4 ลำดับคือ (1) ศาลมีอำนาจพิจาร ณาคดีได้หรือไม่ (2) มาตรา 291 จะถูกแก้ให้นำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับได้หรือไม่ (3) การแก้มาตรา 291 เป็นการกระทำที่ต้องห้ามตามมาตรา 68 หรือไม่ และ (4) มีการกระทำที่นำไปสู่การยุบพรรคหรือตัดสิทธิทางการเมืองหรือไม่ การเรียงและแยกประเด็นที่ (2) และ (3) ออกจากกัน เพราะศาลไม่มีอำนาจตีความมาตรา 291 โดยตรงแต่อย่างใด

ตามมาตรา 68 ศาลต้องอธิบายก่อนว่า การล้มล้างการปกครองที่ต้องห้ามตามมาตรา 68 นั้น มีหลักเกณฑ์พิจารณาอย่างไร จากนั้นจึงไปพิจารณาข้อเท็จจริงว่า การแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 291 ที่ผ่านมาเข้ากรณีต้องห้ามตามมาตรา 68 หรือไม่ และโดยตรรกะแล้วการทำผิดหลักเกณฑ์มาตรา 291 ใช่ว่าจะต้องผิดมาตรา 68 เสมอไป แต่ศาลกลับเรียงลำดับพิจารณาประเด็นมาตรา 291 ก่อน ประหนึ่ง “ตั้งธง” ว่าหากมาตรา 291 ไม่เปิดช่องให้นำไปสู่การยกร่างใหม่ทั้งฉบับ ทำให้การแก้ไขมาตรา 291 เข้าหลักเกณฑ์ต้องห้ามตามมาตรา 68 ทันที

องค์กรอิสระอยู่ได้ด้วยศรัทธา

บทบาทและการใช้อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญที่ผ่านมาจึงทำให้ถูกตั้งคำถามมากมายถึงการวินิจฉัยคดีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการวินิจฉัยคดีย้อนหลัง วินิจฉัยด้วย จินตนาการไปในอนาคตทั้งที่ไม่มีอำนาจตัดสิน ซึ่งมีแต่ ทำให้ความเชื่อมั่นในศาลรัฐธรรมนูญยิ่งเสื่อมถอย อย่างที่นายเกษียร เตชะพีระ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้สัมภาษณ์นิตยสารสารคดีว่า

“สถาบันและบุคคลที่ใช้อำนาจมาก แต่มีสติปัญ ญากำกับอำนาจน้อยเป็นอย่างไร มันก็ชอบธรรมน้อยลง แล้วคนก็หัวเราะเยาะมากขึ้นเรื่อยๆ เกิดอะไรขึ้นกับศาลรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา ใช้อำนาจแบบมหัศจรรย์มาก เปิดพจนานุกรมในการตีความบ้างละ เติมคำว่า “อาจจะ” เข้าไปตอนเรื่องเขาพระวิหารบ้างละ ตอนนี้ก็มาตีความมาตรา 68 แบบมหัศจรรย์ลั่นโลก ขัดแย้งกับตัวเองด้วยซ้ำ คนเขาก็ดูเบาสติปัญญาคุณมากขึ้นเรื่อยๆ”

เช่นเดียวกับนางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และอดีตคณะอนุกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญหมวดที่ 3 ว่าด้วยศาลและองค์กรอิสระ ในสภาร่างรัฐธรรมนูญ 2550 ระบุว่า ความศรัทธาของประชาชนต่อองค์กรอิสระต่างๆไม่ใช่เพิ่งมาเสื่อมลงวันนี้ ดูแล้วเริ่มเมื่อมีการร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 เป็นต้นมา เพราะมีความรู้สึกว่า 2 มาตรฐานหรือไม่ ซึ่งมองได้ไม่ยาก ถ้าเรื่องเดียวกันแต่วินิจฉัยแตกต่างกัน อย่าว่าแต่ประชาชนเลย แม้แต่ผู้ที่อยู่ในองค์กรอิสระเองก็มีความรู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน ศรัทธาของประชาชนต่อองค์กรอิสระจะดีหรือไม่ดีจึงขึ้นอยู่กับตัวองค์กรนั้นว่าวางตัวเป็นกลางหรือไม่ การวินิจฉัยสิ่งต่างๆเป็นมาตรฐานเดียวกันหรือไม่ ไม่ใช่มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แล้วจะแก้ปัญหาองค์กรอิสระได้

นางสดศรียังให้ความเห็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่กลายเป็นปัญหาขณะนี้ว่า จริงๆแล้วไม่ใช่การแก้ไขรัฐ ธรรมนูญทั้งฉบับ เพราะไม่ได้แก้หมวดที่ 1 และหมวดที่ 2 เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ และมาตรา 291 ก็เปิดให้มีการแก้ไขโดยทำตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในหมวดที่ 15 เหมือนพรรคประชาธิปัตย์เคยเสนอแก้ไข 2 มาตรา เรื่องการเลือกตั้งแบบเขตเดียวเบอร์เดียว

แม้แต่ประเด็นองค์กรอิสระที่กลัวว่าจะมีการลดอำนาจศาลหรือยุบองค์กรอิสระต่างๆนั้น นางสดศรีก็เชื่อว่าน่าจะเป็นแค่เปลี่ยนวิธีการสรรหาผู้จะเข้าสู่องค์ กรอิสระมากกว่า หากฝ่ายการเมืองเห็นว่าการวินิจฉัยไม่ถูกต้องหรือมีหลายมาตรฐาน ซึ่งในส่วนของ กกต. ก็ยินดีหากจะลดบทบาทลง เพราะทุกวันนี้ก็โดนวิพากษ์ วิจารณ์ในลักษณะนี้ ถ้ารับผิดชอบเฉพาะการเลือกตั้งเฉยๆก็ไม่มีใครสนใจนัก อำนาจชี้ผิดถูกก็ให้เป็นหน้าที่ของศาล ซึ่งได้รับการยอมรับและทำในพระปรมาภิไธย อยู่แล้ว การวิพากษ์วิจารณ์ศาลจึงทำได้ไม่มากเท่ากับการวิพากษ์วิจารณ์ กกต.

ศาลไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์

สถาบันตุลาการหรือศาลในความรู้สึกของคนไทย ส่วนใหญ่ไม่ใช่แค่ความศักดิ์สิทธิ์ แต่เชื่อมั่นว่าศาลจะเป็นที่พึ่งสุดท้ายที่ให้ความยุติธรรมและเป็นธรรมอย่างแท้จริงได้ เพราะอย่างน้อยในคำพิพากษาก็มีคำว่า “พระปรมาภิไธย” ลงท้าย ซึ่งยึดโยงกับสถาบันพระมหากษัตริย์

ในขณะที่นายนิธิ เอียวศรีวงศ์ นักคิด นักเขียน และอาจารย์ด้านประวัติศาสตร์ กลับเห็นว่า ความศักดิ์สิทธิ์ของศาลที่ยึดโยงกับสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นความศักดิ์สิทธิ์ที่คลุมเครือในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งศาลหรือตุลาการในสมัยโบราณ (ก่อนการปฏิรูปในรัชกาลที่ 5) เป็นที่ดูถูกเหยียดหยามของคนทุกชนชั้น แม้แต่ “สุนทรภู่” ยังเปรียบตุลาการเหมือนเหยี่ยวที่บินอยู่สูงคอยจ้องหาเหยื่อและอาหารของชาวบ้าน แล้วถลามาโฉบเอาไปอย่างหน้าด้านๆ

“ศาลโบราณไม่เคยศักดิ์สิทธิ์เป็นที่นับถือของใคร ความศักดิ์สิทธิ์เพิ่งถูกสร้างขึ้นในภายหลัง และยังพยายามสร้างสืบมาจนถึงทุกวันนี้โดยกลุ่มคนที่เป็นตุลาการ ซึ่งเป็นคนกลุ่มใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นหลังการปฏิรูปสู่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของ ร.5 เช่นเดียวกันกับ “ข้าราชการ” สายอื่นๆ ซึ่งพยายามสถาปนา “ความศักดิ์สิทธิ์” ของตนเหมือนกัน แต่ทำได้ไม่สำเร็จเท่ากับสายตุลาการ”

โดยนายนิธิสรุปว่า ความศักดิ์สิทธิ์ของศาลไม่ใช่เพื่อบรรลุเป้าหมายในการทำหน้าที่ตามระบอบประ ชาธิปไตย แต่สร้างขึ้นเพื่อทำให้พ้นจากการถูกตรวจสอบ จึงเอาไปผูกไว้กับสถาบันพระมหากษัตริย์

“ตลก.” หรือ “ตลก” เชิญยิ้ม

อย่างไรก็ตาม นับแต่มีศาลรัฐธรรมนูญที่เป็นหนึ่งในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ศาลหรือสถาบันตุลาการก็พลอยมัวหมองและเสื่อมถอยไปด้วย เพราะเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมืองหรือเล่นการเมืองเสียเอง โดยเฉพาะช่วงวิกฤตการเมืองไทยปี 2548 ที่สร้าง “ตุลาการภิวัฒน์” ขึ้นมาเป็นเครื่องมือล้มรัฐบาลประชาธิปไตย และนำมาสู่การทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 (อ่านเพิ่มเติม เวทีความคิดหน้า 4 ปรากฏการณ์ “ตุลาการภิวัฒน์” ภิวัฒน์ พิฆาต และพิบัติ? นับแต่ 25 เมษายน 2549)

นายปิยบุตร แสงกนกกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองว่าปรากฏการณ์ “ตุลาการภิวัฒน์” แบบไทยๆนับวันจะเข้มข้นมากขึ้น จนเกิดปัญหาว่าองค์กรตุลาการกับองค์กรที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนกลายเป็นคู่ขัดแย้ง เกิดการเผชิญหน้ากันระหว่างองค์กรที่มีฐานความชอบธรรมทางการเมืองอย่างรัฐสภาและรัฐบาลซึ่งมาจากการเลือกตั้งของประชาชน กับองค์กรตุลาการที่ไม่มีความชอบธรรมทางการเมืองเท่ากับรัฐสภาและรัฐบาล

“ตุลาการภิวัฒน์” จึงเป็น “ตุลาการพิบัติ” หรือ “ตุลาการพิฆาต” มากกว่า อย่างที่ตุลาการรัฐธรรมนูญ (ไม่มีคำว่า “ศาล”) เคยยุบพรรคไทยรักไทยหลังการยึดอำนาจ 19 กันยายน 2549 สมัยที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง เข้ามาทำหน้าที่รักษาการหัวหน้าพรรค ที่ต้องกล้ำกลืนเมื่อถูกยุบจนต้องไปเป็นบ้านเลขที่ 111 หรือแม้แต่การตัดสินของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญโดยอ้างอิงพจนานุกรม จนนายสมัคร สุนทรเวช ตกเก้าอี้นายกฯเพราะทำกับข้าวออกรายการโทรทัศน์ และการยุติปัญหาการยึดสนามบินโดยมีการยุบพรรคชาติไทย พรรคมัชฌิมาธิปไตย และพรรคพลังประชาชน ที่วิพากษ์วิจารณ์กันว่า “อะเมซิ่ง” ศาลรัฐธรรมนูญ เพราะ ใช้เวลาหลังการแถลงชี้แจงของพรรคการเมืองเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็สามารถมีคำวินิจฉัยจนนายกฯสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ตกเก้าอี้ จนส่งผลให้เกิด “ภาพกอดสยิว” และการเลือกนายกฯคนใหม่ที่ตั้งกันในค่ายทหาร

การที่พรรคไทยรักไทยถูกคณะปฏิรูปการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ยกเลิกรัฐธรรมนูญปี 2540 โละทิ้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชุดเก่าทั้ง 15 คน และแต่งตั้งคณะตุลาการรัฐธรรมนูญชุดใหม่ขึ้นมาพิจารณาคดีเพื่อภารกิจยุบพรรคไทยรักไทยในครั้งนั้นเป็นบทเรียนที่เจ็บช้ำอย่างมากหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549

การยุบไทยรักไทย...ยุบพลังประชาชน จนมาถึงวันนี้คือ “พรรคเพื่อไทย” ที่กำลัง “ยุบหนอ พองหนอ” ยอมถอยแล้วถอยอีกเพื่อรอการเกี๊ยะเซียะจากผู้มีอำนาจนอกรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีอำนาจเหนือกว่ารัฐสภาและรัฐบาล...

บทวิพากษ์นี้ไม่ปฏิเสธคำพูดของ ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล พิธีกรทีวี.นักวิเคราะห์การเมือง ที่ว่า “ศาลรัฐธรรมนูญในประเทศที่มีความพัฒนาทางด้านประชาธิปไตยมากกว่านี้จะไม่บิดเบือนหลักการขั้นพื้นฐานของ การแบ่งแยกอำนาจขนาดนี้... การทำงานของศาลรัฐธรรมนูญไทยไม่เหมือนใครในโลก ตัดสินความผิดย้อนหลังก็ได้...ตัดสินคดีล่วงหน้าก็ได้...ไม่มีอำนาจก็ตัดสินได้...สุดยอด Amazing...”

แต่ที่บทวิพากษ์นี้เห็นว่าสิ่งที่น่า Amazing ยิ่งกว่าก็คือ “พรรคเพื่อไทย” ในฐานะพรรคที่มีเสียงข้างมากในสภา และ “รัฐสภาไทย” ที่ไปยอมรับอำนาจจาก “ตลก.ที่ไม่มีอำนาจ” เสียเอง

จึงเป็น “ตลกร้าย” ของพลพรรคเพื่อไทยและรัฐสภาไทยที่ขี้ขลาด ไปเพิ่มเขตอำนาจ (ที่ไม่มี) ให้กับศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งที่มีทางเลือกอื่น และเป็นไปตามหลักแห่งประชาธิปไตย

ณ บัดนี้ ไม่ว่าคำวินิจฉัยจะออกหัว ออกก้อย หรือ ออกกลาง ก็ล้วนแล้วแต่เป็น “ความบิดเบี้ยวและเสื่อม ถอย” ขององค์กรอิสระ โดยเฉพาะกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่เกิดจากมดลูก คมช. อย่างที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้

ตอลอกอ “มีจุด” กับตอลอกอ “ไม่มีจุด” หรือ “ลืมใส่จุด” ย่อมมีความหมายแตกต่างกันยิ่งนัก

จะกลายเป็นรายการ “ก่อนบ่ายคลายเครียด” หรือ “หลังบ่าย (ศุกร์ 13) เครียดหนักกว่าเดิม” คงไม่น่าลุ้นเท่าคณะ “ตลกเชิญยิ้ม” ตัวจริงกำลังจะตก งานหรือไม่?

เพราะบัดนี้กำลังมี “ตลก” คณะ ใหม่ที่ฮากว่าเกิดขึ้นแล้ว ณ สยามเมืองยิ้มแห่งนี้

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 8 ฉบับ 368 วันที่ 14-20 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 หน้า 18 คอลัมน์ เรื่องจากปก โดย ทีมข่าวรายวัน


http://redusala.blogspot.com

ต้องยอมรับคำวินิจฉัยที่ไม่เป็นธรรมด้วยหรือ


ต้องยอมรับคำวินิจฉัยที่ไม่เป็นธรรมด้วยหรือ

จาตุรนต์ ฉายแสง: ต้องยอมรับคำวินิจฉัยที่ไม่เป็นธรรมด้วยหรือ
Tue, 2012-07-10 21:29
(อ้างอิงจากเวบไซท์ประชาไท http://www.prachatai.com)
จาตุรนต์ ฉายแสง 10 กรกฎาคม 2555 อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทยและสมาชิกบ้านเลขที่111 ชี้ 6 ข้อกังขาต่อความชอบธรรมในการวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ

“แต่ถ้าปล่อยให้มีการแสดงความเห็นในทางยอมรับหรือเห็นด้วยกับคำวินิจฉัยแต่เพียงทางเดียว จะเกิดความยุติธรรมจริงหรือ

บางทีเราก็ลืมกันไปว่าคำว่ายุติธรรมนั้นคือ ยุติด้วยการตัดสินที่เป็นธรรม หากตัดสินด้วยความไม่เป็นธรรมแล้วความขัดแย้งนอกจากจะไม่ยุติ ยังอาจจะยิ่งสับสนวุ่นวายยิ่งขึ้นอีกด้วย”

มีเสียงเรียกร้องจากฝ่ายที่ต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณีที่มีผู้ร้องตามมาตรา 68 ในวันศุกร์ที่ 13กรกฎาคมนี้แล้วทุกฝ่ายควรจะยอมรับคำวินิจฉัยนั้น บางคนก็ไปไกลถึงขั้นที่เสนอว่า ไม่ว่าศาลจะวินิจฉัยออกมาอย่างไรทุกฝ่ายก็ต้องยอมรับ มิฉะนั้นสังคมก็จะวุ่นวาย

ผมขอตั้งคำถามว่าจำเป็นด้วยหรือที่ทุกฝ่ายทุกคนจะต้องยอมรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และจริงหรือที่ว่าหากไม่ยอมรับแล้วสังคมจะวุ่นวาย

คำว่า “ควรยอมรับ”หรือ “ต้องยอมรับ” ถ้ามาจากคู่ความหรือผู้มีส่วนได้เสียก็มักมาจากฝ่ายที่เชื่อว่าคำวินิจฉัยจะตรงกับความเห็นของตนหรือเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายตน ต้องการให้เรื่องที่ขัดแย้งกันอยู่นั้นยุติลงตามคำวินิจฉัย

ผู้ที่กำลังเรียกร้องอย่างแข็งขันให้ทุกฝ่ายยอมรับคำวินิจฉัยครั้งนี้ ก็ดูจะได้แก่คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และคุณชวน หลีกภัย

แต่ถ้าปล่อยให้มีการแสดงความเห็นในทางยอมรับหรือเห็นด้วยกับคำวินิจฉัยแต่เพียงทางเดียว จะเกิดความยุติธรรมจริงหรือ

บางทีเราก็ลืมกันไปว่าคำว่ายุติธรรมนั้นคือ ยุติด้วยการตัดสินที่เป็นธรรม หากตัดสินด้วยความไม่เป็นธรรมแล้วความขัดแย้งนอกจากจะไม่ยุติ ยังอาจจะยิ่งสับสนวุ่นวายยิ่งขึ้นอีกด้วย

เพราะฉะนั้นถ้าจะให้เกิดความยุติธรรมขึ้นจริงๆ เมื่อมีคำวินิจฉัยออกมา ควรเปิดโอกาสให้คนแสดงความเห็นได้ทั้งทางที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยนั้น

กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินในวันที่ 13 นี้ เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยออกมาอย่างไร ย่อมผูกพันองค์กรต่างๆ องค์กรที่เกี่ยวข้องก็ย่อมต้องปฏิบัติตาม เช่น ถ้าศาลฯสั่งให้รัฐสภายุติการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา291 ที่กำลังทำกันอยู่ รัฐสภาก็ไม่สามารถลงมติในวาระที่ 3 ต่อไปได้ การแก้รัฐธรรมนูญก็ต้องยุติลง แล้วหากใครอยากจะแก้อีกก็คงต้องไปเริ่มต้นกันใหม่

แต่ “ปฏิบัติตาม” กับ “ยอมรับ”ไม่จำเป็นต้องไปทางเดียวกันเสมอไป และ “ปฏิบัติตาม”กับ“เห็นด้วย”ก็ไม่จำเป็นต้องไปทางเดียวกัน องค์กรที่เกี่ยวข้องหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องต้องปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ไม่จำเป็นต้องยอมรับหรือเห็นด้วยกับคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ

คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ย่อมมีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ผู้ที่เห็นด้วยย่อมมีสิทธิที่จะแสดงความเห็นด้วยหรือชื่นชมกับคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ขณะเดียวกันผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินของศาลก็มีสิทธิที่จะแสดงความไม่เห็นด้วยหรือแม้กระทั่งแสดงการไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ

ดังนั้นใครที่ไม่เห็นด้วยหรือไม่ยอมรับคำตัดสินของศาล ย่อมมีสิทธิแสดงความเห็นของตนได้โดยไม่จำเป็นต้องทำตามความเห็นของคุณอภิสิทธิ์หรือคุณชวนที่ออกมาพูดเพื่อสกัดกั้นการแสดงความคิดเห็นของฝ่ายที่จะไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ใครๆก็รู้ว่าหากไม่มีใครโต้แย้งคำวินิจฉัย คุณอภิสิทธิ์กับคุณชวนก็ย่อมจะได้ประโยชน์จากคำวินิจฉัยนั้นไปเต็มๆอยู่แล้ว

พิจารณาจากความเป็นจริงที่เกิดขึ้น เป็นไปได้ยากมากที่คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในครั้งนี้จะเป็นที่ยอมรับของประชาชนส่วนใหญ่ได้ หากจะยึดหลักการตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้เอง หลักการประชาธิปไตยและหลักนิติธรรมหรือแม้แต่หลักความเป็นธรรมหรือสามัญสำนึกปกติทั่วไป จะพบว่ามีเหตุผลหลายประการที่ไม่พึงยอมรับกับคำวินิจฉัยที่กำลังจะเกิดขึ้นดังนี้

1 .ศาลรัฐธรรมนูญได้รับคำร้องไปทั้งที่ไม่มีอำนาจ

2. ศาลฯกำลังใช้รัฐธรรมนูญมาตรา 68 ไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ของมาตรานี้ที่มีไว้ป้องกันการปฏิวัติรัฐประหารล้มล้างการปกครองฯ แต่ศาลฯกลับกำลังนำมาใช้เพื่อขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามวิธีการที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญเอง

3. ศาลฯได้สั่งให้รัฐสภาชะลอการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งๆที่ศาลฯไม่มีอำนาจ

4. ศาลกำลังเข้าไปตรวจสอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งๆที่ไม่มีอำนาจตามรัฐธรรมนูญ เป็นการก้าวก่ายแทรกแซงการทำหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ ทำให้ศาลฯมีอำนาจเหนือกว่าฝ่ายนิติบัญญัติในการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขัดหลักการแบ่งแยกอำนาจ

5. ตั้งแต่ศาลฯรับคำร้องจนกระทั่งวินิจฉัยแล้วเสร็จ มีผลในทางปฏิบัติเท่ากับว่าศาลฯได้แก้รัฐธรรมนูญไปแล้วหลายบทหลายมาตราตามอำเภอใจและ

6. ตุลาการหลายคนมีส่วนได้เสียไม่พึงทำหน้าที่พิจารณาคดีและตุลาการบางคนโดยเฉพาะประธานศาลรัฐธรรมนูญเองได้แสดงความเห็นเอนเอียงไปในทางผู้ร้องในลักษณะชี้นำสาธารณชนและตุลาการด้วยกัน จึงไม่ชอบธรรมที่จะทำหน้าที่พิจารณาคดีนี้ต่อไป

จากเหตุผลทั้ง 6 ข้อดังกล่าว จะเห็นได้ว่าโอกาสที่ศาลฯจะตัดสินให้เป็นที่ยอมรับว่าถูกต้องชอบธรรมได้ มีอยู่เพียงทางเดียวคือการวินิจฉัยว่ายกคำร้องเนื่องจากศาลฯไม่มีอำนาจพิจารณาคำร้องนี้เท่านั้น

นอกจากนั้นไม่เห็นความเป็นไปได้ที่ศาลฯจะวินิจฉัยให้เป็นที่ยอมรับว่าถูกต้องชอบธรรมได้เลย แม้ว่าจะยกคำร้อง แต่ในการวินิจฉัยนั้นหากศาลฯยืนยันอำนาจในการรับคำร้องก็ดี อำนาจในการตรวจสอบร่างรัฐธรรมนูญก็ดี คำวินิจฉัยนั้นก็ไม่ถูกต้องชอบธรรมและจะสร้างความเสียหายต่อประเทศชาติอย่างมากต่อไป ไม่ต้องพูดถึงการวินิจฉัยที่ร้ายแรงกว่านั้นว่าจะไม่ยุติธรรมอย่างไร และสร้างความเสียหายสักเพียงใด

---------------------------------------------------------------

ความเห็น

จากนี้ไป "แก๊งค์ตลก" จะมี อำ น า จ เ ห นื อ ก ว่ า รั ฐ ส ภ า ตลอดกาล....
และกระบวนการแก้ไข "รัฐธรรมนวยหัวคูณ ''''๕๐" ก็จะ "ชักกระตุกไปตลอดทางและจะแก้ไม่ได้ในที่สุด" อย่างแน่นอน......พอจะเสนอแก้มาตราใด--ปุ๊บ "ฝูงกากเดนทรราชย์" ก็จะเดินเกมส์ "ยื่นเรื่องฟ้องร้องต่อแก๊งค์ตลก" --ปั๊บ..... จากนั้น "แก๊งค์ตลก" ก็จะเข้ารับลูกพร้อมกับตะโกนว่า "คำร้องมีมูลฮิ !" พร้อมกะจัดการ "สั่ง" ให้ "สภาทารก" ระงับการพิจารณาแก้รธน.ไว้ "ชั่วคราว" ทันที !  จากนั้นก็ใช้เวลา ๑ เดือนสำหรับการ "แสดงปาหี่ไต่สวนพิจารณาคดีความ" ต่อไป ......

การเล่น "เกมส์โหดตุลากาฬภิวัตน์" นี้ จะทำให้การแก้ไขรธน.นั้นชักกระตุกไปตลอดทาง--ทีละมาตรา/ทีละเดือน...... แล้วระหว่าง "การชักกระตุก" นั้น ก็จะมี "ปัจจัยพิสดารสารพัด" โผล่ขึ้นมาแบบลึกลับเข้ารุมเร้าหักขา "รัฐบาลปูแดง" ผสมโรงไปตลอดทางด้วยเช่นกัน-อีกต่างหาก....

"การปรองดองแบบโหดพิศดาร" นี้ จะทำให้ในที่สุด--ก็จะ "หายนะ" ทั้ง "รัฐบาลและการแก้ไขรธน.".... ก็เป็นอันว่า "จบเห่สมบูรณ์แบบ" สำหรับ "การแก้รัฐธรรมนวยหัวคูณ''''๕๐"....game over !!--ว่างั้นเหอะ !
http://redusala.blogspot.com

ศาลแพ่งรับคำฟ้อง ตลก.ศาล รธน.วินิจฉัย ม.291 ละเมิด ส.ส.เพื่อไทย


ศาลแพ่งรับคำฟ้อง ตลก.ศาล รธน.วินิจฉัย ม.291 ละเมิด ส.ส.เพื่อไทย

Posted: 12 Jul 2012 06:54 AM PDT
(อ้างอิงจากเวบไซท์ประชาไท http://www.prachatai.com)

ความผิดเรื่องละเมิด พร้อมเรียกค่าเสียหาย 1,555,000 บาท และดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี และยื่นคำขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉินระงับการมีคำวินิจฉัยของจำเลย

เว็บไซต์มติชนออนไลน์ รายงานว่า เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 12 กรกฎาคม ที่ศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก นายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย นายคารม พลพรกลาง ทนายความเดินทางมาศาลฟ้องตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 8 คน ที่มีมติรับคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 68 หรือไม่ ประกอบด้วย นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ, นายจรัญ ภักดีธนากุล, นายบุญส่ง กุลบุปผา, นายนุรักษ์ มาประณีต, นายเฉลิมพล เอกอุรุ, นายสุพจน์ ไข่มุกต์, นายจรูญ อินทจาร, และนายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี เป็นจำเลยที่ 1-8 ความผิดเรื่องละเมิด พร้อมเรียกค่าเสียหาย 1,555,000 บาท และดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี และยื่นคำขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉินระงับการมีคำวินิจฉัยของจำเลย รวมทั้งขอให้จำเลยยุติการพิจารณาคดีที่ขอให้วินิจฉัยร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 68 หรือไม่ โดยศาลรับคำฟ้องไว้เป็นคดีดำหมายเลข 2854/2555 และนัดพร้อมคู่ความวันที่ 8 ตุลาคมนี้ เวลา 09.00 น.

มติชนออนไลน์ ยังได้รายงานคำกล่าวของนายคารมว่า สาเหตุที่ยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งเนื่องจากนายวรชัย โจทก์และ ส.ส.คนอื่น ซึ่งมีฐานะผู้แทนราษฎรมีหน้าที่ออกกฎหมาย และการแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 291 ก็เป็นการออกกฎหมายอย่างหนึ่ง ทางรัฐสภาก็ได้รับรองกฎหมายดังกล่าวไป 2 วาระแล้ว แต่เมื่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 8 ท่านมีมติรับคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 68 หรือไม่ พร้อมสั่งระงับการพิจารณาวาระ 3 ทั้งที่การรับคำร้องต้องผ่านสำนักงานอัยการสูงสุดก่อน นอกจากนี้ การที่ศาลรัฐธรรมนูญยังไม่มี พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ใช้ข้อกำหนดเกี่ยวกับวิธีพิจารณาและการทำคำวินิจฉัยมาวินิจฉัยรับคำร้องและสั่งระงับการพิจารณา ซึ่งเป็นการทำหน้าที่หรือใช้อำนาจหน้าที่ที่ฝ่าฝืนกฎหมาย และเป็นการละเมิดต่อโจทก์

"คดีนี้ถือเป็นคดีแรกที่ฟ้องตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่ใช่ความผิดฐานละเมิดธรรมดา แต่เป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายมหาชน โดยก่อนฟ้องเราได้ศึกษาข้อกฎหมายและพฤติกรรมโดยตลอด หลังจากที่มีการไต่สวนของศาลแล้วเชื่อว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจรับคำฟ้อง โดยหวังว่าคำพิพากษาคดีนี้จะเป็นบรรทัดฐานทางสังคมต่อไป" นายคารมกล่าว และว่า หากศาลมีคำสั่งให้ไต่สวนฉุกเฉินในวันนี้ ก็ได้เตรียมพยานเบิกความไว้แล้ว 2 ปาก ประกอบด้วย นายวรชัย และ พ.ต.ต.เสงี่ยม สำราญรัตน์ ข้าราชการสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และได้จัดเตรียมรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2549 และรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาประกอบการไต่สวนด้วย อย่างไรก็ตาม ศาลแพ่งจะมีคำสั่งไต่สวนฉุกเฉินทันก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยหรือไม่ก็ตาม หลังจากฟ้องแล้วตนจะทำสำเนาส่งให้ตุลาการทั้ง 8 คน ซึ่งจะมีคำสั่งยุติการวินิจฉัยหรือไม่ก็ขึ้นอยู่ดุลพินิจของท่าน
http://redusala.blogspot.com

ตกลง มันคือคือวินิจฉัย หรือความเห็นกันแน่


ตกลง มันคือคือวินิจฉัย หรือความเห็นกันแน่

''จาตุรนต์'' สับคำวินิจฉัยกึ่งความเห็น





http://redusala.blogspot.com

เปิดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญโดยละเอียด


เปิดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญโดยละเอียด


          ประเด็นที่ 1 ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 หรือไม่ ?

          มีประเด็นที่พรรคเพื่อไทยผู้ถูกร้องที่ 3 ยื่นคำร้องคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาข้อกฎหมายในประเด็นที่ 3 ว่า ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจรับคำร้องของผู้ร้องทั้ง 5 ไว้พิจารณาวินิจฉัยตาม รธน. มาตรา 68 ได้หรือไม่

           ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 68 วรรค 1 บัญญัติว่า บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัติริย์เป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งไม่ได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ มิได้

และวรรค 2 บัญญัติไว้ว่า ในกรณีที่บุคคหรือพรรคการเมืองใดกระทำการตามวรรค 1 ผู้ทราบการกระทำดังกล่าว ย่อมมีสิทธิเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริง และยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าว แต่ทั้งนี้ ไม่กระทบกระเทือนการดำเนินคดีอาญาต่อผู้กระทำการดังกล่าว

ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรค 2 เป็นบทบัญญัติที่ให้สิทธิ แก่ผู้ที่ทราบถึงการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามตามมาตรา 68 วรรค 1 ที่จะใช้สิทธิให้มีการตรวจสอบการกระทำดังกล่าวได้ โดยให้มีสิทธิ 2 ประการ คือ

              ประการที่ 1 เสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงและยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ และประการที่ 2 สามารถยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการ ให้เลิกการกระทำดังกล่าวได้ เพราะอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบและวินิจฉัยสั่งการในกรณีที่ผู้ร้องใช้สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญตามมาตรา 68 วรรค 2 เป็นอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ อัยการสูงสุด เพียงแต่มีหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น และยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้เท่านั้น หาได้ตัดสิทธิของผู้ร้องที่ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยตรงไม่ เมื่อผู้ร้องได้เสนอให้อัยการสูงสุดตรวจสอบแล้วชอบที่จะใช้สิทธิ

               ประการที่ 2 ยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ ศาลเห็นว่า การแปลความดังกล่าวนี้ จะสอดคล้องต่อเจตนารมณ์ ในมาตรา 68 ซึ่งบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญและเป็นไปตามการรับรองสิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 69 ที่ว่า บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธี ซึ่งการกระทำใดๆที่ทำไปเพื่ออำนาจในการปกครองของประเทศ โดยวิธีที่ไม่ได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ เนื่องจากการที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำสั่งให้เลิกการกระทำที่อาจเป็นไปตามการใช้สิทธิและเสรีภาพในรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญหรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งไม่ได้เป็นไปตามวิถีทางซึ่งบัญญัติไว้ ในรัฐธรรมนูญได้นั้น การกระทำดังกล่าวจะต้องกำลังดำเนินการอยู่ และยังไม่บังเกิดผล

ศาลรัฐธรรมนูญจึงจะยังมีคำวินิจฉัย สั่งให้เลิกการกระทำนั้นได้ หาไม่แล้ว คำวินิจฉัยรธน.ตามมาตรา 68 วรรค 2 ก็จะเป็นการพ้นวิสัย ไม่สามารถบังคับใช้ได้ ทั้งสิทธิพิจารณาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 นี้ มีหลักการมุ่งหมายให้ชนชาวไทยทุกคนมีส่วนร่วมในการปกป้อง พิทักษ์รักษาการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและการเข้าสู่อำนาจในการปกครองประเทศ ให้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มิให้ถูกล้มล้าง โดยสภาพจึงเป็นการป้องกันไว้ล่วงหน้า เพื่อที่จะได้มีโอกาสตรวจสอบและวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำที่จะเป็นจะอันตรายต่อระบบการปกครองและเป็นล้มล้างรธน.ให้เกิดขึ้นได้ เพราะถ้าหากปล่อยให้เกิดการกระทำที่เป็นภัยร้ายแรงต่อรัฐธรรมนูญ ระบบการปกครองตามรัฐธรรมนูญได้เกิดขึ้นแล้ว ย่อมสุดวิสัยแก้ไขให้กลับคืนดีได้ เช่นนี้แล้ว ประชาชนผู้ทราบเหตุตามาตรา 68 วรรค 2 ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนใช้สิทธิของตนต่อต้านการกระทำนั้นโดยสันติวิธี มิได้มุ่งหมายการลงโทษทางอาญาหรือการลงโทษตามรัฐธรรมนูญเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการเพิกถอนการกระทำที่มิชอบ ตาม ม. 68 วรรค 1 เสียก่อน ที่การกระทำนั้นจะบังเกิดผล

การมีอยู่ของมาตรา 68 และมาตรา 69 นี้ จึงเป็นไปเพื่อรักษาหรือคุ้มครองตัวรัฐธรรมนูญเองตลอดจนหลักการที่รัฐธรรมนูญได้รับรองหรือกำหนดกรอบไว้ ให้เป็นเจตนารมณ์หลักทางการเมืองหรือชาติ คือการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และป้องกันการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองประเทศ โดยวิธีทางซึ่งเป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ

ความมุ่งหมายในรัฐธรรมนูญประการนี้ต่างหากที่ถือเป็นเจตนารมณ์หลักของรธน.ที่จะต้องยึดถือไว้เป็นสำคัญยิ่งกว่าเจตนารมณ์ของผู้ร่าง รธน. ซึ่งแม้ถึงจะเป็นเครื่องมือช่วยค้นหาเจตนารมณ์ของรธน.ได้ แต่ความเห็นของผู้ร่างรธน.คนใดคนหนึ่งก็มิใช่เจตนาปกครองตาม รธน.

แต่อย่างไรก็ตาม หากพิจารณารายงานของสภาร่างรธน. ทั้งการร่างรธน.แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 และรธน.แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 ยังพิจารณาได้ว่า สาระสำคัญของการอภิปรายนั้น มีเจตนาร่วมกันอยู่ที่การจะให้ประชาชนสามารถร่วมกันใช้สิทธิพิทักษ์ รธน.ผ่านกลไกของศาลรธน. ตามมาตรานี่เป็นสำคัญยิ่งกว่าเรื่องของตัวบุคคล ผู้ที่มีสิทธิเสนอคำร้องการตีความเกี่ยวกับผู้มีสิทธิเสนอคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญจึงควรต้องตีความไปในแนวทางของการยอมรับสิทธิมิใช่จำกัดสิทธิ ที่อาจมีปัญหาตามาตรา 68 วรรค 1 เพื่อพิทักษ์รัฐธรรมนูญได้สมเจตนาของบทบัญญัติดังกล่าว โดยมีอัยการตรวจสอบข้อเท้จจริง ตามม.68 วรรค 2 แล้ว แต่ยังไม่มีคำสั่งใดจากอัยการสูงสุด หากปล่อยให้กระบวนการลงมติในวาระ 3 รับไปแล้ว แม้ต่อมาอัยการสูงสุดจะยื่นคำร้องให้ศาลรธน.วินิจฉัยว่ากระบวนการแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวนั้น เป็นไปโดยมิชอบตามมาตรา68 วรรค 1 ของการกระทำนั้น ก็จะไม่สามารถบังคับคำวินิจฉัยทางใดได้อีก รวมทั้งไม่อาจย้อนคืนแก้ไขคำวินิจฉัยที่เกิดขึ้นจากการะทำดังกล่าวได้ ศาลรธน.จึงมีอำนาจรับคำร้องไว้พิจารณาและวินิจฉัยได้ตามรธน. มาตรา 68 วรรค 2



               ประเด็นที่ 2 การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 291 สามารถแก้ไขเพิ่มเติมโดยยกเลิกรัฐธรรมนูญทั้งฉบับได้หรือไม่

ประเด็นพิจารณาว่า การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 291 จะนำไปสู่การไก้ไขบทบัญญัติของรธน. ราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ทั้งฉบับ ได้หรือไม่นั้นเห็นว่า

อำนาจในการก่อตั้งองค์กรสูงสุดทางการเมืองหรืออำนาจในสถาปนารธน. เป็นอำนาจการก่อตั้งองค์กรทั้งหลาย และถือว่ามีอำนาจเหนือรธน.ที่ก่อตั้งระบบบทกฎหมาย และก่อตั้งองค์กรทั้งหลายในการใช้อำนาจทางการเมืองการปกครอง เป็นอำนาจสูงสุด อันเป็นที่มาในการให้กำเนิดรัฐรรมนูญ เมื่อองค์กรที่ถูกจัดตั้งมีเพียงอำนาจตามที่รัฐธรรมนูญให้ไว้ และอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้องค์กรนั้นใช้อำนาจที่ได้รับมอบจากรธน.เองกลับไปแก้ไขรธน.นั้นเหมือนการใช้อำนาจแก้ไขรธน.ธรรมดา

สำหรับประเทศไทยเป็นประเทศที่ปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เป็นประเทศที่ใช้ระบบประมวลกฎหมายยึดหลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรธน.ที่จะต้องกำหนดวิธีการหรือกระบวนการแก้ไข เปลี่ยนแปลงรธน.ไว้เป็นวิธีพิเศษ แตกต่างจากกระบวนการกฎหมายทั่วไป

รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันนี้ ได้มาโดยการลงประชามติของประชาชน ก็ควรที่จะให้ประชานผู้มีอำนาจสถาปนารธน.ได้ลงประชามติเสียก่อนว่า สมควรจะมีรธน.ฉบับใหม่หรือไม่ หรือรัฐสภา จะใช้อำนาจในการแก้รธน.เป็นรายมาตราจะเป็นความเหมาะสมทางอำนาจของรัฐสภาที่จะดำเนินการดังกล่าสนี้ได้ ซึ่งจะสอดคล้องกับเจตนาของ รธน. มาตรา 291



            ประเด็นข้อที่ 3 การกระทำของผู้ถูกร้องเป็นการล้มล้าง การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ตามรธน.นี้ หรือเพื่อให้ได้มาในอำนาจการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งไม่ได้เป็นไปตามบทบัญญัติ รธน.นี้ ตามรธน.มาตรา 68 วรรค 1 หรือไม่

พิจารณาแล้วเห็นว่า การแก้ไขรธน.มาตรา 291 มีเจตนารมณ์เพื่อต้องการให้มีวิธีแก้ไขรธน.เพิ่มขึ้นเป็นรายมาตรา เพื่อปฏิรูปการเมืองและปรับปรุงโครงสร้างการเมืองขึ้นมาใหม่ เพื่อให้มีเสถียรภาพและประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และเป็นอำนาจที่รธน.แห่งราชอาณาจักรไทยพ.ศ.2550 ให้ไว้เพื่อเป็นช่องทางในการแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากข้อบกพร่องในตัวรัฐธรรมนูญเองหรือจากข้อเท็จจริงที่ต้องมีการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ และมีความสอดคล้องต่อเนื่องในคราวเดียวกัน

ร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมที่ ... พ.ศ. ... จึงเป็นผลมาจากรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 29 1 อันถือได้ว่ามีที่มาจากรธน.ฉบับปัจจุบัน

หากพิจารณารธน.ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมที่ ... พ.ศ. ... การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมมาตราที่ 291 เพื่อให้มีสภาร่างรธน.มาจัดทำร่างแก้รธน.ฉบับใหม่ และกำหนดกระบวนการจัดทำร่างแก้รธน.ฉบับใหม่ ดังนั้น ดังที่ได้ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาในวาระที่ 2 และกำลังเข้าสู่การลงมติในวาระที่ 3 จะเห็นได้ว่า กระบวนดังกล่าวยังไม่มีข้อเท็จจริงที่เชื่อถือได้ว่า เป็นการล้มล้างระบอบการปกครองประชาธิปไตย ตามที่ผู้ร้องกล่าวอ้างอีกทั้งขึ้นตอนการจัดตั้งสภาร่างรธน.ก็ยังไม่เป็นรูปร่าง

การกล่าวอ้างของผู้ร้องจึงเป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าซึ่งยังไม่มีผลแต่ประการใด และเมื่อพิจารณาบทบัญญัติของรธน.มาตรา 291 (1) วรรค 2 ซึ่งเป็นข้อแก้ไขเพิ่มเติม รธน.แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 ได้บัญญัติไว้อย่างชัดแจ้งในการแก้ไขว่า ญัตติขอแก้ไขรธน.เพิ่มเติม ที่มีผลในการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองประชาธิปไตย หรือเปลี่ยนแปลงรูปของรัฐ จะเสนอมิได้ ประกอบกับบันทึกหลักการและเหตุผล ประกอบร่างรธน.แห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติมที่ ... พ.ศ. ... ให้เหตุผลว่า จะยังคงรักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขไว้ตลอดไป และบทบทบัญญัติของร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าว ตามมาตรา 291/11 วรรค 5 ก็ยังบัญญัติคุ้มกันรับรองร่างรัฐธรรมนูญที่จะไม่กระทบที่สำคัญแห่งรัฐว่า ร่างรธน.ที่มีผลในการเปลี่ยนแปลงการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขหรือเปลี่ยนแปลงรูปของรัฐ หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขบทบัญญัติว่าด้วยพระมหากษัตริย์จะกระทำมิได้ และหากร่างรธน.มีลักษณะตามวรรค 5 ดังกล่าวให้ร่างรธน.ตกไป ตามมาตรา 291 (11) วรรค 6

อย่างไรก็ตาม หากสภาร่างรธน. ในร่างรธน.ที่มีลักษณะเปลี่ยนแปลงการปกครองในระบอบประชาธิปไตย หรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรนัฐหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขบทบัญญัติในหมวดว่าด้วยพระมหากษัตริย์แล้ว ทั้งประธานรัฐสภาและสภาฯ ก็มีอำนาจยับยั้งร่างรธน.นั้นเป็นอันตกไปได้

รวมทั้งหากบุคคลใดทราบว่ามีการกระทำเพื่อล้มล้างระบอบการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ตามรธน.นี้ ผู้ทราบการกระทำดังกล่าวก็ยังมีสิทธิเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริง และยื่นคำร้องให้ศาลรธน.วินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าวในทุกช่วงทุกเหตุการณ์ ที่บุคคลนั้นทราบ ตามที่ม.68 ยังมีผลบังคับใช้

ประการสำคัญเมื่อพิจารณาคำชี้แจง แก้ข้อกล่าวหาบันทึกยืนยันข้อเท็จจริงไต่สวนข้อเท็จจริง จากฝ่ายผู้ถูกร้องอาทิ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา นายอัชพร จารุจินดา ผู้แทนคณะรัฐมนตรี นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ ผู้แทนพรรคเพื่อไทย นายชุมพล ศิลปอาชา ผู้แทนพรรคชาติไทยพัฒนา และนายภราดร ปริศนานันทกุล ล้วนต่างเบิกความถึงเจตนารมณ์ในการดำเนินการ เพื่อให้มีการจัดทำ จัดการร่างรธน.ฉบับใหม่ว่า มิได้มีเจตนารมณ์เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญนี้ และผู้ถูกร้องทั้งหมด ยังแสดงถึงการตั้งมั่นว่า จะดำรงไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอยู่เช่นเดิม

พิจารณาแล้วจึงเห็นว่า ข้ออ้างของผู้ร้อง ทั้ง 5 ดังกล่าว ข้อเท็จจริงยังไม่เพียงพอที่จะวินิฉัยได้ว่า การกระทำของผู้ถูกร้องทั้ง 6 เป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ข้ออ้างทั้งหมดจึงยังคงเป็นเพียงการคาดการณ์ เป็นความห่วงใยถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และยังห่างไกลต่อเหตุที่จะเกิดขึ้นตามที่กล่าวอ้าง

              ข้อเท็จจริงจึงไม่ฟังว่าเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญนี้แต่อย่างใด

ดังนั้น การกระทำของผู้ถูกร้องจึงไม่ได้ว่า มีเจตนาล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญนี้ หรือเป็นเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองประเทศ ไม่ได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ ในรธน.แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 68 วรรค 1 ศาลจึงให้ยกคำร้องในส่วนนี้

เมื่อวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวแล้วจึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยในประเด็นที่ 4 อีก อาศัยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น จึงวินิจฉัยให้ยกคำร้องทั้ง 5 คำร้อง

http://redusala.blogspot.com

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๘๙


รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๘๙

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
อานันทมหิดล
ตราไว้ ณ วันที่ ๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๘๙ เป็นปีที่ ๑๓ ในรัชกาลปัจจุบัน

ศุภมัสดุ พระพุทธศาสนกาลเป็นอดีตภาค ๒๔๘๙ พรรษา ปัจจุบันนสมัย จันทรคตินิยม ศุนสมพัตสร วิสาขมาส ศุกลปักษ์ นวมีดิถี สุริยคติกาล พฤษภาคมมาส นวมสุรทิน ชีววาร โดยกาลบริจเฉท
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จออก ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ท่ามกลางอุดมสันนิบาต พระบรมวงศานุวงศและทูตานุฑูต ผู้แทนนานาประเทศ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เสนามาตยราชบริพาร เฝ้าเบื้องบาทบงกช พรั่งพร้อมกันโดยอนุกรม

ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก มหันตเดชนดิลกรามาธิบดีฯ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ข้าราชการและประชาชนของพระองค์ มีส่วนมีเสียงตามความเห็นดีเห็นชอบ ในการจรรโลงประเทศไทยให้วัฒนาถาวรสืบไปในภายภาคหน้า จึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานรัฐธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๗๕ เป็นการชั่วคราว พอให้สภาผู้แทนราษฎรและคณะกรรมการราษฎรได้จัดรูปงานดำเนินประศาสโนบายให้เหมาะสมแก่ที่ได้มีการเปลี่ยนแปลง ครั้นแล้วโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สภาผู้แทนราษฎรปรึกษากันร่างรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทยเพื่อถือเป็นหลักการถาวรแห่งรัฐประศาสนวิธีต่อไป สภาผู้แทนราษฎรจึ่งตั้งอนุกรรมการคณะหนึ่งประกอบร่างรัฐธรรมนูญขึ้น

เมื่ออนุกรรมการได้เรียบเรียงรัฐธรรมนูญฉะบับถาวรสนองพระเดชพระคุณสำเร็จลงด้วยดี นำเสนอสภาผู้แทนราษฎรและสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาปรึกษาลงมติแล้ว จึ่งทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายคำปรึกษา เมื่อทรงพระราชวิจารณ์ถี่ถ้วนทั่วกระบวนความแล้ว จึ่งมีพระบรมราชโองการดำรัสเหนือเกล้าเหนือกระหม่อมสั่งให้ตรารัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทยประกาศใช้แต่วันที่ ๑๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๗๕ เป็นต้นมา

ต่อมานายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในขณะนั้น ได้ปรารภกับนายควง อภัยวงศ์ นายกรัฐมนตรีว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยนี้ พระมหากษัตริย์ได้พระราชทานแก่ชนชาวไทยมาแล้วเป็นปีที่ ๑๔ ถึงแม้ว่าการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีรัฐธรรมนูญเป็นหลักนี้จะได้ยังความ เจริญให้เกิดแก่ประเทศชาตินับเป็นอเนกประการ ทั้งประชาชนจะได้ทราบซึ้งถึงคุณประโยชน์ของการปกครองระบอบนี้เป็นอย่างดีแล้วก็จริง แต่เหตุการณ์บ้านเมืองก็ได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นอันมาก ถึงเวลาแล้วที่ควรจะได้เลิกบทฉะเพาะกาลอันมีอยู่ในรัฐธรรมนูญนั้น และปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย นายกรัฐมนตรีจึ่งนำความนั้นปรึกษาหารือกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ ๒ พร้อมกับคณะผู้ก่อการขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ

เมื่อได้ปรึกษาตกลงกันแล้ว รัฐบาลคณะนายควง อภัยวงศ์ จึงเสนอญัตติต่อสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๘๘ ขอให้ตั้งกรรมาธิการวิสามัญคณะหนึ่ง เพื่อพิจารณาค้นคว้าตรวจสอบว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยนี้ สมควรได้รับการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมอย่างไร เพื่อให้เหมาะสมกับสถานะการณ์ของบ้านเมืองและเพื่อให้การปกครองระบอบ ประชาธิปไตยเป็นผลสมบูรณ์ยิ่งขึ้น สภาผู้แทนราษฎรจึ่งตั้งกรรมาธิการวิสามัญขึ้นคณะหนึ่ง เพื่อพิจารณาค้นคว้าตรวจสอบรัฐธรรมนูญตามคำเสนอข้างต้นนี้ กรรมาธิการคณะนี้ได้ทำการตลอดสมัยของรัฐบาลคณะนายควง อภัยวงศ์ คณะนายทวี บุณยเกตุ และคณะหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช

ต่อมารัฐบาลคณะหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช ได้ตั้งกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง เพื่อรวบรวมความเห็นและเรียบเรียงบทบัญญัติขึ้นเป็นร่างรัฐธรรมนูญ เมื่อกรรมการคณะนี้ทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาแก้ไขอีกชั้นหนึ่งแล้วนำเสนอผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ประชุมปรึกษาหารือสมาชิกสภาผู้แทนประเภทที่ ๒ และคณะผู้ก่อการขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ ที่ประชุมได้ตั้งกรรมการขึ้นพิจารณา เมื่อกรรมการได้ตรวจพิจารณาแก้ไขแล้ว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ ๒ จึ่งได้เสนอญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อสภาผู้แทน ราษฎร เมื่อสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาลงมติรับหลักการแล้ว จึ่งตั้งกรรมาธิการวิสามัญขึ้นคณะหนึ่ง

บัดนี้คณะกรรมาธิการวิสามัญของสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาและแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งร่างรัฐธรรมนูญ สำเร็จเรียบร้อยแล้วเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร สภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาเป็นการสำเร็จบริบูรณ์ จึ่งได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย เมื่อทรงพระราชวิจารณ์ถี่ถ้วนกระบวนความแล้ว ทรงพระราชดำริเห็นว่า ประชากรของพระองค์ประกอบด้วยวุฒิปรีชาในรัฐาภิปาลโนบายสามารถจรรโลงประเทศชาติของตนในอันที่จะก้าวหน้าไปสู่สากลอารยะธรรมแห่งโลกได้โดยสวัสดี

จึ่งมีพระบรมราชโองการดำรัสเหนือเกล้าเหนือกระหม่อม โดยคำแนะนำและยินยอมของสภาผู้แทนราษฎร ให้ตรารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉะบับนี้ขึ้นไว้ ประสิทธิประสาทประกาศให้ใช้ตั้งแต่วันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๔๘๙ เป็นต้นไป และให้ใช้รัฐธรรมนูญฉะบับที่ได้แก้ไขเพิ่มเติมนี้แทนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๗๕ รัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมว่าด้วยนามประเทศ พุทธศักราช ๒๔๘๒ รัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมว่าด้วยบทฉะเพาะกาล พุทธศักราช ๒๔๘๓ และรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พุทธศักราช ๒๔๘๕

ขอให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยนี้ จงเป็นหลักที่สถาพรสถิตประดิษฐานสมรรถภาพอันประเสริฐ เป็นบ่อเกิดความผาสุกสันติคุณวิบุลราศีแก่อาณาประชาชนตลอดจำเนียรกาลประวัติ นำประเทศไทยให้บรรลุสรรพพิพัฒนชัยมงคล อเนกศุภผลสกลเกียรติยศมโหฬาร ขอให้อาณาประชาราษฎรจงมีความสมัครสมานสโมสรในสามัคคีรสธรรมเป็นเอกฉันท์ใน อันที่จะปฏิบัติตามและรักษาไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยนี้ ให้ยืนยงคงอยู่กับไทยรัฐราชสีมา ตราบเท่ากัลปาวสานสมดั่งพระบรมราชประณิธานทุกประการเทอญ


บททั่วไป

มาตรา ๑ ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้ ประชาชนชาวไทยไม่ว่าเหล่ากำเนิดหรือศาสนาใด ย่อมอยู่ในความคุ้มครองแห่งรัฐธรรมนูญนี้เสมอกัน

มาตรา ๒ อำนาจอธิปไตยย่อมมาจากปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้เป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นแต่โดยบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้


หมวด ๑ พระมหากษัตริย์

มาตรา ๓ องค์พระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคาระสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้

มาตรา ๔ พระมหากษัตริย์ต้องทรงเป็นพุทธมามกะ และทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก

มาตรา ๕ พระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย

มาตรา ๖ พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติทางรัฐสภา

มาตรา ๗ พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจบริหารทางคณะรัฐมนตรี

มาตรา ๘ พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจตุลาการทางศาล

มาตรา ๙ การสืบราชสมบัติให้เป็นไปโดยนัยแห่งกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช ๒๔๖๗ และประกอบด้วยความเห็นชอบของรัฐสภา

มาตรา ๑๐ ในเมื่อพระมหากษัตริย์จะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งจะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ จะได้ทรงตั้งบุคคลคนหนึ่งหรือหลายคนเป็นคณะขึ้นให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ด้วยความเห็นชอบของรัฐสภา ถ้าหากพระมหากษัตริย์มิได้ทรงตั้งหรือไม่สามารถจะทรงตั้งได้ ให้รัฐสภาปรึกษากันตั้งขึ้นและในระหว่างที่รัฐสภายังมิได้ตั้งผู้ใด ให้สมาชิกพฤฒสภาผู้มีอายุสูงสุดสามคน ประกอบเป็นคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ขึ้นชั่วคราว

มาตรา ๑๑ ในกรณีที่ราชบัลลังก์หากว่างลง และมิได้มีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตั้งไว้ตามความในมาตรา ๑๐ ให้สมาชิกพฤฒสภาผู้มีอายุสูงสุดสามคนประกอบเป็นคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ขึ้นชั่วคราว


หมวด ๒ สิทธิและหน้าที่ของชนชาวไทย

มาตรา ๑๒ บุคคลย่อมมีฐานะเสมอกันตามกฎหมายฐานันดรศักดิ์โดยกำเนิดก็ดี โดยแต่งตั้งก็ดี หรือโดยประการอื่นใดก็ดี ไม่กระทำให้เกิดเอกสิทธิอย่างใดเลย

มาตรา ๑๓ บุคคล ย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการถือศาสนาหรือลัทธินิยมใดๆและย่อมมีเสรีภาพในการ ปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อถือของตน เมื่อไม่ปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของพลเมือง และไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมของประชาชน

มาตรา ๑๔ บุคคล ย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในร่างกาย เคหะสถาน ทรัพย์สิน การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา การศึกษาอบรม การชุมนุมสาธารณะ การตั้งสมาคม การตั้งคระพรรคการเมือง การอาชีพ ทั้งนี้ภายใต้บังคับแห่งกฎหมาย

มาตรา ๑๕ บุคคลย่อมมีสิทธิเสนอเรื่องราวร้องทุกข์ภายในเงื่อนไขและวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ

มาตรา ๑๖ บุคคลมีหน้าที่เคารพต่อกฎหมาย และมีหน้าที่ป้องกันประเทศ ช่วยเหลือราชการโดยทางเสียภาษี และอื่นๆภายในเงื่อนไขและโดยวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ


หมวด ๓ อำนาจนิติบัญญัติ
ส่วนที่ ๑ บททั่วไป

มาตรา ๑๗ รัฐสภาประกอบด้วยพฤฒสภาและสภาผู้แทน ไม่ว่าจะประชุมแยกกันหรือร่วมกัน


มาตรา ๑๘ ร่างพระราชบัญญัติทั้งหลายจะตราขึ้นเป็นกฎหมายได้แต่โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา

มาตรา๑๙ การตราพระราชบัญญัติขึ้นเป็นกฎหมายให้มีผลย้อนหลังเป็นการลงโทษบุคคลในทางอาญานั้น จะกระทำมิได้

มาตรา ๒๐ ร่างพระราชบัญญัติซึ่งรัฐสภาได้ทำขึ้นเสร็จแล้วให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูล เกล้าฯถวาย เพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระมหาภิไธยและเมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา แล้วให้ใช้บังคับเป็นกฎหมายได้

มาตรา ๒๑ ถ้าพระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบด้วยร่างพระราชบัญญัตินั้น จะได้พระราชทานคืนมายังรัฐสภาภายในหนึ่งเดือน นับแต่วันที่นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายก็ดี หรือมิได้พระราชทานคืนมายังรัฐสภาภายในหนึ่งเดือนนั้นก็ดี รัฐสภาจะต้องปรึกษากันใหม่ ถ้ารัฐสภาลงมติยืนยันตามเดิม ให้นายกรัฐมนตรีนำร่างพระราชบัญญัตินั้นขึ้นทูลเกล้าฯถวายอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพระมหากษัตริย์มิได้ทรงลงพระปรมาภิไธยพระราชทานลงมาภายในสิบห้าวันแล้ว ให้นายกรัฐมนตรีนำพระราชบัญญัตินั้นประกาศในราชกิจจานุเบกษาใช้บังคับเป็นกฎหมายได้

มาตรา ๒๒ ร่างพระราชบัญญัติทั้งหลายจะเสนอมาจากคณะรัฐมนตรี หรือจากสมาชิกสภาผู้แทนก็ได้

มาตรา ๒๓ บุคคลใดจะเป็นสมาชิกพฤฒสภาและสภาผู้แทนในขณะเดียวกันไม่ได้

ส่วนที่ ๒ พฤฒสภา

มาตรา ๒๔ พฤฒ สภาประกอบด้วยสมาชิกที่ราษฎรเลือกตั้งมีจำนวนแปดสิบคน สมาชิกพฤฒสภาต้องไม่เป็นข้าราชการประจำ การเลือกตั้งสมาชิกพฤฒสภา ให้ใช้วิธีลงคะแนนออกเสียงโดยทางอ้อมและลับ

มาตรา ๒๕ คุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้งและผู้เลือกตั้งอีกทั้งหลักเกณฑ์และวิธี การเลือกตั้งให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกพฤฒสภา แต่ผู้สมัครรับเลือกตั้งอย่างน้อยจะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่าสี่สิบปีบริบูรณ์ และมีวิทยะฐานะไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่ามาแล้วไม่ต่ำกว่าห้าปีหรือ เคยดำรงตำแหน่งทางราชการมาแล้วไม่ต่ำกว่าหัวหน้ากองหรือเทียบเท่า หรือเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาแล้ว

มาตรา ๒๖ สมาชิกภาพแห่งพฤฒสภา มีกำหนดเวลาคราวละหกปี ฉะเพาะในวารเริ่มแรกเมื่อครบกำหนดสามปี ให้มีการเปลี่ยนสมาชิกกึ่งหนึ่งโดยวิธีจับสลาก แต่ผู้ที่ออกไปมีสิทธิได้รับเลือกตั้งกลับเข้ามาอีก ถ้าตำแหน่งสมาชิกว่างลงเพราะเหตุอื่นนอกจากถึงคราวออกตามวาระ ให้รัฐสภาเลือกบุคคลผู้มีคุณสมบัติตามความในมาตรา ๒๕ เข้ามาเป็นสมาชิกแทนตามวิธีการที่กำหนดในกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิก พฤฒสภา สมาชิกที่เข้ามาแทนนั้นย่อมอยู่ในตำแหน่งได้เพียงเท่ากำหนดเวลาของผู้ซึ่งตน แทน

มาตรา ๒๗ สมาชิกภาพแห่งพฤฒสภาสิ้นสุดลง เมื่อ
(๑) ถึงคราวออกตามวาระ
(๒) ตาย
(๓) ลาออก
(๔) ขาดคุณสมบัติตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกพฤฒสภา

มาตรา ๒๘ ในระหว่างที่สภาผู้แทนถูกยุบ การประชุมพฤฒสภานั้น จะกระทำมิได้

ส่วนที่ ๓ สภาผู้แทน

มาตรา ๒๙ สภาผู้แทนประกอบด้วยสมาชิกที่ราษฎรเลือกตั้งตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทน สมาชิกสภาผู้แทนต้องไม่เป็นข้าราชการประจำ การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนให้ใช้วิธีลงคะแนนออกเสียงโดยตรงและลับ

มาตรา ๓๐ คุณสมบัติของผู้เลือกตั้งและผู้สมัครรับเลือกตั้งอีกทั้งหลักเกณฑ์และวิธี การเลือกตั้งและจำนวนสมาชิกให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน

มาตรา ๓๑ อายุ ของสภาผู้แทนมีกำหนดเวลาคราวละสี่ปี ถ้าตำแหน่งสมาชิกว่างลงเพราะเหตุอื่น นอกจากถึงคราวออกตามอายุของสภาหรือยุบสภา ให้เลือกตั้งสมาชิกขึ้นแทนภายในกำหนดเวลาเก้าสิบวัน เว้นแต่อายุของสภาจะเหลือไม่ถึงหกเดือนสมาชิกที่เข้ามาแทนนั้นย่อมอยู่ในตำแหน่งได้เพียงเท่ากำหนดเวลาของผู้ซึ่งตนแทน

มาตรา ๓๒ พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทน เพื่อให้ราษฎรเลือกตั้งสมาชิกมาใหม่ในพระราชกฤษฎีกาให้ยุบสภา ต้องมีกำหนดเวลาให้เลือกตั้งสมาชิกใหม่ภายในเก้าสิบวัน การยุบสภาผู้แทนจะทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกัน

มาตรา ๓๓ สมาชิกภาพแห่งสภาผู้แทนสิ้นสุดลง เมื่อ
(๑) ถึงคราวออกตามอายุของสภาหรือยุบสภา
(๒) ตาย
(๓) ลาออก
(๔) ขาดคุณสมบัติตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน

มาตรา ๓๔ สมาชิกสภาผู้แทนมีสิทธิเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ รัฐมนตรีรายตัวหรือทั้งคณะได้ โดยมีสมาชิกรับรองไม่ต่ำกว่ายี่สิบสี่คน การลงมติในกรรีเช่นนี้มิให้กระทำในวันเดียวกันกับวันที่ปรึกษา

ส่วนที่ ๔ บทที่ใช้แก่สภาทั้งสอง

มาตรา ๓๕ ก่อนเข้ารับหน้าที่ สมาชิกพฤฒสภาและสภาผู้แทนต้องปฏิญาณในที่ประชุมแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิกว่า จะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญนี้

มาตรา ๓๖ สมาชิกพฤฒสภาและสภาผู้แทน ย่อมเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย ไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมายใดๆและต้องปฏิบัติหน้าที่ตามความเห็น ชอบของตนโดยบริสุทธิ์ใจ เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย

มาตรา ๓๗ พระมหากษัตริย์ทรงตั้งพฤฒสภาและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามมติของสภานั้นๆให้ เป็นประธานแห่งสภาคนหนึ่ง เป็นรองประธานคนหนึ่งหรือหลายคนก็ได้

มาตรา ๓๘ ประธานพฤฒสภาและประธานสภาผู้แทนมีหน้าที่ดำเนินกิจการของสภานั้นๆให้เป็น ไปตามระเบียบ รองประธานมีหน้าที่กระทำกิจการแทนประธานในเมื่อประธานไม่อยู่ หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้

มาตรา ๓๙ ในเมื่อประธานและรองประธานพฤฒสภาหรือสภาผู้แทนไม่อยู่ในที่ประชุม ให้สมาชิกของสภานั้นๆเลือกตั้งกันเองขึ้นเป็นประธานในคราวประชุมนั้น

มาตรา ๔๐ การประชุมของพฤฒสภาก็ดี หรือของสภาผู้แทนก็ดี ทุกคราวต้องมีสมาชกมาประชุมไม่ต่ำกว่าหนึ่งในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมด จึ่งเป็นองค์ประชุมได้

มาตรา ๔๑ การลงมติวินิจฉัยข้อปรึกษานั้น ให้ถือเอาเสียงข้างมากเป็นประมาณ เว้นไว้แต่เรื่องซึ่งมีบทบัญญัติไว้เป็นพิเศษในรัฐธรรมนูญนี้ สมาชิกคนหนึ่งย่อมมีเสียงหนึ่งในการลงคะแนน ถ้ามีจำนวนเสียงลงคะแนนเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นได้อีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด

มาตรา ๔๒ ในที่ประชุมแห่งสภา สมาชิกผู้ใดจะกล่าวถ้อยคำใดๆในทางแถลงข้อเท็จจริง หรือแสดงความเห็น หรือออกเสียงลงคะแนน ย่อมเป็นเอกสิทธิอันเด็ดขาด ผู้ใดจะนำไปเป็นเหตุฟ้องร้องว่ากล่าวสมาชิกผู้นั้นในทางใดๆมิได้ เอกสิทธินี้คุ้มครองไปถึงผู้พิมพ์และผู้โฆษณารายงานการประชุมโดยคำสั่งของ สภาและคุ้มครองไปถึงบุคคลที่สภาเชิญมาแถลงข้อเท็จจริงหรือแสดงความเห็นในที่ประชุมด้วย

มาตรา ๔๓ สมัยประชุมของพฤฒสภาและของสภาผู้แทนย่อมเริ่มต้นและสิ้นสุดลงพร้อมกัน

มาตรา ๔๔ ในปีหนึ่งให้มีสมัยประชุมสามัญของสภาทั้งสองสมัยหนึ่งหรือหลายสมัยแล้วแต่สภาผู้แทนจะกำหนดการประชุมครั้งแรกต้องกำหนดให้สมาชิกได้มาประชุมภายในสาม สิบวันนับแต่วันเลือกตั้ง วันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีให้สภาผู้แทนเป็นผู้กำหนด

มาตรา ๔๕ สมัยประชุมสามัญสมัยหนึ่งๆมีกำหนดเวลาเก้าสิบวัน แต่พระมหากษัตริย์จะโปรดเกล้าฯให้ขยายเวลาออกไปก็ได้ อนึ่ง ในระหว่างเวลาเก้าสิบวันนั้น จะโปรดเกล้าฯให้ปิดประชุมก็ได้

มาตรา ๔๖ พระมหากษัตริย์ทรงเรียกประชุมพฤฒสภาและสภาผู้แทนตามสมัยประชุม ทรงเปิดและปิดประชุม พิธีเปิดประชุมจะทรงพระกรุณาเสด็จพระราชดำเนินมาทรงทำหรือจะโปรดเกล้าฯให้รัชชทายาทที่บรรลุนิติภาวะแล้ว หรือผู้ใดผู้หนึ่งกระทำพิธีแทนพระองค์ก็ได้

มาตรา ๔๗ เมื่อเป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน พระมหากษัตริย์จะทรงเรียกประชุมวิสามัญแห่งสภาทั้งสองก็ได้

มาตรา ๔๘ สมาชิกพฤฒสภาและสภาผู้แทนทั้งสองสภาหรือสมาชิกของแต่ละสภา มีจำนวนไม่ต่ำกว่าหนึ่งในสามของจำนวนสมาชิกของทั้งสองสภา มีสิทธิเจ้าชื่อร้องขอให้นำความกราบบังคมทูลขอให้ทรงเรียกประชุมวิสามัญแห่งสภาทั้งสองได้ คำร้องขอดังกล่าวในวรรคก่อน ถ้าเป็นของสมาชิกแห่งสภาใดก็ให้ยื่นต่อประธานแห่งสภานั้น ถ้าเป็นของสมาชิกทั้งสองสภา ก็ให้ยื่นต่อประธานแห่งสภาที่มีสมาชิกเจ้าชื่อมีจำนวนมากกว่า ถ้ามีจำนวนเท่ากัน ก็ให้ยื่นต่อประธานพฤฒสภา ให้ประธานแห่งสภาที่ได้รับคำร้องขอนำความกราบบังคมทูลและรับสนองพระบรมราชโองการ

มาตรา ๔๙ ในระหว่างสมัยประชุม ผู้ใดจะฟ้องสมาชิกพฤฒสภา หรือสมาชิกสภาผู้แทนในทางอาญา ศาลจะต้องได้รับอนุญาตจากสภาที่ผู้นั้นเป็นสมาชิก่อนจึ่งพิจารณาได้ แต่การพิจารณาคดีนั้นต้องมิให้เป็นการขัดขวางต่อการที่สมาชิกผู้นั้นจะมา เข้าประชุม การพิจารณาคดีที่ศาลได้กระทำไปก่อนมีคำอ้างว่า จำเลยเป็นสมาชิกของสภาใดสภาหนึ่งนั้น ย่อมเป็นอันใช้ได้

มาตรา ๕๐ ในระหว่างสมัยประชุม ห้ามมิให้หรือหมายเรียกตัวสมาชิกพฤฒสภา หรือสมาชิกสภาผู้แทนไปกักขัง เว้นไว้แต่จับในขณะกระทำผิด แต่ต้องรีบรายงานไปยังประธานแห่งสภาที่ผู้นั้นเป็นสมาชิก ประธานแห่งสภานั้นอาจสั่งปล่อยผู้ถูกจับให้พ้นจากการกักขังได้

มาตรา ๕๑ ถ้าสมาชิกพฤฒสภาหรือสภาผู้แทนถูกกักขังในระหว่างสอบสวนหรือพิจารณาอยู่ก่อน สมัยประชุม เมื่อถึงสมัยประชุมพนักงานสอบสวนหรือศาลแล้วแต่กรณีจะต้องสั่งปล่อย ถ้าหากสภาที่ผู้นั้นเป็นสมาชิกได้ร้องขอ คำสั่งปล่อยตามความในวรรคก่อนให้มีผลบังคับตั้งแต่วันสั่งปล่อยจนถึงวันสุดท้ายแห่งสมัยประชุม

มาตรา ๕๒ ร่างพระราชบัญญัติให้เสนอต่อสภาผู้แทนก่อนเมื่อสภาผู้แทนได้พิจารณาลงมติให้ ใช้ได้แล้ว ให้นำเสนอต่อพฤฒสภา ถ้าพฤฒสภาพิจารณาลงมติเห็นชอบด้วยโดยไม่แก้ไขแล้ว ก็ให้ดำเนินการต่อไปตามความในมาตรา ๒๐ ถ้าหากพฤฒสภาลงมติไม่เห็นชอบด้วย ก็ให้ส่งร่างพระราชบัญญัตินั้นกลับคืนมาให้สภาผู้แทนพิจารณาใหม่ ถ้าสภาผู้แทนลงมติเห็นชอบตามพฤฒสภาแล้วก็ให้ถือว่าร่างพระราชบัญญัตินั้น เป็นอันตกไป ถ้าพฤฒสภาลงมติให้แก้ไขเพิ่มเติม ก็ให้ส่งร่างพระราชบัญญัตินั้นกลับคืนมาให้สภาผู้แทนพิจารณาใหม่ ถ้าสภาผู้แทนลงมติเห็นชอบตามที่พฤฒสภาแก้ไขเพิ่มเติมมา ก็ให้ดำเนินการต่อไปตามความในมาตรา ๒๐ ถ้าหากสภาผู้แทนลงมติยืนยันตามเดิมในร่างพระราชบัญญัติที่ส่งกลับคืนมาตาม ความในวรรคสอง หรือวรรคสามด้วยคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดแล้ว ก็ให้ถือว่าร่างพระราชบัญญัตินั้นเป็นอันได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา และให้ดำเนินการต่อไปตามความในมาตรา ๒๐

มาตรา ๕๓ ร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินนั้น จะเสนอได้โดยคณะรัฐมนตรี หรือโดยสมาชิกสภาผู้แทน ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีรับรอง ร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินนั้น หมายความถึงร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อความต่อไปนี้ทั้งหมด หรือแต่ข้อใดข้อหนึ่ง กล่าวคือ การตั้งขึ้นหรือยกเลิก หรือลด หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไข หรือผ่อน หรือวางระเบียบการบังคับอันเกี่ยวกับการภาษีหรืออากร หรือว่าด้วยเงินตรา การจัดสรร รับ รักษา หรือจ่ายเงินแผ่นดิน หรือการกู้เงิน หรือการประกัน หรือการใช้เงินกู้ ในกรณีเป็นที่สงสัย ให้เป็นอำนาจของประธานแห่งสภาผู้แทนที่จะวินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัติใด เป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินหรือไม่

มาตรา ๕๔ ร่างพระราชบัญญัติที่สภาผู้แทนได้ลงมติให้ใช้ได้และได้เสนอไปยังพฤฒสภานั้น พฤฒสภาจะต้องพิจารณาและลงมติภายในกำหนดสามสิบวัน แต่ถ้าร่างพระราชบัญญัตินั้นเป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน พฤฒสภาจะต้องพิจารณาและลงมติภายในกำหนดสิบห้าวัน กำหนดวันดั่งกล่าวในวรรคก่อน ให้หมายถึงวันในสมัยประชุมและให้เริ่มนับแต่วันที่ร่างพระราชบัญญัตินั้นได้ มาถึงพฤฒสภา ถ้าพฤฒสภาไม่ได้พิจารณาลงมติในร่างพระราชบัญญัติที่สภาผู้แทนส่งมาภายใน กำหนดเวลาที่กล่าวในวรรคแรก ก็ให้ถือว่าพฤฒสภาได้ให้ความเห็นชอบในร่างพระราชบัญญัตินั้น

มาตรา ๕๕ งบประมาณแผ่นดินประจำปี ต้องตราขึ้นเป็นพระราชบัญญัติ ถ้าพระราชบัญญัติออกไม่ทันปีใหม่ ให้ใช้พระราชบัญญัติปีก่อนนั้นไปพลาง

มาตรา ๕๖ พฤฒสภาและสภาผู้แทน มีอำนาจควบคุมราชการแผ่นดิน โดยบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

มาตรา ๕๗ ในที่ประชุมของพฤฒสภาหรือสภาผู้แทน สมาชิกทุกคนมีสิทธิตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรีในข้อความใดๆอันเกี่ยวกับการงานใน หน้าที่ได้ แต่รัฐมนตรีย่อมมีสิทธิที่จะไม่ตอบ เมื่อเห็นว่าข้อความนั้นๆยังไม่ควรเปิดเผยเพราะเกี่ยวกับความปลอดภัยหรือ ประโยชน์สำคัญของแผ่นดิน

มาตรา ๕๘ การประชุมของพฤฒสภาและสภาผู้แทน ย่อมเป็นการเปิดเผยตามลักษณะที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของแต่ละสภา แต้ถ้าหากคณะรัฐมนตรีหรือสมาชิกของแต่ละสภาไม่ต่ำกว่ายี่สิบห้าคนร้องขอก็ให้ประชุมลับ

มาตรา ๕๙ พฤฒสภาและสภาผู้แทนมีอำนาจเลือกสมาชิกในสภาตั้งเป็นคณะกรรมาธิการสามัญ และมีอำนาจเลือกบุคคลที่เป็นสมาชิกหรือมิได้เป็นสมาชิกในสภาก็ตามเป็นคณะ กรรมาธิการวิสามัญเพื่อกระทำกิจการหรือพิจารณาสอบสวนข้อความใดๆอันอยู่ในวง งานของสภา แล้วรายงานต่อสภา คณะกรรมาธิการที่กล่าวนี้ ย่อมมีอำนาจเรียกบุคคลใดๆมาชี้แจงแสดงความเห็นในกิจการที่กระทำหรือพิจารณา อยู่นั้นได้ เอกสิทธิที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๔๒ นั้น ให้ความคุ้มครองถึงบุคคลผู้กระทำหน้าที่ตามมาตรานี้ด้วย

มาตรา ๖๐ การประชุมคณะกรรมาธิการตามมาตรา ๕๙ นั้น ต้องมีกรรมาธิการมาประชุมไม่ต่ำกว่ากึ่งจำนวนจึ่งเป็นองค์ประชุมได้

มาตรา ๖๑ พฤฒสภาและสภาผู้แทนมีอำนาจตั้งข้อบังคับการประชุมและการปรึกษาของสภาเพื่อดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

ส่วนที่ ๕ การประชุมร่วมกันของรัฐสภา

มาตรา ๖๒ ในกรณีต่อไปนี้ ให้รัฐสภาประชุมร่วมกัน

(๑) การให้ความเห็นชอบในการสืบราชสมบัติตามความในมาตรา ๙
(๒) การตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามความในมาตรา ๑๐
(๓) การปรึกษาร่างพระราชบัญญัติกันใหม่ตามความในมาตรา ๒๑
(๔) การเลือกตั้งซ่อมสมาชิกพฤฒสภาตามความในมาตรา ๒๖
(๕) พิธีเปิดประชุมรัฐสภาตามความในมาตรา ๔๖
(๖) การลงมติความไว้ใจในคณะรัฐมนตรีตามความในมาตรา ๖๙
(๗) การให้ความยินยอมในการประกาศสงครามตามความในมาตรา ๗๕
(๘) การให้ความเห็นชอบแก่หนังสือสัญญาตามความในมาตรา ๗๖
(๙) การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญตามความในมาตรา ๘๕
(๑๐) การตีความในรัฐธรรมนูญตามความในมาตรา ๘๖
(๑๑) การแต่งตั้งคณะตุลาการรัฐธรรมนูญตามความในมาตรา ๘๙

มาตรา ๖๓ ให้ประธานพฤฒสภาเป็นประธานของที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา และให้ประธานสภาผู้แทนเป็นรองประธาน

มาตรา ๖๔ ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ให้ใช้ข้อบังคับการประชุมและการปรึกษาของพฤฒสภาโดยอนุโลม

มาตรา ๖๕ ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ให้นำบทที่ใช้แก่สภาทั้งสองมาใช้โดยอนุโลม

หมวด ๔ อำนาจบริหาร

มาตรา ๖๖ พระมหากษัตริย์ทรงตั้งรัฐมนตรีขึ้นคณะหนึ่งประกอบด้วยนายกรัฐมนตรีคนหนึ่ง และรัฐมนตรีอีกอย่างน้อยสิบคนอย่างมากสิบแปดคน ในการตั้งนายรัฐมนตรี ประธานพฤฒสภาและประธานสภาผู้แทนเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ รัฐมนตรีต้องไม่เป็นข้าราชการประจำ

มาตรา ๖๗ ให้คณะรัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน

มาตรา ๖๘ รัฐมนตรีผู้มิได้เป็นสมาชิกย่อมมีสิทธิไปประชุมและแถลงข้อเท็จจริงหรือ แสดงความเห็นในพฤฒสภา สภาผู้แทน หรือในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา แต่ไม่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนน เอกสิทธิที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๔๒ นั้น ให้นำมาใช้โดยอนุโลม

มาตรา ๖๙ ในการดำเนินนโยบายบริหารราชการแผ่นดินคณะรัฐมนตรีต้องได้รับความไว้ใจของ รัฐสภา รัฐมนตรีผู้ได้รับแต่งตั้งให้ว่าการกระทรวง ต้องรับผิดชอบในหน้าที่ของตนต่อรัฐสภาในทางรัฐธรรมนูญ และรัฐมนตรีทุกคนจะได้รับแต่งตั้งให้ว่าการกระทรวงหรือไม่ก็ตาม ต้องรับผิดชอบร่วมกันนโยบายทั่วไปของคณะรัฐมนตรี

มาตรา ๗๐ รัฐมนตรีทั้งคณะต้องออกจากตำแหน่งเมื่อสภาผู้แทนลงมติไม่ไว้ใจในคณะตาม มาตรา ๓๔ หรือรัฐสภาไม่ให้ความไว้ใจตามมาตรา ๖๙ หรือเมื่อสภาผู้แทนชุดที่มีส่วนให้ความไว้ใจแก่คณะรัฐมนตรีในขณะเข้ารับ หน้าที่นั้นสิ้นสุดลง ในกรณีดั่งกล่าวนี้และในกรณีที่คณะรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่งเอง คณะรัฐมนตรีที่ออกนั้นต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อดำเนินงานไปจนกว่าจะได้ตั้งคณะ รัฐมนตรีขึ้นใหม่

มาตรา ๗๑ ความเป็นรัฐมนตรีจะสิ้นสุดลงฉะเพาะตัวโดย
(๑) ตาย
(๒) ลาออก
(๓) ขาดคุณสมบัติตามความในมาตรา ๒๗ (๔) มาตรา ๓๓ (๔)
(๔) สภาผู้แทนลงมติไม่ไว้ใจ

มาตรา ๗๒ ในเหตุฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนในอันจะรักษาความปลอดภัยสาธารณะ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ และจะเรียกประชุมรัฐสภาให้ทันท่วงทีมิได้ก็ดี หรือเมื่อกรณีเช่นว่านั้นเกิดขึ้นในระหว่างสภาผู้แทนถูกยุบก็ดี พระมหากษัตริย์จะทรงตราพระราชกำหนดให้ใช้บังคับดั่งเช่นพระราชบัญญัติก็ได้ ในการประชุมรัฐสภาในคราวต่อไป ให้นำพระราชกำหนดนั้นเสนอต่อรัฐสภา ถ้ารัฐสภาอนุมัติแล้ว พระราชกำหนดนั้นก็เป็นพระราชบัญญัติต่อไป ถ้ารัฐสภาไม่อนุมัติ พระราชกำหนดนั้นก็เป็นอันตกไป แต่ทั้งนี้ไม่กระทบถึงกิจการที่ได้เป็นไปในระหว่างที่ใช้พระราชกำหนดนั้น คำอนุมัติและไม่อนุมัติให้ทำเป็นพระราชบัญญัติ

มาตรา ๗๓ ในระหว่างสมัยประชุม ถ้าคณะรัฐมนตรีเห็นว่า ร่างพระราชบัญญัติที่เกี่ยวด้วยการภาษีอากร หรือเงินตราฉะบับใดจะต้องได้รับการพิจารณาโดยด่วนและลับเพื่อรักษาประโยชน์ของแผ่นดินจะถวายคำแนะนำต่อพระมหากษัตริย์เพื่อทรงตราเป็นพระราชกำหนดให้ใช้ บังคับดั่งพระราชบัญญัติก็ได้ พระราชกำหนดที่ได้ตราขึ้นตามความในวรรคก่อน จะต้องนำเสนอต่อรัฐสภาภายในสองวันนับแต่วันประกาศใช้ และให้นำความในวรรคสองและวรรคสามแห่งมาตรา ๗๒ มาใช้บังคับโดยอนุโลม

มาตรา ๗๔ พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการประกาศให้ใช้กฎอัยยการศึกตามลักษณะและวิธีการตามกฎหมายว่าด้วยกฎอัยยการศึก

มาตรา ๗๕ พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการประกาศสงครามเมื่อได้รับความ ยินยอมของรัฐสภาแล้ว มติให้ความยินยอมของสภา ต้องมีเสียงไม่ต่ำกว่าสองในสามของจำนวนสมาชิกทั้งสองสภา

มาตรา ๗๖ พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการทำหนังสือสัญญาสันติภาพสงบศึก และทำหนังสือสัญญาอื่นกับนานาประเทศ หนังสือสัญญาใดมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตต์ไทยหรือจะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อ ให้การเป็นไปตามสัญญา ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา มาตรา ๗๗ พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษ

มาตรา ๗๘ พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการตราพระราชกฤษฎีกาโดยไม่ขัดต่อ กฎหมาย มาตรา ๗๙ภายใต้บังคับแห่งมาตรา ๔๘ และมาตรา ๖๖ บทกฎหมาย พระราชหัตถเลขาและพระบรมราชโองการใดอันเกี่ยวกับราชการแผ่นดิน ต้องมีรัฐมนตรีคนหนึ่งลงนามรับสนองพระบรมราชโองการเป็นผู้รับผิดชอบ


หมวด ๕ อำนาจตุลาการ

มาตรา ๘๐ การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีเป็นอำนาจของศาลโดยฉะเพาะ ซึ่งจะต้องดำเนินตามกฎหมาย และในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์

มาตรา ๘๑บรรดาศาลทั้งหลายจักตั้งขึ้นได้แต่โดยพระราชบัญญัติ

มาตรา ๘๒ การตั้งศาลขึ้นใหม่ เพื่อพิจารณาพิพากษาคดีใดคดีหนึ่งหรือที่มีข้อหาฐานใดฐานหนึ่งโดยฉะเพาะแทน ศาลธรรมดาที่มีตามกฎหมายสำหรับพิจารณาพิพากษาคดีนั้นๆจะกระทำมิได้

มาตรา ๘๓ ผู้พิพากษาย่อมมีอิสสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีให้เป็นไปตามกฎหมาย

มาตรา ๘๔ การแต่งตั้ง การเลื่อนตำแหน่ง การเลื่อนเงินเดือน การย้าย และการถอดถอนผู้พิพากษา จะต้องได้รับความเห็นชอบของคณะกรรมการตุลาการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้า ราชการฝ่ายตุลาการ


หมวด ๖ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ

มาตรา ๘๕ รัฐธรรมนูญนี้จะแก้ไขเพิ่มเติมได้แต่โดยเงื่อนไขต่อไปนี้
(๑)   ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมต้องมาจากคณะรัฐมนตรี หรือจากสมาชิกสภาผู้แทนซึ่งต้องมีจำนวนไม่ต่ำกว่าหนึ่งในสี่ของจำนวนสมาชิกทั้งหมด
(๒)   ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญนี้ให้รัฐสภาพิจารณาร่วมกันเป็นสามวาระ
(๓)   การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่หนึ่งชั้นรับหลักการให้ใช้วิธีเรียกชื่อและต้อง มีเสียงเห็นชอบด้วยในการแก้ไขเพิ่มเติมนั้นไม่ต่ำกว่าสองในสามแห่งจำนวน สมาชิกทั้งสองสภา
(๔)   การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่สองชั้นพิจารณาเรียงลำดับมาตรา ซึ่งมีคำเสนอแก้ไขแปรญัตติหรือซึ่งมีการแก้ไขโดยคณะกรรมาธิการ ให้ถือเอาเสียงข้างมากเป็นประมาณ
(๕)   เมื่อการพิจารณาวาระที่สองเสร็จสิ้นแล้ว ให้รอไว้สิบห้าวัน เมื่อพ้นกำหนดแล้วต้องนำเสนอรัฐสภา เพื่อพิจารณาในวาระที่สามต่อไป
(๖)   การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่สามชั้นสุดท้าย ให้ใช้วิธีเรียกชื่อและต้องมีเสียงเห็นชอบด้วยในการที่จะให้ออกใช้เป็น กฎหมายไม่ต่ำกว่าสองในสามแห่งจำนวนสมาชิกทั้งสองสภา
(๗)   เมื่อการออกเสียงลงมติได้เป็นไปตามที่กล่าวข้างบนนี้แล้ว จึ่งให้ดำเนินการต่อไปตามความในมาตรา ๖๐


หมวด ๗ บทสุดท้าย

มาตรา ๘๖ ภายใต้บังคับมาตรา ๘๘ รัฐสภาทรงไว้ซึ่งสิทธิเด็ดขาดในการตีความแห่งรัฐธรรมนูญนี้ มติในการตีความแห่งรัฐธรรมนูญนี้ต้องมีเสียงไม่ต่ำกว่ากึ่งจำนวนสมาชิกทั้งสองสภา

มาตรา ๘๗ บทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีข้อความแย้งหรือขัดต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้

มาตรา ๘๘ ในการที่ศาลจะใช้บทกฎหมายบังคับแก่คดีใด ถ้าศาลเห็นว่าบทกฎหมายนั้นต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา ๘๗ ก็ให้ศาลรอการพิจารณาพิพากษาคดีนั้นไว้ชั่วคราว แล้วให้รายงานความเห็นเช่นว่านั้นตามทางการไปยังคณะตุลาการรัฐธรรมนูญเพื่อ พิจารณาวินิจฉัย เมื่อคณะตุลาการรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยแล้ว ให้แจ้งให้ศาลทราบ คำวินิจฉัยของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญให้ถือเป็นเด็ดขาดและให้ศาลปฏิบัติตามนั้น

มาตรา ๘๙ คณะตุลาการรัฐธรรมนูญประกอบด้วยบุคคลผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งรัฐสภาแต่งตั้งขึ้นเป็น ประธานตุลาการคนหนึ่ง และตุลาการอีกสิบสี่คน ให้มีการแต่งตั้งคณะตุลาการรัฐธรรมนูญใหม่ทุกครั้งเมื่อได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน เพราะเหตุที่สภาผู้แทนหมดอายุ หรือถูกยุบ วิธีพิจารณาของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น

บทเฉพาะกาล

มาตรา ๙๐ ในวาระเริ่มแรก พฤฒสภาประกอบด้วยสมาชิกซึ่งองค์การเลือกตั้งสมาชิกพฤฒสภาเป็นผู้เลือกตั้ง ภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันใช้รัฐธรรมนูญนี้ องค์การเลือกตั้งสมาชิกพฤฒสภาประกอบด้วยผู้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอยู่ใน วันสุดท้ายก่อนใช้รัฐธรรมนูญนี้ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งต้องมีคุณสมบัติเช่นเดียวกับผู้มีสิทธิสมัครรับเลือก ตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้ง พุทธศักราช ๒๔๗๕ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉะบับที่ ๓) พุทธศักราช ๒๔๗๙ โดยยกเว้นข้อห้ามตามมาตรา ๑๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๗๕ แต่อย่างน้อยผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องไม่เป็นข้าราชการประจำมีอายุไม่ต่ำ กว่าสามสิบห้าปี และมีวิทยฐานะไม่ต่ำกว่าปริญญาตรรีหรือเทียบเท่ามาแล้วไม่ต่ำกว่าห้าปี หรือเคยดำรงตำแหน่งทางราชการมาแล้วไม่ต่ำกว่าหัวหน้ากองหรือเทียบเท่าหรือ เคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาแล้ว ให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งยื่นสมัครรับเลือกตั้งด้วยตนเองต่อเลขาธิการองค์การ เลือกตั้งสมาชิกพฤฒสภาภายในสิบสองวันนับแต่วันใช้รัฐธรรมนูญนี้ วิธีการเลือกตั้งให้องค์การเลือกตั้งสมาชิกพฤฒสภากำหนดขึ้น

มาตรา ๙๑ ในวาระเริ่มแรก สภาผู้แทนประกอบด้วย สมาชิกซึ่งราษฎรเลือกตั้งตามพระราชกฤษฎีกาดำเนินการเลือกตั้งผู้แทนราษฎร พุทธศักราช ๒๔๘๘ ลงวันที่ ๒๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๘๘ และให้ดำเนินการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนเพิ่มจำนวนขึ้นอีกโดยถือเกณฑ์จำนวน ราษฎรหนึ่งแสนคนต่อสมาชิกสภาผู้แทนหนึ่งคน ถ้าในเขตต์จังหวัดใดมีจำนวนราษฎรตามผลการสำรวจสำมะโนครัวครั้งสุดท้ายเกิน กว่าหนึ่งแสนคน ให้จังหวัดนั้นมีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนต่อจำนวนราษฎรทุก หนึ่งแสนคน เศษของหนึ่งแสนถ้าถึงกึ่งหรือกว่า ให้นับเป็นหนึ่งแสน เมื่อถือเกณฑ์จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนในเขตต์จังหวัดหนึ่งๆตามความในวรรคก่อน ถ้าในเขตต์จังหวัดใดจะมีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนเพิ่มขึ้นจากจำนวนที่ได้มีการ เลือกตั้งตามพระราชกฤษฎีกาดำเนินการเลือกตั้งผู้แทนราษฎร พุทธศักราช ๒๔๘๘ ลงวันที่ ๒๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๘๘ แล้ว ก็ให้ดำเนินการเลือกตั้งฉะเพาะจำนวนที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น ให้มีการแบ่งเขตต์เลือกตั้งในจังหวัดหนึ่งๆซึ่งมีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนเพิ่ม ขึ้นกว่าหนึ่งคน ให้มีจำนวนราษฎรใกล้เคียงกันเท่าที่จะแบ่งได้ คุณสมบัติของผู้เลือกตั้งและผู้สมัครรับเลือกตั้งอีกทั้งหลักเกณฑ์และวิธี การเลือกตั้ง ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้ง พ.ศ.๒๔๗๕ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉะบับที่ ๓) พุทธศักราช ๒๔๗๙ โดยยกเว้นข้อห้ามตามมาตรา ๑๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๗๕

มาตรา ๙๒ ให้ดำเนินการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนเพิ่มขึ้นตามความในมาตรา ๙๑ ให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันใช้รัฐธรรมนูญนี้

มาตรา ๙๓ ให้เริ่มนับอายุสภาผู้แทนตั้งแต่วันใช้รัฐธรรมนูญนี้และให้ถือว่าสภาผู้แทน มีจำนวนสมาชิกเต็มตามที่ได้เลือกตั้งเพิ่มขึ้นในวันครบสิบห้าวันนับแต่วัน เลือกตั้ง

มาตรา ๙๔ ก่อนที่สภาผู้แทนจะมีจำนวนสมาชิกเต็มตามที่ได้เลือกตั้งเพิ่มขึ้น รัฐสภาประกอบด้วยพฤฒสภาตามความในมาตรา ๙๐ และสภาผู้แทนซึ่งประกอบด้วยสมาชิกที่ได้รับเลือกตั้งตามพระราชกฤษฎีกาดำเนิน การเลือกตั้งผู้แทนราษฎร พุทธศักราช ๒๔๘๘ ลงวันที่ ๒๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๘๘

มาตรา ๙๕ ให้คณะรัฐมนตรีซึ่งบริหารราชการแผ่นดินอยู่ก่อนวันใช้รัฐธรรมนูญนี้อยู่ในตำแหน่งเพื่อดำเนินการไปจนกว่าจะได้ตั้งคณะรัฐมนตรีขึ้นใหม่

มาตรา ๙๖ ถ้ามีความจำเป็นรีบด่วนในอันจะรักษาความปลอดภัยสาธารณะหรือป้องปัดภัยพิบัติ สาธารณะในระหว่างเวลาที่คณะรัฐมนตรีต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อดำเนินการตามความ ในมาตรา ๙๕ พระมหากษัตริย์จะทรงตราพระราชกำหนดให้ใช้บังคับดั่งเช่นพระราชบัญญัติก็ได้ ให้นำความในวรรคสองและวรรคสามแห่งมาตรา ๗๒ มาใช้บังคับแก่กรณีดั่งกล่าวในวรรคก่อนโดยอนุโลม

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการปรีดี พนมยงค์นายกรัฐมนตรี
(ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๖๓ ตอนที่ ๓๐ วันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๔๘๙)



http://redusala.blogspot.com

''''ธัมมิกประชาธิปไตย'''' ของพุทธทาส



''''ธัมมิกประชาธิปไตย'''' ของพุทธทาส
ธัมมิกประชาธิปไตย ของพุทธทาส
Posted: 11 Jul 2012 01:05 AM PDT
(อ้างอิงจากเวบไซท์ประชาไท http://www.prachatai.com)
สุรพศ ทวีศักดิ์

 เมื่อพุทธทาสภิกขุเปลี่ยนนิยามของประชาธิปไตยจาก “ประชาธิปไตยหมายถึงประชาชนเป็นใหญ่” เป็น “ประชาธิปไตยหมายถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่” พร้อมกับอ้างเหตุผลว่า “ถ้าประชาชนเป็นใหญ่ ประชาชนเห็นแก่ตัว ประชาชนบ้าๆ บอๆ ก็ฉิบหายหมด” แล้วเสนอว่าประชาธิปไตยที่ยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่คือ “ธัมมิกประชาธิปไตย” คือประชาธิปไตยที่ประกอบด้วยธรรม

 พุทธทาสจำแนก “ธรรม” ออกเป็น 4 ความหมาย แต่อาจสรุปเป็นสองอย่างหลักๆ คือ ธรรมที่เป็นกฎธรรมชาติที่เรียกว่า “กฎอิทัปปัจจยา” คือกฎแห่งการเป็นเหตุปัจจัยอิงอาศัยกันและกันของสรรพสิ่งในธรรมชาติ ซึ่งท่านตีความว่ากฎธรรมชาติดังกล่าวนี้มีเจตนารมณ์เพื่อส่วนรวม เรียกว่า “เจตนารมณ์สหกรณ์” กับธรรมอีกความหมายหนึ่ง คือศีลธรรมของผู้ปกครองและประชาชน ซึ่งเข้าใจความหมายกว้างๆ ได้ว่า หลักการปฏิบัติเพื่อละเว้นการใช้ความเห็นแก่ตัวละเมิดคนอื่น และ/หรือทุจริตเอาประโยชน์ส่วนรวมมาเป็นของตนเองและพวก และหลักการปฏิบัติเพื่อส่งเสริมประโยชน์สุขส่วนรวม

ฉะนั้น ธัมมิกประชาธิปไตย หรือประชาธิปไตยที่ประกอบด้วยธรรมในความหมายดังกล่าว จึงหมายถึงการวางระบบสังคมการเมืองให้มีกติกาการอยู่ร่วมกันในทางสังคม เศรษฐกิจ การเมืองที่สอดคล้องกับเจตจำนงสหกรณ์ หรือเจตจำนงเพื่อส่วนรวมตามกฎธรรมชาติ และมีระบบส่งเสริมให้ผู้ปกครองและประชาชนมีศีลธรรมเพื่อป้องกันการใช้ความเห็นแก่ตัวละเมิดผู้อื่น มีสำนึกและจรรยาปฏิบัติเพื่อส่งเสริมประโยชน์สุขส่วนรวม

จากนิยามประชาธิปไตยและข้อเสนอแนวคิดทางการเมืองของพุทธดังกล่าวนี้ ทำให้เกิดคำถามที่สำคัญตามมาอย่างน้อย 3 ประการ คือ พุทธทาสปฏิเสธอำนาจของประชาชนใช่หรือไม่? ถ้าปฏิเสธอำนาจของประชาชน เป็นการปฏิเสธจากสมมติฐานที่ว่า “ธรรมชาติของมนุษย์คือความเห็นแก่ตัว” ใช่หรือไม่? และ ความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวขัดแย้งกับความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมหรือไม่? ซึ่งผมอยากชวนแลกเปลี่ยนต่อไปนี้

1. พุทธทาสปฏิเสธอำนาจของประชาชนหรือไม่? จากนิยามประชาธิปไตยและการอ้างเหตุผลของพุทธทาสดังกล่าว เรายังสรุปไม่ได้ว่าท่านปฏิเสธอำนาจของประชาชน เนื่องจาก ข้อความว่า “ประชาชนเห็นแก่ตัว บ้าๆ บอๆ ก็ฉิบหายหมด” อยู่ในรูปของ “ประโยคเงื่อนไข” ซึ่งหมายความว่า “ประชาชนจะใช้อำนาจตามความเห็นแก่ตัวไม่ได้” ความหมายกว้างๆ ของ “ความเห็นแก่ตัว” ที่ท่านใช้ในกรอบของศีลธรรมทางการเมืองนั้นชัดเจนว่า มีความหมายเป็น “ปฏิปักษ์” ต่อ “ความเห็นแก่ส่วนรวม” ดังที่ท่านยกตัวอย่างเช่น การคดโกงกอบโกยเอาของส่วนรวมมาเป็นของตนเองหรือพวกตนเอง ซึ่งท่านเรียกว่าเป็นเอามาเพื่อ “ตัวกู ของกู”

นอกจากนี้ประโยคเงื่อนไขดังกล่าว ยังหมายความได้อีกว่า ถ้าประชาชนไม่เห็นแก่ตัว ไม่บ้าๆ บอๆ ก็สามารถมีอำนาจปกครองตนเองเพื่อบรรลุประโยชน์สุขของส่วนรวมได้ ฉะนั้น ท่านจึงเสนอว่าประชาธิปไตยเหมาะแก่ประชาชนที่มีศีลธรรม หมายถึงมีสำนึกทางศีลธรรมที่ยึดประโยชน์สุขของประชาชนเป็นใหญ่ ไม่ใช้ความเห็นแก่ตัวทุจริตด้วยวิธีการใดๆ เพื่อเอาประโยชน์ส่วนรวมมาเป็นของตัวเองหรือพรรคพวก

ฉะนั้น จึงสรุปได้ว่านิยามประชาธิปไตยดังกล่าวของพุทธทาสไม่ได้ปฏิเสธ “อำนาจของประชาชน” หรือปฏิเสธประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิง แต่มีเงื่อนไขว่าการใช้อำนาจของประชาชนหรือความเป็นประชาธิปไตยต้องประกอบด้วยธรรม คือไม่ใช้อำนาจตามความเห็นแก่ตัวทุจริตเอาประโยชน์ส่วนรวมมาเพื่อตัวและพวกของตัว แต่ใช้อำนาจอย่างสุจริตบนจิตสำนึกเสียสละและปกป้องประโยชน์สุขของส่วนรวม

2. พุทธทาสมองว่า “ธรรมชาติของมนุษย์ (ประชาชน) คือความเห็นแก่ตัว” ใช่หรือไม่? หากอ่านเฉพาะข้อความในประโยคเงื่อนไขอาจทำให้เข้าใจเช่นนั้นได้ แต่ที่จริงพุทธทาสมองธรรมชาติของมนุษย์ตามทัศนะทางพุทธศาสนา

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อมองตามทัศนะของพุทธสาสนา ก็มีคำถามตามมาว่า การที่พุทธศาสนามีระบบศีลธรรมเพื่อขัดเกลากิเลสตัณหา แสดงว่าพุทธศาสนามีทัศนะว่าธรรมชาติของมนุษย์คือความเห็นแก่ตัว หรือคือความชั่วร้ายใช่หรือไม่?

แท้จริงแล้วพุทธศาสนามองธรรมชาติของมนุษย์สองด้าน ด้านหนึ่งคือความมีกิเลสตัณหา (อกุศลมูล) หมายถึงคุณสมบัติทางจิตใจที่แสดงออกเป็นความโลภ โกรธ หลง อีกด้านหนึ่งคือศักยภาพที่จะพ้นไปจากกิเลสตัณหา (กุศลมูล) หมายถึงคุณสมบัติทางจิตใจที่ดีงามโดยพื้นฐานที่สามารถแสดงศักยภาพควบคุม และ/หรือเป็นอิสระจากการครบงำชักจูงของคุณสมบัติทางจิตใจด้านที่เป็นกิเลสตัณหา ได้แก่คุณสมบัติพื้นฐานของจิตที่เป็นความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ซึ่งเป็นพื้นฐานของการแสดงตัวของความเสียสละ ความรัก และปัญญา

ในธรรมชาติทางจิตใจทั้งสองด้านนั้น พุทธศาสนามองว่าธรรมชาติด้านที่เป็นกิเลสตัณหาเป็น “มายา” ไม่ใช่ธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์ แต่ธรรมชาติที่แท้จริงหรือที่เป็น “essence “ ของมนุษย์คือด้านที่เป็นศักยภาพที่จะพ้นไปจากกิเลสตัณหาคือ “ความไม่เห็นแก่ตัว” (อโลภะ-ไม่โลภ) ความรัก (อโทสะ-ไม่โกรธ) ปัญญา (อโมหะ-ไม่หลง)

ข้อพิสูจน์ว่าธรรมชาติด้านที่ดีงามดังกล่าวนี้คือธรรมชาติที่แท้จริงหรือเป็น “essence “ ของมนุษย์ ก็คือ

1) ข้อเท็จจริงในชีวิตประจำวันเมื่อเราเกิดความโลภ โกรธ หลง ธรรมชาติด้านที่ดีงามจะคอยให้สติ ปลุกมโนธรรมเหนี่ยวรั้ง หรือยับยั้งไม่ให้เราทำตาแรงจูงใจเช่นนั้น (นี่คือข้อพิสูจน์ว่าเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจทางศีลธรรม ทำไมบางครั้งเราจึงเกิดความรู้สึกขัดแย้งระหว่างแรงจูงใจที่ผิดกับมโนธรรมภายในใจเรา)

2) พุทธะและและอริยสาวกที่จิตหลุดพ้นจากความโลภ โกรธ หลงแล้ว เท่ากับคุณสมบัติของจิตใจด้านที่เป็นความโลภ โกรธหลง หายไป คงเหลือแต่ธรรมชาติทางจิตใจที่เป็นความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ที่แสดงออกเป็นคุณสมบัติเฉพาะที่เรียกว่า ปัญญาคุณ วิสุทธิคุณ และกรุณาคุณ

ฉะนั้น รากฐานของศีลธรรมขัดเกลากิเลสของพุทธศาสนาจึงไม่ได้อยู่บนทัศนะที่ว่า “ธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์เลวร้าย เห็นแก่ตัว” ฉะนั้น จึงต้องสร้างหลักศีลธรรมขึ้นมาควบคุม แต่รากฐานศีลธรรมพุทธอยู่บนฐานของทัศนะที่ว่า “ธรรมชาติที่แท้ของมนุษย์ดีงาม มีศักยภาพที่จะหลุดพ้นจากกิเลสหรือความเห็นแก่ตัวได้” ฉะนั้น จึงต้องมีหลักศีลธรรมเพื่อพัฒนาศักยภาพดังกล่าวให้งอกงาม

ข้อเสนอเสนอแนวคิดทางการเมืองของพุทธทาสที่ให้ยึดประโยชน์สุขของส่วนรวมเป็นหลักจึงไม่ใช่ข้อเสนอที่อยู่บนพื้นฐานของการมองว่า “ธรรมชาติที่แท้ของมนุษย์คือความเห็นแก่ตัว” แต่เป็นข้อเสนอบนพื้นฐานความเชื่อในธรรมชาติด้านดีงามของมนุษย์ว่า “มนุษย์มีศักยภาพที่จะเห็นแก่ส่วนรวม”

3. ความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวขัดแย้งกับความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมหรือไม่? เมื่ออ่านความคิดทางการเมืองของพุทธทาสทั้งหมดแล้ว ผมคิดว่าเราต้องแยกความหมายของ “ความเห็นแก่ตัว” ออกจาก “ความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว”

กล่าวคือ “ความเห็นแก่ตัว” ไม่ได้มีความหมายเท่ากับ “ความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว” หมายความว่าความเห็นแก่ตัวที่พุทธทาสใช้ในขอบเขตของศีลธรรมทางสังคมการเมือง หมายถึงความเห็นแก่ตัวที่เป็นปฏิปักษ์ต่อความเห็นแก่ส่วนรวม ฉะนั้น ถ้าเป็นความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวที่เป็นการละเมิดผู้อื่นหรือประโยชน์ส่วนรวมก็จัดเป็น “ความเห็นแก่ตัว” แต่ถ้าเป็นความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวที่ไม่เป็นการละเมิดผู้อื่นหรือประโยชน์ส่วนรวมก็ไม่จัดเป็นความเห็นแก่ตัว

ดังในคัมภีร์พุทธศาสนามีเรื่องราวของภิกษุรูปหนึ่งไม่ได้มาเยี่ยมอาการป่วยของพุทธะ เพราะมัวเร่งเจริญภาวนาเพื่อต้องการบรรลุธรรม เมื่อมีเสียงตำหนิจากภิกษุอื่นๆ และพุทธะทราบเรื่องนั้นแล้วจึงยืนยันว่า “บุคคลเมื่อรู้ว่าตนเป็นที่รัก รู้ว่าประโยชน์ตนคืออะไร จงทำประโยชน์ตนนั้นให้สำเร็จเถิด” นี่หมายความว่า การเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวที่ไม่เป็นการละเมิดผู้อื่นหรือประโยชน์สุขของส่วนรวม ย่อมไม่ใช่สิ่งที่เสียหาย
ที่สำคัญ การมีชีวิตที่ดีงามตามความหมายทางพุทธศาสนา พุทธะก็ยืนยันชัดเจนว่า คือการดำเนินชีวิตที่พยายามทำทั้งประโยชน์ส่วนตน (อัตตัตถะ) ประโยชน์เพื่อผู้อื่น (ปรัตตถะ) ในทาง negative คือ ไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น ทาง positive คือช่วยเหลือผู้อื่น และประโยชน์ส่วนรวม (อุภยัตถะ) หมายถึงประโยชน์ที่ก่อให้เกิดความสุขแก่ทุกฝ่าย เช่น การปกป้องความยุติธรรมของสังคม เป็นต้น

ฉะนั้น การเมืองที่ยึดประโยชน์สุขของส่วนรวมตามความคิดของพุทธทาส จึงไม่ใช่การเมืองที่ปฏิเสธการแสวงหาประโยชน์ส่วนตัวของประชาชนโดยสรุปอย่าง “เหมารวม” ว่า เป็น “ความเห็นแก่ตัว” ทว่าความเห็นแก่ตัวที่ควรปฏิเสธ คือความเห็นแก่ตัวที่ละเมิดคนอื่นและประโยชน์สุขส่วนรวมเท่านั้น
ธัมมิกประชาธิปไตยในทัศนะของพุทธทาส จึงไม่ได้ปฏิเสธอำนาจของประชาชน หากการใช้อำนาจนั้นไม่ได้เป็นไปตามความเห็นแก่ตัวที่เป็นการละเมิดคนอื่นและประโยชน์ส่วนรวม แต่สนับสนุนให้ประชาชนใช้อำนาจอย่างมีศีลธรรม หมายถึงการใช้สิทธิที่จะแสวงหาประโยชน์ส่วนตัวในทางที่ไม่ละเมิดคนอื่น และมีจิตสำนึกเสียสละเพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวม

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท 
ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊คhttp://fb.me/Prachatai
http://redusala.blogspot.com

สมมติเสวนา''''กับ ''''ไพโรจน์ ชัยนาม'''' ว่าด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550


สมมติเสวนา''''กับ ''''ไพโรจน์ ชัยนาม'''' ว่าด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550
'''สมมติเสวนา''''กับ ''''ไพโรจน์ ชัยนาม'''' ว่าด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550
(อ้างอิงจากเวบไซท์ประชาไท http://www.prachatai.com)
สมชาย ปรีชาศิลปกุล
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เผยแพร่ครั้งแรกใน: มติชน 11 กรกฎาคม 2555


 แด่ศิษย์มีครู สมชาย ปรีชาศิลปกุล เสวนาข้ามสมัยกับ ศ.ไพโรจน์ ชัยนาม ผู้เป็นปรมาจารย์ทางด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญ

เนื่องจากในปัจจุบันได้เกิดข้อถกเถียงเกี่ยวกับการเสนอขอแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่การตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งได้ปรากฏความเห็นที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในหมู่ผู้เชีjยวชาญทางด้านกฎหมาย บางส่วนเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งที่สามารถกระทำได้เนื่องจากเป็นสิทธิตามที่รัฐธรรมนูญได้รองรับไว้ ขณะที่บางส่วนกลับมีความเห็นว่ากำลังเป็นการกระทำในลักษณะของการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย

จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะได้มีโอกาส "สมมติเสวนา" กับ ศ.ไพโรจน์ ชัยนาม ผู้เป็นปรมาจารย์ทางด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญ โดยท่านเป็นผู้บรรยายลักษณะวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญ (ทั้งปริญญาตรีและปริญญาโท) ที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง และสืบเนื่องต่อมากระทั่งเป็นมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมีผลงานทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญเป็นจำนวนมากจนเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวาง

โดยความเห็นของ ศ.ไพโรจน์ที่นำมาอ้างอิง ณ ที่นี้จะมาจาก ไพโรจน์ ชัยนาม, คำอธิบายกฎหมายรัฐธรรมนูญเปรียบเทียบ (โดยสังเขป) เล่ม 1 ข้อความเบื้องต้นและหลักทั่วไปของกฎหมายรัฐธรรมนูญ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2497 โดยการอ้างอิงในแต่ละแห่งจะระบุหน้าที่ นำมาเอาไว้อย่างชัดเจน

นักเรียนกฎหมาย : อ.ไพโรจน์มีความ เห็นอย่างไรเกี่ยวกับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญว่าเป็นสิ่งที่จะสามารถกระทำได้หรือไม่

ไพโรจน์ ชัยนาม : การที่จะถือว่ารัฐธรรมนูญเป็นสิ่งที่เราจะแตะต้องเปลี่ยนแปลงแก้ไขเสียใหม่ไม่ได้นั้นย่อมเป็นสิ่งที่ขัดกับความเป็นจริง ทั้งในทางกฎหมายและในทางการเมือง

ในทางกฎหมายก็คือว่า รัฐธรรมนูญเป็นการกระทำในทางนิติบัญญัติซึ่งบางทีก็เกิดขึ้นโดยเจตนาของฝ่ายเดียว เช่น รัฐธรรมนูญซึ่งพระมหากษัตริย์พระราชทานให้แก่ราษฎร หรือเป็นสิ่งซึ่งเกิดขึ้นโดยการตกลงด้วยเจตนาร่วมกันระหว่างพระมหากษัตริย์กับราษฎรก็ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จะให้รัฐธรรมนูญนั้นเป็นของที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ย่อมฟังไม่ขึ้น

รัฐธรรมนูญเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสมัยหนึ่งย่อมเหมาะสมแก่สภาพของประเทศในสมัยนั้น เพราะผู้ให้กำเนิดรัฐธรรมนูญย่อมพิจารณาวางบทบัญญัติลงไปตามที่ตนเห็นสมควรในขณะนั้น แต่ภายหลังเมื่อเวลาได้ล่วงเลยมาช้านาน สภาพความเป็นอยู่ของประเทศย่อมเปลี่ยนแปลงไป

ฉะนั้น จะให้ฐานะในทางการเมืองและทางสังคมของประเทศต้องถูกจำกัดอยู่ภายใต้บทกฎหมายฉบับหนึ่ง (คือรัฐธรรมนูญ) จึงเป็นสิ่งที่ไม่ชอบด้วยเหตุผล

ในทางการเมืองนั้น การที่ถือว่ารัฐธรรมนูญเป็นสิ่งตายตัวจะแก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้ย่อมฟังไม่ขึ้น ถ้าหากว่าสภาพความเป็นอยู่ของประเทศได้เปลี่ยนแปลงผิดไปจากบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญซึ่งล่วงพ้นสมัยแล้ว รัฐธรรมนูญก็จะกลายเป็นแต่เพียงตัวหนังสือไม่มีการปฏิบัติตาม และในไม่ช้าก็จะเกิดมีการปฏิวัติขึ้น

ฉะนั้น ในทางการเมืองเพื่อป้องกันมิให้ราษฎรก่อการปฏิวัติจึงจำเป็นที่จะต้องไม่ประกาศออกมาว่ารัฐธรรมนูญเป็นสิ่งที่ตายตัวจะแก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้ และจะต้องมีบทบัญญัติบอกวิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นไว้ เพื่อสามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขให้เหมาะสมัยอยู่เสมอ (หน้า 423-424)

นักเรียนกฎหมาย : หากในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมีข้อกำหนดห้ามมิให้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงรูปแบบอันใดอันหนึ่งที่ปรากฏอยู่ บทบัญญัติเช่นนี้จะมีผลผูกพันให้ต้องปฏิบัติตามหรือไม่ เช่นการกำหนดว่าห้ามเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองที่ดำรงอยู่ในห้วงเวลานั้น

ไพโรจน์ ชัยนาม : ในบางครั้งผู้ให้กำเนิดรัฐธรรมนูญต้องการที่จะให้รูปการปกครองที่ตนสร้างขึ้นมั่นคงถาวรอยู่ชั่วกาลนาน แม้จะยอมให้แก้ไขในเรื่องอื่นๆ ได้ก็ดี โดยบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญห้ามมิให้แก้ไขรัฐธรรมนูญในทางที่เกี่ยวกับรูปการปกครองของประเทศ เช่น ตามมาตรา 90 ของรัฐธรรมนูญบราซิล ลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1981 หลังจากที่ได้กล่าวถึงหลักการแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วได้ห้ามไว้ว่า ไม่ให้แก้รูปการปกครองแบบสาธารณรัฐและแบบสหพันธ์ของประเทศ

รัฐธรรมนูญโปรตุเกส ลงวันที่ 21 มีนาคม ค.ศ.1911 ได้กล่าวไว้ในมาตรา 82 ว่า ห้ามมิให้เสนอแก้ไขรูปการปกครองแบบสาธารณรัฐของประเทศ รัฐธรรมนูญของฝรั่งเศสฉบับก่อน ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎหมายลงวันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ.1884 มาตรา 2 มีว่า "รูปการปกครองแบบสาธารณรัฐของฝรั่งเศสนั้น ไม่อาจจะเป็นวัตถุประสงค์แห่งการเสนอขอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญได้"

ทั้งนี้ก็เพราะในเวลานั้นพวกนิยมสาธารณรัฐเป็นฝ่ายมีเสียงข้างมากในสภามากขึ้น และเพื่อที่จะป้องกันมิให้กลับไปมีพระมหากษัตริย์ปกครองอีกก็เลยรีบฉวยโอกาสขอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญโดยบัญญัติถ้อยคำเหล่านี้ลงไปทันที (หน้า 427)

นักเรียนกฎหมาย : แล้วบทบัญญัติในลักษณะเช่นนี้มีผลผูกพันในทางรัฐธรรมนูญโดยห้ามเป็นการแก้ไขในส่วนเหล่านี้อย่างเด็ดขาดเลยใช่หรือไม่

ไพโรจน์ ชัยนาม : ทั้งนี้เป็นความจริงว่าบทบัญญัติเหล่านี้เพียงแต่เป็นสิ่งแสดงความปรารถนาของผู้ให้กำเนิดรัฐธรรมนูญให้บุคคลรุ่นหลังๆ ทราบเท่านั้น แต่หาได้มีค่าในทางกฎหมายเป็นการบังคับให้พวกเหล่านี้พึงปฏิบัติตามไม่ (หน้า 427)

นักเรียนกฎหมาย : เนื่องจากในปัจจุบันได้เกิดข้อถกเถียงว่าในการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญอันจะมีผลเป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับที่อยู่ในปัจจุบันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถกระทำได้ อาจารย์มีความเห็นต่อเรื่องดังกล่าวนี้อย่างไร

ไพโรจน์ ชัยนาม : การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ออกใช้แทนฉบับเก่านั้นย่อมจะทำได้ตามวิธีการที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับเก่าเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติม แต่บางทีรัฐธรรมนูญหนึ่งก็มีบทบัญญัติกล่าวถึงการแก้ไขเพิ่มเติมใหม่ทั้งฉบับไว้ (การยกเลิก) โดยเรียบร้อย นอกจากนี้อาจมีการตั้ง "สภาร่างรัฐธรรมนูญ" ขึ้น ประกอบด้วยสมาชิกที่ราษฎรได้เลือกตั้งมาทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใช้ใหม่ (หน้า 438)

นักเรียนกฎหมาย : แต่ได้มีข้อโต้แย้งว่าบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเป็นแต่เพียงอนุญาตให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมเป็นบางมาตรา ไม่ได้หมายความให้สามารถแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อนำไปสู่การยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับนี้แต่อย่างใด

ไพโรจน์ ชัยนาม : อย่างไรก็ดี การยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับหนึ่งนั้นอาจทำได้เสมอ แม้เมื่อไม่มีบทบัญญัติกล่าวไว้ในรัฐธรรมนูญนั้น รัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทยเรา คือ พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินไทยชั่วคราว ลงวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2475 แม้จะไม่มีบทบัญญัติบอกวิธีแก้ไขเพิ่มเติม หรือวิธียกเลิกตัวเองไว้ก็ดี ก็ได้ถูกยกเลิกไปโดยรัฐธรรมนูญฉบับลงวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2475 เพราะเมื่อได้มีสภาผู้แทนราษฎรขึ้นตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวแล้ว สภาผู้แทนราษฎรก็ได้ตั้งอนุกรรมการขึ้นคณะหนึ่งไปร่างรัฐธรรมนูญมาเสนอ เมื่อสภาได้ลงมติให้ใช้แล้ว ก็ได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้ต่อไป รัฐธรรมนูญฉบับลงวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ.2490 ก็เช่นกัน ได้ถูกยกเลิกไปโดยรัฐธรรมนูญฉบับที่ 5 (ลงวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ.2492) (หน้า 438-439)

นักเรียนกฎหมาย : อาจารย์มีสิ่งใดจะฝากไว้ให้พิจารณาสำหรับกรณีความขัดแย้งในการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่

ไพโรจน์ ชัยนาม : ตามที่ได้กล่าวมาแล้วนี้ อาจสรุปลงได้ว่า

1.รัฐธรรมนูญทุกฉบับจะต้องแก้ไขเพิ่มเติมได้
2.การแก้ไขเพิ่มเติมนั้น จะทำได้ทุกๆ ส่วนของรัฐธรรมนูญตามความจำเป็น
3.การแก้ไขเพิ่มเติมจะทำได้ทุกขณะไม่ว่าเวลาใด
4.การแก้ไขเพิ่มเติมจะต้องเป็นไปตามวิธีการที่รัฐธรรมนูญนั้นบัญญัติไว้ (หากมี) (หน้า 429)


โปรดพึงตระหนักว่าท่านได้ถึงแก่อสัญกรรมไปเมื่อ พ.ศ.2537 ก่อนหน้าที่จะปรากฏความขัดแย้งระหว่างไพร่/อำมาตย์ หรือเสื้อเหลือง/เสื้อแดง จึงหวังว่าจะไม่มีบุคคลใดกล่าวหาอย่างเลื่อนลอยว่า ศ.ไพโรจน์ให้ความเห็นเข้าข้างทางฝ่ายเสื้อแดง หรือกล่าวหาว่าท่านเป็น "ปัญญาชนเสื้่อแดง" ดังที่มักชอบกระทำกับบุคคลที่ได้แสดงความเห็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของทางฝ่ายเสื้อแดงอยู่เนืองๆ

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล 
คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊คhttp://fb.me/Prachatai
http://redusala.blogspot.com