วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

อัยการสั่งฟ้อง 'สุเทพ' 45 แกนนำกปปส. ฐานกบฏ - เตรียมอุทธรณ์คดี 'อัลรูไวลี่'


           อธิบดีอัยการพิเศษเผยสั่งฟ้องแกนนำกปปส. 45 คน ฐานร่วมกันเป็นกบฏ ขณะที่คดี ‘มูฮัมหมัด อัลรูไวลี่’ นักธุรกิจชาวซาอุฯ ส่งสำนวนให้สำนักงานอัยการสำนักงานคดีศาลสูงพิจารณาเพื่อยื่นอุทธรณ์ต่อไปแล้ว
         เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2557 นายนันทศักดิ์ พูลสุข อธิบดีอัยการสำนักงานอัยการคดีพิเศษ และโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า พนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องนายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม และนายสกลธี ภัทธิยกุล แกนนำ กปปส. ผู้ต้องหา 2 ใน 51 คน หลังพนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ส่งสำนวนให้อัยการพิจารณาสั่งฟ้องในข้อหาร่วมกันเป็นกบฎและข้อหาอื่นๆ รวม 8 ข้อหา ศาลนัดสอบคำให้การและตรวจพยานหลักฐานวันที่ 12 พฤษภาคมนี้ ส่วนผู้ต้องหาที่เหลือ คือ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. กับพวกรวม 43 คน ถูกฟ้องในข้อหาเดียวกัน โดยแจ้งให้ดีเอสไอนำตัวมาส่งฟ้องต่อไป
          ขณะที่นักวิชาการ 5 คน ที่ขึ้นปราศรัยบนเวที อัยการมีความเห็นสั่งฟ้องในข้อหาสนับสนุนการกระทำอันเป็นการกบฏและข้อหาอื่นๆ และแจ้งให้นำตัวมาส่งฟ้อง ส่วนนักวิชาการอีก 1 คน อัยการสั่งไม่ฟ้อง โดยจะแจ้งอธิบดีดีเอสไอพิจารณาเห็นชอบอีกครั้ง หากมีความเห็นแย้ง จะส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดชี้ขาด
นายนันทศักดิ์กล่าวว่า เตรียมจัดทำบัญชีพยานซึ่งเป็นพยานบุคคลกว่า 500 ปาก ประกอบด้วย ตำรวจนครบาล, ตำรวจสันติบาล และฝ่ายความมั่นคง ที่หาข่าวในพื้นที่ชุมนุม พร้อมหลักฐานเอกสารต่างๆ ซึ่งอัยการไม่ได้คัดค้านการประกันตัวอยู่ที่ดุลยพินิจของศาล
 เตรียมอุทธรณ์คดี 'อัลรูไวลี่'
          โดย นายนันทศักดิ์ แถลงความคืบหน้ากรณีศาลอาญาพิพากษายกฟ้องในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้อง พล.ต.อ.สมคิด บุญถนอม กับพวก ฐานฆ่านายมูฮัมหมัด อัลรูไวลี่ นักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบีย และซ่อนเร้นทำลายศพ ด้วยว่าคดีนี้อัยการมีความเห็นควรให้ยื่นอุทธรณ์ และส่งสำนวนให้สำนักงานอัยการสำนักงานคดีศาลสูงพิจารณาเพื่อยื่นอุทธรณ์ต่อไปแล้ว
          นายนันทศักดิ์กล่าวว่า มีประเด็นคัดค้านคำพิพากษา คือประเด็นเกี่ยวกับแหวนที่อ้างว่าเป็นพยานหลักชิ้นใหม่ ไม่เคยปรากฏในสำนวนมาก่อน ประเด็นพยานปาก พ.ต.ท.สุวิชชัย แก้วผลึก รับฟังได้มีน้ำหนัก และจะครบกำหนดยื่นอุทธรณ์ภายในวันที่ 2 มิ.ย. ถ้าไม่ทันจะขยายอุทธรณ์ได้อีกครั้ง ส่วนประเด็นการสืบพยานลับหลังจำเลยในต่างประเทศก็มีปัญหาข้อกฎหมาย โดยเฉพาะคำให้การพยานในต่างประเทศ หากมีเจ้าหน้าที่ซึ่งมีความน่าเชื่อถือให้การรับรองคำให้การแล้วก็น่าจะใช้รับฟังได้ประหนึ่งว่ามาให้การในศาล
         “ในอดีตผมเคยว่าความคดีทรัพย์สินทางปัญญา และเคยให้เจ้าหน้าที่รับรองคำให้การพยานในต่างประเทศมาแล้ว ซึ่งศาลก็รับฟัง และยังมีประเด็นที่คู่ความได้เสนอศาลรัฐธรรมนูญ เรื่องการสืบพยานลับหลังจำเลยจะขัดกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 40 เรื่องนี้ก็ยังเป็นประเด็นให้พิจารณาต่อไปว่าการสืบพยานลับหลังจะขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่” นายนันทศักดิ์ กล่าว

กบฏสุเทพ ประกาศยึดสถานีโทรทัศน์ทุกช่องและทำเนียบรัฐบาล



            วันนี้ (9 พ.ค.) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. กล่าวบนเวทีสวนลุมพินี ว่า เราได้ร่วมกันตั้งสัตยาธิษฐานไว้แล้วว่าเราจะบำเพ็ญเพียรขั้นสุดท้ายเพื่อเรียกคืนอำนาจอธิปไตยกลับมาเป็นของปวงชนชาวไทย จะได้จัดตั้งรัฐบาลของประชาชน และสภานิติบัญญัติของประชาชน เพื่อปฏิรูปประเทศไทย และเราจะเริ่มบำเพ็ญเพียรวันนี้ตั้งแต่ 09.09น.เป็นต้นไป เราจะไม่มีความลับอะไร เปิดเผย ตรงไปตรงมาเพราะเป็นการต่อสู้ของพลเมืองดี วันนี้เราจะแบ่งกำลังเป็นขบวน เดินไปที่สถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆ ทุกช่อง
  • คุณณัฏฐพล ทีปสุวรรณ จะพาเดินไปช่อง 3 ,
  • นายแซมดิน เลิศบุศย์ กองทัพธรรม กองทัพประชาชน จะไปสถานีโทรทัศน์ช่อง 5
  • นายอิสระ สมชัยจะนำไปช่อง 7 ,
  • นายชุมพล จุลใส ไปช่อง 9 ,
  • ถาวร เสนเนียม ไปช่อง 11 ,
  • วิทยา แก้วภราดัย ไปช่อง 11 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ 
  • ส่วนขบวนของตน ไปทำเนียบรัฐบาล 
          สถานีโทรทัศน์ทั้งหลายอย่าตกใจ เราไปดี ไม่ใช่ไปร้าย เราไปอยู่เป็นเพื่อนท่านไม่ให้พวกทรราชบังคับท่านให้เป็นกระบอกเสียงของพวกมันเท่านั้น สิ่งที่จะขอร้องสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆคือ ขอความร่วมมือเลิกเสนอข่าวของพวกทรราชตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยท่านยังเสนอรายการของท่านไปตามปกติ แต่หากเราต้องการสื่อสารอะไร จะขอความร่วมมือเกี่ยวสัญญาณ

           นายสุเทพ กล่าวกับผู้ชุมนุมว่า ฝ่ายทรราชอาจให้สมุนบริวารไปขัดขวาง เราไม่ต่อสู้ใดทั้งสิ้น ยกมือไหว้ สวดมนต์ และเดินหน้าเป้าหมายของ เรา วันนี้ไม่ใช่วันเผด็จศึก วันนี้แค่ขั้นแรก พี่น้องอาจมาไม่ได้วันนี้ แต่ทะยอยเข้ามาได้ เดี๋ยวเราจะพอไปสมทบกันหมด ส่วนพี่น้องในกรุงเทพ ขอความกรุณาเห็นรถตำรวจที่ไหนล้อมไว้ให้หมด อย่าให้ไปปราบปรามประชาชนได้ ห้ามทำร้ายเจ้าหน้าที่เด็ดขาด สำหรับเจ้าหน้าที่ทหาร เขาวางตัวเฉยอยู่แล้ว อย่าไปคุกคามเขา รถทหารผ่านได้ทุกแห่ง รถตำรวจผ่านไม่ได้ซักแห่งเดียว ทุกคนให้ฟังตำแหน่งหัวหน้าชุด หน้าปฏิบัติตามอำเภอใจ เพราะเราเป็นพลเมืองดี ห้ามคนมีอาวุธไปร่วมการต่อสู้ครั้งนี้ เห็นใครมีอาวุธไล่ให้กลับบ้านไปเลย ส่วนขบวนของหลวงปู่พุทธอิสระจะไปล้อม ศรส.

กปปส.บุกสถานีโทรทัศน์-ทำเนียบ-จี้ให้เลิกเสนอข่าวรัฐบาล

          กปปส. ถือฤกษ์ 09.09 น. เคลื่อนขบวนไปช่อง 3-5-7-9-11 ส่วนสุเทพ เทือกสุบรรณจะนำขบวนไปทำเนียบรัฐบาล โดยระบุว่ามาดี ไม่ได้มาร้าย มาขอความร่วมมือเลิกเสนอข่าวรัฐบาล หาก กปปส. ต้องการสื่อสารอะไรจะขอ "เกี่ยวสัญญาณ"
สุเทพ เทือกสุบรรณ นำผู้ชุมนุม กปปส. เคลื่อนไปทำเนียบรัฐบาล (ที่มา: เพจสุเทพ เทือกสุบรรณ)
          9 พ.ค. 2557 - ช่วงเช้าของวันนี้ (9 พ.ค.) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ได้ปราศัยที่เวทีสวนลุมพินี ว่า เราได้ร่วมกันตั้งสัตยาธิษฐานไว้แล้วว่าเราจะบำเพ็ญเพียรขั้นสุดท้ายเพื่อเรียกคืนอำนาจอธิปไตยกลับมาเป็นของปวงชนชาวไทย จะได้จัดตั้งรัฐบาลของประชาชนและสภานิติบัญญัติของประชาชน เพื่อปฏิรูปประเทศไทย และเราจะเริ่มบำเพ็ญเพียรวันนี้ตั้งแต่ 09.09น.เป็นต้นไป เราจะไม่มีความลับอะไร เปิดเผย ตรงไปตรงมาเพราะเป็นการต่อสู้ของพลเมืองดี วันนี้เราจะแบ่งกำลังเป็นขบวน เดินไปที่สถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆ ทุกช่อง  โดยนายสุเทพระบุถึงเส้นทางเดินขบวนวันนี้ของกลุ่ม กปปส. ได้แก่
  • นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ จะพาผู้ชุมนุมไปช่อง 3
  • กองทัพธรรม กองทัพประชาชน จะไปสถานีโทรทัศน์ช่อง 5 นำโดย นายแซมดิน เลิศบุศย์
  • นายอิสระ สมชัย นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ นายสกลธี ภัททิยกุล จะนำไปช่อง 7
  • นายชุมพล จุลใส ไปช่อง 9
  • นายถาวร เสนเนียม ไปช่อง 11 ถนนวิภาวดี,
  • นายวิทยา แก้วภราดัย ไปช่อง 11 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่
  • ส่วนขบวนของสุเทพ เทือกสุบรรณ ไปทำเนียบรัฐบาล

         นอกจากนี้มีรายงานว่า พระพุทธะอิสระ แกนนำ กปปส.แจ้งวัฒนะ จะพาผู้ชุมนุมไปศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ถ.วิภาวดีรังสิต
         นายสุเทพ กล่าวว่า สถานีโทรทัศน์ทั้งหลายอย่าตกใจ เราไปดี ไม่ใช่ไปร้าย เราไปอยู่เป็นเพื่อนท่านไม่ให้พวกทรราชบังคับท่านให้เป็นกระบอกเสียงของพวกมันเท่านั้น สิ่งที่จะขอร้องสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆคือ ขอความร่วมมือเลิกเสนอข่าวของพวกทรราชตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยท่านยังเสนอรายการของท่านไปตามปกติ แต่หากเราต้องการสื่อสารอะไร จะขอความร่วมมือเกี่ยวสัญญาณ
         นายสุเทพ กล่าวกับผู้ชุมนุมว่า ฝ่ายทรราชอาจให้สมุนบริวารไปขัดขวาง เราไม่ต่อสู้ใดทั้งสิ้น ยกมือไหว้ สวดมนต์ และเดินหน้าเป้าหมายของ เรา วันนี้ไม่ใช่วันเผด็จศึก วันนี้แค่ขั้นแรก พี่น้องอาจมาไม่ได้วันนี้ แต่ทะยอยเข้ามาได้ เดี๋ยวเราจะพอไปสมทบกันหมด ส่วนพี่น้องในกรุงเทพ ขอความกรุณาเห็นรถตำรวจที่ไหนล้อมไว้ให้หมด อย่าให้ไปปราบปรามประชาชนได้ ห้ามทำร้ายเจ้าหน้าที่เด็ดขาด สำหรับเจ้าหน้าที่ทหาร เขาวางตัวเฉยอยู่แล้ว อย่าไปคุกคามเขา รถทหารผ่านได้ทุกแห่ง รถตำรวจผ่านไม่ได้ซักแห่งเดียว ทุกคนให้ฟังตำแหน่งหัวหน้าชุด หน้าปฏิบัติตามอำเภอใจ เพราะเราเป็นพลเมืองดี ห้ามคนมีอาวุธไปร่วมการต่อสู้ครั้งนี้ เห็นใครมีอาวุธไล่ให้กลับบ้านไปเลย ส่วนขบวนของหลวงปู่พุทธอิสระจะไปล้อม ศรส.
          นายสุเทพ กล่าวว่า เราไม่ได้ไปยึดอำนาจ เราไปนั่งบำเพ็ญเพียร เพราะฉะนั้นยังไม่เข้าไปยึดอะไรทั้งสิ้น เราไปนั่งบำเพ็ญเพียรสะสมกำลัง เป้าหมายที่เราเริ่มเคลื่อนไหววันนี้เราต้องการบำเพ็ญเพียรเพื่อเรียกร้องให้ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง เช่น ประธานศาลฎีกา ประธานวุฒิสภา และคนอื่น ๆจะเป็นกกต. ฯลฯ ใครเห็นว่าตัวเองมีหน้าที่ร่วมกันแก้ปัญหาชาติบ้านเมืองโปรดนัดหมายคุยกันได้ตั้งแต่บัดนี้ เราต้องการให้การเปลี่ยนรัฐบาลเป็นไปด้วยความราบรื่น ถ้าท่านร่วมแรงร่วมใจก็สามารถเอาระบอบทักษิณส่วนที่เป็นซากเดนออกไปโดยราบรื่น แต่ถ้าภายใน 3 วันท่านไม่สามารถทำได้โดยวิธีราบรื่น เรามวลมหาประชาชนจะดำเนินการด้วยวิธีของเรา ขอแจ้งไปถึง นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล ที่ถูกอุปโลกให้ทำหน้าที่รักษาการแทนนายกฯ ขอแจ้งว่าท่านเป็นเถื่อน และเป็นเถื่อนทั้งคณะ ขอเชิญนิวัฒน์ธำรงและบรรดาคนเถื่อนที่อ้างตัวเป็นคณะรัฐมนตรีทุกคน ผมต้องการพูดคุยด้วย ให้ท่านติดต่อมา ต้องการพูดคุยกันดีๆส่งมอบอำนาจอธิปไตยคืนให้ประชาชน เรื่องจะได้จบ ขออนุญาตบอกพี่น้องประชาชน พบเห็นนิวัฒน์ธำรงที่ไหนให้เชิญตัวมาพบผมทันที ให้เชิญแบบสุภาพๆ เชิญมาดีๆ เชิญแบบพลเมืองดี เจอตรงไหนล้อมรถไว้ บอกผมอยากจะเจรจาด้วยแล้วตอนนี้ ตอนนี้พร้อมที่จะเจรจา ผมจะไปรออยุ่ข้างทำเนียบ ได้ตัวคนเหล่านี้ที่ไหนเชิญตัวได้พอไปหาผมที่ทำเนียบ ผมคิดถึงจะพูดกับเขา บอกกับเขาดีๆ ให้เลิกสวมบทโขนหลอกว่าเป็นครม. ประกาศห้ามทำร้ายเด็ดขาด เราไม่ใช่โจร เชิญเขา จูงมือเขาดีๆ พาไปพบกำนันหน่อย กำนันอยากคุยด้วย ถ้าใครโชคร้ายไปเจอธาริต โภคิน ชัยเกษม มันเป็นนักกฎหมายมือดี ผมต้องการใช้ให้พามาด้วย ได้ฤกษ์แล้ว 09.09 น.ลงมือบำเพ็ญเพียรได้ ก้าวหน้ากว่านี้ จะแจ้งให้ทราบเป็นระยะ ๆ
           ก่อนหน้านี้ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย แกนนำกปปส. ประกาศบนเวทีกปปส.สวนลุมพินี เพื่อแบ่งขบวนออกเป็น 6 ขบวน 
  • ขบวนที่ 1 นำโดย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการกปปส. นัดที่หน้าพระรูป ร.6 ขบวนนี้ เดิน 
  • ขบวนที่สอง นำโดย นายอิสระ สมชัย นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ และนายสกลธี ภัททิยกุล ขบวนนี้ไปโดยรถยนต์ 
  • ขบวนที่สามนำโดย นายถาวร เสนเนียม พบกันที่ประตู 3 เดินทางโดยรถยนต์ 
  • ขบวนที่สี่ นำโดย นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ เดิน 
  • ขบวนที่ห้า นำโดยนายชุมพล จุลใส และจิตภัสร์ กฤดากร ขบวนนี้เดิน และ
  • ขบวนที่หก นำโดยนายวิทยา แก้วภราดัย และกลุ่มนั่งแคร่แลกำนัน ขบวนนี้เดิน

ย้อนรอย! กรณี “บุญส่ง กุลบุปผา” ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อนุญาตให้ลูกลาเรียน ป.โทเมืองนอกแต่ได้รับเงินเดือน-ค่าตำแหน่งเต็มๆ แต่ไม่ผิดในข้อหาทุจริต



              ในการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 22 สิงหาคม 2556 ที่ผ่านมา ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องกล่าวหา นายบุญส่ง กุลบุปผา ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริต อนุญาตให้บุตรชายของตน ซึ่งดำรงตำแหน่งเลขานุการตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ลาไปศึกษาต่อต่างประเทศ โดยได้รับเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งในระหว่างลา ป.ป.ช.เห็นว่านายบุญส่งกระทำโดยพลการ เป็นเหตุให้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญยังคงเบิกค่าตอบแทนรายเดือนและเงินประจำตำแหน่งให้ตามปกติ ไม่ทุจริต แต่เป็นเรื่องความรับผิดในทางแพ่งที่นายบุญส่งกุลบุปผา จะต้องชดใช้เงินคืน

              คำวินิจฉัยของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ข่าวสำนักงาน ป.ป.ช.มีรายละเอียดดังนี้

             ตามที่นายพิชา วิจิตรศิลป์ ประธานชมรมกฎหมายภิวัฒน์แห่งประเทศไทยและเครือข่ายฯ ได้มีหนังสือกล่าวหานายบุญส่ง กุลบุปผา ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ว่า ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 โดยแต่งตั้งบุตรของตนเป็นเลขานุการ แล้วอนุญาตให้ไปศึกษาต่อต่างประเทศ ไม่ได้มาปฏิบัติงานประจำที่ศาลรัฐธรรมนูญ แต่ยังคงได้รับเงินเดือนและค่าตอบแทนตามปกติ ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาแล้ว มีมติให้รับเรื่องไว้พิจารณา และแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน เพื่อดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง โดยมีนายวิชัย วิวิตเสวี กรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธานอนุกรรมการ นั้น

           คณะอนุกรรมการไต่สวนได้ดำเนินการไต่สวน ข้อเท็จจริงแล้ว ปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายบุญส่ง กุลบุปผา ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2551 ซึ่งหลังจากเข้ารับตำแหน่งแล้ว เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2551 นายบุญส่ง กุลบุปผา ได้เสนอให้บุตรชายของตนดำรงตำแหน่งเลขานุการตุลาการศาลรัฐธรรมนูญประจำตัว นายบุญส่ง กุลบุปผา ศาลรัฐธรรมนูญ จึงได้มีคำสั่งที่ 5/2551 ลงวันที่ 16 กรกฎาคม 2551 แต่งตั้งให้บุตรชายของนายบุญส่ง กุลบุปผา ดำรงตำแหน่งเลขานุการตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ (นายบุญส่ง กุลบุปผา) ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2551

           จากนั้นประมาณ 7 เดือน นายบุญส่ง กุลบุปผา ได้อนุญาตให้บุตรชาย ลาไปศึกษาต่อต่างประเทศในระดับปริญญาโททางกฎหมาย โดยมีการเดินทางเข้า – ออก ราชอาณาจักร รวม 3 ครั้ง คือ

           ระหว่างวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 ถึงวันที่ 4 สิงหาคม 2552, ระหว่างวันที่ 27 กันยายน 2552 ถึงวันที่ 22 มีนาคม 2553 และระหว่างวันที่ 2 เมษายน 2553 ถึงวันที่ 21 กันยายน 2553 รวมระยะเวลาประมาณ 1 ปี 6 เดือน โดยในระหว่างนี้ สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ยังคงเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนรายเดือน จำนวน 42,200 บาท และเงินประจำตำแหน่ง จำนวน 4,900 บาท ให้แก่บุตรชายของนายบุญส่ง กุลบุปผา เป็นประจำทุกเดือนตามปกติ

           ในเรื่องนี้ นายบุญส่ง กุลบุปผา ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาว่า ตามระเบียบศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยลูกจ้างสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2542 หมวด 4 วัน เวลาทำงาน และการลาหยุดราชการ ข้อ 16 กำหนดให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เป็นผู้มีอำนาจอนุญาตสำหรับการลาของลูกจ้างตามสัญญาจ้างซึ่งประจำ ตำแหน่งผู้นั้น ดังนั้น เมื่อบุตรชายของตนขอลาไปศึกษาต่อต่างประเทศ ตนจึงเป็นผู้มีอำนาจอนุญาตในการลา

ส่วนประเด็นว่า ในระหว่างลาจะได้รับค่าตอบแทนทุกเดือน หรือไม่

           นายบุญส่ง กุลบุปผา ชี้แจงว่า ตามระเบียบว่าด้วยการจ่ายค่าจ้างลูกจ้างของส่วนราชการ พ.ศ. 2526 ข้อ 24 กำหนดว่า ส่วนราชการใดมีความจำเป็นที่ต้องสั่งให้ลูกจ้างประจำไปศึกษาในต่างประเทศ เกี่ยวกับหน้าที่ราชการที่ลูกจ้างประจำผู้นั้น ปฏิบัติอยู่ โดยให้ได้รับค่าจ้างอัตราปกติตลอดระยะเวลาที่ไป ให้อยู่ในดุลพินิจของเจ้ากระทรวงที่ผู้นั้นสังกัด อยู่จะพิจารณาอนุญาต ดังนั้น เมื่อนำมาเทียบเคียงกับเลขานุการประจำตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่แต่งตั้งขึ้น ตามระเบียบของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ที่ได้รับอนุมัติให้ลาไปศึกษาต่อต่างประเทศ ก็ย่อมมีสิทธิได้รับ ค่าตอบแทนเช่นเดียวกัน

           คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า ตามระเบียบศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วย การแต่งตั้งเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2551 ซึ่งเป็นระเบียบ ที่นำมาใช้ในการแต่งตั้งบุตรชายนายบุญส่ง กุลบุปผา ให้ดำรงตำแหน่งเลขานุการตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นี้

          ปรากฏว่ามิได้มีบัญญัติไว้ในข้อ ใดให้สิทธิเลขานุการตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่จะขออนุญาตลาไปศึกษาในต่างประเทศได้ และก็มิได้มีบัญญัติไว้ในข้อใด ให้อำนาจตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่จะอนุญาตให้เลขานุการตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ลาไปศึกษาในต่างประเทศได้เช่นเดียวกัน

          ส่วนที่นายบุญส่ง กุลบุปผา อ้างว่า มีอำนาจอนุญาตการลาของลูกจ้างตามสัญญาจ้างประจำตำแหน่งของตน ตามระเบียบศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยลูกจ้างสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2542 หมวด 4 ข้อ 16 นั้น ก็ปรากฏว่า ลูกจ้างตามสัญญาจ้างตามระเบียบฯ ดังกล่าว หมายถึง บุคลากรประเภทที่ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งเป็นพนักงานขับรถยนต์ประจำ ตำแหน่ง เท่านั้น มิได้หมายถึง ผู้ดำรงตำแหน่งเลขานุการตุลาการศาลรัฐธรรมนูญด้วย แต่อย่างใด

            และที่อ้างว่า ในระหว่างลาไปศึกษาในต่างประเทศ เลขานุการตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีสิทธิได้รับค่าตอบแทน โดยอาศัยระเบียบว่าด้วยการจ่ายค่าจ้างลูกจ้างของส่วนราชการ พ.ศ. 2526 มาเทียบเคียง

          ก็ปรากฏว่า ระเบียบว่าด้วยการจ่ายค่าจ้างลูกจ้างของส่วนราชการ พ.ศ. 2526 ข้อ 24 ดังกล่าว เป็นเรื่องการอนุญาตให้ลูกจ้างประจำของส่วนราชการไปศึกษาในต่างประเทศ แต่เลขานุการตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มิใช่ลูกจ้างประจำของส่วนราชการ จึงไม่สามารถนำระเบียบนี้มาเทียบเคียงใช้บังคับได้ คำชี้แจงแก้ ข้อกล่าวหาของนายบุญส่ง กุลบุปผา ทั้งหมด จึงฟังไม่ขึ้น

           ดังนั้น การที่บุตรชายของนายบุญส่ง กุลบุปผา ขออนุญาตลาไปศึกษาในต่างประเทศ โดยไม่มีระเบียบกำหนดให้สิทธิในการลา และการที่นายบุญส่ง กุลบุปผา ได้อนุญาตให้บุตรชายไปศึกษาในต่างประเทศ โดยไม่มีระเบียบกำหนดให้มีอำนาจอนุญาตได้ จึงเป็นการกระทำโดยพลการ โดยปราศจาก

          อำนาจและหน้าที่ตามกฎหมาย ซึ่งแม้จะมีผลให้การกระทำของนายบุญส่ง กุลบุปผา มิใช่การกระทำในฐานะเจ้าพนักงานที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ไม่เป็นความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการก็ตาม แต่พฤติการณ์ของนายบุญส่ง กุลบุปผา ที่อนุญาตให้บุตรชายลาไปศึกษาในต่างประเทศโดยพลการ

           โดยมิได้รายงานให้ประธานศาลรัฐ ธรรมนูญทราบ หรือแจ้งให้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญทราบ เป็นเหตุให้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญยังคงเบิกค่าตอบแทนรายเดือนและเงินประจำ ตำแหน่งให้ตามปกติ จึงเป็นเรื่องความรับผิดในทางแพ่งที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญจะเรียกให้นายบุญ ส่งกุลบุปผา ชดใช้เงินคืนต่อไป

           คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติว่า ข้อกล่าวหานายบุญส่ง กุลบุปผา ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป แต่ให้แจ้งความเห็นของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในเรื่องความรับผิดในทางแพ่ง ให้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญทราบ และพิจารณา ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป

สื่อฯ ทั่วโลกประจาน "ก่อรัฐประหารโดยศาลรัฐธรรมนูญ" ย้ำว่าอำมาตย์ไทยยังไม่พร้อมสละสิทธิ์ "เทพประทาน" ในการปกครองประเทศ





              เว็บไซต์หนังสือพิมพ์วอลสตรีท เจอร์นัล เผยแพร่บทวิเคราะห์การเมืองไทย เรื่อง "มือพิฆาตของอำมาตย์ไทย- รอยัลลิสต์เลือกตั้งแพ้ ก่อรัฐประหารโดยตุลาการ" ระบุว่า เมื่อวันพุธ พลังรอยัลลิสต์เล่นงานระบอบประชาธิปไตยของไทยอีกครั้ง ศาลรัฐธรรมนูญก่อรัฐประหารโดยตุลาการ โค่นล้มนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพราะกรณีย้ายข้าราชการ


             "นับเป็นครั้งที่สามในรอบหนึ่งทศวรรษ สถาบันที่ขาดการรับผิดแห่งนี้ ซึ่งอยู่ภายใต้การชักใยของระบอบอำมาตย์ กำจัดผู้นำจากการเลือกตั้ง ด้วยเหตุผลอันน่าเคลือบแคลง" บทวิเคราะห์ระบุ
บทวิเคราะห์บอกว่า ศาลเข้าแทรกแซงด้วยการตบรางวัลแก่ประชาธิปัตย์ พรรคการเมืองรอยัลลิสต์ ที่บอยคอตการเลือกตั้งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ หลังจากบรรดาแกนนำพรรคได้ออกไปนำการประท้วงเพื่อโค่นล้มระบอบประชาธิปไตย และแต่งตั้งสภาที่ประกอบด้วยชนชั้นนำ


             เมื่อเดือนมีนาคม ศาลรัฐธรรมนูญประกาศให้การเลือกตั้งดังกล่าวเป็นโมฆะด้วยเหตุที่ว่า พวกผู้ประท้วงขัดขวางการเลือกตั้ง ทำให้ไม่สามารถจัดการลงคะแนนเป็นวันเดียวกันทั่วประเทศได้ ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลได้ขัดขวางการออกเสียงครั้งใหม่ ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นอัมพาต


            สถานการณ์เช่นนี้เป็นเรื่องน่าหัวร่อ และอันตรายอย่างยิ่ง ความขัดแย้งนี้ปลุกให้พวกสุดโต่งในทั้งสองฝ่ายข่มขู่ที่จะทำสงครามกลางเมือง ในรอบนี้ การเผชิญหน้าดูจะดุเดือดยิ่งขึ้น เพราะฝ่ายรอยัลลิสต์อยู่ในสภาพหลังพิงฝา กลุ่มพลังที่สนับสนุนพี่น้องตระกูลชินวัตรชนะเลือกตั้งตลอด 5 ครั้งที่ผ่านมา คาดว่าในการเลือกตั้งครั้งใหม่ก็จะชนะอีก ขณะที่กองทัพมีความแตกแยก และลังเลที่จะเข้ายึดอำนาจอีก


            ฝ่ายอำมาตยาธิปไตยมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญเผด็จการที่คณะรัฐประหารสร้างไว้เมื่อปี 2550 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือป.ป.ช. และองค์กรอื่นๆ อาจขัดขวางเจตจำนงของผู้ออกเสียงเลือกตั้งก็จริงอยู่ แต่ไม้ตายนั้นอยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ เพราะได้ยับยั้งความพยายามที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญทุกครั้งที่ผ่านมา
บทวิเคราะห์มองว่า ทางออกเฉพาะหน้าเพื่อรักษาประชาธิปไตยอันเปราะบางของไทย และหลีกเลี่ยงการนองเลือด คือ การเจรจาหาข้อยุติ หากฝ่ายอำมาตย์ได้รับหลักประกันในเรื่องความมีอภิสิทธิ์ต่างๆ และพรรคประชาธิปัตย์ได้ครองเก้าอี้จำนวนหนึ่ง ความขัดแย้งอาจทุเลาลงสัก 2-3 ปี อย่างไรก็ตาม ภาวะสันติเช่นนั้นยังคงง่อนแง่น เพราะทั้งสองฝ่ายมองอนาคตของประเทศไทยต่างกันลิบลับ ทักษิณ ชินวัตร ได้เหยียบตาปลาของระบอบศักดินาเมื่อเขาปลุกให้สามัญชนเรียกร้องอำนาจที่แท้จริงเมื่อปี 2544 ยักษ์ที่ตื่นแล้วไม่อาจกลับไปหลับใหลอีกแม้ตระกูลชินวัตรถูกขับออกไปจากการเมืองก็ตาม


           คำวินิจฉัยล่าสุดของศาลรัฐธรรมนูญเป็นการดิ้นเฮือกสุดท้ายของระบอบเก่า ทำลายความน่าศรัทธาของตนเองเมื่อพวกเขาดิ้นรนที่จะปิดกั้นพลังประชาธิปไตย


           บทวิเคราะห์ตั้งความหวังว่า ประเทศไทยจะมีผู้นำที่ชาญฉลาดสักคนบังเกิดขึ้นในฟากฝั่งพวกรอยัลลิสต์ ที่จะตระหนักถึงความจริงข้อนี้ และเลิกพยายามโค่นล้มประชาธิปไตย แม้ประชาธิปัตย์ยังไม่สามารถชนะเลือกตั้งได้ในอนาคตอันใกล้ พรรคนี้จะยังคงมีอิทธิพล และทัดทานกระแสประชานิยมของฝ่ายสนับสนุนตระกูลชินวัตรได้


            "อย่างไรก็ดี ในเวลานี้ ดูเหมือนฝ่ายอำมาตย์ไม่พร้อมที่จะสละการอ้างสิทธิ์เทพประทาน ที่จะปกครองประเทศไทย และยอมรับบทบาทของฝ่ายตรงข้าม" วอลสตรีท เจอร์นัล สรุปในตอนท้าย.


Source: Wall Street Journal



Photos: AFP

ตกอับ! กบ กางเกงใน ถูกไล่ออก ไร้ที่ซุกหัวนอน


เอาแล้วไง !! "กบกางเกงใน" วอนมหาประชาชนช่วยบริจาคเงินให้ตนยังชีพ

            (8 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวีรชาติ เปรมกมล อายุ 33 ปี ฉายา "กบ กางเกงใน" ขวัญใจ กปปส. ที่เคยสร้างวีรกรรมใส่กางเกงในตัวเดียว ใช้ถังดับเพลิงฉีดใส่ตำรวจที่สะพานชมัยมรุเชษฐ ได้โพสต์เฟซบุ๊กในชื่อ นาย วีรชาติ เปรมกมล เผยว่า ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงที่ลำบากทางการเงิน หลังจากตกงาน พอไปสมัครที่อื่นก็ไม่มีใครรับเนื่องจากติดหมายจับ ซ้ำยังถูกไล่ออกจากห้องเช่า เพราะค้างค่าเช่าถึง 2 เดือน จึงวอนขอน้ำใจจากกปปส.ให้ความช่วยเหลือลูกเมียของตนเอง



           โดยนายวีรชาติ ยังได้โพสต์รูปของตัวเองและสมุดบัญชีธนาคารเพื่อยืนยันว่าเป็นผู้ขอความช่วยเหลือด้วยตัวเอง ไม่ได้ถูกแอบอ้าง โดยมีข้อความตอนหนึ่งว่า

           "สวัสดีครับผมกบ.นายวีรชาติ เปรมกมล เป็นเรื่องจริงครับผมเดือดร้อนจริงๆ นี่บุคแบงค์ของผม ผมตกงาน 3 เดือน ผมอดผมทนได้เพราะเป็นเรื่องที่ผมสร้างเอง ผมไม่ต้องการให้แฟนและลูกมาอดแบบผม เพราะผมขอฝากให้พี่น้องให้แฟนและลูกสาวมีที่อยู่มีที่หลับที่หลับที่นอน ไม่ใช่กลางถนนเหมือนผม ขอฝาก 2 ชีวิต แฟนกับลูกสาวผมด้วยครับ"


           อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ชาว กปปส. ทราบข่าวดังกล่าว ต่างพากันเข้ามาช่วยเหลือ ด้วยการโอนเงินให้ และแสดงความคิดเห็นให้กำลังใจนายวีรชาติเป็นจำนวนมาก

ภาพตอนกบโดนขี้กลากแดก





ปปช.มติ7-0ชี้มูล'ยิ่งลักษณ์'ผิดจำนำข้าว


[​IMG]

          คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือป.ป.ช. ได้แถลงคณะอนุกรรมการไต่สวนกรณีถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในคดีละเลย เพิกเฉยให้มีการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวเมื่อเวลา 15.50 นี้

            ระบุว่า มติ7-0 ชี้มูล'ยิ่งลักษณ์' ผิด จำนำข้าว เตรียมส่งเรื่องให้วุฒิสภาถอดถอนต่อไปโดยนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีพฤติการณ์ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย และมีเหตุควรสงสัยว่าปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าว โดยเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้น
7 ป.ปช.ลงมติคดีจำนำข้าววันนี้

  • 1. นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานกรรมการ
  • 2. นายประสาท พงษ์ศิวาภัย กรรมการ
  • 3. นายภักดี โพธิศิริ กรรมการ
  • 4. นายวิชา มหาคุณ กรรมการ
  • 5. นายวิชัย วิวิตเสวี กรรมการ
  • 6. นายปรีชา เลิศกมลมาศ กรรมการ
  • 7. นายณรงค์ รัฐอมฤต กรรมการ

          สำหรับ เส้นทางดคีชี้มูลความผิด "ยิ่งลักษณ์" คดีละเลยทุจริตโครงการรับจำนำข้าว
5 มิ.ย. 56 "หมอวรงค์" ยื่นหนังสือต่อ ป.ป.ช.ให้ตรวจสอบการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวของคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ หรือ กขช. ที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน

  • 28 ม.ค. 57 ป.ป.ช. ตั้งกรรมการไต่สวนถอดถอน "ยิ่งลักษณ์" กรณีโครงการรับจำนำข้าว ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
  •  13 ก.พ. 57 "อภิสิทธิ์" เข้าให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในกรณีร้องขอให้ถอดถอนน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กรณีกล่าวหาว่าทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ในฐานะผู้ร้อง
  • 18 ก.พ.57 ป.ป.ช. มีมติเรียก “ยิ่งลักษณ์” รับทราบข้อกล่าวหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
  • 31 มี.ค. 57 "ยิ่งลักษณ์" เข้าชี้แจง ป.ป.ช. ปมจำนำข้าว ต่อข้อกล่าวหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยไม่ระงับยับยั้งการรับจำนำข้าว ปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตจากโครงการรับจำนำข้าว
  • 10 เม.ย. 57 "นิวัฒน์ธำรง" เข้าชี้แจง ปปช. ยืนยันนายกฯ ไม่ได้ละเลยปล่อยให้เกิดการทุจริตรับจำนำข้าว
  • 18 เม.ย. 57 "กิตติรัตน์" แจงปปช.กว่า 4 ชม. ปฏิเสธข้อหาทุจริต ยันควบคุมเข้มงวดแล้ว ป้องนายกไม่ได้ละเว้นปฏิบัติหน้าที่
  • 15 พ.ค. 57 "วิชา มหาคุณ" ยัน ป.ป.ช. สรุปสำนวนจำนำข้าวยึดข้อเท็จจริง โต้ไม่เร่งปิดคดี ไม่มีเอี่ยวการเมือง
  • 26 เม.ย. 57 "นิวัฒน์ธำรง" เข้าชี้แจง ป.ป.ช. ยืนยันข้าวไม่หาย ระบุการระบายใช้หลักการเดียวกันกับรัฐบาลก่อน
  • 7 พ.ค. 57 ป.ป.ช. พิจารณาสำนวนคดีที่ได้รับจากคำชี้แจงข้อกล่าวหาโครงการรับจำนำข้าว
  • 8 พ.ค. 57 คณะ ป.ป.ช. ชุดใหญ่ ชี้มูลความผิด กรณีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว

ยูเอ็น-ฟรีดอมเฮาส์ กังวลสถานการณ์การเมืองไทย ร้องให้การเลือกตั้งเป็นทางออก


8 พ.ค. 2557 สหประชาชาติได้แสดงความกังวลต่อสถานการณ์ในประเทศไทย หลังจากที่วานนี้ศาลรัฐธรรมนูญได้ตัดสินให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ และรัฐมนตรีอีก 9 คน ออกจากตำแหน่งรักษาการ จากกรณีที่โยกย้ายเลขาธิการสมช. ถวิล เปลี่ยนศรีอย่างมิชอบในปี 2554 โดยสำนักงานโฆษกของบัน คี มุน เลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวในระหว่างการแถลงข่าวว่า บันตีมุนรับทราบถึงสถานการณ์ในประเทศไทย และเรียกร้องให้ทุกฝ่ายหาทางออกด้วยการเจรจา
 
ทางโฆษกเลขาธิการยูเอ็นยังกล่าวว่า บัน คี มุน จะตามสถานการณ์ในเมืองไทยอย่างใกล้ชิด และหวังว่าทุกฝ่ายจะใช้ความอดทนอดกลั้น และเคารพในหลักการประชาธิปไตย นิติธรรม และหลักสิทธิมนุษยชน 
 
ด้านฟรีดอมเฮาส์ องค์กรด้านรณรงค์เสรีภาพสื่อ มีสนง.ใหญ่อยู่ที่วอชิงตัน ดีซี ออกแถลงการณ์ย้ำว่า ปัญหาการเมืองในประเทศไทยต้องออกได้ด้วยการเลือกตั้ง และเรียกร้องทุกฝ่ายไม่ใช่ความรุนแรง โดยเฉพาะการชุมนุมของกลุ่มการเมืองต่างๆ ในช่วงสุดสัปดาห์ที่จะถึงนี้
 
“การชุมนุมเองมีบทบาทสำคัญต่อกระบวนการประชาธิปไตย แต่เราหวังว่าทุกฝ่ายจะยอมรับการเลือกตั้งมากกว่าการชุมนุมที่ยืดเยื้อ ในฐานะกลไกการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่มีความชอบธรรม” ซูซาน คอร์ค ผู้อำนวยการฝ่ายเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และยูเรเชียกล่าว
 
“ฟรีดอมเฮาส์เรียกร้องให้ประเทศไทยจัดการเลือกตั้งทั่วไปที่กำหนดไว้เป็นวันที่ 20 ก.ค. และให้ฝ่ายค้านลงเลือกตั้งด้วย เพื่อสร้างหลักประกันว่าการเลือกตั้งจะเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม และชอบธรรมในสายตาของประชาชนชาวไทย” 

เอกนัฏชี้ยิ่งลักษณ์ตายคาสนาม ปชต.สมใจ-สุเทพนัด 9 พ.ค. ทวงอำนาจคืน


สุเทพ เทือกสุบรรณขอนัดเร็วขึ้น-ระดมพล 9 พ.ค. 09.09 น. เรียกคืนอำนาจอธิปไตย ตั้งรัฐบาลประชาชน ฟื้นฟูให้ประเทศเจริญรุ่งเรือง ลั่นจะไม่ยอมให้ใครแอบอ้างเป็นรักษาการรัฐบาลอีกต่อไป พร้อมเชิญคนทุกกลุ่มรวมทั้งคนเสื้อแดงมาร่วมกับ กปปส. สร้างประเทศไทย
7 พ.ค. 2557 - ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการ สมช. สิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรีลงเป็นการเฉพาะตัวนั้น (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)
ต่อมา เพจเวทีราชดำเนินได้โพสต์ข้อความของนายเอกนัฏ พร้อมพันธ์ โฆษก กปปส. ซึ่งระบุว่า "คุณยิ่งลักษณ์ได้ตายคาสนามประชาธิปไตยสมใจ ระบอบทักษิณสิ้นอำนาจบริหาร เมื่อประเทศไทยไม่มีรัฐบาล มวลมหาประชาชนจะช่วยกัน "ฟื้นฟูชาติ" อย่างไร รอฟังการปราศรัยของลุงกำนันคืนนี้เวลา 19.30 น. ครับ"
สุเทพ เทือกสุบรรณ ปราศรัยเมื่อคืนวันที่ 7 พ.ค. 2557 ที่เวที กปปส. สวนลุมพินี นัดหมายชุมนุมใหญ่ 9 พ.ค. 2557 เวลา 09.09 น. (ที่มา: Blue Sky Channel)

ทั้งนี้ที่เวที กปปส. สวนลุมพินี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ได้ขึ้นปราศรัยในเวลา 20.40 น. ช้ากว่าที่นัดหมายไว้ โดยเลขาธิการ กปปส. กล่าวปราศรัยว่า "ขอเปลี่ยนแปลงกำหนดการเชิญชวน เดินทางเข้ากรุงเทพฯ ได้แล้วตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขอกำหนดวันเวลานัดหมายเพื่อร่วมแรงร่วมใจกันปฏิบัติภารกิจครั้งสุดท้าย จากที่เคยนัดหมาย 14 พ.ค. ขอนัดหมายใหม่เป็นวันที่ 9 พ.ค. เวลา 09.00 น. เราจะเริ่มปฏิบัติภารกิจด้วยความเพียรสูงสุด ตั้งแต่วันที่ 9 พ.ค. เวลา 09.09 น."
"พี่น้องมวลมหาประชาชนที่จะมาร่วมปฏิบัติภารกิจครั้งสำคัญเพื่อชาติเพื่อแผ่นดินออกเดินทางได้ตั้งแต่คืนนี้ พร้อมแล้วใส่รองเท้าออกจากบ้านได้ หนึ่งมาที่สวนลุมพินีแห่งนี้ และเมื่อเต็มสวนลุมพินีแล้วจะขยายไป ถ.ราชดำริ แยกราชประสงค์ และจะขยายไปแยกปทุมวัน ผ่านหน้าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถ้าคนมากเราก็ชุมนุมต่อบนพื้นที่ ถ.อังรีดูนังต์ ทั้งถนนอีกด้วย เริ่มรวมกำลังพลตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป"
"และวันมะรืนนี้วันที่ 9 พ.ค. เวลา 9.09 น. เป็นฤกษ์ดี ฤกษ์มงคล เราจะเริ่มปฏิบัติการเรียกคืนอำนาจอธิปไตยกลับมาเป็นของปวงชนชาวไทย พี่น้องประชาชนชาวไทยทุกท่านเราต้องเอาธรรมะกลับคืนมา เราต้องบำเพ็ญเพียรด้วยความมานะอุตสาหะเต็มที่ เราต้องทำให้สำเร็จให้ได้ เพราะครั้งนี้เป็นครั้งเดียวในชีวิตของคนไทยทุกคน ผมขออนุญาตใช้โอกาสนี้กราบเรียนพี่น้องประชาชนชาวไทย ผู้รักชาติรักแผ่นดินทั้งหลาย ไม่ว่าท่านจะมีอาชีพอะไร ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหน ถ้าท่านคิดเห็นเช่นเดียวกับมวลมหาประชาชนว่าแผ่นดินนี้จะต้องมีผู้บริหารแผ่นดิน ที่มีธรรมะ และบริหารราชการแผ่นดินเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนและประเทศชาติแล้วละก็ ขอเชิญมาร่วมกับพวกเราในวันเวลาที่นัดหมาย จำให้แม่น แล้วมาให้พร้อมกัน"
"เราจะมุ่งมั่นบำเพ็ญเพียรด้วยความมาะนะอุตสาหะ อย่างแน่วแน่ เพื่อที่จะเอาอำนาจอธิปไตยกลับคืนมาแล้วจัดให้มีรัฐบาลของประชาชน จัดการให้มีสภานิติบัญญัติประชาชน แล้วปฏิรูปประเทศตามเจตนารมณ์ของประชาชน เพื่อฟื้นฟูประเทศไทยโดยทันที"
"ไม่ว่าท่านจะเป็นเกษตรกร พ่อค้า แม่ขาย ข้าราชการ พลเรือน ตำรวจ ทหาร ท่านมีเวลาตัดสินใจคืนนี้ แล้วท่านตัดสินใจได้ว่านี่คือปฏิบัติการของผู้มีธรรมะในหัวใจเพื่อชาติเพื่อแผ่นดินแล้วล่ะก็ ให้ออกมาร่วมกับมวลมหาประชาชนโดยพร้อมเพรียงกัน ตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป กลุ่มใด องค์กรใด เครือข่ายใด ที่มีความคิดเห็นเช่นเดียวกับมวลมหาประชาชน โปรดแสดงออกได้ ในวิธีการที่ท่านทำได้ เพื่อสนับสนุนการต่อสู้ของมวลมหาประชาชนเพื่อชาติ เพื่อแผ่นดินในครั้งนี้"
"และในโอกาสนี้ กระผมขอเป็นตัวแทนมวลมหาประชาชนกราบเรียนไปถึงพี่น้องประชาชนกลุ่มอื่นที่อาจมีความคิดแตกต่างอยู่บ้างกับเรา โดยเฉพาะพี่น้องมวลชนคนเสื้อแดง ผมขออนุญาตกราบเรียนพี่น้องคนเสื้อแดงด้วยความจริงใจของมวลมหาประชาชน ว่าเราพร้อมอ้าแขนรับท่านมาร่วมกันปฏิรูปประเทศไทยกับพวกเรา มาสามัคคีร่วมใจกันเถิดพี่น้องทั้งหลาย เพราะประเทศไทยเป็นของพวกเราทุกคน ประเทศไทยนี้พวกเราทุกคนเป็นเจ้าของร่วมกัน ประเทศไทยไม่ใช่สมบัติส่วนตัวของคนตระกูลชินวัตรหรือระบอบทักษิณ พอกันที จบกันได้แล้ว สำหรับระบอบทักษิณ ที่ทำร้ายประเทศชาติ ทำร้ายประชาชนจนย่อยยับมาถึงวันนี้ พอกันที จบแค่นี้"
"นี่เป็นโอกาสเดียวที่คนไทยทั้งหลายจะได้ลุกขึ้นประกาศความเป็นไทย เป็นเสรีชน เป็นเจ้าของประเทศโดยเท่าเทียมกัน เป็นโอกาสเดียวที่จะเอาธรรมะกลับมาปกครองประเทศครับพี่น้องครับ"
"ผมจึงขอส่งข่าวสารนี้ ถึงพี่น้องมวลชนคนเสื้อแดง ถ้าท่านสามารถมาร่วมกับเราได้ เรายินดีต้อนรับ มาร่วมกันเลยครับพี่น้อง ร่วมกันสร้างชาติ สร้างประเทศไทย ด้วยมือของประชาชนทุกสี เราไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ของใครคนใดคนหนึ่ง หรือตระกูลใดตระกูลหนึ่ง หรือพรรคใดพรรคหนึ่ง เราสู้เพื่อประเทศไทยทั้งประเทศ นี่เป็นสัจจะวาจาที่ผมขอประกาศในนามมวลมหาประชาชน อย่าได้กินแหนงแคลงใจกันอีกทั้งสิ้น เพราะเราคนไทยเป็นพี่น้องกันทั้งสิ้นครับพี่น้องครับ"
"ผมพูดด้วยความสัตย์ ด้วยความจริงใจ และเป็นความสัตย์ ความจริงใจของมวลมหาประชาชนที่ร่วมกันต่อสู้ครั้งนี้ เราไม่รังเกียจใครเลย เรารักคนไทยทุกกลุ่ม"
"เราประชาชน พี่น้องเราไม่เป็นศัตรูกับใคร ศัตรูประเทศไทยคือทรราชย์ระบอบทักษิณเท่านั้นครับพี่น้อง พี่น้องทั้งหลาย ระบอบทักษิณได้ทำร้ายประเทศเราอย่างแสนสาหัส ระบอบทักษิณเป็นระบอบที่ปกครองอย่างอธรรม ไม่มีธรรมะ ไม่เคารพประชาชน ไม่ให้ความสำคัญประชาชน เห็นกันชัดเจนแล้วว่ามันโกงทั้งชาติ ทั้งแผ่นดิน โกงประชาชน ไปถามชาวนาได้ครับ เพราะฉะนั้นขอกราบเรียนเชิญมวลชนเสื้อแดง มวลชนเครือข่ายอื่น โปรดเชื่อในความสัตย์ของเรามวลมหาประชาชน เรารักพี่น้องทุกคนทุกฝ่าย ทุกเครือข่าย ไม่รังเกียจเดียดฉันท์เลย ถ้าท่านยังไม่สบายใจ นอนอยู่ที่บ้าน รอดูผลการปฏิบัติการของพวกเรา แล้วท่านจะเข้าใจว่าสิ่งที่กระผมได้พูดจาด้วยความสัตย์เป็นความจริงทั้งสิ้น ในวันสองวันที่จะเห็นต่อไปนี้"
"ผมขออนุญาตใช้โอกาสนี้กราบเรียนนักธุรกิจทั้งหลาย พ่อค้าแม่ขายทั้งประเทศ ไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้วที่จะให้มีคณะบุคคลมาแอบอ้างเป็นรัฐบาลประเทศนี้ โดยไม่มีความชอบธรรม เรามาสร้างคณะรัฐบาลประชาชน ให้การค้าการขายของเราเดินหน้าไปได้โดยไม่หยุดชะงัก"
สุเทพกล่าวถึงข้าราชการด้วยว่า "วันนี้คณะบุคคลที่แอบอ้างว่าเป็นรัฐบาลนั้น ไม่ใช่รัฐบาลของประชาชนอีกต่อไปแล้ว ไม่มีความชอบธรรมใดๆ เลย คนที่อ้างจะมาเป็นรักษาการตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น ไม่มีคุณสมบัติที่จะทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรีได้ แถมเป็นคนประพฤติชั่วพัวพันกับการโกงจำนำข้าวด้วยครับ พอกันทีเถิดพี่น้องข้าราชการที่เคารพ หยุดเลยครับ ไม่ต้องรับใช้ทรราชอีกแล้ว มาร่วมมือกับประชาชนเถิด เมื่อพี่น้องข้าราชการ พลเรือน ตำรวจ ทหารมาร่วมมือประชาชน นั่นแหละฟ้าสีทองผ่องอำนาจจะเกิดขึ้นในประเทศไทย"
"วันพรุ่งนี้เราจะเชิญชวนมวลมหาประชาชนเป็นครั้งสุดท้ายว่าถึงเวลาแล้ว ที่ท่านจะต้องตัดสินใจออกมาร่วมการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่กับมวลมหาประชาชน พรุ่งนี้นะครับ เราจะออกจากที่นี่ตอน 9 โมงเช้า ตั้งต้นที่สถานีบีทีเอสอ่อนนุช 9.30 เคลื่อนขบวน ถ้าเห็นด้วยกับมวลมหาประชาชน ใส่รองเท้าผูกเชือกเรียบร้อย ถ้าขบวนเราเดินผ่านออกมาสมทบได้เลยครับ และตั้งแต่คืนวันพรุ่งนี้เราจะรวมพลังกันที่นี่สวนลุมพินี ราชประสงค์ ปทุมวัน และบริเวณนี้"
"เมื่อเราตัดสินใจแล้ว เราจะไม่หยุดการปฏิบัติ ไม่หยุดการบำเพ็ญเพียร ไม่ว่าฝนจะตกแดดจะออก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เรามวลมหาประชาชนจะเดินหน้าสู่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ของเรา เพื่อชาติ เพื่อแผ่นดินให้สำเร็จให้ได้ ข้อสำคัญ ใครก็ตามที่ตัดสินใจจะออกมายืนต่อสู้เคียงข้างมวลมหาประชาชนครั้งนี้ ต้องทำใจให้แน่วแน่ว่าการต่อสู้ของมวลมหาประชาชนครั้งนี้ สู้อยู่ในกรอบกฎหมายรัฐธรรมนูญ สันติ สงบ สู้มือเปล่าไม่มีอาวุธเด็ดขาด เพราะเราสู้แบบอหิงสาจริงๆ ใช้พลังมวลมหาประชาชนนับล้านๆ คนเท่านั้น"
"เพราะฉะนั้นพี่น้องประชาชน ไม่ว่าท่านจะอยู่ต่างจังหวัด เตรียมการต่อสู้ หรือพี่น้องในกรุงเทพฯ ที่พร้อมจะเคียงข้างกับเราทุกท่าน ผมขอกราบเรียนด้วยความเคารพห้ามนำอาวุธติดตัวมาเด็ดขาด นอกจากหัวใจรักชาติรักแผ่นดินเท่านั้น อาวุธอย่างเดียวคือความรักชาติ รักแผ่นดิน ความตั้งใจมั่นที่จะปฏิบัติตามสัตยาธิษฐานที่ทำพิธีต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ พระบรมมหาราชวัง พระแก้วมรกต พระสยามเทวาธิราช ต่อหน้าศาลหลักเมือง เท่านั้นที่เราจะนำติดตัวมา คือความมุ่งมั่นทำเพื่อชาติเพื่อแผ่นดิน ต้องไม่มีอาวุธอื่นโดยเด็ดขาด และขอความกรุณามวลมหาประชาชนช่วยกันตรวจสอบคนที่จะมาร่วมกับเราต้องไม่มีใครมีอาวุธมาทั้งสิ้น ถ้าเจอใครมีอาวุธขอร้องให้เขากลับบ้านไม่ต้องมาร่วมกับเรา เพราะเราต้องการรักษาความบริสุทธิ์ของการต่อสู้ครั้งนี้อย่างจริงจัง ให้โลกรับรู้ว่าเป็นการต่อสู้อย่างสันติของประชาชนไทยจริงๆ"
"การต่อสู้คราวนี้จะใช้เวลานานเท่าไหร่ เราไม่รู้ ไม่ต้องถามว่านานเท่าไหร่ แต่สู้คราวนี้ต้องสู้จนชนะ สู้จนชนะ! เพราะฉะนั้นโปรดเตรียมตัวให้พร้อม มีเสื้อมีผ้า มีเสบียงกรัง มีเต็นท์นอนข้างถนนได้ เตรียมมาให้พร้อม ใครเตรียมมาได้จากบ้านเตรียมมาให้พร้อม เพราะคนจะออกมาหลายล้านคน เพราะฉะนั้นเตรียมช่วยตัวเองให้ได้ พี่น้องประชาชนจิตอาสาถ้าท่านจะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องนอน เต็นท์ ถ้ามีเหลือโปรดเอามาจุนเจือ เผื่อแผ่คนที่ไม่มี นี่เป็นครั้งสำคัญที่เราคนไทยต้องดูแลกันด้วยความรักความสามัคคี มุ่งสู่ชัยชนะมวลมหาประชาชน"
"ผมกราบเรียนพี่น้องครับว่า นี่เป็นโอกาสที่หาไม่ได้อีกแล้วในชีวิตของพวกเราได้เกิดมาเป็นคนไทย ที่เกิดใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร นี่เป็นโอกาสเดียวที่จะอุทิศตนเพื่อชาติเพื่อแผ่นดินร่วมกับพี่น้องร่วมชาติที่เขาจะบำเพ็ญเพียรกับเราครับ"
"ผมขอใช้เวลาสั้นๆ แค่นี้ นัดหมายให้ชัดเจน ขอให้ทุกท่านได้เตรียมตัวตั้งแต่คืนนี้ พี่น้องชาวกรุงเทพฯ รีบสะสางงานการแล้วครับ วันมะรืนนี้ ต้องมาถึงสถานที่ชุมนุมก่อน 09.00 น. เพราะเราถือฤกษ์ 09.09 น. เริ่มต้นปฏิบัติการเรียกคืนอำนาจอธิปไตย พี่น้องต่างจังหวัดเริ่มทยอยมาได้ เตรียมตัวมาค้างคืนที่นี่ และอาจค้างอีกหลายคืน ส่วนเมื่อการปฏิบัติการตามวันเวลาที่กระผมนัดหมายคือวันที่ 9 พ.ค. 09.09 น. ต้องทำอะไรบ้าง ผมจะกราบเรียนให้ทราบ แล้วลงมือกันในวันนั้นครับ ตกลงกันตามนี้นะครับพี่้น้องครับ ที่ร่างทรงพูดแทนนั้นถูกต้องหรือเปล่าครับ เพราะฉะนั้น เราก็จะร่วมกันปฏิบัติภารกิจที่ยิ่งใหญ่เพื่อชาติและแผ่นดิน และเราหวังว่าเราน่าจะปฏิบัติได้เสร็จเรียบร้อย แล้ววันที่ 13 พ.ค. ก็จะได้ทำบุญประเทศครั้งใหญ่ เพราะจะไม่มีเสนียดจัญไรเหลือต่อไป เราได้ประกาศชัดว่าเราคนไทยทั้งหลาย จะขจัดระบอบทักษิณให้หมดสิ้นจากแผ่นดินไทย 6 เดือนเศษที่เราต่อสู้มา ด้วยกรรมของพวกเขาเอง รัฐสภาที่ถูกครอบงำด้วยระบอบทักษิณก็หมดสิ้นไปด้วยกรรมของมัน"
"วันนี้ตัวรัฐบาล หรือกลุ่มที่อ้างเป็นรัฐบาลนั้น เราไม่ยอมรับกลุ่มนี้มา 6 เดือนแล้ว เราประกาศแล้วว่าไม่มีความชอบธรรมทางกฎหมาย ทางการเมือง ไม่ได้เป็นรัฐบาลประชาชนมานานแล้ว และวันนี้กรรมมาตามสนองแล้ว วันนี้กลุ่มทรราชเหล่านั้นไม่ใช่รัฐบาลอีกต่อไป หัวมันขาดไปแล้ว เป็นผีหัวขาดแล้ว และเราไม่ยอมให้ผีหัวขาดนี้แอบอ้างเป็นรัฐบาลอีกใช่ไหมครับ ภารกิจของเราเหลือนิดเดียว เพียงแต่เขี่ยศพผีหัวขาดออกไป เราก็ตั้งรัฐบาลประชาชน เราก็มีรัฐบาลธรรมะมาบริหารประเทศ ปฏิรูปประเทศได้ และนำประเทศไปสู่ความเจริญ ขอให้ตั้งสัตยาธิษฐานร่วมแรงร่วมใจกัน บำเพ็ญเพียรทำภารกิจให้สำเร็จเพื่ออนาคตประเทศไทย เพื่อลูกหลานไทยทุกคน เจริญรอยตามเบื้องพระยุคคลบาทที่พระองค์ท่านตรัสไว้ว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม"" สุเทพกล่าว และสิ้นสุดการปราศรัยในเวลา 21.17 น.

สนนท.ร่อนแถลงไม่รับอำนาจศาลรธน. วอนเปลี่ยนความขัดแย้งผ่านการ ลต.


สหพันธ์นิสิตนักศึกษาฯ ระบุฝ่ายอนุรักษ์นิยมแทรกแซงประชาธิปไตย เรียกร้องให้ ปชช. นักศึกษา ไม่รับอำนาจนอกระบบทุกรูปแบบ ยุติสงครามกลางเมืองเปลี่ยนผ่านความขัดแย้งโดยสันติผ่านการเลือกตั้ง ไม่เอานายก ม.7
7 พ.ค. 2557 ภายหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรีที่ร่วมมีมติโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี ออกจากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) สิ้นสภาพรัฐมนตรี สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย(สนนท.) ออกแถลงการณ์ “ไม่รับอำนาจเถื่อนองค์กรอิสระ ศาลรัฐธรรมนูญ”
โดยแถลงการณ์ดังกล่าว ระบุ สถานการณ์การเมืองปัจจุบันฝ่ายอนุรักษ์นิยมเข้าแทรกแซงกระบวนการประชาธิปไตยแล้วมุ่งทำลายล้างคู่ขัดแย้งทางการเมือง เช่น การขัดขวางกระบวนการเลือกตั้ง 2 ก.พ. ที่ผ่านมา มีการเคลื่อนไหวเป็นระบบโดยองค์กรอิสระ เช่น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ปปช. กกต. กสม. สถาบันทหาร เครื่อข่ายนักธุรกิจ คณะกลุ่มองค์มนตรี รวมถึงพรรคประชาธิปปัตย์และกลุ่มกปปส. คปท. ยึดปิดสถานที่ราชการ ละเมิดสิทธิประชาชนที่เห็นต่างทางการเมืองเพื่อนำไปสู่การสูญเสียสร้างสูญญากาศทางการเมือง อันจะนำไปสู่การอาศัยอำนาจพิเศษการถวายคืนพระราชอำนาจนายกตาม ม.7 ผ่านสถาบันทหารยึดอำนาจโดยการรัฐประหาร
ทั้งนี้ สนนท. ได้เรียกร้องเชิญชวนให้ประชาชนชาวร่วมกันแสดงออกทางการเมืองพิทักษ์ปกป้องประชาธิปไตยโดยไม่รับอำนาจเถื่อนนอกระบบทุกรูปแบบ ยุบยกเลิก องค์กร สถาบัน ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ไม่ให้ใช้อำนาจแทนประชาชน รวมไปถึงยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา ม.112 และหยุดกระบวนการยุติธรรมและองค์อิสระ 2 มาตรฐาน
โดย สนนท. ระบุด้วยว่าจะนัดรวมพลนิสิตนักศึกษาประชาชนผู้รักประชาธิปไตยเคลื่อนไหวเพื่อยุติสงครามกลางเมืองเปลี่ยนผ่านความขัดแย้งโดยสันติผ่านการเลือกตั้ง ไม่เอานายกมาตรา 7 ไม่เอารัฐประหารทุกรูปแบบ ภายใต้คำขวัญ "พิทักษ์สิทธิเสรีภาพเสมอภาคประชาธิปไตยประชาชน"

สัมภาษณ์ วรเจตน์ ภาคีรัตน์: ทำความ (ไม่) เข้าใจ คดี ‘ปลดนายก’ เหตุ ‘ย้าย ขรก.’


ภายหลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยคำร้องที่ นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาสถานภาพความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 182 (7) ประกอบมาตรา 268 จากกรณีโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี ออกจากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ซึ่งมีผลให้ความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวยิ่งลักษณ์และรัฐมนตรีที่ร่วมมีมติในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 ก.ย.54 สิ้นสุดลงเป็นการเฉพาะตัว
ประชาไทกุมขมับไปสัมภาษณ์ รศ.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ว่ากันตั้งแต่ เนื้อหาคดี ปัญหาว่าด้วยการดำรงตำแหน่งและพ้นตำแหน่ง ความพยายามสร้างสุญญากาศทางการเมือง ไปจนถึงเรื่องการขยายอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ (อีกแล้ว)

(แฟ้มภาพ)
0 0 0
อาจารย์เห็นอย่างไรกับคำวินิจฉัยของศาลวันนี้
ศาลวินิจฉัยให้ยิ่งลักษณ์ยุติการปฏิบัติหน้าที่ และวินิจฉัยให้รัฐมนตรีรักษาการที่อยู่ในคณะรัฐมนตรีชุดแรกต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่ด้วย กรณีของยิ่งลักษณ์ก็คงต้องพ้นจากตำแหน่งตามที่วินิจฉัย แต่คนอื่นๆ จะเป็นปัญหา เพราะคณะรัฐมนตรีชุดที่ 1 กับชุดที่ 5 เป็นคนละชุดกัน
รัฐมนตรีในชุดยิ่งลักษณ์ 1 ส่วนใหญ่เขาพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว เพราะมีพระบรมราชโอการแต่งตั้งรัฐมนตรีชุดใหม่ต่อมาหลายครั้ง บางคนพ้นไปแล้วไปเป็นตำแหน่งอื่น บางคนพ้นไปแล้วไม่มีตำแหน่งอีกเลย ปัญหาคือ อย่างคุณยิ่งลักษณ์เองพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็จริง แต่ปัญหาว่า คุณยิ่งลักษณ์มารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในภายหลัง เป็นตำแหน่งที่รับหลังจากการโยกย้ายคุณถวิล จึงเป็นปัญหาให้ตีความว่า ตอนนี้คุณยิ่งลักษณ์ก็ยังไม่พ้นจากตำแหน่งรักษาการรัฐมนตรีกลาโหมหรือไม่
 
แต่ศาลระบุว่า รัฐมนตรีคนใดที่มีส่วนร่วมในการลงมติให้พ้นตำแหน่งด้วย?
มันมีแต่คณะรัฐมนตรีที่ประชุมกัน ในทางข้อเท็จจริงก็มีปัญหาคือ ในคณะรัฐมนตรีชุดนั้นมีใครบ้างที่เข้าประชุม คนที่ไม่ได้เข้าประชุมจะต้องพ้นจากตำแหน่งด้วยหรือเปล่า
โดยผลของคดีคือ ให้คนที่ดำรงตำแหน่งพ้นจากตำแหน่ง อย่างเช่นกรณีคุณสมัคร สุนทรเวช คราวนี้พอศาลวินิจฉัยให้ใครพ้นจากตำแหน่งแล้ว มันไม่ได้มีการห้ามไม่ให้เขาคนนั้นดำรงตำแหน่งอีก คดีนี้ไม่ได้มีการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง หรือสิทธิในการดำรงตำแหน่งทางการเมือง มันเป็นการพ้นตำแหน่งอย่างเดียว อย่างเช่น พอคุณสมัครพ้นจากตำแหน่งไป คุณสมัครก็สามารถกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ถ้าหากสภาเลือก เพราะมันไม่มีการห้ามการกลับมาดำรงตำแหน่งอีก
ทีนี้คณะรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ 1 ก็เหมือนกัน หลายคนได้พ้นจากตำแหน่งไปแล้วในตอนที่มีการปรับคณะรัฐมนตรีในอดีต แล้วมีการแต่งตั้งเขาเข้ามาสู่ตำแหน่งใหม่ ปัญหาคือ ก็เขาพ้นตำแหน่งนั้นไปแล้ว แล้วเขาจะพ้นอีกได้อย่างไร
ปัญหาคือ คำวินิจฉัยวันนี้ให้พ้นเมื่อไหร่ ถ้าให้พ้นวันนี้มันก็ประหลาด เนื่องจากว่า เมื่อมีการปรับคณะรัฐมนตรี เขาได้พ้นจากตำแหน่งไปแล้ว
ตอนนี้มีความเข้าใจเป็นสองแบบ คือ หนึ่ง เป็นเรื่องเฉพาะตัวคน คือให้ทุกๆ คนที่เป็นรัฐมนตรีอยู่ตอนนั้นนั้นพ้นไป ถ้านับว่าใครอยู่ในคณะรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ 1 และมาอยู่ในยิ่งลักษณ์ 5 ด้วยก็คือจะดำรงตำแหน่งต่อไปไม่ได้ ซึ่งคนทั่วๆ ไปคงเข้าใจแบบนี้ และแม้แต่ศาลรัฐธรรมนูญเองก็อาจจะเข้าใจแบบนี้
สอง ในสายตาของนักกฎหมาย การพ้นตำแหน่งครั้งนี้ ตามรัฐธรรมนูญแล้วไม่ได้เป็นเรื่องตัวบุคคล แต่เป็นเรื่องของการให้พ้นจากตำแหน่งในขณะนั้น ถ้าเกิดเขาเคยมีตำแหน่งในคณะรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ 1 แล้ว ต่อมามีพระบรมราชโองการให้เขาพ้นตำแหน่งไปแล้ว แล้วอาจมีการแต่งตั้งกลับมาในคณะรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ 2, 3, 4, 5  มันเป็นตำแหน่งใหม่แล้ว จะมาตีความว่า ให้พ้นไปตอนนี้ก็ไม่ได้
ถ้าเกิดตีความอย่างหลังก็แปลว่า คุณยิ่งลักษณ์จะพ้นเฉพาะตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะเป็นตำแหน่งเดียวที่ต่อเนื่องมาตลอด ไม่เคยมีการแต่งตั้งใหม่เลย คุณยิ่งลักษณ์ไม่เคยพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเลยจนกระทั่งยุบสภา แต่ในตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมนั้นมาทีหลัง คุณยิ่งลักษณ์ในฐานะรัฐมนตรีกลาโหมนั้นไม่ได้ร่วมมีมติตอนที่มีการโยกย้ายคุณถวิล เพราะฉะนั้นคุณยิ่งลักษณ์ก็พ้นไปเฉพาะตำแหน่งรัฐมนตรีเท่านั้น แต่ยังต้องอยู่รักษาการตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมต่อไป
ถ้าเป็นแบบแรก คือ ถือว่า พ้น จะเป็นการตัดสิทธิทางการเมืองเลยนะ ไม่ใช่เรื่องการให้พ้นจากตำแหน่ง ซึ่งไม่มีรัฐธรรมนูญให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญในการตัดสิทธิทางการเมืองกับบุคคลในกรณีแบบนี้ มาตรา 266 เป็นเรื่องการให้พ้นจากตำแหน่งอย่างเดียว ไม่ใช่การตัดสิทธิทางการเมือง หรือการตัดสิทธิการดำรงตำแหน่ง เพราะฉะนั้น ถ้าเกิดเอาแบบศาลรัฐธรรมนูญ ก็เท่ากับศาลรัฐธรรมนูญกำลังจะบอกว่า รัฐมนตรีที่อยู่ในยิ่งลักษณ์ 1 ที่ย้ายคุณถวิล เปลี่ยนศรีให้พ้นจากตำแหน่ง และตัดสิทธิการดำรงตำแหน่งในรัฐบาลภายหลัง ที่กำลังตีความกันอยู่เป็นแบบนี้ แต่ในทางกฎหมายมันไม่ใช่
 
คำวินิจฉัยนี้หวังผลทางการเมืองมากน้อยแค่ไหน
หวังผลทางการเมืองหรือไม่ ไม่รู้ แต่มีผลทางการเมืองแน่ๆ  แม้ไม่สามารถล้ม ครม.ได้หมดทั้งคณะ แต่ทำให้รัฐมนตรีที่เหลืออยู่มีจำนวนน้อย ถ้านับแบบให้พ้นเป็นคนก็เหลือสิบกว่าคนมั้ง แต่ถ้านับแบบให้พ้นไปตามตำแหน่ง อาจจะเหลือเยอะกว่านั้น
จากกรณีนี้ ศาลรัฐธรรมนูญก็ได้สถาปนาอำนาจตัวเองในเรื่องการวินิจฉัยคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่งของบุคคลขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่ง แม้ว่าคนๆ นั้นจะพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีไปแล้วก็ตาม
ในทางการเมือง ก็อาจจะมองได้ว่า ศาลรัฐธรรมนูญเข้ามายุ่งเกี่ยวกับดุลพินิจในเรื่องของการโยกย้ายและสามารถเอา ครม.รักษาการออกจากตำแหน่งได้ แต่อย่างที่บอกว่า ประเด็นอยู่ที่ตัวตำแหน่งกับตัวคน ว่าคุณจะมองอย่างไร ซึ่งคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญไม่เคลียร์หรอกเรื่องนี้ เราตีความไปเองว่าศาลรัฐธรรมนูญเขียนว่าให้พ้นจากตำแหน่งเฉพาะตัว แต่คำถามคือ พ้นตอนไหน จะพ้นตอนนี้ได้อย่างไร เมื่อการกระทำของเขากระทำอยู่ในอดีตแล้ว และพ้นไปแล้ว
ในความเห็นผม การพ้นตำแหน่งตามคำวินิจฉัยนี้เป็นเรื่องตำแหน่ง ไม่ใช่ตัวบุคคล เพราะฉะนั้นจึงหมายความว่า ยิ่งลักษณ์ยังคงเป็นรักษาการรัฐมนตรีกลาโหม ส่วนเฉลิมยังคงเป็นรักษาการรัฐมนตรีแรงงาน
 
อาจารย์เห็นว่า วินิจฉัยครั้งนี้ชอบธรรมหรือไม่
ผมว่ามันไม่ชอบธรรมทั้งในทางเนื้อหาซึ่งมีประเด็นให้วิจารณ์อีกหลายเรื่อง บางส่วนก็ไปพันกับคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ซึ่งมีความเห็นแย้งด้วย และศาลรัฐธรรมนูญใช้เป็นฐานในการอ้างด้วย
ประเด็นในศาลปกครองสูงสุดเป็นกรณีของคุณถวิลเป็นหลัก แต่การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญไปอยู่ที่ประเด็นของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ เป็นหลัก ซึ่งมันแตกต่างกัน เพราะกรณีการย้ายคุณถวิล มันไม่ใช่เรื่องที่จะมาอ้างได้ว่าเอื้อประโยชน์  ที่มาอ้างได้ว่า ไปพันกับการย้ายพล.อ.วิเชียร มาแทนที่คุณถวิลเพื่อเปิดทางให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ มาเป็น ผบ.ตร.  เพราะประเด็นของศาลรัฐธรรมนูญ ไปอยู่ที่ประเด็นของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ การที่คณะรัฐมนตรีไปย้าย พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ เป็นการเอื้อประโยชน์ไหม? ซึ่งต้องไปดูตรงนั้นว่า มันชอบธรรมในการขึ้นตำแหน่งนั้นไหม?  นายกรัฐมนตรีมีความเกี่ยวพันมากแค่ไหน มันเป็นเรื่องของคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ หรือเป็นแค่นายกรัฐมนตรีคนเดียวที่สั่งย้าย รวมถึงนายกรัฐมนตรีจะสั่งย้ายได้ไหม ไม่งั้นต่อไป นายกรัฐมนตรีก็สั่งย้ายใครไม่ได้
เรื่องนี้เป็นเรื่องของตำแหน่ง มันมองได้หลายมุม มันไม่ใช่แต่งตั้งเพียงญาติพี่น้องที่ไม่มีสิทธิในตำแหน่งนั้นเลยมาดำรงตำแหน่ง แต่เป็นการแต่งตั้งบุคคลซึ่งอาจจะมีความเกี่ยวพันกันนั่นแหละแต่เขามีสิทธิจะขึ้นมาครองตำแหน่ง แล้วจะบอกว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ได้อย่างไร
ถ้าเกิดว่า ตำแหน่งพลตำรวจหรือผู้กำกับ แล้วย้ายข้ามมาเลย อย่างนี้มันชัด แต่อันนี้ต้องดูภูมิหลังว่า เขามีตำแหน่งอะไรมาก่อน หน้าที่ของเขาเป็นอย่างไร ตำแหน่งตอนรัฐประหารถูกใครข้ามมา แป๊กอะไรยังไง แล้วต้องคืนความเป็นธรรมให้เขาไหมเท่าที่ควรจะเป็น ซึ่งอันนี้ผมคิดว่า ศาลท่านไม่ได้วินิจฉัยประเด็นนี้ แล้วประเด็นนี้ของศาลรัฐธรรมนูญไม่เหมือนกับศาลปกครอง กรณีศาลปกครองวินิจฉัยเรื่องย้ายคุณถวิล แต่ศาลรัฐธรรมนูญตัดไปดูประเด็นตอนที่ตั้ง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์มา เพราะฉะนั้นถ้าเกิดกลับไปดูประเด็นนั้น ต้องดูความเป็นธรรมในคดีนั้นด้วย แล้วที่สำคัญคือต้องเคารพดุลพินิจในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการอันเป็นอำนาจของ ครม. ซึ่งศาลไม่ได้คำนึงตรงนี้ อ้างเพียงแต่ว่าเป็นพี่ชายของอดีตภรรยาของอดีตนายกฯทักษิณ และบอกว่าเป็นลุงของหลานอา ซึ่งมันไกลเกินไปในแง่นี้
ในความเห็นของผม ผมจึงมองว่าในทางเนื้อหามันไม่ชอบธรรม เพราะจะมองในแง่ที่ว่า เป็นความพยายามที่จะปรับเปลี่ยนตัวบุคลากรในระบบราชการก็ได้ และในด้านหนึ่งก็เยียวยาให้เกิดความเป็นธรรมในกรณีของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ก่อนหน้านั้นก็ได้ ซึ่งอันนี้คนไม่ค่อยพูดกัน คืออาจจะต้องไปดูหลังรัฐประหารว่าเป็นอย่างไร คือปัญหานี้จึงต้องมีความเกี่ยวพันกับรัฐประหาร 2549  อยู่นั้นเอง
แต่ก็แน่นอน คดีนี้ก็เป็นอีกคดีหนึ่งที่สะท้อนความขัดแย้งของการต่อสู้ทางการเมืองของชนชั้นนำในสังคมไทยเท่านั้นเอง
นอกจากนี้ ในส่วนของเนื้อหา ยังมีการนำข้อเท็จจริงบางอย่างมายืนยันในคดีซึ่งอาจไม่มีการพิสูจน์ข้อเท็จจริงให้สิ้นสงสัยอย่างเช่น ศาลอ้างเรื่องการลงวันที่ในหนังสือราชการไม่ตรงกัน และยังไม่มีการพิสูจน์ว่าใครถูกใครผิด ศาลก็เอามาใช้อ้างในทางที่เป็นผลร้ายกับฝ่ายผู้ถูกร้อง
อีกปัญหาหนึ่งคือ คนที่ฟ้องคดี เขาฟ้องให้คุณยิ่งลักษณ์พ้นตำแหน่ง ให้คณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบันพ้นจากตำแหน่ง แต่ศาลให้คนที่มีชื่ออยู่ในคณะรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ 1 พ้นจากตำแหน่ง ปัญหาคือ เราไม่รู้หรอกว่า วันนั้นใครประชุม ใครไม่ประชุม สองคือ คนที่เป็นรัฐมนตรีคนอื่น ถ้าเกิดตีความเป็นชื่อคน เขาไม่มีโอกาสเข้าไปโต้แย้งในคดีเลย เขาไม่ได้เข้าไปชี้แจงเลย แต่ศาลก็ไปตัดสินให้เขาพ้นจากตำแหน่งไปด้วย เพราะเหตุว่า เขามีชื่ออยู่ในคณะรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ 1 เขาเข้าประชุมหรือเปล่าก็ไม่รู้ ถ้าเขาเข้าประชุม เวลาประชุมเขามีความเห็นอย่างไรก็ไม่รู้อีก ไม่มีการใช้สิทธิที่จะได้รับการรับฟังในคดี ซึ่งไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม ในฐานะของนักกฎหมาย ก็ต้องว่ากันไปตามกฎหมายว่ามันเป็นยังไง ไม่อย่างนั้นมันก็ไม่มีใครเชื่อถือหรอก ไม่ได้พูดถึงว่า มันถูกใจใคร ไม่ถูกใจใคร แต่จะบอกว่ามันประหลาดมากๆ เพราะเป็นการวินิจฉัยให้คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง ทั้งๆ ที่ได้พ้นไปก่อนหน้านั้นแล้วในครั้งเมื่อมีการปรับคณะรัฐมนตรี แม้แต่ตัวคุณยิ่งลักษณ์ก็พ้นจากตำแหน่งแล้ว ด้วยการยุบสภาแล้ว ก็แค่รอคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เท่านั้นเองโดยสภาพ เราต้องคิดว่า การพ้นจากตำแหน่งในกรณีธรรมดาเขาสามารถกลับสู่ตำแหน่งนั้นได้เลยโดยทันที เพราะมันไม่ได้มีลักษณะต้องห้ามของการดำรงตำแหน่ง ความจริงตอนคุณสมัครพ้นจากตำแหน่ง นั่นก็ตลกไปทีหนึ่งแล้ว เพราะท่านก็เลิกทำกับข้าวไปแล้ว อันนี้ก็คล้ายๆ กันอีก
 
มีความพยายามอธิบายว่า ตอนนี้การเมืองไทยเป็นสุญญากาศ?
ไม่เป็นหรอกครับ แม้จะตีความแบบชื่อก็ยังมีคนอื่นเหลืออยู่อีกหลายคน และก็ยังสามารถประกอบเป็นคณะรัฐมนตรีต่อไป ไม่เกิดเป็นสุญญากาศ
ทีนี้ ทางที่ต้องเดินต่อไป คือไปสู่การเลือกตั้ง ในแง่ของการปฏิรูปการเมืองในอนาคตนั้น การปฏิรูปศาลรัฐธรรมนูญเป็นประเด็นที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ดังที่นิติราษฎร์เคยเสนอประเด็นเรื่องการยุบศาลรัฐธรรมนูญ โดยลักษณะของการวินิจฉัยเช่นนี้ ศาลเข้ามาวินิจฉัยจนถึงขั้นตำแหน่งรักษาการนายกรัฐมนตรีไปเลย แล้วยังมีการย้อนเวลากลับไปในอดีต เพื่อที่จะทำให้เกิดผลในปัจจุบันดังคำพิพากษาครั้งนี้ 
โดยผลของการตีความ ศาลรัฐธรรมนูญได้ขยายความอำนาจของตนเองออกไปจนกลายเป็นรัฐธรรมนูญเอง ซึ่งเป็นและทำมาหลายครั้งแล้ว มักจะมีคนอ้างคำวินิจฉัยตามมาตรา 216 วรรคห้าว่า ผูกพันองค์กรของรัฐทุกองค์กร คนจะชอบอ้างแบบนี้ ตัดสินว่ามีภาระผูกพันทุกองค์กร แต่ผมมองว่า มันจะต้องดูด้วยว่า คำวินิจฉัยนั้นจะต้องเป็นคำวินิจฉัยที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายตามมาตรา 197 ของรัฐธรรมนูญด้วยมันถึงจะผูกพันกับองค์กรทุกองค์กร ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยขัดกับรัฐธรรมนูญอย่างชัดแจ้ง มันก็ไม่มีผลผูกผัน เพราะฉะนั้นขึ้นอยู่กับองค์กรในทางการเมืองที่จะยอมรับคำวินิจฉัยแค่ไหน

ผมยกตัวอย่าง อย่างวันนี้มีคำวินิจฉัยมาแค่นี้ ในทางการเมืองก็เหมือนจะยอมรับเพราะไม่ถึงขนาดเอาคณะรัฐมนตรีไปทั้งคณะ องค์กรทางการเมืองก็ยอมตาม แต่ผมไม่ได้บอกว่า ฐานคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญถูกต้อง แต่ด้วยเพราะองค์กรทางเมืองไม่อยากมีเรื่อง ก็เลยต้องยอมตาม และถ้าเกิดศาลมีคำวินิจฉัยว่า ให้คณะรัฐมนตรีหมดทั้งคณะพ้นจากตำแหน่ง อาจจะทำให้องค์กรทางการเมืองไม่ยอมรับแน่นอน เพราะคงบอกว่า มันตัดสินไปขัดกับมาตรา 197 เพื่อสร้างให้เกิดสุญญากาศตามความต้องการของคนบางพวก เพราะฉะนั้นเวลาใครที่อ้าง 216 วรรคห้า ต้องเข้าใจคำวินิจฉัยจะผูกพันกับทุกองค์กรได้นั้นจะต้องไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญและกฎหมาย  แล้วถามว่าใครจะเป็นคนบอกว่ามันขัดกับรัฐธรรมนูญและกฎหมายไหม?  คงไม่ใช่ศาลรัฐธรรมนูญเป็นคนบอกแน่ ก็ต้องเป็นองค์กรทางการเมืองอื่นเป็นคนบอกว่ามันขัด ขึ้นอยู่กับว่า เขาจะเห็นว่ามันขัดกับรัฐธรรมนูญและกฎหมายรุนแรงแค่ไหน  ซึ่งในเรื่องทางการเมืองมันเป็นเรื่องที่มีองค์กรทางการเมืองที่ใช้อำนาจทางการเมืองตอบโต้ แต่ที่ผ่านมายังไม่มีองค์กรทางการเมืองไหนของไทยทำ ทั้งรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ไม่เคยทำ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ทำไม่ได้
 
กปปส. มักอ้างว่า รัฐบาลไม่ยอมรับอำนาจคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้รัฐบาลนี้ขาดความชอบธรรม?
ผมไม่เห็นด้วยแบบนั้น ผมเห็นในอีกทางหนึ่งว่า การอ้างแค่นี้ยังไม่พอ คือรัฐบาลเขาไม่ได้อ้างว่า ไม่เคารพรัฐธรรมนูญ หรืออย่างตัวผมเอง ผมก็ไม่ได้อ้างว่าผมไม่เคารพรัฐธรรมนูญ แต่เพราะเขาเคารพรัฐธรรมนูญ เอารัฐธรรมนูญเป็นหลัก และถ้าเขาเห็นว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ เขาก็มีสิทธิที่จะรักษารัฐธรรมนูญไว้โดยการปฏิเสธคำวินิจฉัยดังกล่าว
ความเห็นของ กปปส.  เป็นความเห็นที่ทำให้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเท่ากับรัฐธรรมนูญ ผมเคยบอกแล้วว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไม่ใช่รัฐธรรมนูญ คนหลายคนพยายามบอกว่า ต้องผูกผันกับรัฐธรรมนูญ และพยายามให้คำวินิจฉัยคือรัฐธรรมนูญ
ผมไม่รู้ว่ารัฐบาลเป็นยังไง แต่ผมพยายามจะบอกว่า รัฐบาลต้องแย้งว่า รัฐบาลนั้นเคารพรัฐธรรมนูญ และถ้ารัฐบาลเห็นศาลรัฐธรรมนูญปฏิบัติฝ่าฝืนต่อรัฐธรรมนูญ ในฐานะที่เขาเป็นองค์กรทางการเมืองหนึ่งก็ต้องรักษารัฐธรรมนูญไว้เหมือนกันตามมาตรา 197 เมื่อเขาเห็นว่า ศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาคดีแล้วขัดต่อรัฐธรรมนูญอย่างชัดแจ้ง รัฐบาลย่อมไม่ผูกพันตามคำวินิจฉัยนั้น ซึ่งไม่เห็นเป็นเรื่องที่ผิดปกติหรือน่ากลัวตรงไหน
ไม่เช่นนั้นแล้ว ต่อไปถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอะไร จะผิดขนาดไหนก็ต้องเคารพหมด  เกิดอยู่ดีๆ ศาลรัฐธรรมนูญบ้าจี้ตัดสินประหารชีวิตคนโดยไม่ได้มีอำนาจขนาดนั้น แล้วมีคนคิดว่า คำวินิจฉัยต้องผูกพันกับทุกองค์กรของรัฐ เราควรเคารพหรือ? ดังนั้น โดยหลักแล้ว เราก็ต้องเคารพศาลรัฐธรรมนูญนั่นแหละ มันอาจจะถูกอาจจะผิดรัฐธรรมนูญไปบ้าง แต่เพื่อความสงบสุขในการอยู่ร่วมกัน เราก็ยอมกันบ้าง แต่ถ้าเมื่อไหร่ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมันถึงขั้นฝ่าฝืนต่อระบบกฎหมายอย่างรุนแรง เป็นคำวินิจฉัยที่ทำลายรัฐธรรมนูญอย่างรุนแรง เช่น มีคำวินิจฉัยให้คณะรัฐมนตรีพ้นทั้งคณะเพื่อให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง และวินิจฉัยให้มีนายกรัฐมนตรีคนกลาง แบบนี้ก็เป็นคำวินิจฉัยที่ไม่มีใครเคารพได้หรอก เพราะถ้าถึงจุดนั้นต้องถือว่า ศาลรัฐธรรมนูญได้ทำลายรัฐธรรมนูญเสียเอง แล้วเราจะต้องไปเคารพศาลรัฐธรรมนูญที่ทำลายรัฐธรรมนูญเองหรือ? ซึ่งกว่าจะถึงจุดๆ นั้น มันเป็นเรื่องการประเมินทางการเมืองขององค์กรที่เกี่ยวข้อง อย่างเช่นกรณีวันนี้ที่คณะรัฐมนตรีเห็นว่า ยังไม่ถึงจุดนั้น เขาก็ทำตาม

นักวิชาการสิงคโปร์ ชี้โลกจะจดจำ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ในฐานะผู้นำมีมนุษยธรรม-หลีกเลี่ยงความรุนแรง




             วันที่ 7 พ.ค. เว็บไซต์สำนักข่าวต่างประเทศชั้นนำของโลกต่างรายงานผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พ้นสภาพนายกฯ จากกรณีแต่งตั้งโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี เป็นข่าวใหญ่ เช่น บีบีซีรายงานว่า คำวินิจฉัยครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤตการเมืองซึ่งเริ่มต้นเมื่อกลุ่มต่อต้านรัฐบาลจัดการชุมนุมประท้วงกดดันให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ลาออกตั้งแต่เดือนพ.ย.ปีที่ผ่านมา อาจกระตุ้นให้เกิดการประท้วงของผู้สนับสนุนรัฐบาลจำนวนมากในต่างจังหวัด

          นายไมเคิล มอนเตซาโน จากสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา แห่งมหาวิทยาลัยสิงคโปร์ กล่าวว่า ประวัติศาสตร์จะจดจำน.ส.ยิ่งลักษณ์ในฐานะผู้มีความอดทนที่จะไม่ใช้ความรุนแรง ทั้งที่ตกอยู่ภายใต้ความกดดันมาตั้งแต่เดือนพ.ย.ปีที่ผ่านมา และพยายามรักษาเกียรติในตำแหน่ง แสดงถึงความมีมนุษยธรรมมากกว่าหยิ่งทะนงภายใต้ความกดดันสูงมาก

          สำนักข่าวเอพี สหรัฐวิเคราะห์ว่า คำวินิจฉัยของศาลครั้งนี้เสมือนชัยชนะของฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลซึ่งส่วนใหญ่เป็นชนชั้นสูงและประชาชนในกรุงเทพฯและภาคใต้ที่เรียกร้องรัฐบาลที่ไม่เป็นประชาธิปไตยและความเคลื่อนไหวโดยไม่ได้แก้วิกฤตของประเทศ และเป็นก้าวแรกนำสู่ความรุนแรงอีกครั้ง

           เว็บไซต์นิตยสารไทม์วิเคราะห์ว่า คำวินิจฉัยนี้เปรียบเสมือนการเติมพลังให้กับกลุ่มกปปส.และพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงปูทางให้เกิดการประท้วงบนถนนอีกครั้ง เช่นเดียวกับซีเอ็นเอ็นรายงานคำให้สัมภาษณ์นายพอล กวายา ผอ.บริษัทวิเคราะห์ความเสี่ยงแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯว่า ดูเหมือนปัญหาใหญ่จะตามมา พร้อมเรียกร้องไม่ให้จัดการประท้วงในบริเวณใกล้เคียงกันเพราะเสี่ยงเกิดความรุนแรง

         ด้านนิวยอร์กไทมส์ ระบุว่า คำวินิจฉัยครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ตั้งแต่ปี 2549 ที่มีคำสั่งให้บุคคลซึ่งเป็นนายกฯที่เกี่ยวพันกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พ้นจากตำแหน่ง ครั้งนี้มีความวิตกเรื่องความรุนแรงตามมาเพราะกลุ่มต่อต้านรัฐบาลที่มีอาวุธยังคงขวางเส้นทางเข้าออกทำเนียบรัฐบาลและสถานที่ราชการหลายแห่งในกรุงเทพฯ ขณะที่กลุ่มเสื้อแดงนัดชุมนุมใหญ่ในวันเสาร์ที่ 10 พ.ค. ที่จ.นครปฐม

ด่วน! "สหรัฐ" ดักคออำมาตย์ไทยบอก "ไทยต้องมีการเลือกตั้ง มีผู้นำจากการเลือกตั้ง บนวิถีทางประชาธิปไตย"





               เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 57 นางเจน ซากี โฆษกกระทรวงต่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกา แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนสหรัฐอเมริกา ภายหลังที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม พร้อมคณะรัฐมนตรีอีก 10 คน พ้นสภาพความเป็นรัฐมนตรี เนื่องจากกรณีโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ว่า ขอให้ไทยแก้ไขปัญหา โดยยึดหลักประชาธิปไตย เราได้ติดตามความเคลื่อนไหวทางการเมืองในประเทศไทยอย่างใกล้ชิด รวมไปถึงคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญที่วินิจฉัยให้ นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์และรัฐมนตรีกลุ่มหนึ่งพ้นจากตำแหน่ง

             นางเจน กล่าวต่อว่า เราขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายร่วมกันแก้ไขปัญหาความตึงเครียดทางการเมืองในประเทศไทยอย่างสันติวิธี และตามแนวทางประชาธิปไตย เพื่อให้ประชาชนชาวไทย สามารถเลือกผู้นำทางการเมืองที่พวกเขาสมควรได้รับในการรักษาอุดมคติทางประชาธิปไตยของประเทศไทย หนทางแก้ปัญหาควรรวมถึงการเลือกตั้งและรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เราขอเรียกร้องทุกฝ่ายในเวลานี้ให้อดทน อดกลั้น และขอย้ำอีกครั้งว่า การใช้ความรุนแรงเป็นหนทางที่ไม่อาจยอมรับได้ในการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง.

เสื้อแดงอิสานประกาศแตกหัก! ระดมพลเคลื่อนสู่ถนนอักษะทันที




             เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 57 มีรายงานว่า นายอนุวัฒน์ ทินราช ประธาน นปช.ภาคอีสาน และประธาน นปช. จาก 32 อำเภอ จ.นครราชสีมา พร้อมผู้ประสานงานคนเสื้อแดง จ.นครราชสีมา กล่าวถึงความเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มคนเสื้อแดง หลังจากที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งว่า แกนนำคนเสื้อแดงได้พูดคุยแนวทางชัดเจนแล้วว่า จะนำมวลชนเคลื่อนไหวไปยังถนนอักษะ ในวันที่ 10 พ.ค.นี้ แน่นอน ซึ่งประชาชนบางส่วนได้ทยอยไปบ้างแล้ว โดยเดินทางด้วยรถส่วนตัว รวมทั้งรถบัสในแต่ละอำเภอที่จะเคลื่อนที่ออกไป มีแกนนำ นปช. แต่ละพื้นที่ร่วมทางไปด้วย ทั้งนี้ ตนยืนยันว่า การเคลื่อนไหวของ นปช.ภาคอีสานนั้น ไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ไม่มีใครหนุนหลัง แต่ทำเพราะต้องการประชาธิปไตย และจะพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับกลุ่ม กปปส. ให้มากที่สุด

             ส่วนเรื่องกองกำลัง อพปช.ของ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ประธาน อพปช. ที่มีการ์ดฮาร์ดคอร์ หรือซุปเปอร์การ์ด กองกำลังประชาชนหลายหมื่นคน ทั้งหญิงและชาย จะเข้าร่วมการชุมนุมครั้งนี้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายสุภรณ์เอง แต่ตนคิดว่ามีเป้าหมายเดียวกันอยู่แล้ว และการเคลื่อนไหวคราวนี้คนเสื้อแดงจะอยู่โดยไม่มีกำหนดกลับ ทั้งนี้ พี่น้องประชาชนคนเสื้อแดงต่างรู้สึกเหมือนกับถูกย่ำยีจากอำนาจที่ไม่เป็นธรรม จากเหตุการณ์เมื่อวานนี้ และคาดว่าการเลือกตั้งคงไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ฉะนั้น ถึงเวลาของ นปช.ทั่วประเทศ โดยเฉพาะ นปช.ส่วนกลาง ที่ต้องคุยกันว่าจะตัดสินใจอย่างไร และครั้งนี้จะให้แตกหักจบให้ได้ ไม่รออีกต่อไป เพราะหากรอฟังองค์กรอิสระคงไม่มีผลอะไร เนื่องจากอยู่คนละฝั่งกัน
"ขณะนี้คนเสื้อแดงทั่วอีสาน 20 จังหวัด และจากทุกภาคทั่วประเทศ มีการส่งข่าวสื่อสารการเคลื่อนไหวไปยังถนนอักษะแล้ว โดยสิ่งที่จะเอาติดตัวไปมีเพียงหัวใจประชาธิปไตย ข้าวและน้ำเท่านั้น ไม่มีอาวุธอย่างเด็ดขาด" นายอนุวัฒน์ กล่าว.