วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ครม.ตั้ง ‘วิรไท สันติประภพ’ เป็นผู้ว่าฯ แบงค์ชาติคนใหม่


          7 ก.ค.2558 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันนี้ มีมติแต่งตั้งนายวิรไท สันติประภพ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ แทนนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการฯ คนปัจจุบันที่จะครบวาระในวันที่ 30 ก.ย.นี้ โดยนายวิรไท จะเข้ารับตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.ที่จะถึงนี้เป็นต้นไป
         นายวิรไท ได้รับการพิจารณาคัดเลือกจากคณะกรรมการสรรหาคู่กับนายศุภวุฒิ สายเชื้อ ให้เป็นว่าที่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย โดยคณะกรรมการสรรหาพิจารณาคัดเลือกจาก 5 รายชื่อ ก่อนที่เขาจะได้รับการแต่งตั้งจาก ครม.ในวันนี้
          นายวิรไท เป็นบุตรชายของ พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ จบการศึกษาปริญญาตรี (เกียรตินิยมอันดับ 1) จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และได้ทุนมูลนิธิอานันทมหิดล ศึกษาต่อปริญญาโท-ปริญญาเอก ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา ปัจจุบันมีอายุ 45 ปี
         นายวิรไท เริ่มทำงานเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่วอชิงตัน ดีซี และกลับมารับตำแหน่งผู้อำนวยการร่วมสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และเป็นที่ปรึกษาของนายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในช่วงที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจไทย หรือวิกฤตต้มยำกุ้ง ในปี พ.ศ. 2540 โดยมีบทบาทสำคัญในการผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และมาตรการแก้ไขปัญหาระบบสถาบันการเงินในขณะนั้น
         นอกจากนี้ ยังเคยทำงานในระดับผู้บริหารให้กับธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และเป็นรองผู้จัดการ สายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และเคยทำงานกับมูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ รวมถึงเคยเป็นที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจ ของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) อีกด้วย
         ปัจจุบัน นายวิรไทเป็นหนึ่งในคณะกรรมการนโยบาย และกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ (คนร.) หรือซุปเปอร์บอร์ด และเป็นกรรมการของธนาคารแห่งประเทศไทย รวมถึงเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทเอกชนบางแห่ง และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือทีดีอาร์ไอ

14 ผู้ต้องขัง ได้ออกจากเรือนจำพรุ่งนี้

ทนายคาด 14 ผู้ต้องหาได้ปล่อยตัวพรุ่งนี้เช้า เหตุครบฝากขังผัดแรกเที่ยงคืน จนท.หวั่นเกิดอันตรายกับผู้ต้องหาหากปล่อยหลังเที่ยงคืน 
7 ก.ค. 2558 ความคืบหน้าหลังศาลทหารไม่รับคำร้องพนักงานสอบสวนขอฝากขัง 14 นักศึกษานักกิจกรรมขบวนการประชาธิปไตยใหม่ ผัดที่สอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์แจ้งว่า ผู้ต้องหาทั้งหมดจะครบฝากขังผัดแรกในวันนี้ 7 ก.ค. ซึ่งสิ้นสุดในเวลาเที่ยงคืน จึงจะสามารถปล่อยตัวได้เนื่องจากครบผัดแรกแล้วตามกำหนดเวลา และไม่มีการฝากขังผัดต่อไป
ด้านกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความระบุว่า 14.00 น. ศาลทหารยังไม่ได้ออกหมายปล่อยตัวผู้ต้องหา คาดว่าอาจจะได้ปล่อยตัวในเช้าวันพรุ่งนี้ (8 ก.ค.) เพราะหากปล่อยหลังเที่ยงคืนเจ้าหน้าที่เกรงจะเกิดอันตรายกับผู้ต้องหา
ด้านศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานผ่านเพจเฟซบุ๊ก ยืนยันว่า ทีมทนายได้รับแจ้งจากตำรวจว่าจะไม่มีการอายัดตัวผู้ต้องหากรณีหน้าหอศิลป์ 7 คนต่อในคดีอื่นๆ ขณะที่กรณีของกลุ่มดาวดินกำลังอยู่ระหว่างประสานงานกับทางตำรวจขอนแก่น นอกจากนี้เพจทนายยังยืนยันว่าการขังผัดแรกจะสิ้นผลเที่ยงคืนวันนี้ เรือนจำจึงจะปล่อยตัวผู้ต้องหาในเช้าวันที่ 8 ก.ค.
ก่อนหน้านี้ 14 นักศึกษานักกิจกรรม กลุ่มขบวนการประชาธิปไตยใหม่ถูกควบคุมตัวตามหมายจับด้วยความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่ง คสช.และมาตรา 116 กฎหมายอาญา โดยถูกนำตัวไปที่ สน.พระราชวังในช่วงเย็นวันที่ 26 มิ.ย. จากนั้นถูกนำตัวส่งศาลทหารในเวลา 21.30 น. ก่อนจะเสร็จสิ้นกระบวนการในศาลทหาร เวลาประมาณ 00.30 น. (อ่านข่าวที่นี่)
 
'ลูกเกด' ผู้ต้องหาหญิงหนึ่งเดียว จะถูกปล่อยจาก รพ.ราชทัณฑ์
 
15.00 น. ผู้สื่อข่าวได้สอบถามเจ้าหน้าที่จากทัณฑสถานโรงพยาบาลเรือนจำราชทัณฑ์ ได้รับการยืนยันว่ากรณี น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว (ลูกเกด) หากมีคำสั่งศาลให้มีการปล่อยตัวจะมีการปล่อยตัวที่ ร.พ.ราชทัณฑ์ แต่ขณะนี้ยังไม่มีคำสั่งส่งมา
 
เมื่อแม่ของลูกเกดขอเข้าเยี่ยม ทาง ร.พ. ได้แจ้งว่าลูกเกดยังกลับมาไม่ถึง
 

11.24 น. รถตู้นำ 14 ผู้ต้องหาออกจากศาลทหารเพื่อนำไปยังเรือนจำ
โดยมีทนายบางส่วนโบกมือให้ลูกความด้านข้างรถ
จากนั้นทีมทนายจึงพากันเดินออกมาด้านนอกศาลทหาร

ช่วงบ่าย หลังทราบข่าวศาลทหารไม่อนุมัติคำขอฝากขัง ตร. ผัดสอง ผู้ให้กำลังใจ 14 น.ศ.-นักกิจกรรมขบวนการประชาธิปไตยใหม่ เข้ามาพักที่ลานกำแพงประวัติศาสตร์ มธ. ขณะบางส่วนทยอยไปรอรับทัง 14 คนที่เรือนจำ
 

สภาผู้ชมไทยพีบีเอสยื่นหนังสือ กสทช. ขอตัดสินอย่างเป็นธรรม-ขอทุกฝ่ายอย่าแทรกแซงสื่อ


สภาผู้ชมและผู้ฟังไทยพีบีเอส มอบดอกไม้ ยื่นหนังสือ กสทช. ขอพิจารณาข้อเท็จจริงกรณีทัพบกร้องเรียนไทยพีบีเอสนำเสนอสกู๊ปข่าวนักศึกษา มีเนื้อหาไม่เหมาะสม พร้อมเรียกร้องทุกฝ่ายอย่าแทรกแซงสื่อ  
7 ก.ค. 2558 สภาผู้ชมและผู้ฟังรายการองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย ยื่นแถลงการณ์ และมอบดอกไม้ให้กำลังใจสุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการ กสทช. โดยแถลงการณ์ระบุว่า การร้องเรียนของคณะทำงานติดตามสื่อในกองทัพบก กรณีรายการ ที่นี่ ไทยพีบีเอส ซึ่งเสนอสกู๊ปนักศึกษาว่ามีเนื้อหาไม่เหมาะสมนั้น เป็นการกระทำที่เข้าข่ายแทรกแซงสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชน โดยเฉพาะ ส.ส.ท. หรือ ไทยพีบีเอส ที่เป็นสื่อสาธารณะ ซึ่งการร้องเรียนของอนุกรรมการดังกล่าวขัดแย้งต่อเจตนารมณ์การปกครองในระบอบประชาธิปไตย ที่รัฐบาลกล่าวอ้างว่าจะต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยโดยสร้างประชาธิปไตยที่สมบูรณ์
"เราขอเป็นกำลังใจให้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ ได้โปรดพิจารณาข้อเท็จจริงอย่างเป็นธรรมและรอบด้าน และเคารพต่อสิทธิของประชาชนที่ควรได้รับรู้ข่าวสารตามความเป็นจริงและผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนทุกคน ที่นำเสนอข้อเท็จจริงอย่างรอบด้านต่อประชาชน และขอให้ทุกฝ่ายเคารพและไม่แทรกแซงการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนในทุกรูปแบบ" แถลงการณ์ระบุ
แถลงการณ์สภาผู้ชมและผู้ฟังไทยพีบีเอส
  
         ตามที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ หรือ กสท. ได้มีการประชุมใน เรื่องร้องเรียนจากหนังสือ ของคณะทำงานติดตามสื่อในกองทัพบก กรณีการออกอากาศรายการ ที่นี่ Thai PBS เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 2558 ที่ผ่านมา ซึ่งมีการนำเสนอสกู๊ปข่าวนักศึกษา กลุ่มดาวดิน มีเนื้อหาไม่เหมาะสม ทั้งนี้ กสทช.ได้เชิญผู้บริหารช่องไทยพีบีเอสมาชี้แจงข้อเท็จจริง ต่อคณะอนุกรรมการด้านผังรายการและเนื้อหารายการ ได้มีการพิจารณาและมีมติว่า การออกสกู๊ปข่าวดังกล่าว มีลักษณะเป็นการให้ข้อมูลข่าวสาร ที่ส่อให้เกิดความสับสน ยั่วยุ ปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้งอันเป็นการต้องห้ามตามประกาศ คสช.จึงเห็นสมควรกำหนดโทษปรับทางปกครองขั้นต่ำ และได้เลื่อนการพิจารณาออกไปนั้น

        สภาผู้ชมและผู้ฟังรายการองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนจาก 9 ภูมิภาค 32 กลุ่มประเด็น มีความเห็นว่า การร้องเรียนดังกล่าว เป็นการกระทำที่เข้าข่ายการแทรกแซงสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชน โดยเฉพาะ ส.ส.ท. หรือ ไทยพีบีเอส ที่เป็นสื่อสาธารณะ ที่จัดตั้งขึ้นภายใต้ พ.ร.บ.องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2550 โดยมีเจตนารมณ์ เพื่อให้เป็นเครื่องมือและเป็นพื้นที่การสื่อของประชาชนบริการด้านสื่อ ประเภทสื่อสาธารณะ โดยมีวิสัยทัศน์ ว่า “มุ่งมั่นเป็นสถาบันสื่อสาธารณะเพื่อสร้างสังคมคุณภาพและคุณธรรม” ซึ่งการร้องเรียนของอนุกรรมการดังกล่าวขัดแย้งต่อเจตนารมณ์การปกครองในระบอบประชาธิปไตย ที่รัฐบาลกล่าวอ้างว่าจะต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยโดยสร้างประชาธิปไตยที่สมบูรณ์
        สภาผู้ชมและผู้ฟังรายการฯ ขอยืนยันหลักการว่า สื่อมวลชนต้องมีสิทธิเสรีภาพในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารและความคิดเห็นของทุก ฝ่ายตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้น การมาให้กำลังใจแก่ คุณสุภิญญา กลางณรงค์และคณะกรรมการ กสทช.ท่านอื่นๆ เป็นการแสดงความต้องการยืนหยัดในหลักการดังกล่าวข้างต้น โดยเฉพาะสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ซึ่งเป็นสื่อสาธารณะที่มีกฎหมายรองรับความเป็นอิสระ จะต้องยืนยันหรือไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเข้ามากดดัน หรือครอบงำการนำเสนอข้อมูลข่าวสารซึ่งต้องเป็นกลางเสนอข่าวให้รอบด้าน และหวังในความเป็นธรรมที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงฯ จะพิจารณาข้อร้องเรียนดังกล่าวอย่างเป็นธรรม
         อย่างไรก็ตาม สภาผู้ชมและผู้ฟังฯ เข้าใจถึงมูลเหตุที่เกิดขึ้น และให้ความสำคัญกับการเสนอข่าวสาร เหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเกิดความเข้าใจในบทบาทหน้าที่ของทุกฝ่าย และมุ่งหมายให้เกิดความสงบสุข ความเจริญก้าวหน้าของประเทศ และเสียงของประชาชนจากทุกภาคส่วน รัฐบาลควรที่จะรับฟังและพิจารณาเพื่อให้เกิดความเข้าใจและสร้างสรรค์โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศในขณะนี้ ที่มีการพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง และให้ความสำคัญต่อสิทธิในการรับรู้ข่าวสารของประชาชน
        เราขอเป็นกำลังใจให้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ ได้โปรดพิจารณาข้อเท็จจริง อย่างเป็นธรรมและรอบด้าน และเคารพต่อสิทธิของประชาชนที่ควรได้รับรู้ข่าวสารตามความเป็นจริงและผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนทุกคน ที่นำเสนอข้อเท็จจริงอย่างรอบด้านต่อประชาชน และขอให้ทุกฝ่ายเคารพและไม่แทรกแซงการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนในทุกรูปแบบ

พล.อ.ประยุทธ์ชี้แจงซื้อเรือดำน้ำมีไว้ให้เกรงใจ เพื่อแสดงศักยภาพยังไม่ได้เอาไปรบ

      พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ชี้แจงเรื่องจัดซื้อเรือดำน้ำว่าเป็นแผนพัฒนาล่วงหน้าของกองทัพเรือ

  •  ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ปฏิรูปตัวเองแล้ว ย้อนถามฝ่ายการเมืองจะปฏิรูปตัวเองไหม คิดแต่จะใช้อำนาจ 
  •  ย้ำเรือดำน้ำจำเป็นเพื่อรักษาเส้นทางเดินเรือ ใช้แสดงศักยภาพ ยังไม่ได้ใช้รบ ซื้อมาไม่ได้ใช้วันนี้ แถมต้องผ่อนกันอีกไม่รู้กี่ปี



          7 ก.ค. 2558 - หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้แถลงข่าวเมื่อเวลา 13.30 น. วันนี้ (7 ก.ค. 58) โดยมีประเด็นสำคัญต่างๆ ดังนี้

        เรื่องการแก้ไขปัญหาการทำประมง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องไปพิจารณาการประมงทั้ง 3 ประเภท โดยเฉพาะการทำประมงพื้นบ้านที่อาจได้รับผลกระทบ โดยอาจต้องพิจารณามาตรการผ่อนผันที่อาจต้องออกเป็นกฎหมายลูก หรือใช้อำนาจตามมาตรา 44 และไม่กระทบกับกฎของ IUU ทั้ง 15 ข้อ รวมถึงการทำความเข้าใจว่าการเข้มงวดถือเป็นการแก้ปัญหาในระยะยาว หากไม่ดำเนินการ จะทำให้ไทยเสียการส่งออกกับยุโรป ซึ่งเป็นตลาดประมงที่ใหญ่ที่สุดของไทย พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้ตรวจสอบสมาคมประมง หรือผู้ที่สั่งไม่ให้เรือประมงที่ถูกกฎหมายออกทำการประมง ว่าเป็นการใช้อิทธิพลหรือไม่ ซึ่งหลังจากนี้จะเชิญทุกฝ่ายเข้าหารือ และทำความเข้าใจร่วมกัน

         มาตรการแก้ปัญหาภัยแล้งในขณะนี้ว่า ได้สั่งการให้เร่งขุดเจาะบ่อบาดาลในกรุงเทพมหานคร และอีก 500 จุดทั่วประเทศ ซึ่งการดำเนินการจะต้องดูพื้นที่ที่เหมาะสม ทั้งนี้ ต้นเหตุปัญหาเกิดจากการทำลายป่าไม้ โดยเฉพาะป่าต้นน้ำ จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบและดำเนินการผู้กระทำผิดกฎหมายอย่างจริงจัง โดยเฉพาะหากพบว่าเป็นกลุ่มนายทุน สำหรับการบริหารจัดการน้ำที่ผ่านมา รัฐบาลได้เดินหน้าในหลายโครงการ โดยเฉพาะการขุดลอกแหล่งน้ำธรรมชาติ อ่างเก็บน้ำขนาดกลางและเล็ก เพื่อสามารถรองรับน้ำหากมีปริมาณน้ำฝนเกิดขึ้นมาก

        พล.อ.ประยุทธ์ ยังขอบคุณชาวนาในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ให้ความร่วมมือเลื่อนการปลูกข้าวออกไปอีก 2 เดือน ส่วนพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่ยังมีการเพาะปลูกอยู่นั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลได้เตือนแล้ว หากน้ำไม่เพียงพอต่อการทำเกษตรกรรม รัฐบาลไม่สามารถช่วยเหลือได้
ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยจะเปิดตลาด 4 จุด รอบกรุงเทพมหานคร พร้อมขอความร่วมมือผู้ผลิตสินค้าอุปโภค-บริโภค รายใหญ่ ช่วยลดราคาสินค้าเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย

          กรณี พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ได้แถลงว่า 14 นักศึกษากลุ่มประชาธิปไตยที่เคลื่อนไหวต่อต้านคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จนถูกศาลทหารสั่งฝากขังว่า มีองค์กรต่างชาติองค์กรหนึ่ง อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของนักศึกษากลุ่มดังกล่าว นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ยังไม่ได้รับรายงานดังกล่าว ทั้งนี้ พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร เป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติต้องทำหนังสือรายงานประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติตามสายบังคับบัญชา ซึ่งไม่ต้องรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบ
การสร้างนิคมอุตสาหกรรมฮาลาล ณ จังหวัดเชียงใหม่ ที่ยังติดปัญหา นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ปัญหาอยู่ที่การเมืองท้องถิ่น และประชาชนในพื้นที่ที่ยังมีความขัดแย้งเรื่องการใช้พื้นที่ดินที่กำหนดไว้ จึงทำให้ไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ ขณะนี้กำลังหาสถานที่สร้างนิคมอุตสาหกรรมฮาลาลแห่งใหม่ พร้อมกล่าวว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่นายกรัฐมนตรี และไม่สามารถบังคับประชาชนได้ แต่นายกรัฐมนตรีพร้อมสนับสนุนทุกอย่างที่จะทำให้ประชาชนมีรายได้ และสร้างอาชีพให้กับประชาชน

         กรณีการจัดซื้อเรือดำน้ำ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า "เป็นเรื่องของแผนงานพัฒนาของกองทัพ อย่าไปคิดว่าเป็นเรื่องที่จำเป็นหรือไม่จำเป็น ผมต้องดูว่าวันนี้กองทัพมีแผนพัฒนาล่วงหน้าเป็น 10 ปี 20 ปี แล้วผมถามว่าเรื่องนี้เกิดมานานหรือยัง เกิดมานาน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องมารัฐบาลนี้ อะไรต่างๆ ถามว่าแล้วรัฐบาลอื่นจะทำไหมล่ะ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน"

          "ตอนนี้เป็นขั้นตอนของเขา เป็นการกำหนดความต้องการของเขา ว่าถ้าจะมี มีอย่างไร มีที่ไหน จะหามาจากที่ใคร เอามาประกวดกันอย่างไร เป็นเรื่องภายในของเขา ยังไม่ได้ซื้อสักลำเลย อะไรกันหนักหนา ผมไม่เข้าใจ โยงเรื่องการเมืองบ้าง โยงรถไฟบ้าง ไม่ต้องทำอะไรเลยถ้าอย่างนั้น อยู่เฉยๆ ดีกว่า เอาเงินมาแจกกัน หรือเอาไปโกงกัน เอาไหมล่ะ เปิดฟรีกันไปเลย แบ่งเค้กกันไป ใครอยากจะเอาอะไรมาติดต่อกับตนนี่ตั้งโต๊ะกันไปเลยเอาไหม แล้วก็เป็นอย่างนี้แล้วกัน อยู่กันไปอย่างนี้แล้วกันหากินกันไปเรื่อยๆ"

           "เขาอยู่ในกระบวนการของเขา จะซื้อหรือไม่ซื้อ เขาก็พูดให้ฟัง มันเป็นเรื่องภายใน เป็นแผนกองทัพ 10-20 ปี แผนปฎิรูปกองทัพก็มีเขามีหมดน่ะ แผนปฏิรูปกองทัพเขามี แผนปฎิรูปตำรวจก็มี ปฎิรูปข้าราชการมีหมด แต่เขาเป็นระยะๆ ของเขา แล้วถามว่าปฎิรูปการเมืองน่ะมีไหม เคยทำไหมเล่า ปฏิรูปการเมืองตัวเองเคยทำไหม ไม่เคยทำหรอก มีแต่อยากจะได้อำนาจ แล้วใช้อำนาจแบบนี้ที่ผ่านมา ผมพยายามใช้อำนาจให้ถูก ก็โจมตีผมนั่นแหละ ว่าผมเข้ามาถูกบ้าง ผิดบ้าง แต่ว่าผมไม่ได้ ผมเป็นคนควบคุมกติกา ผมไม่เกรงใจ เกรงใจแล้วเคยตัว เพราะฉะนั้นต้องรอดู ตอนนี้ยังอยู่ในขั้นตอน ถ้ามันซื้อได้ พิจารณาความจำเป็นที่ต้องซื้อไหม มีไว้เพื่ออะไร จะมีไว้เพื่อรบ หรือมีเพื่อไม่รบ มีเพื่อรบกับใครหรือไม่รบกับใคร จะเอาไว้ที่ไหน ทะเลอ่าวไทยทะเลเดียวหรือไง ทะเลอันดามันมีไหม จำเป็นต้องไปพิทักษ์ปกป้องทรัพยากรทางทะเลไหม

         "ไม่ได้มีเพื่อไปรบไปยิงใคร มีไว้ให้เกรงใจ วันหน้าจะรักษาการเดินเรืออย่างไร รักษาเส้นทางการประมงอย่างไร ก็เห็นอยู่ว่าทะเลอื่นเขาก็มีปัญหากันอยู่ วันหน้าเราจะไม่มีปัญหาหรือไง มันเป็นการแสดงศักยภาพแค่นั้นเอง แล้วมีไม่ใช่ว่าจะใช้วันนี้ ผ่อนกันไม่รู้อีกกี่ปี กว่าจะผ่อนเสร็จ เรือผุไปหมดแล้ว โธ่"
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การจะซื้อเรือดำน้ำจากจีน ส่งผลดีต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือไม่ นายกรัฐมนตรีตอบว่า "ไม่จำเป็นต้องซื้อกับเขาหรอก เราดีกับเขาอยู่แล้ว ตอนนี้ดีกับทุกประเทศทั่วโลกกับผมนี่ เว้นแต่ติดคำว่าประชาธิปไตย คำเดียว ผมจะบอกให้ ไม่ได้คุยนะ ผมแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของผม ความตั้งใจจริงของประเทศไทย ที่พร้อมจะดีกับทุกประเทศ"

         ผู้สื่อข่าวถามด้วยว่า การที่ศาลอนุมัติปล่อยตัวนักศึกษา กังวลหรือไม่ว่าจะมีการเคลื่อนไหวของกลุ่มอื่นๆ ออกมาอีก พล.อ.ประยุมธ์ กล่าวว่า ก็อยู่ที่คนทำ อยู่ที่นักศึกษา ในเมื่อศาลให้ความเมตตาไปแล้วก็ไปดูกัน แต่ถ้าบอกว่าไม่ผิดมันจะใช่หรือเปล่าก็ต้องไปดู วันนี้พ่อแม่และทุกๆ คนก็เป็นห่วง
"จะเสียสละไปเพื่อใคร เวลานี้มันเพื่อใคร ทำไมจะรออีกสักหน่อยไม่ได้หรือ ถามจริงๆ ว่าอยากจะมีรัฐบาลใหม่ในวันพรุ่งนี้เลยหรือไม่ จะเอาหรือเปล่า เพราะท่านเบื่อผมแล้ว ก็เอาคนใหม่เข้ามาแล้วต้อนเขาอย่างนี้บ้าง ส่วนการมีรัฐบาลจะเร็วไป หรือช้าไป ขึ้นอยู่กับรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวที่เขาเขียนไว้ วันนี้ผมต้องขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจ ขอบคุณทุกคนที่ติชมอย่างมีสาระ ขอบคุณทุกคนที่เสนอวิสัยทัศน์โลกสวย ผมยอมรับทั้งหมดทุกเรื่อง มันอยู่ในหัวผมทั้งหมด ที่พูดทั้งหมดไม่ได้โกรธหรือว่าสื่อ แต่เราต้องมีมุมมองและเข้าใจถึงคำว่าอดีต ปัจจุบันและอนาคตว่าอดีตบ้านเมืองเป็นอย่างไร ปัจจุบันเรากำลังทำอะไร อนาคตจะเป็นอย่างไรในวันหน้าแล้ววันนี้คือประวัติศาสตร์ของวันข้างหน้า"

         "ถ้าทำสำเร็จก็จะเป็นประวัติศาสตร์ของประเทศไทยที่เปลี่ยนลุคใหม่ แต่ถ้าไม่ทำมันก็กลับไปสู่ที่เก่า ขณะที่คนอื่นเดินไปข้างหน้าทั้งหมด เรากลับเดินถอยหลังหรือยืนอยู่กับที่แค่นี้ก็ตายแล้ว แต่กลัวว่ามันจะหนักยิ่งกว่านี้เพราะเศรษฐกิจจะตกลงยิ่งกว่านี้ ถ้าไม่ทำอย่างที่พูด ขนาดสั่งกันทุกวันยังทำกันไม่ทำ พยายามเร่งทุกอย่าง ใครเชิญไปประชุมที่ไหนก็ไปทุกที่ ไม่เคยได้พักผ่อน ประชุมเสร็จก็กลับเพราะคิดถึงคนไทย พอกลับมาก็ได้รับทั้งรอยและคำถามน่าอบอุ่นและชื่นใจทำให้ผมต้องกระตือรือร้นขึ้นมาอีกนิด เลือดสูบฉีดขึ้นสมองอีกหน่อยก็พอที่จะมีแรง"

          "คนไทยต้องทำให้คนทั้งโลกได้เห็นถึงความรัก ความสามัคคี ความมีอัจฉริยะ มีบุคลิกภาพที่ดีในสังคมโลก ไม่ใช่ว่านักการศึกษาก็ตีกัน อาชีวะก็ตีกัน บนถนนก็เดินขบวน ไม่รู้อะไรหมู่ อะไรจ่า อะไรคือกฎหมาย ไม่รู้สถานการณ์ว่าอะไรคืออะไร ปนเปไปหมดทุกเรื่อง ความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม จิตวิทยา ตีกันหมดทุกเรื่อง ทำไม่ได้สักเรื่อง แล้วประเทศไทยมันจะไปทางไหน ถ้าเราไม่สร้างระบบไว้ตั้งแต่วันนี้ วันข้างหน้าก็จะเป็นอย่างนี้อีกจำคำของผมและบันทึกไว้ด้วย วันหน้าผมจะถามใหม่ ว่าสิ่งที่ผมคิดไว้มันทำได้หรือไม่ แล้วผมจะคอยประเมิน" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตอนหนึ่ง

PPTV ชี้แจง กสทช. หลังนำเสนอข่าวเจรจาลับภาคใต้ - โดยถูกเตือน แต่ยังไม่ขัดคำสั่ง คสช.


ภาพเปิดรายงานพิเศษของ PPTV "เจรจาลับ ดับไฟใต้" ออกอากาศเมื่อวันที่ 23 มิ.ย. 2558 ก่อนถูก กสทช. เรียกเข้าไปชี้แจงว่าขัดต่อคำสั่ง คสช. และ พ.ร.บ.ประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์หรือไม่ (ที่มาของภาพ: PPTV)
        หลัง กสทช. ทำหนังสือเรียกช่อง PPTV ชี้แจงหลังนำเสนอรายงานพิเศษ "เจรจาลับ ดับไฟใต้" ล่าสุด PPTV เข้าชี้แจงแล้ว โดยผลการชี้แจง - กสทช. ไม่ถือว่าขัดคำสั่ง คสช. เรื่องสร้างความแตกแยก แต่เตือนว่าทำข่าวความมั่นคงอย่าลงลึกเรื่องยุทธการของทหาร
       7 ก.ค. 2558 - กรณีที่ กสทช. ทำหนังสือลงวันที่ 26 มิ.ย. 58 ส่งถึงกรรมการผู้จัดการบริษัทบางกอก มีเดีย แอนด์ บรอดคาสติ้ง จำกัด (สถานีโทรทัศน์ PPTV HD) ให้ไปชี้แจงต่อคณะอนุกรรมการกำกับผังรายการ กสทช. กรณีเสนอรายงานพิเศษเรื่อง "เจรจาลับ ดับไฟใต้" ที่ออกอากาศในรายการ "เข้มข่าวค่ำ" วันที่ 23 มิ.ย. 58 โดยในจดหมายมีเนื้อหาว่าข่าวที่ PPTV HD นำเสนออาจทำให้ประชาชนสับสน เข้าใจผิด ก่อให้เกิดความแตกแยกในสังคม ขัดประกาศ คสช.ฉบับที่ 97/2557, ฉบับที่ 103/2557 และขัดต่อมาตรา 37 แห่ง พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551
        ล่าสุดในเฟซบุ๊คของ เสถียร วิริยะพรรณพงศา ผู้้สื่อข่าว PPTV HD ระบุว่าได้เข้าชี้แจง กสทช. แล้วเรียบร้อย โดยข่าว "เจรจาลับ ดับไฟใต้" ดังกล่าวไม่ขัดคำสั่ง คสช. อย่างไรก็ตามคณะอนุกรรมการกำกับผังรายการ กสทช. เตือนเรื่องการทำข่าวความมั่นคงอย่าลงลึกเชิงยุทธการของทหาร
       ต่อกรณีดังกล่าวนั้น ก่อนหน้านี้ PPTV HD แถลงเมื่อวันที่ 3 ก.ค. ที่ผ่านมา โดยในข่าวพาดหัวว่า "PPTV HD ยันจุดยืนนำเสนอข่าวถูกต้อง เป็นกลาง รอบด้าน หลัง กสทช.เรียกชี้แจง สภาวิชาชีพกิจการการแพร่ภาพและการกระจายเสียง (ประเทศไทย) ชี้สื่อทำหน้าที่กำกับดูแลกันเองอยู่แล้ว สุภิญญาห่วง กสทช.ใช้อำนาจเหมาะสมหรือไม่" นำเสนอตอนหนึ่งว่า
"นายเขมทัตต์ พลเดช กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บางกอก มีเดีย แอนด์ บรอดคาสติ้ง ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ดิจิตอล PPTV HD ให้สัมภาษณ์ว่านโยบายการนำเสนอข่าวของ PPTV HD นั้น ยึดหลัก 5 ประการสำคัญที่ PPTV HD ยึดมั่นมาโดยตลอด ได้แก่"
  • "1.การนำเสนอข่าวจะต้องเป็นกลาง ไม่อิงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และต้องมีการนำเสนอความคิดเห็นอย่างรอบด้าน
  • 2.เนื้อหาในการทำข่าวจะต้องเป็นเนื้อหาที่มีความหลากมิติเพื่อให้ประชาชนคิดตาม แต่ไม่ใช่การชี้นำทางสังคม
  • 3.วิธีการนำเสนอข่าวจะต้องมีความน่าสนใจ โดยมีการใช้กราฟิค และภาพเข้าเสริม
  • 4.มีจริยธรรมตามบทบัญญัติการเป็นสื่อมวลชนที่ดี
  • 5.มีความฉับไว"

         "เมื่อทางคณะอนุกรรมการด้านผังรายการและเนื้อหารายการ สำนักงาน กสทช.ได้ส่งหนังสือมาที่ PPTV HD ดังกล่าว ในฐานะที่เป็นผู้อำนวยการสถานีฯ ได้วิเคราะห์ และมีการหารือกับกองบรรณาธิการข่าวถึงเนื้อหาข่าวที่มีการนำเสนอ และที่ผ่านมาก็ไม่มีทั้งฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายรัฐบาล สมาคมนักข่าว และสภาวิชาชีพสื่อมวลชนต่างๆ มาบอกว่าเป็นการนำเสนอข่าวที่ผิด หรือมีเนื้อหากระทบต่อความมั่นคงแต่อย่างใด จึงคิดว่าข่าวนี้มีลักษณะการนำเสนอข่าวที่ถูกต้องแล้ว เพราะเป็นการนำเสนอข้อมูลทั้ง 2 ด้านไม่ได้อิงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และเนื้อหาของข่าวที่นำเสนอในรายการ "เข้มข่าวค่ำ" ก็เป็นเนื้อหาที่พูดถึงเรื่องสันติวิธี โดยไม่ได้ว่าใคร ซึ่งเป็นการนำเสนอข่าวอย่างถูกต้องตามหลักของการสื่อสารมวลชนที่ดี"
       "นายเขมทัตต์ กล่าวต่อว่า เมื่อพิจารณาดูแล้วว่าเป็นข่าวที่นำเสนออย่างถูกต้อง วานนี้ (2 ก.ค.58) จึงได้เข้าไปปรึกษาหารือกับสภาวิชาชีพกิจการการแพร่ภาพและการกระจายเสียง (ประเทศไทย) ซึ่งทางสภาวิชาชีพฯ ได้ให้คำแนะนำว่า กรรมการฯ ได้พิจารณาแล้ว มีความสอดคล้องกับหลักกฎหมายที่ให้สื่อกำกับดูแลกันเอง จึงรับเรื่องไว้ และหาก กสทช.จะเรียกชี้แจง ทางกรรมการสภาวิชาชีพฯ จะขอเข้าร่วมการชี้แจงดังกล่าวด้วย เนื่องจากสถานีโทรทัศน์ต่างๆ ต่างก็เป็นสมาชิกของสภาวิชาชีพฯ ทั้งนี้เมื่อสภาวิชาชีพฯ รับเรื่องนี้ไว้พิจารณาแล้ว ก็จะนำกรณีของสถานีโทรทัศน์ PPTV HD เข้าไปหารือกันในสภาวิชาชีพฯ ด้วย"
       นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวกับ PPTVHD ถึงความเหมาะสมในการเรียกเข้าชี้แจงว่า โดยหลักการแล้วควรให้สื่อดูแลกำกับกันเองก่อน หากเป็นเรื่องของความเป็นกลาง และจริยธรรม ส่วนกรณีของ Thai PBS หรือ PPTVHD ก็ควรในฝ่ายนโยบายเป็นผู้ดูแลกำกับ
       ทั้งนี้หากถามว่ากรณีที่เกิดขึ้นขัดต่อหลักกฎหมายหรือไม่ก็ไม่ขัด เนื่องจาก กสทช. เป็นผู้ดูแล หากได้รับเรื่องร้องเรียน แต่ทว่าขณะนี้สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในสถานการณ์ไม่ปกติ โดยผู้ร้องเรียนมาจากฝ่ายความมั่นคง จึงทำให้ต้องพิจารณา แต่ กสทช. ก็ควรทบทวนตนเองว่าใช้อำนาจเกินกว่าเหตุ หรือเหมาะสมหรือไม่

นัดรวมตัวตี 5 พรุ่งนี้ รับ 14 ขบวนการประชาธิปไตยใหม่ออกจากเรือนจำ


ตัวแทนขบวนการประชาธิปไตยใหม่ ประกาศยุติกิจกรรม ‘รับเพื่อนเรากลับบ้าน’ ในวันนี้แล้ว นัดหมายใหม่ตี 5 พรุ่งนี้ ส่วนญาติและเพื่อนบางส่วนปักหลักรอหน้าเรือนจำถึงเช้า
7 ก.ค.2558 เวลาประมาณ 19.40 น. ตัวแทนขบวนการประชาธิปไตยใหม่ ประกาศยุติกิจกรรม ‘รับเพื่อนเรากลับบ้าน’ ที่ด้านหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพ โดยนัดหมายมวลชนให้มารวมตัวใหม่ในเวลา 05.00 น.ของวันพรุ่งนี้ (8 ก.ค.) เพื่อรอรับ 14 นักศึกษาและนักกิจกรรมขบวนการประชาธิปไตยใหม่ ที่คาดว่าจะถูกปล่อยตัวจากเรือนจำในเวลา 06.00 น.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนยุติกิจกรรม มีการจุดเทียนและร้องเพลง ‘เราคือเพื่อนกัน’ หลังจากนั้น มวลชนบางส่วนเดินทางแยกย้ายกันกลับ และมีบางส่วนยังคงปักหลักรออยู่ด้านหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพจนถึงเช้า อาทิ กลุ่มพ่อแม่ นักศึกษา นักกิจกรรม และเพื่อนๆ ราว 30 คน
ก่อนหน้านี้ ในช่วงประมาณ 16.00 น. มีผู้หญิง 5 คน นำแผ่นกระดาษขนาดใหญ่เขียนข้อแสดงความไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของนักศึกษา มาชูที่ป้ายบริเวณทางเข้า-ออกของเรือนจำพิเศษกรุงเทพ หนึ่งในนั้นกล่าวว่าต้องการให้ประเทศสงบไม่วุ่นวาย ซึ่งเป็นในเวลาเดียวกับที่กลุ่มผู้มาให้กำลังใจขบวนการประชาธิปไตยใหม่เดินทางมาถึง เจ้าหน้าที่เรือนจำจึงเชิญหญิงทั้ง 5 คน ออกจากพื้นที่ทันทีโดยไม่ทีเหตุรุนแรงแต่อย่างใด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงประมาณ 18.00 น. ตัวแทนญาตินักศึกษาและนักกิจกรรมขบวนการประชาธิปไตยใหม่ ได้เข้าพบกับผู้อำนวยการส่วนทัณฑสถานปฏิบัติ เรือนจำพิเศษกรุงเทพ กรมราชทัณฑ์ เพื่อสอบถามถึงสาเหตุที่ทางเรือนจำยังไม่ปล่อยตัวทั้ง 14 คนเมื่อครบตามกำหนดเวลาฝากขัง แต่กลับจะปล่อยตัวทั้ง 14 คนในวันรุ่งขึ้น ซึ่งเกินกำหนดเวลาการฝากขังไปแล้วนั้น เป็นการใช้อำนาจอะไรและใครจะเป็นผู้รับผิดชอบในการควบคุมตัวเกินกำหนด ทางด้านตัวแทนของเรือนจำรับว่าจะนำคำถามเหล่านี้ไปปรึกษากับผู้บังคับบัญชาต่อไป
ต่อมาเวลาประมาณ 19.00 น. อนุสรณ์ อุณโณ อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งมารอการปล่อยตัวของนักศึกษาและนักกิจกรรม กล่าวว่า ได้เข้าพูดคุยกับผู้บังคับการเรือนจำ ซึ่งได้รับคำตอบว่าจะมีการปล่อยตัวนักศึกษาและนักกิจกรรมทั้ง 14 คน ในเวลา 06.00 น. ของพรุ่งนี้ (8 ก.ค.) โดยให้เหตุผลว่าเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ทางเรือนจำปฏิบัติมานานกว่า 20-30 ปีแล้ว และไม่เคยมีการปล่อยตัวผู้ต้องหาในยามวิกาล