วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

หนุ่มพนักงานเทศบาลประกันตัว 1 แสนผิดพ.ร.บ.ประชามติ ส่งจม.ร่างรัฐธรรมนูญที่เชียงใหม่



จากกรณีที่เมื่อวันที่ 23 ก.ค.2559 เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวนายวิศรุต คุณนิติสาร อายุ 38 ปี อาชีพเจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ มาทำบันทึกการจับกุมที่กองบังคับการปราบปราม กรณีตกเป็นผู้ต้องหาส่งจดหมายประชามติจำนวนมากไปยังประชาชนในจังหวัดเชียงใหม่ โดยถูกจับกุมที่คอนโดของญาติย่านลาดพร้าว ตามหมายจับของศาลจังหวัดเชียงใหม่ จากนั้นนำตัวกลับเชียงใหม่ในเย็นวันดังกล่าวทันที  (อ่านข่าวที่นี่)
วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความจากสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิและเสรีภาพ (สกสส.) ให้สัมภาษณ์ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.อ.แม่ปิงได้แจ้งข้อกล่าวหาตามมาตรา 61 วรรคสอง ของพ.ร.บ.ประชามติแก่นายวิศรุต และญาติได้นำโฉนดที่ดินวางเป็นหลักทรัพย์ประกันตัว 100,000 บาท จึงมีการปล่อยตัวในเย็นวันดังกล่าว (23 ก.ค.) นอกจากนี้ยังมีรายงานด้วยว่า พ่อและแม่นายวิศรุตซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ทหารควบคุมตัวไปในวันเดียวกัน 23 ก.ค.ไปยังค่ายกาวิละ จังหวัดเชียงใหม่ก็ได้รับการปล่อยตัวในวันนั้นเช่นเดียวกัน คาดว่ากรณีของนายวิศรุตนี้จะถูกกันไว้เป็นพยานเพื่อแจ้งข้อกล่าวหากับบุคคลระดับสูงขึ้นไปและนักการเมืองในพื้นที่ 

ยูเอ็นเรียกร้องหยุดใช้ พ.ร.บ.ประชามติ-เปิดเสรีดีเบตร่าง รธน.


ผู้รายงานพิเศษ UN ประณามไทยจับ-ตั้งข้อหาจากคำสั่ง คสช.-พ.ร.บ.ประชามติ เรียกร้องหยุดใช้ พ.ร.บ.ประชามติ และเปิดให้มีการถกเถียงร่างรัฐธรรมนูญอย่างกว้างขวาง
26 ก.ค. 2559 เดวิด ไคย์ ผู้รายงานพิเศษของสหประชาชาติว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออก ออกแถลงการณ์ประณามการจับกุมและตั้งข้อหาต่อการแสดงออกผ่านโซเชียลมีเดียและสาธารณะที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ ภายใต้คำสั่งของรัฐบาลทหารและ พ.ร.บ.ประชามติ
ในแถลงการณ์ระบุว่า มีรายงานว่า ตั้งแต่ มิ.ย.เป็นต้นมา มีคนอย่างน้อย 86 รายถูกสอบสวนหรือตั้งข้อหาเกี่ยวเนื่องกับการประชามติร่างรัฐธรรมนูญ โดยเมื่อต้นเดือน ก.ค. มีนักกิจกรรมเจ็ดรายถูกตั้งข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.บ.ประชามติ ขณะที่นักข่าวที่ตามไปทำข่าวก็ถูกจับและตั้งข้อหาด้วย ทั้งนี้ การฝ่าฝืน พ.ร.บ.ประชามติ มีโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี เสียค่าปรับ และถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี
เขาแสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อคำสั่งของรัฐบาลทหาร และ พ.ร.บ.ประชามติ ซึ่งจำกัดการแสดงออกและการเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ
"แนวคิดของการประชามติคือการเปิดให้มีการถกเถียงอย่างเต็มที่ ก่อนที่จะมีการลงประชามติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่เป็นประโยชน์สาธารณะ ควรส่งเสริมให้มีการแสดงความเห็นอย่างกว้างขวาง เสรี และเปิดให้มีการอภิปรายอย่างเข้มข้น" เดวิด ไคย์ กล่าว
"แทนที่จะทำให้การแสดงออกต่อร่างรัฐธรรมนูญเป็นอาชญากรรม รัฐบาลไทยควรจะส่งเสริมให้เกิดบรรยากาศที่เปิดกว้างต่อการสนทนาของสาธารณะ เพื่อทำให้แน่ใจว่าจะเกิดการมีส่วนร่วมโดยได้ข้อมูลที่ครบถ้วน ในระหว่างการประชามติ" เดวิด ไคย์ กล่าว
ทั้งนี้ มาตรา 61 วรรคสอง พ.ร.บ.ประชามติ ระบุว่า “ผู้ใดดำเนินการเผยแพร่ ข้อความ ภาพ เสียง ในสื่อหนังสื่อพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือในช่องทางอื่นใดที่ผิดไปจากข้อเท็จจริงหรือมีลักษณะรุนแรง ก้าวร้าว หยาบคาย ปลุกระดม หรือข่มขู่ โดยมุ่งหวังเพื่อให้ผู้มีสิทธิออกเสียงไม่ไปใช้สิทธิออกเสียง หรือออกเสียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือไม่ออกเสียง ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำการก่อความวุ่นวายเพื่อให้การออกเสียงไม่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย”
"ทุกคนต้องมีสิทธิที่จะมีความคิดเห็นโดยปราศจากการแทรกแซง" เขากล่าวพร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลไทยหยุดการบังคับใช้ พ.ร.บ.ประชามติ ยกเลิกข้อกล่าวหาตาม พ.ร.บ.นี้ รวมถึงที่เกี่ยวเนื่องกับคำสั่ง คสช. ทั้งหมด และยึดถือพันธกรณีระหว่างประเทศ เพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก ตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 19 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR)
สำหรับข้อเรียกร้องของผู้รายงานพิเศษของสหประชาชาติว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออก ได้รับการรับรองจากผู้รายงานพิเศษว่าด้วยสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการชุมนุมและการสมาคมโดยสงบ, ผู้รายงานพิเศษว่าด้วยสถานการณ์ของนักปกป้องสิทธิมนุษยชน และคณะทำงานว่าด้วยการคุมตัวโดยพลการ

คำสั่งชันสูตร ‘สิบโทกิตติกร’ ศีรษะ-กระเพาะอาหารแตก ชี้ 4 ทหารร่วมกันทำร้าย


ศาลจังหวัดสุรินทร์อ่านผลคดีชันสูตรพลิกศพสิบโทกิตติกร เสียชีวิตระหว่างถูกคุมตัวในค่ายทหาร จ.สุรินทร์ เผยบาดเจ็บที่ศีรษะอย่างรุนแรง-กระเพาะอาหารแตก หลักฐานชี้ 1พลอาสา 3 พลทหารร่วมกันทำร้ายจนถึงแก่ความตาย
26 ก.ค. 2559 ศาลอาญาจังหวัดสุรินทร์ได้อ่านคำสั่งศาลในคดีชันสูตรพลิกศพสิบโทกิตติกร สุธีรพันธ์ ตามวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 ซึ่งผู้ตายเสียชีวิตในระหว่างถูกควบคุมตัวในเรือนจำค่ายวีรวัฒน์โยธิน มณฑลทหารบกที่ 25 จ.สุรินทร์เมื่อวันที่ 21 ก.พ. 2559 ที่ผ่านมา ว่าตามที่พนักงานอัยการจังหวัดสุรินทร์ยื่นคำร้อง โดยบุญเรือง สุธีรพันธ์ มารดาของผู้ตายได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมเป็นผู้ร้องในคดี  ศาลอ่านคำสั่งว่า เหตุและพฤติการณ์ที่ตายคือมีการบาดเจ็บที่ศีรษะอย่างรุนแรงร่วมกับกระเพาะอาหารแตก เนื่องจากถูกทำร้ายร่างกาย โดยพลอาสาสมัครชูเกียรติ นันทะพันธ์ พลทหารนลทวัช ใจมนต์ พลทหารยุทธพิชัย เสนพาท พลทหารจีระศักดิ์ สิทธิษร ร่วมกันทำร้ายจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย
การไต่สวนคดีดังกล่าวพนักงานอัยการได้ระบุพยาน 5 ปาก ได้แก่ นายแพทย์ผู้ชันสูตรพลิกศพผู้ตาย พนักงานสอบสวน มารดาของผู้ตาย ผู้ต้องขังที่อยู่ภายในค่ายวรวัฒน์โยธิน มณฑลทหารบกที่ 25 และประจักษ์พยานผู้อยู่ในเหตุการ ส่วนทนายของมารดาผู้ตายได้นำพยานเข้าไต่สวน 2 ปาก ได้แก่ นายทหารผู้เป็นกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงการเสียชีวิตของสิบโทกิตติกร และรักษาราชการแทนผู้บังคับเรือนจำมณฑลทหารบกที่ 25 ซึ่งในการสอบพยานครั้งนี้ทนายมารดาผู้ตายได้นำภาพจากกล้องวงจรปิดที่ปรากฏภาพผู้ตายกำลังถูกทำร้ายร่างกายในเรือนจำเข้าประกอบการซักพยานด้วย
ปรีดา นาคผิว ทนายความจากมูลนิธิผสานวัฒนธรรมกล่าวว่า เนื่องจากสิบโทกิตติกรได้เสียชีวิตภายใต้การควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่และอยู่ในหน่วยงานของรัฐอย่างชัดเจน ทางทีมทนายและมารดาของผู้เสียชีวิตอาจจะมีการเรียกร้องค่าเสียหายแก่หน่วยงานต้นสังกัด โดยยังไม่มีการฟ้องดำเนินคดีแพ่ง ทั้งนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการปรึกษาหารือเรื่องค่าเสียหาย
อีกทั้งปรีดายังกล่าวว่า ในส่วนของคดีอาญาเพื่อเอาผิดแก่ผู้กระทำความผิดนั้น พนักงานสอบสวนได้ยื่นเรื่องไปยัง สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เพื่อรวบรวมหลักฐานไต่สวนและชี้มูลความผิดตามขั้นตอนของรัฐ ก่อนจะส่งให้อัยการในท้องที่ดำเนินการต่อไป
ก่อนหน้านี้มารดาของผู้ตายเคยเล่าเหตุการณ์ไว้ว่า ลูกชายของตนทำหน้าที่รับราชการอยู่ในมณฑลทหารบก 25 จ.สุรินทร์ หน่วยงานทหารราบ ร.23 เขาถูกจับกุมในวันที่ 1 ก.พ. ด้วยข้อหาให้ที่พักพิงแก่ผู้ต้องหา หลังจากนั้นตนได้พยายามยื่นประกันตัว แต่ถูกศาลทหารปฏิเสธด้วยเหตุผลว่ากลัวผู้ต้องหาหลบหนี
มารดาผู้ตายกล่าวด้วยว่า จากนั้นได้พยายามที่จะเข้าเยี่ยมลูกชายตั้งแต่วันที่ 6 ก.พ. แต่ถูกปฏิเสธ ทางผู้คุมกล่าวว่ายังอยู่ในขั้นตอนการสืบสวนสอบสวนไม่สามารถให้เข้าเยี่ยมได้ ต่อมาตนได้ขอเข้าเยี่ยมในทุกวันเสาร์ แต่ยังถูกปฏิเสธการให้เยี่ยมด้วยเหตุผลเดิม โดยครั้งสุดท้ายที่ขอเข้าเยี่ยมคือ 20 ก.พ.ซึ่งก็ถูกปฏิเสธเช่นเดิม หลังจากนั้นเพียง 1 วันก็ได้รับโทรศัพท์ว่าลูกชายตนเองเสียชีวิต
"เขาไม่เคยบอกอะไรแม่เลย ไม่เคยบอกว่าลูกเจ็บหรือป่วย บอกแค่เยี่ยมไม่ได้เพราะอยู่ในชั้นสืบสวน ขนาดแม่ไปก่อนวันที่เขาโทรมาแค่วันเดียวเขายังไม่เคยบอก" นางบุญเรืองกล่าว

ตร.-ทหารค้นบ้านหนุ่มอุบลฯสวมเสื้อ 'VOTE NO' - จับหนุ่มตะโกนชวน 'NO VOTE' ส่งจิตแพทย์


ภาพวิชาญ (คนที่ 2 จากซ้าย) รวมกับกลุ่ม สมาน (คนที่ 3 จากซ้าย) อดข้าวประท้วงกรณีศาลโลกตัดสินให้กัมพูชามีสิทธิเหนือพื้นที่ 4.6 ตร.กม.รอบตัวปราสาทเขาพระวิหาร เมื่อปี 56

26 ก.ค.2559 ข่าวสดออนไลน์ รายงานว่า เมื่อช่วงเย็นวันนี้ (26 ก.ค.59) พ.ต.อ.ศิราเมษฐ์ ธานินพิทักษ์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองอุบลราชธานี พร้อมเจ้าหน้าที่ทหารกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยประจำ จ.อุบลราชธานี ตำรวจ และฝ่ายปกครอง นำตัว อติเทพ อิ่มวุฒิ อายุ 25 ปี อยู่บ้าน ที่ ต.แจระแม อ.เมืองอุบลราชธานี เข้าค้นบ้านพักเลขที่ดังกล่าว เพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติม หลัง อติเทพ สวมเสื้อยืดสีดำสกีนตัวอักษรสีแดงด้านหลังคำว่า “VOTE NO รธน.”
จากการตรวจค้นนานเกือบ 1 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่ไม่พบหลักฐานเกี่ยวกับการต่อต้านการออกเสียงประชามติเพิ่มเติม จึงนำตัวมาสอบสวนปากคำเพิ่มเติมที่ห้องสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมือง
ทั้งนี้เนื่องจากเมื่อช่วงสายวันที่ 25 ก.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ทหารพบ อติเทพ สวมใส่เสื้อตัวดังกล่าว ขับขี่รถจักรยานยนต์ผ่านหน้าศาลากลางจังหวัด ถ.แจ้งสนิท จึงเข้าควบคุมตัว เพื่อสอบถามที่อยู่และยึดเสื้อตัวดังกล่าวไว้เป็นหลักฐาน และต่อมาวันนี้ พนักงานสอบสวนได้เชิญตัวมาให้ปากคำเพิ่มเติมและเข้าค้นหาหลักฐานที่บ้านพัก
ซึ่ง พ.ต.ท.ปราโมทย์ ชื่นตา รอง ผกก.สส.สภ.เมืองอุบลราชธานี กล่าวว่า จากการสอบสวน อติเทพอ้างว่า ได้มาจากเพื่อนที่ไปพบกันในงานแห่เทียนเข้าพรรษา จึงแลกมาสวมใส่ เพราะเห็นเท่ห์ดี โดยไม่มีเจตนาอะไร หลังสอบสวนปากคำได้ปล่อยให้กลับบ้าน แต่หากมีหลักฐานเพิ่มเติม ก็จะเรียก อติเทพมาสอบสวนอีกครั้ง
และในวันเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอพิบูลมังสาหาร เข้าจับกุมตัว วิชาญ ภูวิหาร อายุ 48 ปี ชาว เขตหนองแขม กรุงเทพฯ ขณะยืนตะโกนเชิญชวนประชาชนที่มาจับจ่ายซื้อสินค้าในตลาดสดเทศบาลเมืองพิบูลมังสาหาร ไม่ให้ออกไปลงประชามติ
โดย วิชาญ อ้างว่า เป็นสมาชิกพรรคการนำใหม่ประชาชนปฏิวัติสันติ ไม่เห็นด้วยกับการลงประชามติ จึงไม่ต้องการไปลงประชามติ พร้อมมาเชิญชวนประชาชนที่ไม่เห็นด้วยเช่นเดียวกับตนไม่ไปลงประชามติ
แต่ พ.ต.อ.โสภณ เครือเช้า ผกก.สงสัยพฤติกรรม วิชาญ คล้ายคนมีจิตบกพร่อง จึงส่งตัว วิชาญ ให้แพทย์โรงพยาบาลพระศรีมหาโพธิ์ อ.เมือง ตรวจสอบสภาพจิตใจ ซึ่งแพทย์ลงความเห็นมีสภาพจิตปกติ จึงแจ้งข้อกล่าวหา วิชาญ ก่อความวุ่นวาย โดยมุ่งหวังไม่ให้ผู้มีสิทธิออกเสียงไปใช้สิทธิออกเสียง หรือออกเสียงอย่างใดอย่างหนึ่ง ทำให้การออกเสียงไม่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย คุมตัวดำเนินคดี
สำหรับ วิชาญ เมื่อปี 2556 ได้ร่วมกับกลุ่มธรรมยาตราปืนรั้วข้ามเข้าไปในเขตทหารกัมพูชาที่เข้าพระวิหาร เพื่ออดข้าวประท้วงกรณีศาลโลกตัดสินให้กัมพูชามีสิทธิเหนือพื้นที่ 4.6 ตร.กม.รอบตัวปราสาทเขาพระวิหารมาแล้วด้วย และเมื่อวันที่ 28 ก.ค.2558 ผู้จัดการออนไลน์ เคยรายงานด้วยว่า วิชาญ ร่วมกลุ่มนี้ โดยมี สมาน ศรีงาม เป็นแกนนำกลุ่มธรรมยาตราและสภาประชาชน เดินเท้าจากเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษมุ่งหน้าเข้ากรุง เพื่อถวายฎีกา“ในหลวง” ทวงคืนแผ่นดินไทยเขาพระวิหาร


สิงห์บุรี 'พิทักษ์และปกป้องสถาบันฯ' แจ้งความ 112 ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง


เมื่อวันที่ 26 ก.ค.ที่ผ่านมา ทีนิวส์การเมือง รายงานว่า ที่สถานีตำรวจภูธรเมืองสิงห์บุรี ได้มีสมาชิกเครือข่ายเฝ้าระวังพิทักษ์และปกป้องสถาบันฯ ประจำจังหวัดสิงห์บุรี และประชาชนที่รักในหลวง ได้เดินทางมาแจ้งความร้องทุกข์กับ พ.ต.อ.พิชา รุจินาม ผู้กำกับการ สภ.เมืองสิงห์บุรี เพื่อให้ดำเนินคดีตามกฎหมายกับบุคคลที่ใช้ชื่อในเฟซบุ๊กชื่อหนึ่ง ซึ่งระบุว่า ได้มีการโพสต์ข้อความที่จาบจ้วง ด่าทอ ล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ อย่างรุนแรง ในหลายๆ ครั้ง ซึ่งเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยมี ณัฐนารา ปานมี เป็นแกนนำเครือข่าย พร้อมด้วยสมาชิกกว่า 10 คน มาร่วมแจ้งความดำเนินคดี
ทีนิวส์ รายงานด้วยว่า จากการสอบถาม ณัฐนารา ทราบว่า ได้มีน้องที่รู้จักกับตนส่งข้อความมาบอกว่าให้ตนเข้าไปดูเฟซบุ๊กในกลุ่ม "ไม่ควายจริงเป็นสลิ่มไม่ได้" ซึ่งเป็นกลุ่มสาธารณะ เมื่อตนเข้าไปดูจึงเห็นเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อตามที่แจ้งความ โพสต์ข้อความในกลุ่มลักษณะจาบจ้วง ด่าทอ ล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยถ้อยคำที่รุนแรง ตนจึงสำเนาภาพหน้าจอไว้เป็นหลักฐาน และเมื่อเข้าไปดูในเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อดังกล่าว ย้อนหลังไปพบว่า เฟซบุ๊กนี้ใช้ถ้อยคำเหน็บแนม เสียดสีสถาบันฯ หลายครั้ง จึงตัดสินใจนำหลักฐานที่ได้สำเนาไว้มาแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าของเฟซบุ๊กนี้ โดยมี พ.ต.ท.สุทธิรักษ์ หมอโอสถ รอง ผกก.สืบสวนสอบสวน เป็นผู้รับแจ้งเพื่อดำเนินคดีกับเจ้าของเฟซบุ๊กดังกล่าวในความผิดมาตรา 112 ต่อไป

มีชัยแย้งพวกหวังคว่ำร่างรธน.ให้ประยุทธ์อยู่ยาว ชี้หากถูกคว่ำนายกฯจะอยู่ไม่เป็นสุข


27 ก.ค.2559 มีชัย ฤชุพันธ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) บรรยายพิเศษเสริมความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสาระสำคัญของร่างรัฐธรรนูญที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สำนักงานใหญ่บางเขน ให้ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่350 คนรับฟัง
โดย มีชัย กล่าวถึงความสำคัญในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ พร้อมข้อบัญญัติ สิทธิต่าง ๆ มีการกำหนดหน้าที่รัฐไว้ชัดเจน เช่น รัฐจัดให้ทุกคนได้รับการศึกษา และนายกรัฐมนตรี ใช้อำนาจตามมาตรา44 ให้มัธยม เรียนฟรี สรุปรวมกับร่างรัฐธรรมนูญจะได้เรียนฟรี15-17ปี นอกจากนี้ ร่างรัฐธรรมนูญนี้มีหลักประกันเรื่องสวัสดิการด้านสุขภาพ ไม่มีการยกเลิกบัตรทอง ส่วนเรื่องเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ที่ทำตามรัฐธรรมนูญเก่าให้คน 60 ปีขึ้นไปทุกคน  กรธ. จึงเขียนร่างรัฐธรรมนูญตัดสิทธิจ่ายให้ผู้สูงอายุที่เป็นคนรวย มาเฉลี่ยจ่ายให้คนจนแทน
มีชัย กล่าวว่าเขียนรัฐธรรมนูญโดยมีกลไกกำจัดคนไม่ดีเข้ามา ให้สามารถตรวจสอบและจัดการกับปัญหาทุจริตคอรัปชั่น โดยกำหนดคุณสมบัติไม่ให้คนทุจริตเข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้อีก
ประธาน กรธ. ยังกล่าวถึงกรณีที่องค์การสหประชาชาติออกมาประนามการจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมายประชามติ ว่า กรธ. พร้อมรับฟังความเห็นแย้ง ซึ่งหากไม่ตรงกัน กรธ.ก็พร้อมชี้แจง และที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ไม่เคยจับคนต่อต้านรัฐธรรมนูญ แต่ที่จับคือคนที่ทำเอกสารเท็จ
"ผมรู้ว่าที่เขียนจะไม่เกิดขึ้นจริง ในเร็วๆ นี้ แต่ผมเชื่อว่าภาย 20 ปีนี้ จะมีรัฐบาลที่ดีเกิดขึ้น และหากเขาตรวจสอบ แล้วพบ จะสามารถขจัดคนพวกนี้ออกไปได้หมด ซึ่งบทบัญญัติที่เพิ่มเติมอย่างละนิดนี้ หากทำได้จริง จะถือเป็นบุญกุศลกับประเทศชาติ อย่างไรก็ตามรัฐธรรมนูญถือเป็นกติกาที่ต้องวางหลักการไว้เท่านั้น จึงจำเป็นต้องนำไปเขียนในกฎหมายลูก เมื่อถึงตอนนั้นใครกังวลหรือเป็นห่วงเรื่องอะไร ต้องติดตามการออกกฎหมายลูก และคอยให้ข้อเสนอแนะต่อการออกกฎหมายลูกดังกล่าวด้วย ทั้งนี้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับลงประชามติ 279 มาตรา ซึ่งเป็นภาษากฎหมายชาวบ้านอาจอ่านไม่เข้าใจ หรือนำไปอ่านแล้ว ไม่เกิน 2-3 มาตราคงหลับ หากใครนอนไม่หลับ ผมแนะนำให้อ่านร่างรัฐธรรมนูญ แต่ถึงแม้จะอ่านแล้วหลับ แต่คนอ่านจะได้รับประโยชน์"  มีชัย กล่าว
มีชัย กล่าวย้ำด้วยว่า ตามที่มีข่าวปล่อยว่าเมื่อร่างรัฐธรรมนูญถูกคว่ำ จะทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อยู่ยาวมากขึ้น แต่ตนมองว่าไม่จริง เพราะหากร่างรัฐธรรมนูญถูกคว่ำ พล.อ.ประยุทธ์จะอยู่ไม่เป็นสุข ซึ่งกรณีที่ตนพูดนั้นไม่ใช่การขู่ให้รับร่างรัฐธรรมนูญ เนื่องจากข้อเท็จจริงหากมีกระบวนการคว่ำร่างรัฐธรรมนูญได้ จะมีผู้ออกมาเดินขบวนขับไล่
"ผลลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญไม่ใช่ตัวชี้ว่าลุงตู่จะอยู่นานหรือไม่ เพราะลุงตู่ยืนยันแล้วว่าต้องมีการเลือกตั้งภายในปี 2560 ดังนั้นหากร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติ การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นได้แน่นอนภายในต้นปี 2561 แต่หากไม่ผ่านยังไงก็ต้องเลือกตั้งภายใน ปี 2560 ดังนั้นเรื่องรัฐธรรมนูญกับการอยู่ยาวจึงเป็นคนละเรื่อง" มีชัยกล่าวย้ำในตอนท้าย

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำคุกตลอดชีวิตคดียิง M79 ที่ชุมนุม กปปส. หน้าบิ๊กซี


ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำคุกตลอดชีวิต คดียิง M79 ลงที่ชุมนุม กปปส.หน้า Big C เมื่อ ก.พ.57 ซึ่งเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย เป็นเด็ก 2 รายและผู้ใหญ่ 1 ราย ยกเหตุจำเลยให้การสอดคล้องกัน พนักงานสอบสวนเป็นตำรวจชั้นผู้ใหญ่เชื่อถือได้และยังเป็นคดีที่สังคมจับตามอง เจ้าหน้าที่ไม่กล้าซ้อมให้สารภาพและหากมีการกระทำดังกล่าวจำเลยก็ไม่เอะอะโวยวายตอนทำแผน แต่ไม่พิจารณาข้อพิรุธในคดี ทนายความจำเลยยืนยันฎีกาต่อ

27 ก.ค. 2559 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า วันนี้ ศาลอาญากรุงเทพใต้ นัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำที่ 3734/2557 หมายเลขแดงที่ 2994/2558 อัยการ ศาลอาญากรุงเทพใต้พิเศษ 4 ฟ้อง ชัชวาล(ชัช) ปราบบำรุง(จำเลยที่ 1), สมศรี(เยอะ) มาฤทธิ์ (จำเลยที่ 2), สุนทร(ทร) ผิผ่วนนอก(จำเลยที่ 3)และทวีชัย(วี) วิชาคำ(จำเลยที่ 4) ว่าได้ร่วมกันยิงกระสุนระเบิดขนาด 40 มม. ด้วยเครื่องยิง M79 ไปตกลงบริเวณที่ชุมนุมของ กปปส. ด้านหน้าห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี ราชดำริ เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2557 ทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย (เป็นเด็ก 2 รายและผู้ใหญ่ 1 ราย) บาดเจ็บสาหัส 9 ราย และได้รับอันตรายแก่ร่างกายและจิตใจอีก 12 ราย และทำให้แผงร้านค้าและรถตุ๊กตุ๊กที่จอดอยู่ในบริเวณจุดเกิดเหตุได้รับความเสียหาย
คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสี่คนในข้อหาตามฐานความผิดต่อชีวิต, ความผิดต่อชีวิต (พยายาม), ความผิดต่อร่างกาย, ความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดอันตรายแก่ประชาชน, พ.ร.บ.อาวุธปืน, ลหุโทษ, พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ
10.00น. ศาลอ่านคำพิพากษาสรุปความได้ว่า ประเด็นแรกที่จำเลยอุทธรณ์ คือโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ จำเลยได้อ้างประกาศกรมสอบสวนคดีพิเศษเรื่อง มติคณะกรรมการคดีพิเศษให้คดีความผิดทางอาญาอื่นเป็นคดีพิเศษ กรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวกถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดอาญาสืบเนื่องจากการชุมนุมทางการเมืองในพื้นที่กรุงเทพฯ และบางจังหวัดรวมถึงบุคคลอื่นที่มีส่วนในการกระทำความผิดด้วยและความผิดที่ต่อเนื่องหรือเกี่ยวพันกัน แต่ในคดีไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกับสุเทพ เทือกสุบรรณหรือพวกในการก่อเหตุ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดี
ประเด็นต่อมาจำเลยได้ร่วมกันกระทำความผิดตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษาหรือไม่ โจทก์ได้นำ พ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี เข้าเบิกความว่า พ.ต.อ.อัคราเดช ได้รับการติดต่อจากฝ่ายการข่าวของทหารให้เข้าร่วมการสอบสวนจำเลยที่ค่ายทหารเมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2557 จำเลยทั้ง 4 ให้การสอดคล้องกันจำเลยทั้ง 4 ได้ร่วมกันวางแผนที่บ้านของกรรณิการ์ วงศ์ตัวที่ย่านสายไหม โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดหาอาวุธ วางแผนและกำหนดจุดยิง จำเลยที่ 2 ขับรถคุ้มกัน จำเลยที่ 3 เป็นผู้ซ่อมอาวุธและนั่งอยู่ในรถคันเดียวกับจำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 4 เป็นผู้ยิง พ.ต.อ.อัคราเดช เป็นตำรวจชั้นผู้ใหญ่ได้ให้การว่าในระหว่างการสอบสวนไม่มีการทำร้ายร่างกายและบังคับให้ถ้อยคำ และยืนยันว่าจำเลยให้การโดยสมัครใจ จึงมีความน่าเชื่อถือจึงรับฟังได้
พ.ต.ท.ยุต ทองอยู่ พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษเจ้าของคดี เบิกความว่าจำเลยทั้ง 4 คนให้การรับสารภาพว่าวันเกิดเหตุได้ใช้บ้านของกรรณิการ์ วงศ์ตัว เป็นที่ประชุม ต่อมาวันที่ 23 ก.พ. 2557 ทั้งหมดได้เดินทางไปยังบริเวณที่เกิดเหตุโดยใช้รถที่ถูกยึดได้ในคดี เดินทางไปถึงสะพานข้ามแยกแยกประตูน้ำในเวลา 17.00 น.เศษ ทวีชัยได้ใช้ M79 ยิงหนึ่งนัดไปที่บริเวณผู้ชุมนุมหน้าห้าง Big C แล้วเดินทางกลับที่บ้านของกรรณิการ์แล้วจึงแยกย้ายกันไป
พิจารณาแล้วจำเลยทั้ง 4 คนให้การถึงความเป็นมาและขั้นตอนโดยละเอียดในสาระสำคัญสอดคล้องกับรายละเอียดในบันทึกถามปากคำ แม้ว่าบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนและบันทึกถามปากคำจะอยู่ในฐานะพยานบอกเล่าตามที่จำเลยอ้าง แต่กฎหมายก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้รับฟังเสียทีเดียวเพียงแต่ต้องมีพยานหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องมาสนับสนุนให้เชื่อว่าพยานบอกเป็นความจริงและที่จำเลยทั้งสี่อ้างว่าถูกทำร้ายบังคับให้ลงชื่อรับสารภาพและไม่มีทนายความระหว่างการสอบสวนนั้นง่ายต่อการกล่าวอ้าง เพราะไม่ปรากฏข้อเท็จจริงเกี่ยวกับบาดแผลและในบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนก็มีทนายความร่วมทำการสอบคำให้การด้วย ซึ่งไม่ยากที่จะนำสืบหักล้างโดยการให้ทนายความที่ลงชื่อมาเบิกความ
นอกจากนั้นคดีนี้เหตุที่เกิดนั้นน่าจะมีมูลเหตุจากความคิดทางการเมืองไม่ตรงกันและเป็นคดีอุกฉกรรจ์ที่มีบุคคลหลายฝ่ายจับตา เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจึงต้องระวังเป็นพิเศษ จึงไม่น่าเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจที่เกี่ยวข้องจะกล้าทำอย่างที่จำเลยทั้ง 4 กล่าวอ้าง
พยานโจทก์ยังมี พ.ต.ท.สุทัศน์ ไชยพรหม และ พ.ต.ท.กิตติศักดิ์ ยาคุ้มภัย พยานตำรวจผู้เชี่ยวชาญเบิกความตรงกันว่า จากการตรวจสอบเชื่อว่าทิศทางการยิงมาจากแยกประตูน้ำ และในประเด็นภาพกล้องวงจรปิดที่ถ่ายภาพรถยนต์ที่ขึ้นสะพานข้ามแยกมีพยานศุภกร พุ่มชาวสวน พนักงานรักษาความปลอดภัยของห้างแพลตตินั่ม ซึ่งทำหน้าที่ตรวจสอบกล้องวงจรปิดและเป็นผู้มอบบันทึกภาพวิดีโอซึ่งเป็นภาพเคลื่อนไหวให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลุมพินีเพื่อตรวจสอบได้ระบุตำแหน่งของกล้องวงจรปิดด้านหน้าห้างที่บันทึกภาพของรถยนต์ที่มุ่งขึ้นสะพานข้ามแยกประตูน้ำ ซึ่งสามารถบันทึกภาพรถกระบะสีทอง รถยี่ห้ออีซูซุ มิวเซเว่น สีดำ และ รถกระบะโตโยต้าสีดำไว้ได้ ซึ่งตรงกับประเภทรถและสีที่จำเลยทั้งสี่ให้การ หากข้อเท็จจริงไม่เป็นไปตามบันทึกคำให้การของจำเลยทั้งสี่ก็ไม่น่าเป็นไปได้ที่รถยนต์ของกลางทั้งสามคันจะไปแล่นในสถานที่และเวลาเดียวกันได้
พ.อ.วิจารณ์ จดแตง เบิกความว่าจับกุมนายชัชวาลได้เมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2557 ต่อมาวันที่ 9 ก.ค. ชัชวาลได้นำทหารไปตรวจค้นที่บริเวณหมู่บ้านพฤกษา B คลองสาม พบอาวุธ 9 รายการ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าเป็นปืน M79 และกระสุนระเบิดขนาด 40 มม. แต่จำเลยก็ไม่ได้นำพยานมาเบิกความพิสูจน์ทั้งที่กล่าวอ้างว่าอาวุธที่ตรวจพบเป็นของเพื่อน
อีกทั้งเมื่อจำเลยทั้งสี่คนถูกนำตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพก็เป็นโอกาสดีที่จะแสดงความบริสุทธิ์ว่าถูกทำร้ายร่างกายระหว่างการทำบันทึกปากคำต่อสื่อมวลชนจำนวนมากที่มารอทำข่าว เพื่อเป็นหลักฐานในเบื้องต้นซึ่งจะนำไปสู่การร้องเรียนต่อ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเพื่อเป็นหลักฐาน แต่ก็ไม่มีการแสดงออกดังกล่าว
ศาลจึงเชื่อว่าบันทึกถามปากคำและบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งสี่เป็นการนำสืบลอยๆ ไม่อาจรับฟังหักล้างพยานหลักฐานพยานโจทก์ได้ ศาลจึงพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
ภายหลังศาลอุทธรณ์อ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้น จำเลยทั้ง 4 ตัดสินใจที่จะยื่นฎีกาคดีต่อ
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2558 โดยตัดสินประหารชีวิตในข้อหาร่วมกันฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และพกพาอาวุธไปที่สาธารณะ จำคุก 2 ปี แต่การสารภาพชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา จึงลดโทษ 1 ใน 3 ในข้อหาร่วมกันฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนลงโทษคงเหลือจำคุกตลอดชีวิต และพกพาอาวุธคงเหลือจำคุก 1 ปี 4 เดือน เมื่อรวมโทษแล้วศาลให้ลงโทษเพียงสถานเดียวคือจำคุกตลอดชีวิตเท่านั้น และศาลสั่งให้ริบเครื่องยิงกระสุนระเบิด M79 และเครื่องกระสุนไว้เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ก่อเหตุส่วนรถยนต์ทั้ง 3 คันเป็นเพียงพาหนะที่ใช้อำนวยความสะดวกในการกระทำความผิดจึงไม่สามารถริบได้ ให้คืนเจ้าของ
ภายหลังศาลชั้นต้นพิพากษาจำเลยทั้งสี่ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อสู้คดีในประเด็นว่าพวกตนไม่ได้ร่วมกันกระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา และพวกตนถูกทำร้ายร่างกายระหว่างการสอบสวนภายในค่ายทหารระหว่างถูกควบคุมตัวตามกฎอัยการศึกและถูกบังคับให้สารภาพและไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพด้วย
ทนายความจำเลยได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นในประเด็นบันทึกปากคำในชั้นกฎอัยการศึกและบันทึกคำให้การของพนักงานสอบสวนได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์ไม่นำ ร.ท.ปริวัฒน์ ทองประจง พยานทหารที่เข้าร่วมการสอบสวนที่มีชื่อว่าเป็นผู้ซักถามจำเลยในบันทึกแต่ไม่ปรากฏลายมือชื่อท้ายบันทึกซักถาม มาเบิกความ แต่กลับนำ พล.ต.อ.อัครเดช พิมลศรี ที่เพียงลงชื่อในด้านข้างของเอกสารซึ่งอาจเป็นการลงชื่อในภายหลังและยังเบิกความถึงสถานที่ร่วมสอบสวนขัดแย้งกับหลักฐานว่าตนเข้าร่วมการสอบสวนที่กองพันทหารสารวัตรที่ 11 แต่ในบันทึกซักถามลงว่าทำบันทึกที่พัน.ร.มทบ.11 ซึ่งตั้งอยู่คนละที่กัน และได้เบิกความว่า พ.อ.วิจารณ์ จดแตง ร่วมซักถามด้วยแต่ พ.อ.วิจารณ์ฯ กลับเบิกความว่าไม่ได้เข้าร่วมการซักถาม คำเบิกความของพยานโจทก์จึงขัดแย้งกันและไม่น่าเชื่อถือ
นอกจากนั้นจากคำเบิกความของ พ.ต.ท.ยุต ทองอยู่ พนักงานสอบสวนคดีนี้ ที่ใช้หลักฐานและบันทึกซักถามที่ทำโดยทหารเพื่อขอออกหมายจับ จึงเห็นได้ว่าพนักงานสอบสวนได้เห็นและทราบบันทึกซักถามของจำเลยทั้งสี่ก่อนแล้ว จึงได้จัดทำบันทึกคำให้การจำเลยทั้งสี่ในชั้นสอบสวนในภายหลังซึ่งมีข้อความทำนองเดียวกัน อีกทั้งขณะสอบสวน แถลงข่าว และทำแผนประกอบคำรับสารภาพในที่เกิดเหตุ มีเจ้าหน้าที่ทหารร่วมอยู่ด้วยตลอดเวลา เป็นเหตุให้จำเลยทั้งสี่กลัวว่าจะถูกนำตัวกลับไปควบคุมตัวที่ค่ายทหารและถูกทำร้ายร่างกายอีก จึงยอมลงชื่อในบันทึกคำให้การทั้งที่จำเลยทั้งสี่ไม่ได้ให้การตามบันทึกคำให้การแต่อย่างใด
ประเด็นกล้องวงจรปิดของห้างแพลตินั่มนั้นโจทก์มีเพียงพยานเอกสารที่อ้างว่า เป็นภาพถ่ายที่ได้จากกล้องวงจรปิดหน้าห้างแพลทตินั่มเท่านั้น ซึ่งเป็นเอกสารที่มิใช่ต้นฉบับ อีกทั้งจากคำเบิกความของ พ.ต.ท.ธเนศ มีทอง ว่า “จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดและมีการทดแทนเวลากันแล้วเชื่อได้ว่าเหตุเกิดเวลา 16.51 น. ของวันเกิดเหตุ แต่กลับจำเวลาที่ปรากฏในกล้องวงจรปิด หลังจากที่มีการทดเวลาแล้วไม่ได้ อีกทั้งโจทก์ไม่ได้นำวิดีโอวงจรปิดซึ่งเป็นต้นฉบับแสดงต่อศาล ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าโจทก์จงใจที่จะปกปิดพยานหลักฐาน และนายศุภกรซึ่งมีหน้าที่ดูแลกล้องวงจรปิดของห้างยังเบิกความว่าจากกล้องวงจรปิดดังกล่าวไม่สามารถเห็นรายละเอียดของทะเบียนรถได้ และไม่เห็นคนขับและผู้โดยสารภายในรถแต่อย่างใด
ทั้งนี้ในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์กลับไม่กล่าวถึงในรายละเอียดในประเด็นเหล่านี้ของอุทธรณ์ของทนายความจำเลยแต่อย่างใด
คดีนี้จำเลยทั้ง 4 คนในคดีนี้ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 6-8 กรกฎาคม 2557 โดยทหารและใช้อำนาจควบคุมตัวตามกฎอัยการศึก พวกเขาทั้ง 4 คน ถูกนำตัวไปสอบสวนในค่ายทหาร โดยไม่มีโอกาสได้ติดต่อญาติหรือทนายความ จึงไม่มีใครทราบสถานที่ควบคุมตัวเป็นเวลา 8-9 วัน ซึ่งหมายความว่าพวกเขาอยู่ในการควบคุมตัวของทหารเกินระยะเวลาที่กฎอัยการศึกได้อนุญาตไว้ ก่อนถูกส่งตัวเข้าสู่กระบวนการสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พวกเขาถูกกล่าวหาตามพฤติการณ์และข้อหาตามที่กล่าวถึงข้างต้น ภายหลังทนายความสามารถเข้าถึงได้จึงได้รับการร้องเรียนจากจำเลยว่าพวกตนถูกซ้อมทรมานระหว่างการสอบสวนของทหาร

สามารถอ่านคำอุทธรณ์ของจำเลย คำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้ที่นี่

เรียก 11 คนเครือข่ายนักการเมืองเชียงใหม่ส่งมทบ.11 เตรียมแจ้งข้อหา ม.116 ปมจม.ประชามติ


<--break- />ใช้มาตรา 44 เรียกเข้าค่าย รายงานตัวแล้ว 7 คน ส่งต่อ มทบ.11 ตำรวจเตรียมแจ้งข้อหาตามมาตรา 116 ยุยงปลุกปั่น เป็นคดีความมั่นคงต้องขึ้นศาลทหาร 

27 ก.ค.2559 รายงานข่าวแจ้งว่า ที่บ้านพักรับรองภายใน มทบ.33 ค่ายกาวิละ จังหวัดเชียงใหม่ ทหารควบคุมตัวบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับจดหมายที่ถูกระบุว่ามีเนื้อหาบิดเบือนร่างรัฐธรรมนูญ โดยอาศัยคำสั่งหัวหน้าคสช.ตามมาตรา 44 ควบคุมตัว 11 คนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ประกอบด้วย
นายบุญเลิศ บูรณุปกรณ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ ที่เพิ่งถูกให้ระงับการปฏิบัติหน้าที่ โดยอาศัยอำนาจมาตรา 44 จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง
นายคเชน เจียกขจร นายกเทศบาลตำบลช้างเผือก
นางสาวทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ อดีต ส.ส.เชียงใหม่เขต 1 พรรคเพื่อไทย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองนายกอบจ.เชียงใหม่
นางสาวธารทิพย์ บูรณุปกรณ์ อาชีพทันตแพทย์
นายวิศรุต คุณะนิติสาร ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมตัวก่อนหน้านี้แล้วเข้าโครงการคุ้มครองพยาน
นายนายอติพงษ์ คำมูล เจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลช้างเผือก
นายกฤตกร ไพทะยะ คนขับรถผู้บริหารเทศบาลช้างเผือก
นางสาวเอมอร ดับโศรก
นางสุภาวดี งามเมือง
นายเทวรัตน์ อินต้า
นางกอบกาญจน์ สุคีตา
โดยมีผู้มารายงานตัวตามหมายเรียกในครั้งนี้ 7 คน คือ นายคเชน นางสาวธารทิพย์ นายวิศรุต นายนายอติพงษ์ นางสาวเอมอร นางสุภาวดี นางกอบกาญจน์ สำหรับบุคคลที่เหลืออีก 4 คนคือนายบุญเลิศ บูรณุปกรณ์ ได้รับแจ้งว่าอยู่ในระหว่างลาพักผ่อนที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ทางเจ้าหน้าที่มีการแจ้งให้มารายงานตัวที่ มทบ.11 ทันทีที่กลับมาถึงประเทศไทย ส่วนนางสาวทัศนีย์ นั้นได้รับแจ้งว่าไปกรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่ได้แจ้งว่าให้เข้ารายงานตัวที่มทบ. 11 ภายในวันนี้ ส่วนนายกฤตกรและนายเทวรัตน์ยังไม่สามารถตามตัวได้ก็ได้แจ้งให้ญาติพาตัวมาพบกับเจ้าหน้าที่ทหารภายในวันนี้ มิฉะนั้นเจ้าหน้าที่จะออกหมายจับทันที
การออกคำสั่งให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้ง 11 คนมารายงานตัวในครั้งนี้สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ได้จับกุมนายวิศรุต คุณะนิติสาร พนักงานเทศบาลตำบลช้างเผือก คนสนิทของนักการเมืองท้องถิ่น และนายสามารถ ขวัญชัย ซึ่งให้การรับสารภาพว่า ได้รับการสั่งการจากเครือข่ายผู้มีความเกี่ยวข้องทางการเมืองให้ไปดำเนินการแจกใบปลิวต่อต้านการออกเสียงประชามติ และจดหมายบิดเบือนร่างรัฐธรรมนูญ (รธน.) ซึ่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครองได้นำกำลังเข้าบุกค้นใน 10 จุดที่จังหวัดเชียงใหม่และลำพูน ซึ่งเป็นที่ตั้งของธุรกิจตระกูลนักการเมืองชื่อดังในจังหวัดเชียงใหม่เมื่อวันที่ 23 ก.ค.ที่ผ่านมา
พล.ต.โกศล ประทุมชาติ ผบ.มทบ.33 กล่าวว่า เมื่อเย็นวานนี้ทางทีมกฏหมายของ คสช. ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ ต่อเจ้าหน้าที่กองปราบปราม กรุงเทพฯ เกี่ยวกับคดีที่เกิดขึ้นซึ่งเข้าข่ายมาตรา 116 ถือเป็นอำนาจของศาลทหาร ทุกฝ่ายจึงเห็นว่าให้ทางกรุงเทพเป็นผู้ดำเนินคดี โดยจากปากคำผู้ต้องหาได้ให้การเป็นประโยชน์ถึงคนบงการ คนดำเนินการขั้นตอนต่างๆ ในการก่อความไม่สงบในประเทศ ทางเราจึงได้ออกหมายเรียกทั้ง 11 คนมาพบเพื่อนำตัวไปที่มทบ. 11 ในการควบคุมตัวและดำเนินการตามขั้นตอนของกฏหมาย โดยจากนี้ทางกองปราบฯ จะเข้ามาดำเนินการสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานต่อช่วงจากตำรวจภาค 5
ทั้งนี้ มาตรา 116 บัญญัติว่า ผู้ใดกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือหรือวิธีอื่นใดที่ไม่ใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต
(1) เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาลโดยใช้กำลังข่มขืนใจหรือใช้กำลังประทุษร้าย
(2) เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักรหรือ
(3) เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี
หลังจาก พล.ต.โกศล ชี้แจงรายละเอียดการเรียกทั้งหมดให้มารายงานตัวแล้ว ได้นำตัวทั้ง 7 คนขึ้นรถตู้โดยมีกำลังทหารกว่า 30 นายควบคุม เพื่อนำตัวทั้งหมดเดินทางจากจังหวัดเชียงใหม่ ไปส่งตัวให้ที่ มทบ.11 กรุงเทพ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย โดยเจ้าหน้าที่ได้แยกตัวนายวิศรุตไปอีกกลุ่มหนึ่ง
ขณะเดียวกันมีรายงานว่า เมื่อกลางดึกของคืนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ทหร ตำรวจและฝ่ายปกครอง ได้บุกเข้าค้นบ้านพักของนายทัศนัย บูรณุปกรณ์ นายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่เพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติมในคดีความผิดตาม พ.ร.บ.ประชามติด้วย
ด้านนายคเชน เจียกขจร นายกเทศบาลตำบลช้างเผือก เปิดเผยว่า เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ขอพูดอะไร ขอให้ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายยังไม่ขอให้ข้อมูลใดๆ ทั้งสิ้น ส่วนนางสาวธารทิพย์ บูรณุปกรณ์ ทำงานเป็นทัตแพทย์ เปิดเผยว่าตนเองเป็นน้องของนางสาวทัศนีย์และนายทัศนัย บูรณุปกรณ์ ตนไม่เคยยุ่งเรื่องการเมืองทำอาชีพเป็นหมอฟันอย่างเดียว ยังไม่ทราบว่าโดนเรื่องอะไรและไปเกี่ยวข้องกับคดีนี้ตรงไหน

ยังปราบโกงไม่พอ อภิสิทธิ์ลั่นไม่รับร่างรธน. หากไม่ผ่านหนุนประยุทธ์นั่งหัวโต๊ะร่างใหม่


แถลงจุดยืนไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ชี้ยังปราบโกงไม่พอ ระบุหากรธน.ผ่าน คนได้ประโยชน์คือจำเลยคดีจำนำข้าว ยันโหวตทางใดไม่เกี่ยวกับเชียร์หรือไม่เชียร์ฝ่ายใด พร้อมลั่นไม่ยอมให้ใครเอาเงื่อนไขไม่ผ่านมาสร้างความวุ่นวาย หนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้นำร่างใหม่เอง โดยไม่ต้องเปลี่ยนจุดยืนที่จะปฏิรูปประเทศ 
27 ก.ค. 2559 อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงจุดยืนในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ต่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับลงประชามติว่าจะไม่รับร่างดังกล่าว พร้อมเสนอว่าหากไม่ผ่านประชามติเป็นโอกาสให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นผู้นำในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ 
อภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนได้เคยแถลงข่าวก่อนหน้านี้ไปแล้วครั้งหนึ่งต่อร่างรัฐธรรมนูญว่าไม่รับกับคำถามพ่วงและไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญ แต่ยังไม่ได้ตอบว่าจะรับหรือไม่รับ เพราะต้องรอทางเลือกที่ชัดเจนว่าในกรณีที่ไม่รับแล้วจะเป็นอย่างไรต่อ และต้องการให้มีบรรยากาศทางการเมืองที่ไม่นำไปสู่ปัญหาความวุ่นวายขัดแย้ง การแถลงของตนในวันนี้ไม่สามารถเป็นมติพรรคได้ เนื่องจากไม่สามารถมีการประชุมพรรคได้ การที่จะเป็นมติพรรคนั้นต้องผ่านการประชุมและเห็นชอบของสมาชิก แต่ตนไม่ได้มองว่าสิ่งที่จะแถลงเป็นเรื่องของความคิดเห็นส่วนตัว หากแต่เป็นจุดยืนที่แสดงในฐานะหัวหน้าพรรคบนพื้นฐานของอุดมการณ์พรรคตั้งแต่ก่อตั้งมา จึงถือเป็นการสานต่ออุดมการณ์ของพรรค
 
 
อภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ตนให้ความสนใจรัฐธรรมนูญมากกว่าวันที่ 7 ส.ค.ที่จะมาถึง เพราะว่าสิ่งสำคัญที่ต้องการที่สุดไม่ว่าใครจะมีความคิดเห็นอย่างไร ทุกคนต้องการให้ประเทศของเราเดินไปข้างหน้า ก้าวให้พ้นสภาพปัญหาที่เป็นอยู่จากวิกฤติทางการเมือง ปัญหาความขัดแย้ง ทำให้ประเทศไทยไม่สามารถพัฒนาไปตามศักยภาพได้ ดังนั้นจุดยืนในวันนี้ก็เพื่อแสวงหาคำตอบของอนาคตประเทศไทยด้วย

3 เงื่อนไขการพิจารณา

สำหรับหลักเกณฑ์ในการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ อภิสิทธิ์ระบุว่า พิจารณาจากสภาพปัญหาที่ต้องแก้ไขมี 3 ประเด็นหลัก คือ

หนึ่ง คือ เราจะกำหนดทิศทางของการพัฒนาประเทศอย่างไร รัฐธรรมนูญหรือกติกาของบ้านเมืองจะส่งผลต่อการพัฒนาประเทศไปทางไหน และเป้าหมายที่สำคัญที่สุดก็คือ เราต้องทำให้ระบบการเมืองและเศรษฐกิจตอบสนองความต้องการของคนส่วนใหญ่ในประเทศโดยเฉพาะคนที่ด้อยโอกาส ไม่ค่อยมีสิทธิมีเสียงและยากจน

สอง คือ ที่บ้านเมืองเข้ามาสู่สภาพวิกฤตินี้ ปัจจัยที่เป็นสาเหตุหนึ่งก็คือการทุจริตคอร์รัปชัน การใช้อำนาจในทางที่ผิดได้ก่อให้เกิดการสูญเสียต่อประเทศ เราจึงต้องตอบโจทย์ว่าจะหลุดพ้นจากปัญหานี้อย่างไร

สาม คือ คนไทยคงไม่ต้องการเห็นวัฏจักรของความขัดแย้งทางการเมืองอีกแล้ว ไม่ว่าจะเรื่องของการรัฐประหาร การชุมนุมประท้วง การใช้ความรุนแรง การสร้างความเกลียดชังที่เกิดขึ้น

นี่คือโจย์ 3 ข้อในการใช้เป็นเกณฑ์การพิจารณาว่าจะกำหนดท่าทีต่อรัฐธรรมนูญและอนาคตของประเทศต่อไปอย่างไร
 
อภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ตนเชื่อว่าผู้ร่างรัฐธรรมนูญและคสช.มีความตั้งใจในการแก้ปัญหา 3 ข้อข้างต้นเช่นกัน แต่รัฐธรรมนูญนี้ได้ตอบโจทย์เหล่านี้เพียงพอหรือไม่ ร่างรัฐธรรมนูญไม่ได้เดินไปในทิศทางที่สอดคล้องกับสิทธิเสรีภาพและการมีส่วนร่วมของประชาชนซึ่งให้หลักประกันกับประชาชนน้อยกว่ารัฐธรรมนูญ 2550 ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิทธิผู้บริโภค สิทธิชุมชน สิ่งแวดล้อม การได้รับความช่วยเหลือด้านกฏหมาย หรือสวัสดิการต่างๆ ก็ไม่สามารถเขียนให้เกิดความก้าวหน้าอย่างชัดเจนเหมือนฉบับปี 2550 และวิธีเขียนในฉบับร่างลงประชามตินี้เป็นวิธีเขียนที่เปิดโอกาสให้กับรัฐบาลในอนาคตสามารถออกกฏหมายมาตีกรอบขอบเขตของสิทธิเสรีภาพและการมีส่วนร่วมหรือสวัสดิการเหล่านี้ได้

นอกจากนั้นบทบาทในการที่ประชาชนจะมีส่วนร่วมแสดงออกทั้งการเลือกตั้งหรือกระบวนการอื่นๆ ที่จะกำหนดนโยบายสาธารณะของประเทศก็ถูกจำกัดลงโดยบทบัญญัติที่มีการขยายบทบาทของภาคราชการทำให้ตนมองว่าโอกาสที่รัฐธรรมนูญจะเป็นเครื่องมือในการยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนและให้รัฐบาลหลังรัฐธรรมนูญประกาศใช้มีความยืดหยุ่นในการตอบสนองความเปลี่ยนแปลงต่อสถานการโลกเป็นไปได้ยาก จึงมองว่าร่างรัฐธรรมนูญนี้ไม่สามารถตอบโจทย์ให้ทิศทางการพัฒนาประเทศหรือตอบโจทย์การพัฒนาต่างๆ ได้ 
 
สำหรับเรื่องความขัดแย้งในสังคมต้องแก้ด้วยกระบวนการหลัก 2 ประการ คือ หนึ่ง กระบวนการทางการเมืองซึ่งเป็นประชาธิปไตย สอง กระบวนการยุติธรรมและระบอบประชาธิปไตยไม่ใช่แค่การเลือกตั้งและเสียงข้างมาก แต่ต้องมีการกำหนดบทบาทขององค์กรต่างๆ ให้มีการตรวจสอบถ่วงดุลกันอย่างเหมาะสม หลักง่ายๆ คือประชาชนจะเป็นผู้กำหนดว่าใครจะเป็นคนมาบริหารประเทศ แต่คนที่จะมาบริหารประเทศต้องไม่ไปบริหารประเทศตามใจชอบ ลุแก่อำนาจ ต้องถูกควบคุมโดยกลไกที่เหมาะสมโดยไม่ฝืนกับเจตนารมณ์ของประชาชน
 
"ปัญหาที่สำคัญของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็คือว่า วางน้ำหนักการตรวจสอบถ่วงดุล หรือหวังที่จะใช้กลไกที่มาแก้ไขความขัดแย้งจากสมาชิกวุฒิสภา 250 คน ที่มาจากการเลือกกันเองในบทถาวร และจากการคัดเลือกและแต่งตั้งในบทเฉพาะกาล ซึ่งทั้ง 2 กรณีนี้ต้องยอมรับความเป็นจริงว่า การเลือกกันเองคงไม่สามารถที่จะพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำหรอกว่าเป็นตัวแทนของประชาชนอย่างแท้จริง ผมมองว่าการใช้กลไกนี้นอกจากจะไม่แก้ปัญหาความขัดแย้ง กลับจะยิ่งเป็นการสร้างคู่ขัดแย้งใหม่ขึ้นในตัว 250 คนนี้ ผมจะไม่ลงไปในรายละเอียด แต่ว่าท่านนึกภาพแล้วกันว่า ไม่ว่า 250 คนนี้จะไปสนับสนุนคนที่เสียงข้างมากหรือเสียงข้างน้อยในสภาผู้ทนราษฏรที่มาจากการเลือกตั้ง ล้วนแล้วแต่จะเป็นปมให้เกิดความขัดแย้งใหม่ๆ ทั้งสิ้น ที่สำคัญก็คือว่า กติกาที่ถูกวางมาในครั้งนี้ยังเป็นกติกาที่แก้ยากมาก ไม่ใช่เฉพาะต้องได้รับความเห็นชอบจากทุกพรรคการเมือง แต่ต้องได้เสียง 1 ใน 3 หรือสัดส่วนที่สูงพอสมควรจากคนที่มาจากการคัดเลือกหรือแต่งตั้งหรือสรรหาตรงนี้ มันจึงเป็นตัวที่ทำให้บีบรัดและตีกรอบให้ความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตไม่สามารถแก้ไขได้" อภิสิทธิ์กล่าว 
 
"ที่สำคัญคือ กระบวนการประชามติที่ทำอยู่ขณะนี้เองก็เป็นกระบวนการที่ค่อนข้างจะผิดปกติ ไม่ได้เป็นไปตามแนวทางซึ่งเราเคยปฏิบัติกันมาจนทำให้เกิดความตึงเครียด เห็นว่ามีการจับกุม มีการใช้วิธีที่มันไม่ปกติจากหลายๆ ฝ่าย และจะนำมาสู่ข้อโต้แย้งไม่จบไม่สิ้นว่าฝ่ายที่มีความเห็นที่หลากหลายต่างๆ ได้รับความเป็นธรรมและได้รับพื้นที่ในการแสดงออกหรือไม่ จึงทำให้ความชอบธรรมที่พึงจะเกิดจากการทำประชามติครั้งนี้นี่มันไม่เกิดขึ้นอย่างที่หลายคนโดยเฉพาะผมที่เสนอให้มีการจัดทำประชามติที่คาดหวังไว้ เมื่อเป็นช่นนี้แทนที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้จะมาแก้ไขความขัดแย้ง กลับกลายเป็นเงื่อนไขของความขัดแย้งต่อไปในอนาคตและอาจจะไม่ต่างจากเงื่อนไขความขัดแย้งที่เคยเกิดขึ้นในอดีทั้งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และในอดีตที่ห่างไกลกว่านั้นที่ประเทศไทยเคยผ่านมาแล้วด้วย" อภิสิทธิ์ กล่าว 

ทำกลไกปราบโกงอ่อนแอ

"เรื่องการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน จุดนี้ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาว่าเป็นจุดเด่นของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ และผมก็สนับสนุนบทบัญญัติหลายมาตราที่เกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชันที่เกี่ยวกับการเพิ่มโทษ การเข้มงวดกวดขันในเรื่องของคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ที่จะเข้ามาสู่การเมือง แต่เราต้องมองการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันให้ครบวงจร เราจะเพิ่มโทษอย่างไรก็แล้วแต่ การจับการทุจริตต้องเริ่มต้นจากบรรยากาศและสภาวะแวดล้อมที่เปิด คือ เป็นประชาธิปไตย ประชาชนเข้าถึงข้อมูล สามารถแสดงออก ตรวจสอบถ่วงดุลกันได้เต็มที่ มิฉะนั้นเราจะไม่รู้ตั้งแต่ต้นว่ามีใครไปทุจริตไปโกงอยู่ที่ไหนอย่างไร แต่ที่สำคัญก็คือว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ที่จะจัดการกับปัญหานักการเมืองโกง ได้เปลี่ยนแปลงวิธีการไปจากเดิม เดิมคือมีกระบวนการของการถอดถอน บวกกับการดำเนินคดีอาญา ในฉบับร่างนี้ได้ยกเลิกกระบวนการถอดถอนไปแล้ว และพึ่งกลไกหลักอยู่ 2 กลไก คือ ป.ป.ช. กับศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง ซึ่งทั้ง 2 กลไกนี้มีอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับเดิม ปัญหาที่ผมจะชี้ให้เห็นก็คือว่า บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่กลับทำให้ 2 องค์กรนี้อ่อนแอลงในการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน" อภิสิทธิ์ กล่าว 
 
อภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า กรณีของ ป.ป.ช. คนที่มาทำหน้าที่นี้ต้องมีความเป็นอิสระและเที่ยงตรง ในอดีตเราเคยมี ป.ป.ช.ที่ไม่เที่ยงตรงหรือทำผิดกฏหมายเสียเอง แต่ปี 40 หรือ 50 นั้น ช่องทางในการตรวจสอบ ป.ป.ช. ทำได้ไม่ยาก พรรคประชาธิปัตย์เคยเริ่มกระบวนการฟ้องร้อง ป.ป.ช. มาแล้ว แต่ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ใครจะตรวจสอบ ป.ป.ช. ต้องยื่นเรื่องผ่านประธานสภาผู้แทนราษฏร ซึ่งโดยโดยปกติก็คือสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรของพรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาล แล้วประธานสภาผู้แทนฯ จะมีดุลยพินิจสิทธิขาดที่จะส่งเรื่องนั้นต่อไปที่ศาลเพื่อดำเนินคดีต่อไปหรือไม่ ซึ่งกระทบต่อความเป็นอิสระและความเข้มแข็งของกระบวนการตรวจสอบอย่างยิ่ง เพราะเป็นการเปิดช่องทางให้กับผู้ที่มีอำนาจในฝ่ายรัฐบาลกับ ป.ป.ช. อยู่ในสภาวะที่ต่อรองกัน และฝ่ายที่จะตรวจสอบก็ไม่มีช่องทางอื่นที่จะทำอะไรได้ ส่วนกรณีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไปเปลี่ยนแปลงกระบวนการตรงนี้ เดิมถ้าศาลนี้พิพากษาว่าใครผิดใครโกง ผู้ถูกลงโทษจะอุทธรณ์ได้ก็ต่อเมื่อมีหลักฐานใหม่เท่านั้น และถ้าจะอุทธรณ์คนที่จะมีวินิจฉัยอุทธรณ์คือที่ประชุมใหญ่ของศาลฏีกา เพราะฉะนั้นนักการเมืองจะกลัวศาลนี้เป็นพิเศษ และก็มีแต่นักการเมืองที่ขึ้นศาลนี้เท่านั้นที่ไม่พอใจกับบทบัญญัติในศาลนี้ แต่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่กลับทำให้การอุทธรณ์ง่ายขึ้นคือยังไม่มีการกำหนดเงื่อนไขหลักเกณฑ์เอาไว้ และเมื่ออุทธรณ์ไปแล้วการวินิจฉัยจะดำเนินการโดยองค์คณะใหม่ไม่ใช่ที่ประชุมใหญ่ของศาลฏีกา 
 

ชี้ร่างรธน.ผ่านจำเลยจำนำข้าวได้ประโยชน์

"คาดว่าถ้ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่าน คนกลุ่มแรกที่อาจจะได้ประโยชน์จากบทบัญญัติใหม่นี้ คือจำเลยในคดีจำนำข้าว เพราะว่ารัฐธรรมนูญก็คงจะผ่าน ถ้าผ่านก็คือประชามติในเดือนสิงหาคม ถ้าคำถามพ่วงเกิดผ่านด้วย มีการปรับปรุงแก้ไขอย่างไรเสียก็ประกาศใช้ได้น่าจะตุลา-พฤศจิกา แต่คำตัดสินของคดีนี้ก็อาจจะออกมาหลังจากนั้น ผิดเพียงสักเดือนสองเดือน ถ้าตัดสินว่าผิดก็ใช้สิทธิอุทธรณ์ตามรัฐธรรมนูญใหม่ได้เลย" อภิสิทธิ์ กล่าว พร้อมกล่าวด้วยว่ากระบวนการถอดถอนที่จากเดิมนักการเมืองที่เคยถูกถอดถอนนั้นถูกตัดสิทธิห้ามเล่นการเมืองตลอดชีวิต แต่ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ยกเลิกข้อห้ามนั้นไปแล้วก็จะถูกตัดสิทธิเป็นระยะเวลาที่ถูกเพิกถอนสิทธิก็น่าจะประมาณ 5 ปี 

ชี้ไม่รับไม่ได้เท่ากับไม่ชอบใคร ถ้าไม่ผ่านหนุนประยุทธ์นั่งหัวโต๊ะร่าง 

"ผมสนับสนุนการปราบโกง แต่ผมว่าบทบัญญัติที่ผมยกตัวอย่างมา เฉพาะในส่วน 2 ข้อนี้ มันกำลังทำให้กระบวนการปราบโกงอ่อนแอลง มันไม่ได้เป็นไปอย่างที่มีการพูดกัน หรือมีความพยายามที่จะทำกันให้การปราบโกงให้มันมีความเข้มข้นขึ้น ..ผมไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ และผมขอย้ำนะครับนี่คือเกณฑ์ที่ผมใช้ในการพิจารณา ไม่มีประเด็นใดเลยที่ไปเกี่ยวข้องกับเรื่องระบบการเลือกตั้ง เรื่องพรรคการเมือง เรื่องอะไรทั้งสิ้น แต่ผมไม่รับเพราะผมเห็นว่าร่างนี้มันไม่ตอบโจทย์ประเทศ มันไม่สามารถเป็นกติกาถาวรที่เอื้อให้ประเทศไทยก้าวพ้นสภาพปัญหาเดิมๆ ได้ นั่นคือเหตุผลที่ผมไม่รับ" 
 
"ถ้ารัฐธรรมนูญไม่ผ่าน ประเทศมีโอกาส ขอยืนยันเลยว่า การไม่รับร่างรัฐธรรมนูญของผมอยู่บนเนื้อหาสาระและที่ผมชักชวนให้ทุกคนพิจารณาจากเนื้อหาสาระ การลงมติรับหรือไม่จึงไม่ใช่เป็นเรื่องชอบหรือไม่ชอบ เชียร์หรือไม่เชียร์ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดทางการเมือง และผมจะไม่ยอมให้ใครเอาเงื่อนไขว่าถ้ากรณีรัฐธรรมนูญไม่ผ่านแล้ว จะมาสร้างความวุ่นวายให้กับบ้านเมือง ตรงกันข้าม ผมมองว่าถ้ารัฐธรรมนูญไม่ผ่าน ผมคิดว่ามันเป็นโอกาสที่ดีที่จะสนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้นำในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว ตามโรดแมปที่ได้กำหนดไว้ ไม่ต้องเปลี่ยนแปลง" อภิสิทธิ์กล่าว
 
กรณีร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านนั้น อภิสิทธิ์กล่าวว่า จะเป็นโอกาสดีที่จะสนับสนุนให้นายกรัฐมนตรีจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ตามโรดแมปที่ประกาศเอาไว้ และให้รัฐธรรมนูญที่ดีกว่าฉบับนี้กับประชาชน โดยตนมั่นใจว่าถ้ารัฐธรรมนูญไม่ผ่าน นายกรัฐมนตรีต้องตระหนักถึงสาเหตุที่มา ที่ไปที่ทำให้รัฐธรรมนูญไม่ผ่าน และคงไม่ร่างคนเดียว แต่จะทบทวนข้อดี ข้อเสีย โดยไม่ต้องเปลี่ยนจุดยืนที่จะปฏิรูปประเทศ ซึ่งเสนอว่าน่าจะเริ่มต้นร่างจากรัฐธรรมนูญปี 2550 เพราะเป็นฉบับที่ผ่านความเห็นชอบจากประชาชนมาแล้ว การแถลงจุดยืนในครั้งนี้ ไม่มีความประสงค์ให้เกิดความขัดแย้งกับใคร  และจะไม่มีวันสบคบกับกลุ่มนักการเมืองที่เคยโกงชาติ หรือคิดที่จะโกงชาติต่อไปในอนาคต