“ปฏิวัติ”กับ“เลือกตั้ง”อะไรจะเกิดก่อน http://www.dailyworldtoday.com/columblank.php?colum_id=51146
| ||
ดาวน์โหลดคลิ๊ปคนเสื้อแดง
วันจันทร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2554
อดีตคมช.-คตส.ติดโผส.ว.เพียบ http://www.dailyworldtoday.com/columblank.php?colum_id=51349
| ||||||
ต้องปิดประตูนิรโทษกรรมด้วยแสงไฟที่เห็นรำไรปลายอุโมงก์ดวงเดียวริบหรี่สำหรับผู้ที่โหยหาประชาธิปไตยแท้จริงในประเทศไทยขณะนี้เป็นการเลือกตั้งที่ยืนกรานนานแล้วจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และมาได้รับการยันซ้ำเมื่อสุดสัปดาห์จากนางสดศรี สัตยธรรม กกต. ฝ่ายกิจการพรรคการเมือง* ข้อสำคัญบรรดาแม่ทัพของผู้ถืออาวุธทั้งสี่เหล่าได้พร้อมใจกันชักแถวแถลงแล้วว่า ไม่มีการตัดตอนหนทางเลือกตั้งแน่ ถนนทุกสายจึงมุ่งสู่คูหากาบัตรคะแนน รวมทั้งถนนสายกิจการพลเรือนของกองทัพไทย หรือที่ซึมซับในหมู่นักประชาธิปไตยตั้งแต่ยุคหลอกผีคอมมิวนิสต์ในทศวรรต ๒๕๐๐ เรื่อยมาถึงขณะนี้พุทธศักราช ๒๕๕๔ ก็ยังมีการปล้ำผีลุกปลุกผีนั่งคอมมิวนิสต์กันอีก ในชื่อย่อหน่วยงานต้นตอขอคืน และกระชับพื้นที่ว่า“กอ. รมน.” ดังที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทยเปิดโปงระหว่างการแถลงข่าวของ นปช. ที่อิมพีเรียล ลาดพร้าวเมื่อวันที่ ๙ เมษายน ศกนี้ ว่าทหารได้เข้าไปแทรกแซงในกระบวนการเลือกตั้ง** โดยส่งกำลังพลชุดละ ๖ คนลงเกาะติดพื้นที่หน่วยลงคะแนน โดยเฉพาะในพื้นที่เสื้อแดงเพื่อโน้มน้าวให้กลายเป็นสีส้ม พวกไม่เอาทักษิณ (หรืออดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร) ชุดเกาะติดดังกล่าวรายงานตรงต่อ พล. อ. ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ เสนาธิการทหารบก โดยได้รับงบประมาณใช้จ่ายชุดละ ๘ หมื่นบาท ระยะปฏิบัติการครั้งละ ๖ เดือน จนกว่าจะเอาชนะทักษิณได้ ทั้งนี้ให้ปฏิบัติหน้าที่ภายใต้แผนงานสู้วิกฤติเศรษฐกิจ และเสริมสร้างความเข้าใจ (ชสจ.) ที่อ้างว่าเป็นปฏิบัติการต้านยาเสพติด ส่งเสริมให้คนรักสถาบันกษัตริย์ และเกลียดชังพวกล้มเจ้า ผู้เขียนนำข้อมูลของนายจตุพรมาอ้างโดยไม่จำเป็นต้องตรวจสอบแหล่งที่มาว่าถูกต้องหรือไม่ เพราะสิ่งที่เขาเคยปูด หรือเปิดออกมาทั้งบนเวทีปราศรัย การแถลงข่าว และการอภิปรายในสภา หลายสิ่งเป็นประโยชน์ต่อความอยู่รอดของคนเสื้อแดง และสวัสดิภาพของกระบวนการประชาธิปไตย ครั้งนี้ก็เช่นกัน หวังว่ารายละเอียดดังที่นายจตุพรเปิดโปงจะไม่โผล่ขึ้นมาให้เห็นเป็นความสำเร็จจริงๆ เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ที่เขาปูดเรื่องผู้นำทหารไปประชุมวางแผนรัฐประหารกัน แล้วมีการชักแถวออกมาปฏิเสธ เป็นที่ทราบกันว่ารัฐบาลชุดนี้ อันมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนกลาง และพรรคภูมิใจไทยเป็นหัวหอก เคยใช้ และมักใช้ “วิชามาร” เพื่อเอาชนะทางการเมืองอย่างช่ำชอง อีกทั้งผู้คุ้มครองรัฐบาลชุดนี้ คือคณะทหารที่เคยเป็นพลังชี้ขาดในการประชุมจัดตั้งรัฐบาลภายในกองพลทหารราบที่ ๑๑ ย่อมต้องกระทำทุกวิถีทางไม่ให้พรรคเพื่อไทยของทักษิณที่คนเสื้อแดงส่วนใหญ่สนับสนุน สามารถเอาชนะพรรคที่เป็นเสมือนตุ้มซ้ายตุ้มขวาของคณะทหารได้ ด้วยเหตุนี้เองทำให้แสงไฟแห่งการเลือกตั้งอันมองเห็นได้ที่ปลายอุโมงก์นั้นดูริบหรี่เสียเหลือเกิน จนเหมือนดั่งว่ามีนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยแท้จริงบางรายอ่อนระทวยกับการสูญเสียที่ผ่านไป และเริ่มระย่อกับผลลัพท์อันพอหวังได้แต่ในวงจำกัดที่จะเกิดเบื้องหน้า จึงหันเข้าหายุทธศาสตร์ “กำขี้ดีกว่ากำตด” กันบ้างแล้ว ผู้เขียนได้อ่านแถลงการณ์ ๑ ปีของการปราบปรามคนเสื้อแดง โดยอาจารย์ จรัล ดิษฐาอภิชัย*** ซึ่งเป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่ผู้เขียนนิยมชมชอบมากท่านหนึ่ง อ่านแล้วรู้สึกขัดข้อง จำเป็นต้องวิจารณ์ข้อเขียนชิ้นนี้เล็กน้อย ทั้งนี้แม้ว่าผู้เขียนไม่รังเกียจการ “กำขี้” ในบางสถานการณ์ แต่ก็คิดว่า “กำตด”ในเวลาที่มีแค่แสงไฟริบหรี่เช่นนี้ ยังดีกว่าไป “คว้าน้ำเหลว” เอาเบื้องหน้า อจ.จรัลกล่าวไว้ในแถลงการณ์อย่างน่าชื่นชมทีเดียวว่า เรียกร้องให้มีการนำตัวผู้กระทำการสังหารประชาชนในเหตุการณ์ขอคืนพื้นที่เมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๓ มาดำเนินคดี ขณะเดียวกันก็ขอให้ดำเนินคดีกับผู้ประท้วง และแกนนำอย่างเที่ยงธรรม เป็นข้อเรียกร้องที่กล้าหาญ และถูกต้องต่อหลักยุติธรรมอย่างยิ่ง โดยที่ในเหตุการณ์ ๑๐ เมษานั้นมีผู้เสียชีวิตที่เป็นฝ่ายทหาร (รวมถึงระดับผู้บังคับกองพัน) หลายนาย กับผู้สังเกตุการณ์ที่เป็นนักข่าวต่างชาติ ๑ คน ทั้งที่ผู้เสียชีวิตจำนวนหลายสิบในฝ่ายประท้วงเรียกร้องนั้น นอกจากไม่ได้รับการเยียวยา แล้วยังถูกทางการกล่าวหาหยามเหยียดอย่างต่อเนื่องไร้ยางอาย ครั้นมาถึงตอนท้ายของแถลงการณ์ปรากฏมีข้อเรียกร้องอีกว่า “รัฐสภาจะต้องออกกฎหมายนิรโทษกรรมต่อผู้ชุมนุมทางการเมืองทุกฝ่าย” ซึ่งถ้าอ่านอย่างรวดเร็วทำให้เกิดเข้าใจผิดว่าเป็นนิรโทษกรรมแบบที่เคยมีมาทุกครั้งครา หลังรัฐประหาร และหลังเหตุการณ์นองเลือด ที่ผู้ถูกกล่าวหาก่อความไม่สงบถูกปราบอย่างรุนแรงแล้ว บ้างตายไป บ้างทุพลภาพ บ้างยังหลบหนีอยู่ ล้วนมาได้รับการอภัยโทษ แต่ก็รวมไปถึงผู้ที่เป็นฝ่ายใช้กำลังอาวุธเข้าปราบปราม ทำร้าย และเข่นฆ่า ได้แก่เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ซึ่งในกรณีเหตุการณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ บวกพวกพลเรือนขบวนการขวาพิฆาตซ้าย เช่นนวพล ลูกเสือชาวบ้าน และกระทิงแดง เป็นต้น เข้าไปด้วย ทั้งๆ ที่พวกเหล่านี้เป็นอันธพาล (Thugs) ทางการเมืองแท้ๆ ก็ได้รับนิรโทษกรรมเช่นกัน ครั้นอ่านแถลงการณ์ประโยคดังกล่าวอย่างพินิจ โดยไปเทียบเคียงกับภาคภาษาอังกฤษที่ว่า “Parliament must enact Amnesty Legislation for all protestors of all political persuasion.” ก็พอเข้าใจให้ถูกต้องได้ว่าแถลงการณ์หมายถึงเฉพาะผู้ประท้วงเท่านั้น แต่ใจกว้างขยายวงให้ครอบคลุมถึงผู้ประท้วงทุกคน “ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทางการเมืองอย่างไร” หากตีความตามตัวอักษร กฏหมายนิรโทษกรรมที่กล่าวถึงนี้จะออกมาหลังจากมีการนำเจ้าหน้าที่ และ/หรือพวกชุดดำติดอาวุธในกรณี ๑๐ เมษายน ๒๕๕๓ มาดำเนินคดีแล้ว และไม่คุ้มครองถึงผู้ประท้วงในเหตุการณ์ครั้งอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ๗ ตุลาคม ๒๕๕๑ หรือ ๑๓ เมษายน ๒๕๕๒ หรือแม้แต่๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ แต่ถ้ามีการตีความเป็นอื่น หรือแปรญัตติเป็นอื่นระหว่างกระบวนการอภิปรายร่างกฏหมาย ย่อมเป็นช่องทางให้ดึงเอาฝ่ายที่เป็นผู้กระทำเข้ามาร่วมรับการนิรโทษกรรมด้วยอย่างน่าเสียใจ สมมุติว่าหากสามารถแก้ไขประโยคดังกล่าวได้ ผู้เขียนอยากแก้เสียใหม่ว่า“รัฐสภาจะต้องออกกฏหมายห้ามนิรโทษกรรมคณะผู้ก่อการยึดอำนาจ และเจ้าหน้าที่ซึ่งใช้กำลังอาวุธเข้าปราบปรามประชาชนจนบาดเจ็บ และล้มตาย” ทางที่ดีกว่าไม่น่าจะพูดถึงการนิรโทษกรรมเลยแม้แต่น้อย เพราะถ้ามีการทำคดีอย่างเที่ยงธรรมแล้ว ผู้ประท้วงที่ออกไปชุมนุมกันโดยบริสุทธิ์เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยอันแท้จริง และต้องการความยุติธรรมในการบังคับใช้กฏหมาย ย่อมต้องปลอดพ้นจากคดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีการนิรโทษกรรมก็ได้ ที่ผู้เขียนนำเอาประโยคสั้นๆ มาวิจารณ์ยืดยาวนี้ขอโปรดอย่าเข้าใจผิดว่าบังอาจติติงเรื่องหยุมหยิมต่อผู้ที่ทำงานเพื่อประชาชนมาอย่างมากมาย แต่เนื่องด้วยเห็นว่าประโยคเดียวนี้มีความหมายกว้างไกล และอาจเป็นแนวโน้มที่ทำให้กระบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยต้องวกวนกลับมาหาที่เดิมอยู่ร่ำไป ก็เพราะการนิรโทษกรรมให้แล้วต่อกันไปเพื่อเริ่มต้นใหม่นี่แหละ เป็นมาอย่างนี้สองสามครั้งซ้ำซาก จนจำนวนคนถูกฆ่าตายโดยไร้ความชอบธรรมเพิ่มไม่หยุดหย่อน และชนักก็ปักหลังอยู่ที่คณะทหารกับข้ออ้างสถาบันฯ ของพวกเขาทุกครั้งไป หากจะยกสถาบันฯ เอาไว้ต่างหากตามแนวยุทธวิธีของ นปช. แดงทั้งแผ่นดินขณะนี้ ก็จะเห็นตัวตนผู้กระทำการหักหาญทำร้ายประชาชน และทำลายประชาธิปไตย เป็นพวกสวมท็อปบู๊ต ถือปืน และถือน้ำพิพัฒน์สัตยาได้แจ่มแจ้งชัดเจนทุกกรณีไป ฝ่ายทหารนี้แหละที่แต่ไหนแต่ไรมาเป็นขวากหนามขวางกั้นการพัฒนาเติบโตของประชาธิปไตยไทยไปสู่ความสมบูรณ์แท้จริง ตัวอย่างจากอดีตของไทยเราเองเป็นหลักฐานอยู่แล้วนับครั้งไม่ถ้วน ในปัจจุบันก็กำลังเป็นอยู่อย่างขมักเขม้นยิ่งขึ้น ทว่าแยบยลกว่าเดิม และจะเป็นต่อไปไม่หยุดยั้งตราบเท่าที่ยังมีการรวมศูนย์อำนาจทางการเมืองการปกครอง (Autocracy) ในขณะที่ดอกผลจากทรัพยากรของชาติยังมีพอให้พวกเขากอบกำกันอย่างสะดวก ตัวอย่างในทางสากลที่กำลังเกิดอยู่ในประเทศอาหรับย่านตะวันออกกลาง อาฟริกาเหนือ และอ่าวเปอร์เซียก็มีให้เห็นตำตาแทบทุกวัน แม้แต่ทหารที่มาเข้าข้างประชาชนผู้เรียกร้องความเป็นธรรม และความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ก็ล้วนไว้ใจไม่ได้สำหรับการสานสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริง ทั้งในตูนิเซีย อียิปต์ บาหเรน และเยเมน**** การขอร้องให้ทหารละวางจากการเมือง หรือมีพวกแม่ทัพนายกองมาออกทีวีให้คำมั่นว่าจะไม่ขัดขวางแนวทางประชาธิปไตยเท่านั้นไม่พอ เพราะพวกเขานิยมเสียสัตย์เพื่อชาติกันเป็นอาจินต์ ทางที่จะทำให้พวกทหารลบล้างความเคยชินอันเป็นผลดีแก่ตนแต่เป็นผลร้ายต่อประชาชน และประชาธิปไตยได้ ก็โดยให้ต้องรับโทษอย่างสาสมเมื่อมีการทำร้าย และสังหารประชาชนกันขึ้น การรับโทษดังกล่าวจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อกำจัดช่องโหว่ทางหนีการรับผิดของพวกที่มักใช้กำลังอาวุธบังคับเอาตามใจอยู่ที่ ต้องปิดประตูนิรโทษกรรมเสียแต่ต้นมือ และใช้การตัดสินความผิดด้วยกระบวนการยุติธรรมตามครรลองกฏหมายที่เป็นสากลเท่านั้น |
OWNLOADABLE RESOURCES: MORE COVERAGE: ความไร้เสถียรภาพ และการแบ่งขั้วทางการเมืองยังคงดำเนินต่อไปในปี 2553 และทำให้เกิดความรุนแรงขึ้นเป็นครั้งคราว ในช่วงที่เกิดการต่อสู้กันบนท้องถนนด้วยสาเหตุทางการเมืองระหว่างเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม มีประชาชน และเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงเสียชีวิตอย่างน้อย 90 คน และบาดเจ็บอีกอย่างน้อย 2,000 คน คำสัญญาสาธารณะของรัฐบาลไทยที่กล่าวไว้ว่า จะให้ความสำคัญต่อเรื่องสิทธิมนุษยชน ความปรองดองทางการเมือง และความรับผิดต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนนั้น ส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับการปฏิบัติให้เป็นจริงขึ้นมา ความรุนแรงทางการเมืองภายหลังจากที่เริ่มการชุมนุมอย่างค่อนข้างสันติมาได้หนึ่งเดือน เมื่อวันที่ 7 เมษายน ผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลจากแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ซึ่งมีอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ได้เคลื่อนขบวนไปบุกรัฐสภา ทำให้คณะรัฐมนตรี และสมาชิกรัฐสภาต้องหนีออกจากอาคาร นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และจัดตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานเฉพาะกิจที่ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือน และทหารขึ้นเพื่อควบคุมสถานการณ์ และบังคับใช้อำนาจฉุกเฉิน ต่อมาในวันที่ 10 เมษายน ศอฉ. ระดมทหารนับพันนายเพื่อพยายามยึดพื้นที่สาธารณะคืนจากการครอบครองของ นปช. หรือ "คนเสื้อแดง" การดำเนินการดังกล่าวทำให้เกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงรอบๆ บริเวณสะพานผ่านฟ้า ตกกลางคืนทหารถูกกองกำลังติดอาวุธที่เรียกว่า "คนชุดดำ" ซุ่มโจมตีด้วยอาวุธหนัก ทั้งนี้ กองกำลัง "คนชุดดำ" ดังกล่าวมีความเกี่ยวโยงกับ นปช. และปฏิบัติการคู่ขนานกันไปกับ นปช. ขณะเดียวกันก็มีการ์ด นปช. และผู้ประท้วงบางคนใช้อาวุธ เช่น ปืนพก วัตถุระเบิดที่ทำขึ้นเอง ระเบิดเพลิง และหนังสติ๊กโจมตีทหาร ในระหว่างที่ทหาร ซึ่งอยู่ในภาวะแตกตื่นล่าถอยนั้น ทหารได้ยิงกระสุนจริงเข้าใส่ผู้ประท้วง รัฐบาลรายงานว่า มีผู้เสียชีวิต 26 คน (รวมทั้งทหารห้าคน) และมีผู้บาดเจ็บอย่างน้อย 960 คน (รวมทั้งทหาร 350 คน) ในเหตุการณ์ครั้งนี้ ระหว่างวันที่ 23 และ 29 เมษายน กลุ่มการ์ดติดอาวุธของ นปช. บุกเข้าค้นโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ทุกคืน โดยอ้างว่าเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลบางคนยินยอมให้ทหาร และผู้สนับสนุนรัฐบาลเข้ามาใช้โรงพยาบาลเป็นสถานที่หลบซ่อนตัว ทำให้โรงพยาบาลต้องย้ายคนไข้ออกไป และปิดการให้บริการเกือบทั้งหมดเป็นการชั่วคราว การเจรจาระหว่างสองฝ่ายในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมตามข้อเสนอ 5 ข้อของนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ ต้องล้มเลิกไป เมื่อพลตรีขัตติยะ สวัสดิผล ซึ่งอ้างว่าเป็นตัวแทนรักษาผลประโยชน์ของทักษิณ ได้ร่วมมือกับแกนนำหัวรุนแรงคนอื่นๆ พยายามยึดอำนาจจากแกนนำของ นปช. กลุ่มที่พยายามเดินสายกลาง ต่อมาเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ประกาศเตือนว่ารัฐบาลวางแผนสลายการชุมชนของ นปช. ที่บริเวณแยกราชประสงค์ ระหว่างที่กองกำลังของรัฐบาลเคลื่อนเข้าโอบล้อมบริเวณที่ชุมนุมของ นปช. เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคมนั้น มือปืนไม่ทราบฝ่ายลอบยิงพลตรี ขัตติยะ ซึ่งเขาเสียชีวิตในอีกสี่วันต่อมา ความรุนแรงยกระดับสูงขึ้นเมื่อผู้ประท้วงฝ่าย นปช. และกองกำลัง "คนชุดดำ" เริ่มต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงที่มาโอบล้อมที่มั่นของพวกตน ศอฉ. ประกาศกฎการปะทะ ซึ่งอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงใช้กระสุนจริงได้ในกรณีดังต่อไปนี้ คือ 1) เป็นการยิงเตือนเพื่อป้องปรามไม่ให้ผู้ประท้วงเคลื่อนเข้ามาประชิด 2) เป็นการป้องกันตัว และ 3) เมื่อเจ้าหน้าที่มองเห็น "ผู้ก่อการร้าย" ซึ่งรัฐบาลไม่ได้ให้คำนิยามที่ชัดเจนว่าหมายถึงอะไร อย่างไรก็ตาม ในการปฏิบัติการจริงนั้น พลซุ่มยิงของกองทัพยิงทุกคนที่ล้ำเข้าไปเขต "ห้ามเข้า-ออก" ระหว่างแนวเครื่องกีดขวางของฝ่าย นปช. กับแนวของทหาร หรือใครก็ตามที่ขว้างปาสิ่งของใส่ทหาร นอกจากนี้ บางครั้งทหารก็ยิงเข้าใส่ฝูงชนฝ่ายผู้ประท้วงด้วยเช่นกัน วันที่ 19 พฤษภาคม รัฐบาลเริ่มปฏิบัติการทางทหารเพื่อยึดพื้นที่คืนรอบๆ บริเวณแยกราชประสงค์ ซึ่งนำไปสู่การสู้รบกันบนท้องถนนอีกครั้งหนึ่ง โดยทหารใช้กระสุนจริง ขณะที่ผู้ประท้วงฝ่าย นปช. บางส่วน และกองกำลัง "คนชุดดำ" ก็ยิงต่อสู้กับทหาร ประมาณเที่ยงวันแกนนำคนสำคัญของ นปช. ยอมเข้ามอบตัว ส่วนผู้ประท้วงนับพันพากันไปหาที่หลบภัยในวัดปทุมวนาราม ซึ่งถูกประกาศให้เป็นเขตปลอดภัย ("เขตอภัยทาน) โดยการทำข้อตกลงร่วมกันระหว่าง นปช. กับรัฐบาลก่อนหน้านี้ การสอบสวนขององค์การฮิวแมนไรท์วอท์ช โดยอาศัยปากคำของพยานผู้เห็นเหตุการณ์ และหลักฐานทางนิติเวชวิทยาพบว่า ทหารใช้ปืนยิงใส่ผู้ที่เข้ามาหลบภัยอยู่ในวัด ทำให้มีเจ้าหน้าที่หน่วยแพทย์อาสา และประชาชนเสียชีวิตหกคน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกหลายคน ภายหลังจากการเข้ามอบตัวของแกนนำ นปช. ผู้ประท้วงกลุ่มหนึ่ง และกองกำลัง "คนชุดดำ" ก็เริ่มบุกปล้นสะดม และวางเพลิงเผาศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ และสถานที่อื่นๆ ในกรุงเทพเป็นเวลาสองวัน นับตั้งแต่วันที่ 19 พฤษภาคม โดยปฏิบัติการดังกล่าวมีลักษณะของการวางแผนประสานงานกัน อนึ่ง ก่อนหน้านี้ แกนนำคนสำคัญของ นปช. ยุยงให้ผู้ที่สนับสนุนฝ่ายตนลงมือปล้นสะดม และวางเพลิง ถ้าหากรัฐบาลใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมของ นปช. การต่อสู้กันบนท้องถนนทำให้ผู้สื่อข่าว และช่างภาพได้รับบาดเจ็บอย่างน้อยเก้าคน โดยมีผู้สื่อข่าวชาวต่างชาติเสียชีวิตสองคน กลุ่มผู้ประท้วง นปช. บุกเข้าเผาสำนักงานใหญ่สถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ในกรุงเทพฯ และเผาสำนักงานสาขาในต่างจังหวัดของสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม โดยกล่าวหาว่าสถานีทั้งสองแห่งรายงานข่าวด้วยอคติเข้าข้างรัฐบาล ในวันเดียวกันนั้น ผู้สนับสนุน นปช. ในต่างจังหวัดได้ก่อจลาจล และเผาสถานที่ราชการต่างๆ เพื่อแสดงปฏิกิริยาตอบโต้ต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ ความรุนแรงที่เกิดขึ้นสร้างความเสียหายในจังหวัดขอนแก่น อุบลราชธานี อุดรธานี และมุกดาหาร ในเหตุการณ์ดังกล่าวเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงยิงปืนเข้าใส่กลุ่มผู้ประท้วง ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อยสามคน และบาดเจ็บอีกนับสิบคน ตลอดปี 2553 มีการโจมตีด้วยระเบิดในกรุงเทพฯ และจังหวัดอื่นๆ หลายครั้ง โดยมีเป้าหมาย คือ สถานที่ราชการ และค่ายทหาร รวมทั้งการใช้ระเบิดโจมตีกลุ่มการเมือง บริษัท และทรัพย์สินของฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับ นปช. ยกตัวอย่างเช่น เมื่อวันที่ 22 เมษายน มีการยิงระเบิดเอ็ม 79 เข้าใส่กลุ่มผู้สนับสนุนรัฐบาลใกล้แยกศาลาแดง ทำให้มีผู้เสียชีวิตหนึ่งคน และบาดเจ็บอีก 85 คน เพื่อปูทางไปสู่การสร้างความสมานฉันท์ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ สนับสนุนให้มีการสอบสวนด้วยความเป็นกลางเกี่ยวกับเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นจากกระทำของทุกฝ่าย อย่างไรก็ตาม นปช. กล่าวว่ากระบวนการสอบสวนนี้ไม่เป็นอิสระ และไม่เป็นกลางอย่างแท้จริง รวมทั้งยังขาดความร่วมมืออย่างเต็มที่จากกองทัพ จนถึงขณะนี้ การสอบสวน ทั้งในส่วนที่ดำเนินการโดยคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และโดยคณะกรรมาธิการอิสสระไต่สวนข้อเท็จจริงเพื่อความปรองดอง (คอป.) ที่รัฐบาลแต่งตั้งขึ้นเป็นพิเศษยังมีความคืบหน้าน้อยมาก การควบคุมตัวตาม พรก.ฉุกเฉินเมื่อวันที่ 7 เมษายน รัฐบาลประกาศพระราชกำหนดในการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินสำหรับกรุงเทพฯ และอีกหลายจังหวัด พระราชกำหนดฉบับนี้อนุญาตให้ ศอฉ. สามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยโดยไม่มีข้อกล่าวหาได้นาน 30 วันในสถานที่คุมขังที่ไม่เป็นทางการ และยังให้ความคุ้มครองแก่เจ้าหน้าที่ไม่ให้ถูกดำเนินคดีที่เกิดขึ้นจากการกระทำส่วนใหญ่ที่เป็นการบังคับใช้อำนาจในสถานการณ์ฉุกเฉินตามพระราชกำหนด ศอฉ. ทำการสอบสวน จับกุม และควบคุมตัวแกนนำ และสมาชิกของ นปช. ที่ร่วมในการประท้วง รวมทั้งผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนสนับสนุน นปช. นอกจากนี้ ศอฉ. ยังได้ออกหมายเรียกบุคคลอีกนับร้อยมาสอบสวน ซึ่งประกอบด้วยนักการเมือง อดีตเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักธุรกิจ นักกิจกรรม นักวิชาการ และผู้จัดรายการวิทยุ รวมทั้งยังอายัตบัญชีธนาคารของบุคคล และบริษัท ตลอดจนได้ควบคุมตัวบุคคลบางคนไว้ในเขตทหาร ศอฉ. ออกคำสั่งให้ผู้สื่อข่าวชาวต่างชาติ ผู้สื่อข่าวไทย และเจ้าหน้าที่ในหน่วยแพทย์อาสาไปรายงานตัวต่อกองบัญชาการของ ศอฉ. และแสดงหลักฐานยืนยันคำแถลงต่อสาธารณะของบุคคลเหล่านั้นที่ระบุว่า พวกตนห็นเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงละเมิดสิทธิมนุษยชน ขณะที่องค์การฮิวแมนไรท์วอท์ชเขียนรายงานสรุปสถานการณ์ประจำปีนี้ รัฐบาลยังไม่แสดงข้อมูลว่า บุคคลที่ถูก ศอฉ. ควบคุมตัวไว้ โดยไม่มีการตั้งข้อกล่าวหานั้น มีจำนวนทั้งสิ้นเท่าไร และบุคคลเหล่านั้นถูกควบคุมตัวอยู่ที่ไหน การปิดกั้นเสรีภาพของสื่อมวลชน และเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นศอฉ. อาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินปิดเว็บไซต์มากกว่า 1,000 แห่ง และปิดสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมหนึ่งสถานี รวมทั้งยังได้ปิดช่องโทรทัศน์ออนไลน์ สื่อสิ่งพิมพ์ และสถานีวิทยุชุมชนอีกมากกว่า 40 สถานี โดยสื่อมวลชนต่างๆ ที่ถูกปิดเกือบทั้งหมดนั้นถือได้ว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกับ นปช. นอกจากนี้ รัฐบาลยังอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ และข้อหาเรื่องการหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ มาเป็นเครื่องมือปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นทางอินเตอร์เน็ต และดำเนินคดีกับผู้ที่ต่อต้านรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เกี่ยวข้องกับ นปช. โดยกล่าวหาบุคคลเหล่านั้นว่าเป็นผู้ที่สร้างกระแสต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ และเป็นภัยคุกคามความมั่นคงของประเทศ จีรนุช เปรมชัยพร เว็บมาสเตอร์ของประชาไท ถูกจับเมื่อวันที่ 24 กันยายน ด้วยข้อหาการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ เนื่องจากมีการส่งข้อความจากผู้อ่านที่ถือได้ว่าเป็นการหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามายังกระดานสนทนาของเว็บไซต์ประชาไทเมื่อปี 2551 นโยบายการต่อต้านยาเสพติดที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนรัฐบาลสนับสนุนให้มีการรื้อพื้นการสอบสวนกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาว่าพัวพันกับการค้ายาเสพติดจำนวน 2,819 คนถูกสังหารนอกกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างที่มีการประกาศ "สงครามยาเสพติด" เมื่อปี 2546 อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความคืบหน้าน้อยมาก ทั้งในส่วนของการนำตัวผู้กระทำผิดมาสู่กระบวนการยุติธรรม และในส่วนของการยุติการกระทำทารุณอย่างเป็นระบบของตำรวจ และการใช้อำนาจโดยมิชอบในปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติด ในเดือนมิถุนายน 2553 ตำรวจจังหวัดราชบุรียิง และสังหาร มานิตย์ ตุ้มเมือง ผู้ต้องสงสัยในคดีค้ายาเสพติด ขณะที่เขาถูกใส่กุญแจมือ และอยู่ในการควบคุมตัวของตำรวจ ยังคงมีความห่วงใยต่อการนำผู้ใช้ยาเสพติดไปควบคุมตัวในศูนย์บังคับบำบัดการติดยาเสพติด ซึ่งส่วนใหญ่ดำเนินการโดยกองทัพ และกระทรวงมหาดไทย โดย "การบำบัด" ดังกล่าวนั้นอาศัยการออกกำลังกายตามแบบทหาร โดยมีการให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์น้อยมากในกรณีที่เกิดอาการลงแดง ความรุนแรง และการละเมิดสิทธิมนุษยชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้องค์การฮิวแมนไรท์วอท์ชแสดงความห่วงใยต่อข้อกล่าวหาว่า มีการปฏิบัติที่ไม่ชอบต่อผู้ต้องสงสัยว่าเป็นสมาชิกกลุ่มก่อความไม่สงบที่ถูกคุมขัง สืบเนื่องมากจากกรณีการเสียชีวิตของสุไลมาน นะแซ ในค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ชาวมุสลิม และกลุ่มสิทธิมนุษยชนต่างๆ ยังมีข้อร้องเรียนมากขึ้นเกี่ยวกับกรณีที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงใช้กำลังอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งรวมถึงการลอบสังหารครูสอนศาสนา และผู้นำชุมชนที่ถูกสงสัยว่ามีส่วนพัวพันกับการแบ่งแยกดินแดน โดยจนถึงขณะนี้ยังไม่ปรากฏว่า มีการดำเนินคดีอาญาที่บรรลุผลสำเร็จในกรณีเหล่านั้นแต่อย่างใด เมื่อวันที่ 1 กันยายน ตำรวจยกเลิกการตั้งข้อหาทางอาญาต่อสุทธิรักษ์ คงสุวรรณ สมาชิกกองกำลังติดอาวุธที่ได้รับการฝึกอบรมจากกองทัพบก ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้นำการบุกโจมตีผู้นับถือศาสนาอิสลามที่มัสยิดอัลฟาร์กอน เมื่อเดือนมิถุนายน2552 จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 10 คน และบาดเจ็บอีก 12 คน กลุ่มแบ่งแยกดินแดนยังคงโจมตี และสังหารพลเรือนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงครูโรงเรียนรัฐบาล รวมทั้งยังได้ข่มขู่คุกคามครู และผู้บริหารโรงเรียนรัฐบาล จนทำให้ต้องมีการปิดโรงเรียนเป็นการชั่วคราว เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงเข้ายึดครองโรงเรียนบ่อยครั้ง และได้เปลี่ยนโรงเรียนเป็นค่ายทหาร ซึ่งส่งผลกระทบที่บั่นทอนคุณภาพของการศึกษา ผู้ก่อความไม่สงบได้รับนักเรียนจากโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามเข้าร่วมขบวนการ และมีบทบาทต่างงๆ ในความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจากการใช้อาวุธต่อสู้กับรัฐบาล เช่น ให้ทำหน้าที่เป็นสายข่าว หรือวางเพลิงเผาสถานที่ต่างๆ ส่วนในอีกด้านหนึ่งนั้น เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงก็บุกเข้าไปในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม พร้อมกับควบคุมตัวครู และนักเรียนมาสอบปากคำหลายครั้ง ผู้ลี้ภัย ผู้แสวงความคุ้มครองในฐานะผู้ลี้ภัย และคนงานย้ายถิ่นรัฐบาล และเจ้าหน้าที่ของทางการไทยละเมิดหลักการระหว่างประเทศ โดยมีการส่งตัวผู้ลี้ภัย และผู้แสวงความคุ้มครองในฐานะผู้ลี้ภัยกลับไปยังประเทศที่บุคคลเหล่านั้นอาจจะถูกลงโทษ ถึงแม้จะมีการแสดงความไม่เห็นชอบจากประชาคมระหว่างประเทศ รวมทั้งการคัดค้านอย่างจริงจังโดยสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ และเลขาธิการสหประชาชาติ แต่เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2552 กองทัพบกก็ดำเนินปฏิบัติการบังคับส่งกลับชาวม้ง 4,689 คนไปยังประเทศลาว ซึ่งรวมถึงผู้ที่สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติระบุว่าเป็น "บุคคลที่พึงห่วงใย" จำนวน 158 คนด้วย ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน 2553 รัฐบาลไทยส่งตัวชาวพม่าหลายพันคนที่หลบหนีการสู้รบในบริเวณชายแดนกลับไปยังประเทศพม่า ก่อนที่สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติจะมีโอกาสประเมินว่า บุคคลเหล่านั้นประสงค์จะเดินทางกลับด้วยความสมัครใจหรือไม่ เมื่อเดือนตุลาคม ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจับกุมชาวทมิฬ 128 คน ในข้อหาลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย โดยในจำนวนนี้มีหลายคนที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองข่มขู่ว่าจะส่งตัวบุคคลกลุ่มนี้ว่ากลับไปยังประเทศศรีลังกา รัฐบาลไทยยังไม่ดำเนินการตามคำสัญญาที่ระบุว่าจะให้มีการดำเนินการสอบสวนที่เป็นอิสระเกี่ยวกับข้อกล่าวหาว่า เมื่อปี 2551 และ 2552 กองทัพเรือไทยได้ผลักดันเรือที่บรรทุกชาวโรฮิงญาจากประเทศพม่า และบังคลาเทศมาเต็มลำกลับออกไปยังน่านน้ำสากล ซึ่งส่งผลทำให้มีผู้เสียชีวิตนับร้อยคน จนถึงขณะนี้ ชาวโรฮิงญา 54 คน ซึ่งถูกควบคุมตัวอยู่ที่ศูนย์กักกันของตำรวจตรวจคนเข้าเมืองมาตั้งแต่เดือนมกราคม 2552 ยังไม่สามารถเข้าถึงกลไกตรวจสอบสถานะผู้ลี้ภัย หรือได้รับการดูแลรักษาพยาบาลตามความจำเป็นใดๆ อนึ่ง ชาวโรฮิงญากลุ่มนี้เสียชีวิตในระหว่างที่ถูกควบคุมตัวไปแล้วสองคนเมื่อปี 2552 คนงานย้ายถิ่นจากประเทศพม่า กัมพูชา และลาวยังคงถูกตำรวจ ข้าราชการ นายจ้าง และเหล่ามิจฉาชีพในท้องที่ต่างๆ ละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยแทบจะไม่ได้มีการลงโทษใดๆ ต่อผู้กระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนของคนงานย้ายถิ่นเหล่านั้น และยังมีการใช้กฎหมายแรงงานไทยเข้ามาดูแลคนงานย้ายถิ่นน้อยมาก การบังคับใช้โครงการขึ้นทะเบียนเพื่อ "การรับรองสัญชาติ" ที่ถูกกำหนดขึ้นอย่างไม่เหมาะสม ส่งผลทำให้คนงานย้ายถิ่นจำนวนนับแสนคนต้องสูญเสียสถานภาพตามกฎหมาย และทำให้บุคคลเหล่านั้นตกอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการถูกเอารัดเอาเปรียบมากยิ่งกว่าเดิม ซึ่งรวมถึงการที่ทำให้คนงานย้ายถิ่นหญิงต้องตกอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อความรุนแรงทางเพศ และการค้ามนุษย์มากยิ่งขึ้นด้วย ผู้ปกป้องสิทธิมนุษยชนรัฐบาลไทยมีความคืบหน้าน้อยมากในการสอบสวนอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับกรณีที่ผู้ปกป้องสิทธิมนุษยชน 20 คนถูกสังหารไปก่อนหน้านี้ ซึ่งรวมถึงกรณีของทนายความชาวมุสลิม สมชาย นีละไพจิตร ซึ่งถูกทำให้ "สูญหาย" ไปเมื่อปี 2547 และเชื่อได้ว่าเขาถูกสังหารไปแล้ว ตัวแสดงระหว่างประเทศสหประชาชาติ สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และสหภาพยุโรปแสดงความสนับสนุนอย่างแข็งขันให้เกิดความปรองดองทางการเมือง และการฟื้นฟูสิทธิมนุษยชน และระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทย ซึ่งรวมถึงการเรียกร้องให้รัฐบาล และ นปช. เจรจากัน และขอให้ละเว้นการใช้ความรุนแรง สหประชาชาติจัดให้มีการฝึกอบรม และให้ความช่วยเหลือทางเทคนิคแก่กระบวนการสืบสวนที่มีเป้าหมายในการนำตัวผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบต่อการสร้างความรุนแรงทางการเมือง และการละเมิดสิทธิมนุษยชนมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เมื่อเดือนตุลาคม นปช. ได้เสนอรายงานต่ออัยการศาลอาญาระหว่างประเทศ ผ่านสำนักงานกฎหมายระหว่างประเทศที่ทักษิณเป็นผู้ว่าจ้าง โดยร้องขอให้มีการสอบสวนเรื่องที่มีการกล่าวหาว่า รัฐบาล และเจ้าหน้าที่ของทางการไทยก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติในระหว่างที่มีการสลายการชุมนุมประท้วงของ นปช. ประเทศไทยให้คำมั่นสัญญาที่สำคัญเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนหลายประการในการรณรงค์เข้าร่วมเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ และยังได้สร้างความคาดหวังมากขึ้น เมื่อเอกอัครราชทูตไทยประจำสหประชาชาติ ณ กรุงเจนีวา สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ได้รับการคัดเลือกให้ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติเมื่อเดือนมิถุนายน แต่จนขณะนี้ ยังมีความคืบหน้าในการดำเนินการตามคำสัญญาเหล่านั้นน้อยมาก |
Getting it Right on Qaddafi http://www.humanrightsfirst.org/2011/02/23/getting-it-right-on-qaddafi/ 2-23-2011By Gabor Rona International Legal Director Libyan leader Muammar el-Qaddafi is committing atrocities against his people. His armed forces and police are reported to be systematically murdering peaceful protesters in a misguided attempt to quell public demonstrations for democratic reform. Justifiable outrage has taken many forms, not all of them entirely productive. UN Secretary General Ban Ki Moon, for example, said the following to reporters in Los Angeles: “I have seen very disturbing and shocking scenes, where Libyan authorities have been firing at demonstrators from warplanes and helicopters. This is unacceptable. This must stop immediately. This is a serious violation of international humanitarian law.” It is gratifying to see the Secretary General’s unequivocal condemnation. But there’s a problem. International humanitarian law is the law of armed conflict, otherwise known as the laws of war, detailed in the Geneva Conventions. For the moment, there is no war in Libya and so, international humanitarian law does not apply. Because the laws of war permit killing, the Secretary General unwittingly lowers the bar for use of official force even as he rightly condemns it. Whatever crimes are being committed by the Libyan regime, they are not war crimes. Human rights law would be the more appropriate benchmark. Others have cried genocide, perhaps on the false assumption that what begins as murder – even mass murder – becomes genocide when some magic number of deaths is recorded. In fact, genocide is the destruction of, or attempt to destroy, an identifiable national, ethnic, racial or religious group. While one murder, or even no murders, might still be genocide (for example, forced sterilization of members of the group) genocide is not, at least for now, what’s happening in Libya. The correct aspect of international law to invoke is “crimes against humanity,” defined as a widespread or systematic attack on a civilian population. The “crimes against humanity” label has been properly suggested by High Commissioner for Human Rights, Navi Pillay and otherUN human rights experts. The International Criminal Court in The Hague is empowered to prosecute war crimes, genocide and crimes against humanity. Perhaps a good case can be made for the Security Council to refer to the Court the question of Qaddafi’s criminal responsibility for crimes against humanity. But the inappropriate invocation of other international law frameworks such as humanitarian law (war crimes) and genocide merely confuses the issues, provides the perpetrators and their supporters with a convenient hook to deny the charges, and disserves the public interest in understanding applicable international law. By whatever name, official acts of mass murder appear to be taking place in Libya. They must be stopped and those responsible must be held accountable. But as long as we’re giving those acts a name, let’s use the correct one. |
Comments Off Thin Lei Win of Reuters has a recent article on the situation in the Deep South. Some key excerpts: Almost two people, most of them civilians, have died every day in Thailand’s Deep South since 2004 when a long-running separatist rebellion took a more violent turn.BP: BP is often surprised on how little coverage there is of the situation in the Deep South in the Thai media. The article also has an interesting anecdote: Most Muslims I met were weary and distrustful of anyone official and in a uniform. They complained of low-level harassment and how their identity as Malay Muslims is ignored in favour of being Thai.BP: Current efforts to win the hearts and minds doesn’t seem to be working. On the lack of success in winning hearts and minds – see this post from December 2007 which also talks about paramilitaries as well – because BP wonders what is the actual strategy and what goals have been set by the government and the military in the Deep South? http://asiancorrespondent.com/51646/thailands-forgotten-humanitarian-emergency/ |
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)