วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2559

จตุพรยื่นอัยการค้านคำร้องพุทธะอิสระกรณีถอนประกันตน จี้กลับเร่งสั่งฟ้องคดี กปปส.


เมื่อวันที่ 9 มี.ค.ที่ผ่านมา ที่สำนักงานคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชดาภิเษก นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. และ นางธิดา ถาวรเศรษฐ เดินทางมายื่นหนังสือถึง นายอิทธิพล เพิ่มศรี รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ เรื่อง คัดค้านคำร้องของพระพุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม ที่เคยมายื่นหนังสือให้อัยการยื่นคำร้องต่อศาลอาญาเพื่อถอนประกันตัวเองในคดีร่วมกับแกนนำชุมนุมก่อการร้าย และขอให้เร่งพิจารณาสั่งฟ้องคดี กปปส.
MGR Online รายงานด้วยว่า นายจตุพรกล่าวภายหลังยื่นหนังสือคัดค้านว่า เบื้องต้นนายอิทธิพล เพิ่มศรี รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษรับหนังสือแทน โดยจะเสนออธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ ท่านรองอธิบดีอัยการเพียงแต่รับฟัง ไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ ซึ่งตนได้อธิบายรายละเอียดในหนังสือคัดค้านทั้งหมด ตั้งแต่พฤติการณ์ของพระพุทธะอิสระ รวมทั้งข้อกล่าวหาทั้ง 9 คดี ที่พนักงานอัยการยังไม่สั่งฟ้องผู้ต้องหาที่เหลืออีก 54 คน โดยสั่งฟ้องต่อศาลแล้วเพียง 4 คนเท่านั้น ภายหลังดีเอสไอได้มีความเห็นสมควรฟ้องให้อัยการพิจารณาอีก 31 คน ซึ่งนายวิญญัติ ชาติมนตรีทนายความเคยมาสอบถามพนักงานอัยการว่าเหตุใดจึงยังไม่สั่งฟ้องแกนนำ กปปส. รวมทั้งพระพุทธะอิสระ
“พวกผมถูกจับกุมและคุมขังอยู่ในเรือนจำเป็นเวลานาน ผู้ต้องหาบางรายอยู่ในเรือนจำนาน 9 เดือนก็มี แต่กลุ่ม กปปส.ไม่เคยถูกควบคุมตัวแม้แต่วันเดียว เราต้องการความเสมอภาค ความเท่าเทียมและความยุติธรรมเท่านั้นเอง ส่วนการยื่นถอนประกันนั้นก็ได้ชี้แจงตามเอกสาร และเห็นว่าการที่ปล่อยให้พระพุทธะอิสระเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระโดยไม่มีการระงับยับยั้ง ต่อไปนี้พระพุทธะอิสระไปไหน ผมจะไปยื่นหนังสือที่นั่น ไม่อยากให้เกิดความรู้สึกว่าพระพุทธะอิสระทำอะไรก็ได้ ขณะที่คณะสงฆ์ พระเมธีธรรมาจารย์ ซึ่งเป็นพระราชาคณะ กลับไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างพระพุทธะอิสระ เพราะฉะนั้นการแถลงข่าวในวัดกับการบุกสถานทูตเปรียบเทียบกันไม่ได้ พระพุทธะอิสระจะเป็นพระอาจารย์ใครก็ตาม แต่ว่าถ้าใครคนนั้นมีหน้าที่ในการปกครองบริหารบ้านเมืองก็ควรจะแยกแยะและปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเสมอภาค ไม่ใช่พระพุทธะอิสระเจิมหน้าผากให้แล้วจะเคลื่อนไหวได้โดยไม่ระงับยับยั้ง” นายจตุพรกล่าว
รายละเอียดหนังสือ : 

คดีรายการตอบโจทย์-สมศักดิ์ รองผบ.ตร. ระบุโยนให้ป.ป.ช. พิจารณาก่อน


9 มี.ค.2559 สถานีวิทยุพิทักษ์สันติราษฎร์ สวพ. FM91 รายงานว่า ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) เปิดเผยภายหลังการประชุม คณะพนักงานสอบสวนคดีความผิดเกี่ยวกับการหมิ่นสถาบัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กรณีรายการตอบโจทย์ ทางสถานีโทรทัศน์ ไทยพีบีเอส หรือ องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย ออกอากาศเมื่อปี 2556 ว่า พนักงานสอบสวน มีความเห็นว่า เนื่องจากเป็นการกระทำความผิดกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายฉบับ จึงเห็นควรส่งเรื่องให้ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง คือ การทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานในองค์การของรัฐปฎิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 11 ก่อน
ทั้งนี้ หาก ปปช. มีความเห็นประการใด พนักงานสอบสวนจะรับมาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกรณีความผิดอาญา มาตรา 112 เบื้องต้นพบว่า มีความผิดชัดเจน ในส่วนของรายการตอนที่ 2 , 4 และ 5 ตามที่คณะกรรมการ กสทช. เคยตรวจสอบและมีข้อยุติ สั่งปรับเงิน ไทยพีบีเอส  ไปแล้วก่อนหน้านี้ คาดว่า จะสามารถส่งเรื่องให้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พิจารณาให้ความเห็นก่อนส่งให้ ปปช. ภายใน 15 วัน

สำหรับผู้ที่เข้าข่ายถูกดำเนินคดี พล.ต.อ.ศรีวราห์ ระบุว่า ประกอบด้วยนิติบุคคล 2 ราย และบุคคล 9 คน เช่น นายสมชัย สุวรรณบรรณ อดีตผู้บริหาร ไทยพีบีเอส นายภิญโญ ไตรสุริยธรรมมา ผู้ดำเนินรายการ นายสมศักดิ์ เจียมธีระสกุล นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ เป็นต้น

พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวว่า คณะพนักงานสอบสวน ยังมีความเห็นเกี่ยวกับคดีการชุมนุมกลุ่ม ของ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ เสธ.อ้าย กับพวก เมื่อปี 2555 ตามความเห็นของคณะพนักงานสอบสวนชุดเดิมที่มี พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร อดีต รอง ผบ.ตร. เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน ที่เห็นควรสั่งฟ้อง เสธ.อ้าย กับพวก ในหลายข้อหา อาทิ ข้อหาร่วมกันมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คน ขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฝ่าฝืนประกาศและข้อกำหนดห้ามบุคคลเข้าหรืออกพื้นที่ตาม พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 โดยจะนำเสนอ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พิจารณาให้ความเห็นต่อไป

สมชาย-จันจิรา-เบญจรัตน์: ป๋วยกับสังคมการเมืองไทยในวิกฤตเปลี่ยนผ่าน


9 มี.ค. 2559  ในงานรำลึก 100 ปีชาตกาล ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ณ หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ท่าพระจันทร์ มีการนำเสนอบทความ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ "ป๋วยกับสังคมไทยในวิกฤตเปลี่ยนผ่าน" ในประเด็น "ป๋วยกับสังคมการเมืองไทยในวิกฤตเปลี่ยนผ่าน" มีหัวข้อดังนี้
(1) “กรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญที่ชื่อ ‘ป๋วย’”
โดย สมชาย ปรีชาศิลปกุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ นิฐิณี ทองแท้ โปรแกรมวิชานิติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร
(2) “สันติวิธีของป๋วย อึ๊งภากรณ์: ยุทธวิธี เป้าหมาย และความหวัง”
โดย จันจิรา สมบัติพูนศิริ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ดูบทบาทป๋วย ในฐานะ กมธ.พิจารณาร่าง รธน. 

สมชาย ปรีชาศิลปกุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นำเสนอบทความ “กรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญที่ชื่อ ‘ป๋วย’” ซึ่งเขียนร่วมกับ นิฐิณี ทองแท้ โปรแกรมวิชานิติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร ว่า เวลาอ่านงานที่มีคนเขียนหรือวิพากษ์ถึง ป๋วย อึ๊งภากรณ์ จะพบว่ามีการทบทวนหรือพูดถึงในหลายเรื่อง ทั้งในฐานะนักสิทธิมนุษยชน นักสันติวิธี นักเศรษฐศาสตร์ เทคโนแครต แต่บทบาทที่ไม่ถูกพูดถึงคือ กรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ ปี 2517
คำถามคือ ทำไมจึงไม่มีใครศึกษา เพราะกระบวนการไม่สำคัญ หรือ อ.ป๋วยไม่ได้แสดงบทบาทใดๆ ในหน้าที่นี้เลย
งานนี้จะพิจารณาจากคำอภิปรายในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ก่อนลงมติในวาระที่ 3 (ส.ค.-ต.ค.2517)
แบ่งเป็นสามประเด็น
หนึ่ง ป๋วยกับรัฐธรรมนูญฉบับฟ้าสีทองผ่องอำไพ ความเกี่ยวข้องของป๋วยกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้
สอง บทบัญญัติในอุดมคติของป๋วย
สาม พรรคฝ่ายแพ้กับโศกนาฏกรรมของความรู้
หนึ่ง
หลังเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 มีการแต่งตั้งสภาสนามม้า 2,347 คน ซึ่งต่อมา คัดเลือก สนช. 299 คน
ป๋วยได้เป็น สนช. โดยมีคะแนนอันดับสองรองจาก ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กรณีนี้ถูกตีความว่าเขาได้รับความนิยมจากปัญญาชน ชนชั้นนำพอสมควร  
รัฐบาลสัญญา ธรรมศักดิ์ เสนอร่างต่อ สนช. สนช.ลงมติรับร่างพิจารณา ต่อมาตั้ง กมธ.วิสามัญ 35 คน ทำหน้าที่รับฟังความเห็น และปรับแก้ร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งมี ไพโรจน์ ชัยนาม เป็นประธาน โดย ป๋วย เป็นหนึ่งใน กมธ. ชุดนี้ด้วย
จากการอ่านคำอภิปรายพบว่า ป๋วยแสดงความเห็นและอภิปรายอย่างกว้างขวางใน 3 ประเด็นใหญ่ ได้แก่ หนึ่ง เสรีภาพในความคิดและมโนธรรม สอง อำนาจอธิปไตยและการมีส่วนร่วมของประชาชน สาม เยาวชนและคนรุ่นใหม่ในระบบการเลือกตั้ง
เนื่องจากเวลาจำกัด ในที่นี้จะพูดถึงประเด็นเรื่อง เสรีภาพในความคิดและมโนธรรม

ในร่างรัฐธรรมนูญ 2517 เขียนไว้ บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการนับถือศาสนา เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญหลายฉบับ 
แต่ป๋วยเสนอสิ่งที่มีนัยสำคัญมาก คือ ให้ใช้ถ้อยคำว่า เสรีภาพในความคิดและความเชื่อถือ โดยไม่ต้องเชื่อมโยงกับความเชื่อทางศาสนา
ข้อเสนอนี้ถูกอภิปรายอย่างกว้างขวาง มีผู้อภิปรายว่า ถ้าเขียนเช่นนี้ จะทำให้เกิดเสรีภาพซึ่งสุดขอบฟ้า บ้างว่าถ้าเปิดโอกาสให้เขียนเช่นนี้ จะทำให้แนวความทางการเมือง ซึ่งหมายถึงสังคมนิยม ได้รับการยอมรับ สมาชิกสภาบางคนบอกว่าจะทำให้บ้านเมืองเกิดความรุนแรงขึ้น
ข้อเสนอนี้ถอยห่างจากอุดมการณ์หรือความคิดทางศาสนา อย่างไรก็ตาม ไม่ได้รับความเห็นชอบจากสมาชิกในที่ประชุม  ต่อมา ป๋วยและสมาชิกบางคน เสนอให้ปรับแก้เป็นบุคคลย่อมมีเสรีภาพในมโนธรรมและการเชื่อถือในลัทธินิยมใดๆ แต่ก็ถูกโต้แย้งว่า อาจทำให้เด็กไทย หนุ่มไทย รับใช้ชาติไม่ได้ การเกณฑ์ทหารเป็นหมัน แต่ป๋วยแย้งว่า การทำประโยชน์ให้สังคมทำได้หลายแบบ ไม่จำเป็นต้องเป็นทหารแต่เพียงอย่างเดียว พร้อมชี้ว่าการจะพิจารณาว่าใครจะกระทำอะไรขึ้นกับเจ้าตัว และความจำเป็นของบ้านเมือง
ข้อเสนอของป๋วยเป็นข้อเสนอที่ก้าวหน้า แม้กระทั่งรัฐธรรมนูญในปัจจุบันก็ไม่เคยมีใครเสนอเรื่องเสรีภาพในมโนธรรมอีก
ข้อเสนอของป๋วย ทั้งเสรีภาพในความคิดและความเชื่อถือแทนการนับถือนิกายศาสนา เพิ่มเติมเสรีภาพในมโนธรรมและการเชื่อถือในลัทธินิยมใดๆ รวมถึงข้อเสนอให้การทำประชามติเป็นอำนาจของรัฐบาล  ให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้ง ให้เยาวชนมีส่วนร่วมในทางการเมืองมากขึ้นโดยเสนออายุขั้นต่ำ ที่ 18 ปี และ 20 ปี 
ทั้งสามประเด็นที่ลุกขึ้นอภิปราย แพ้หมด ทั้งที่ป๋วยได้รับความนิยมในลำดับสองรองจาก ม.ร.ว.คึกฤทธิ์
สาม
บทเรียนและประสบการณ์ของปัญญาชนสาธารณะในกระบวนการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ
สิ่งที่เห็นคือ ป๋วยให้ความสำคัญกับการขยายขอบเขตสิทธิเสีภาพของประชาชนด้านต่างๆ ปัจจุบัน ยังเถียงกันอยู่ เช่น ส.ว. มาจากการเลือกตั้ง หรือเรื่องเสรีภาพในมโนธรรม ที่ไม่เคยมีใครหยิบประเด็นนี้ขึ้นมา
ความไม่สำเร็จนี้ สะท้อนบทบาทอันจำกัดของการใช้ความรู้ในพื้นที่สภานิติบัญญัติ ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ไม่ได้สัมผัสกับประชาชน แม้จะถูกบอกว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับฟ้าสีทองฯ แต่คนร่างฯ ไม่ได้มาจากกระบวนการที่สัมพันธ์กับประชาชน
มีข้อสังเกตว่าช่วงแรก ป๋วย อภิปรายด้วยเหตุผล เขาไม่ใช่ดาวสภา ในประเด็นที่เห็นด้วย ก็บอกเพียงเห็นด้วยและไม่อภิปรายต่อ แต่ในประเด็นที่ไม่เห็นด้วย เขาจะลุกขึ้นอภิปราย ขณะที่ช่วงท้าย ท่าทีของป๋วยต่อการอภิปรายเปลี่ยนไป ถ้อยคำดุเดือดมากขึ้น เมื่อมีคนอภิปรายแย้งเรื่องการกำหนดอายุลงคนสมัครเลือกตั้ง โดยอ้างถึงพระพุทธเจ้าสมัยกึ่งพุทธกาล ป๋วยอภิปรายว่า ไม่น่าเชื่อว่าจะได้เห็นความเห็นที่เพ้อเจ้อและเลอะเทอะเยี่ยงนี้ในที่ประชุมแห่งนี้
นอกจากนี้ ป๋วยยังอภิปรายว่า จะไม่ขออธิบายเหตุผล ไม่ใช่เห็นว่าสภาฯ นี้ไม่ชอบฟังเหตุผล แต่คิดอีกทีก็ไม่แน่ เพราะที่แล้วมาจากรายงานประชุมสภาก็ดี การฟังอภิปรายก็ดี จะเห็นว่าเวลาลงมติ ฝ่ายชนะจะไม่อภิปรายใดๆ ปล่อยให้พวกเรา "พรรคฝ่ายแพ้" พูดไป นั่นคือ ป๋วยพบว่า ที่นี่ (สภา) อยากพูด พูดเลย แต่สภาแห่งนี้ไม่ใช่เรื่องของการใช้เหตุผล และเมื่อลงมติ ก็ไม่เปลี่ยนทิศทางได้เลย
"ผมคิดว่า การอภิปรายของอ.ป๋วยในช่วงท้ายน่าจะเป็นอนุสติให้กับปัญญาชนจำนวนมากที่คาดหวังว่าจะเข้าไปอยู่ใน สนช. กมธ. ร่างรัฐธรรมนูญ แล้วคิดว่าจะใช้ความรู้ร่างรัฐธรรมนูญที่ดีเลิศประเสริฐให้เกิดขึ้น ขนาด อ.ป๋วยซึ่งมีอนาบารมีมากกว่าเป็นจำนวนมาก ยังประสบความล้มเหลวอย่างมาก" สมชายกล่าว


สันติวิธีของป๋วย

จันจิรา สมบัติพูนศิริ จากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นำเสนอบทความเรื่อง “สันติวิธีของป๋วย อึ๊งภากรณ์: ยุทธวิธี เป้าหมาย และความหวัง” โดยกล่าวถึงประเด็นสันติวิธีที่เกี่ยวกับป๋วยว่า ป๋วยเป็นคนแรกๆ ที่ใช้คำว่าสันติวิธีในเมืองไทย หนังสือหรืองานเขียนที่พิมพ์ในปี 2516 จนถึงปี 2519 ทำให้เห็นความเฟื่องฟูของคำและปฏิบัติการสันติวิธี
งานนี้จะลองอ่านงานอาจารย์ป๋วยทั้งหมดแล้วลองนึกแทนอาจารย์ป๋วยว่าเขาจะตอบโจทย์ปัจจุบันอย่างไร สันติวิธีใช้เป็นเครื่องมือการต่อสู้เท่านั้นหรือ ถ้าไม่สำเร็จ เปลี่ยนไปใช้กำลังก็ได้หรืออย่างไร สันติวิธีใช้ไปเพื่ออะไร สุดท้ายมันคือการยกระดับไปสู่จุดที่ปกครองไม่ได้ และสรุปแล้วสันติวิธีคืออะไร
ประเด็นสำคัญ อาจารย์ป๋วยคิดถึงสันติวิธีในแง่ยุทธวิธีในฐานะเครื่องมือต่อต้านรัฐประหาร, สันติวิธีเป็นกลไกหนึ่งในโครงสร้างใหญ่ในสังคมไทยที่จะนำไปสู่เป้าหมายของอาจารย์ป๋วยคือ สันติประชาธรรม, คำว่าสันติประชาธรรมของป๋วย หลายคนบอกว่าเป็นไปไม่ได้ เป็นอุดมคติ ซึ่งจริงๆ แล้วอุดมคติสำคัญต่อสันติวิธีและการเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างไร
สันติวิธีในฐานะเครื่องมือการต่อสู้ อาจารย์ป๋วยเห็นว่าประชาชนสามารถใช้วิธีการที่ไม่รุนแรงเพื่อปกป้องการฉีกรัฐธรรมนูญได้ สามารถทำให้คนตื่นรู้จากภัยรัฐประหารได้ ช่วงนั้นมีประสบการณ์หลายประเทศที่ต่อต้านการรัฐประหารได้โดยสันติ ล่าสุดคือ เบอร์กินา ฟาโซ ประชาชนรวมตัวกันกดดันไม่ให้รัฐประหารประสบความสำเร็จและต้องคืนอำนาจสู่ประชาชน

เวลาพูดว่าจะใช้สันติวิธีต้องคิดถึงยุทธศาสตร์ระดับใหญ่ด้วยว่าต้องการอะไร และวิธีที่ใช้นำมาสู่ผลอะไรในระยะสั้น การต่อต้านรัฐประหารของอาจารย์ป๋วยแบ่งเป็นระยะสั้นและระยะยาว ในระยะสั้นเวลาเกิดการฉีกรัฐธรรมนูญตามอำเภอใจ ประชาชนต้องรวมตัวกันให้มากพอ ใช้สันติวิธีบอยคอต และระยะยาวต้องให้ความรู้กับประชาชนในเรื่องสิทธิเสรีภาพ
แม้สถานการณ์ความเป็นจริงเกิดขึ้นได้ยาก แต่อาจารย์ป๋วยบอกว่าต้องทำ การใช้สันติวิธีไม่ได้การันตีว่าจะประสบความสำเร็จ แต่ต้องพากเพียรทำต่อไปและการใช้สันติวิธีเป็นวิธีของคนกล้า คนต่อต้านอาจโดนลงโทษ แต่นั่นเป็นการบอกว่าเราไม่กลัวคุณ
อาจารย์ป๋วยคิดว่า สันติวิธีต้องนำไปสู่สังคมประชาธรรม คือ มีประชาธิปไตยและมีความเป็นธรรม เปิดโอกาสให้คนได้แสดงความเห็นต่าง คนรากหญ้าคนชั้นล่างของสังคมได้ลืมตาอ้าปาก โครงการของอาจารย์ป๋วยจึงใหญ่มาก และสันติวิธีเป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งเท่านั้น

ข้อเสนอของป๋วยจึงเป็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจกับทั้งฝ่ายรัฐบาลทหารและฝ่ายซ้าย เพราะฝ่ายซ้ายอยากได้ความเป็นธรรมแต่ก็ใช้ความรุนแรง แต่อาจารย์ป๋วยไม่เห็นด้วยเพราะความรุนแรงนำไปสู่ความรุนแรงเป็นวงจรเรื่อยไปจนไม่รู้ว่าเมื่อไรจะถึงสังคมประชาธิปไตย
สำหรับอาจารย์ป๋วย เป้าหมายสำคัญพอๆ กับวิธีการ ถ้าวิธีการเป็นประชาธิปไตยเป้าหมายก็จะเป็นประชาธิปไตย สันติวิธีเป็นเครื่องมือแต่เครื่องมือนี้ช่วยหล่อหลอมสังคมดีงามที่เราอยากได้
สุดท้าย เวลาป๋วยเสนอความคิดสันติประชาธรรม คนจำนวนหนึ่งที่ต่อสู้กับรัฐบาลทหารในเวลานั้นบอกว่า เท่ากับพาคนไปตายบ้าง เป็นอุดมคติกินไม่ได้บ้าง อาจารย์ป๋วยก็ตอบว่า อุดมคติไม่ได้มีไว้กิน แต่มีไว้ทำ แนวคิดเรื่องสันติวิธีของป๋วยไปไกลถึงขนาดบอกว่า สังคมไทยถ้าต้องการเปลี่ยนเป็นสันติประชาธรรมอย่างยั่งยืน ต้องเปลี่ยนระดับวัฒนธรรมสังคมการเมืองที่คิดว่าทุกคนเหมือนกัน ต้องเชื่อฟังอำนาจเดียวเหมือนๆ กัน
อาจารย์ป๋วยพูดถึงนักปรัชญาที่อภิปรายกันเรื่องอุดมการณ์หรืออุดมคติของชาติไทย ตัวเขาเองเชื่อว่าอุดมคติเป็นของส่วนตัว แต่มีผู้พยายามใช้ลัทธิเผด็จการไม่ว่าซ้ายหรือขวา ทำให้คนคิดและทำเหมือนกัน จึงเห็นอันตรายในการกำหนดให้ชาติไทยมีอุดมการณ์อย่างเดียวกันหมด เป็นการทำลายอุดมคติของปัจเจกชน เพราะอุดมคติเกิดจากสมองอันประเสริฐของมนุษย์ซึ่งมีความแตกต่าง เราต้องสนับสนุนให้มนุษย์แต่ละคนใช้ความคิดอย่างมีเสรีภาพโดยไม่ต้องกลัวการออกนอกลู่นอกแถว นั่นจึงเป็นการสนับสนุนให้อุดมคติกำเนิดได้
การขาดไร้อุดมคติจะทำให้ไม่อยากใช้สันติวิธี ซึ่งโดยตัวมันเองต้องอาศัยการจินตนาการถึงอนาคต เราต้องเห็นว่ามันเป็นไปได้ และเชื่อว่ามันจะผลักดันให้หลุดออกจากสภาพความเป็นจริงที่เป็นอยู่ได้


สำรวจสิทธิมนุษยชนผ่านการ(ไม่)หาความจริงและการ(ไม่)รับผิด กรณี 14 ต.ค16-พ.ค.53

เบญจรัตน์ แซ่ฉั่ว นำเสนอบทความเรื่อง “มองสิทธิมนุษยชนไทยผ่านการ(ไม่)หาความจริงและการ(ไม่)รับผิด: กรณีความรุนแรงโดยรัฐที่กระทำต่อขบวนการประชาธิปไตย” โดยหยิบยกผลงานที่โดดเด่นของ อ.ป๋วยในการพยายามจะพูดความจริงเกี่ยวกับกรณีความรุนแรงในเหตุการณ์ 6 ต.ค. 2519 เพื่อให้มีการรับผิดของผู้ที่กระทำความรุนแรงต่อผู้ชุมนุม
เมื่อย้อนกลับไปตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ต.ค. 2516 มีการกระทำความรุนแรงต่อผู้เรียกร้องประชาธิปไตยหลายครั้ง แต่ไม่เคยมีผู้ที่ต้องรับผิด จึงโยงประเด็นเรื่องเสรีภาพในการค้นหาความจริง เรื่องความรุนแรงและการไม่ต้องรับผิดกรณีละเมิดสิทธิมนุษยชนเข้าด้วยกัน
ในงานศึกษาชิ้นนี้มองย้อนสิทธิมนุษยชนไทย จากกรณีที่รัฐกระทำต่อประชาชนผู้เรียกร้องประชาธิปไตยครั้งสำคัญๆ ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ต.ค. 2516, 6 ต.ค. 2519, พฤษภาทมิฬ 2535 และการปราบปรามผู้ชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงในเหตุการณ์ เม.ย.-พ.ค. 2553
เมื่อย้อนดูประวัติศาสตร์ของเหตุการณ์เหล่านี้จะพบว่า มีภาวะความไม่คืบหน้าหรือการย่ำอยู่กับที่ของการค้นหาความจริงและการสร้างกระบวนการรับผิดและการลอยนวล ซึ่งมีนัยสำคัญอย่างต่อการสร้างวัฒนธรรมสิทธิมนุษยชนในสังคมไทย
ในงานศึกษานี้พยายามจับคู่สี่เหตุการณ์โดยไม่ได้เรียงตามลำดับเวลา แต่เรียงตามสถานะของเหตุการณ์และสถานะของผู้ชุมนุมในประวัติศาสตร์การเมืองไทยฉบับที่ค่อนข้างเป็นทางการ คือ จับคู่กรณี 14 ต.ค. 2516 กับ พฤษภาทมิฬ 2535 ไว้ด้วยกัน เพราะผู้ชุมนุมที่ออกมาเรียกร้องค่อนข้างได้รับการยอมรับว่ามีความชอบธรรมและเป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ขณะที่กรณี 6 ต.ค. 2519 กับการชุมนุมของ นปช.หรือคนเสื้อแดง ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์ที่ยังค้างคา เพราะตัวผู้ชุมนุมถูกรัฐและสังคมมองว่าเป็นคอมมิวนิสต์ในกรณี 6 ต.ค. และผู้ก่อการร้าย ในกรณีคนเสื้อแดง
แต่สถานะของเหตุการณ์เหล่านี้ในความรับรู้ทาง ประวัติศาสตร์การเมืองแบบเป็นทางการ มีนัยต่อการจัดการความจริงในเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่แทบไม่ส่งผลใดๆ เลยในแง่การเอาผิดกับผู้ละเมิด 
กรณี 14 ต.ค. 2516  เป็นกรณีที่น่าสนใจมาก หลังเหตุการณ์ไม่ถึง 1 เดือน รัฐบาลแถลงผลสอบสวนของกระทรวงกลาโหม โดยมีการสอบสวนบุคคลระดับผู้บังคับบัญชาอย่าง จอมพลถนอม กิตติขจร จอมพลประภาส จารุเสถียร และพันเอกณรงค์ กิตติขจร มีการแถลงว่า บุคคลทั้งสามปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ข้อบังคับระเบียบแบบแผนของทางราชการ และแฝงด้วยโทสะจริตที่มุ่งทำลายล้างนิสิต นักศึกษา และประชาชน นั่นคือมีการยอมรับว่าผู้บังคับบัญชากระทำผิด มีความมุ่งหมายที่จะทำร้ายประชาชน แต่ถ้าอ่านทั้งฉบับจะพบว่า นัยที่ซ่อนอยู่คือ แถลงการณ์ไม่ได้บอกว่าการปราบปรามประชาชนนั้นเป็นความผิดในตัวของมันเอง รัฐบาลไม่ได้ปฏิเสธหากจะมีการปราบปราม "การซ่องสุมกำลังเพื่อล้มล้างรัฐบาล" แต่รัฐบาลอธิบายว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในวันที่ 14 ต.ค. เป็นแค่เรื่องความผิดส่วนบุคคล คือบอกว่า จอมพลถนอมและจอมพลประภาสตัดสินใจผิด เนื่องจากได้รับข้อมูลที่ผิดพลาดจากพันเอกณรงค์ ซึ่งไปได้ข้อมูลบิดเบือนมาว่า นักศึกษาเป็นผู้ก่อการจลาจล ความผิดของทั้งสามอีกประการ คือบอกว่า ผิดเพราะไม่ปฏิบัติตามกระแสรับสั่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงขอร้องไม่ให้รัฐบาลใช้อาวุธปราบปรามประชาชน ในมุมมองเช่นนี้ การกระทำความผิดดังกล่าวจึงเป็นความผิดต่อผู้บังคับบัญชาและผู้มีอำนาจเหนือ คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ไม่ใช่ความผิดต่อพลเมืองที่รัฐมีพันธกรณีที่จะต้องให้การคุ้มครองและปกป้องสิทธิ 
ในแง่การเอาผิด รัฐบาลยอมรับว่ามีความผิดพลาดเกิดขึ้น แต่รัฐบาลดูจะพอใจการที่พันเอกณรงค์ที่สำนึกถึงความผิดพลาดและเดินทางออกนอกประเทศ และไม่สนใจจะสืบสาวหาความต่อไปว่าเกิดอะไรขึ้น ความที่ไม่สนใจดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดปรากฏชัดในพ.ร.บ.นิรโทษกรรมกับนิสิต นักศึกษา ประชาชนที่เกี่ยวข้องกับการเดินขบวน ใน พ.ร.บ.ดังกล่าว ลดทอนความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับประชาชนเป็นเพียง "ความไม่เข้าใจซึ่งกันและกันระหว่าง นักเรียน นิสิต นักศึกษา ประชาชน กับเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล" ไม่ใช่ความรุนแรงที่กระทำต่อนักศึกษา นอกจากนี้ พ.ร.บ.ดังกล่าวให้เหตุผลในการนิรโทษกรรมด้วยว่า เจ้าหน้าที่รัฐระดับปฏิบัติการ เมื่อได้กระทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาย่อมได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายอยู่แล้ว
สรุปว่า กรณี 14 ต.ค. มีผู้เสียชีวิต 60 กว่าคน ได้รับการยกย่องเป็นวีรชน ได้รับพระราชทางเพลิงศพที่สนามหลวง แต่ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ เพื่อให้มีการรับผิด นอกจากการเยียวยา ให้เงินชดเชยช่วยเหลือ
กรณี 14 ต.ค. ไม่ต่างจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬนัก พฤษภาทมิฬ ค่อนข้างมีสถานะในประวัติศาสตร์การเมืองไทยว่าเป็นต่อสู้ที่ชอบธรรม เพื่อประชาธิปไตย มีการเรียกว่าเป็นวันพฤษภาประชาธรรม มีมติ ครม.ว่าต้องจัดงานรำลึก เพื่อเชิดชูเกียรติวีรชนทุกปี แต่ก็ไม่มีความคืบหน้าในแง่การเอาผิด มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นหลายชุดเพื่อหาความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นในวันที่ 17-20 พ.ค. แต่ข้อค้นพบของคณะกรรมการเหล่านั้นก็มีนัยสำคัญต่อการรับผิดและการลอยนวลเช่นกัน
ในคณะกรรมการชุดแรกๆ ที่ตั้งขึ้นเมื่อปี 2535 คณะกรรมการ สรุปว่า เนื่องจากตำรวจไม่มีความพร้อมในการจัดการผู้ชุมนุม จึงจำเป็นต้องใช้ทหาร แต่มีความผิดพลาดตรงที่ทหารที่ใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุม เป็นการใช้กำลังเข้าปราบปรามอย่างรุนแรงเกินควร แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม คณะกรรมการดังกล่าวก็พูดถึงการที่เจ้าหน้าที่รัฐต้องรับผิดเลย มีแต่ข้อเสนอไปข้างหน้าว่า ต้องปรับปรุง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน อบรมเจ้าหน้าที่ตำรวจในการจัดการรับมือกับผู้ชุมนุม
ในทำนองเดียวกัน พล.อ.สุจินดา ออก พ.ร.ก.นิรโทษกรรม แก่ผู้กระทำผิดที่เกี่ยวเนื่องในการชุมนุม ในเวลาสองวันหลังเหตุการณ์ สุดท้าย พ.ร.ก.ดังกล่าวตกไปเพราะกระบวนการออกไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ ที่น่าสนใจ คือ หลังยกเลิก พ.ร.ก. แต่คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่า กิจการที่เป็นไประหว่างใช้ พ.ร.ก. ซึ่งในกรณีนี้คือการยกโทษให้คนผิดและการไม่ต้องรับผิดของเจ้าหน้าที่ทหารที่ปราบปราม ไม่ได้รับผลกระทบจากการตกไปของพระราชกำหนด นั่นหมายความว่าแม้ พ.ร.ก.นี้จะถูกยกเลิกเพราะออกมาโดยมิชอบ แต่ผลที่ทำให้เกิดขึ้นระหว่างมี พ.ร.ก.ยังคงอยู่ เจ้าหน้าที่รัฐที่เป็นผู้กระทำความรุนแรง จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 44 คน สูญหาย 48 คน บาดเจ็บเกือบ 500 คน ทุพพลภาพ 700 กว่าคน ซึ่งนี่คือตัวเลขทางการของรัฐ จำนวนจริงไม่รู้ว่ามากกว่านี้เท่าใด เจ้าหน้าที่เหล่านั้นได้รับการนิรโทษโดยไม่ต้องรับผิด
ขณะที่ รายงานการสืบสวนของกระทรวงกลาโหมที่เผยแพร่ออกมาในปี 2543 ก็ไม่ได้มีประโยชน์เช่นกัน มีการขีดฆ่าชื่อผู้ที่เกี่ยวข้องออกไปหมด
กล่าวโดยสรุป ในกรณีที่มีการใช้กำลังปราบปรามผู้ชุมนุมประท้วง ที่รัฐยอมรับว่ามีการกระทำผิดขึ้น รัฐมีการสอบสวนระดับหนึ่ง แต่ไม่มีความพยายามใดๆ ในการนำผู้กระทำผิดมารับผิดชอบ และมีการนิรโทษกรรม
กรณี 6 ต.ค. ต่างจากกรณี 14 ต.ค. อย่างมีนัยสำคัญ เพราะนอกจากมีเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ แล้วยังมีพลเรือนฝ่ายขวาที่ใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม  และ 6 ต.ค. ก็ไม่ได้มีสถานะทางประวัติศาสตร์การเมืองไทยแบบฉบับทางการว่าเป็นการเรียกร้องประชาธิปไตย และแทบจะไม่มีกระบวนการของรัฐเลยในการค้นหาความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นกับนักศึกษา เจ้าหน้าที่รัฐที่ใช้ความรุนแรงได้รับนิรโทษกรรม โดย พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งออกมาเกือบจะในทันทีหลังวันที่ 6 ต.ค.
บทบัญญัติของ พ.ร.บ.กว้างขวางมาก นิรโทษกรรมให้กับกรณีความรุนแรงต่างๆ คือนอกจากนิรโทษกรรมให้คนที่ยึดอำนาจในวันนั้น ยังนิรโทษกรรมให้การใช้ความรุนแรงต่อนักศึกษาด้วย ด้วยข้ออ้างว่า ใครก็ตามที่ทำเพื่อให้เกิดความมั่นคงของราชอาณาจักร ของราชบัลลังก์ และเพื่อความสงบสุขของประชาชน ไม่ว่าในฐานะใด ไม่ว่าจะทำในวันนั้นหรือก่อนหน้านั้น ก็ได้รับนิรโทษกรรม
นอกจากนี้ ต่อมามีการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมให้กับผู้กระทำผิดที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุม คือดูราวกับว่า นิรโทษกรรมให้นักศึกษาที่ออกมาชุมนุม แต่สิ่งที่ปรากฏกลับกลายเป็นว่านิรโทษกรรมให้กับพลเรือนที่กระทำความรุนแรงต่อนักศึกษา และอธิบายเหตุการณ์ 6 ต.ค. ว่าเกิดจาก "ความไม่เข้าใจในสถานการณ์ที่แท้จริงเพราะเหตุแห่งความเยาว์วัยและการขาดประสบการณ์ของผู้กระทำความผิด" ทำให้ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับนักศึกษาเมื่อ 6 ต.ค.เป็นแค่ปัญหาของคนหนุ่มคนสาวที่ไม่เข้าใจโลก และคนที่ได้รับนิรโทษกรรม คือนักศึกษาที่ชุมนุมก็ไม่มีสิทธิฟ้องร้องเรียกสิทธิใดๆ จากความรุนแรงที่เกิดขึ้น
บุคคลที่เสียชีวิต 46 คนในเช้าวันนั้น บาดเจ็บร้อยกว่าคน สูญหายไม่รู้เท่าไร ไม่มีผู้ต้องรับผิดชอบจากการกระทำเหล่านี้
เหตุการณ์ เม.ย.-พ.ค. 2553 เทียบกับสามเหตุการณ์ก่อนหน้านี้แล้ว อาจจะดีกว่าตรงที่ยังไม่มี พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เพราะถูกต่อต้านจนตกไป
มีการตั้งคณะกรรมการหลายชุด เพื่อหาความจริง มีการตั้งคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.)  แต่ คอป. ออกตัวอยู่ตลอดว่า ค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองไม่ใช่เพื่อตรวจสอบการละเมิด รายงานของ คอป.ยอมรับว่ามีผู้เสียชีวิต มีข้อเสนอเรื่องการชดเชยผู้ตกเป็นเหยื่อ แต่ไม่มีเรื่องการดำเนินคดีกับผู้ละเมิดเลย เพราะ คอป.บอกเสมอว่าให้คุณค่าแก่เรื่องการฟื้นฟูเหยื่อมากกว่าการให้คุณค่าเรื่องลงโทษผู้กระทำผิด และเน้นเรื่องอยากให้ผู้กระทำผิดออกมาแสดงความรับผิด มากกว่าลงโทษพวกเขา
นอกจากนี้ รายงานของ คอป. ยังถูกวิจารณ์ว่าให้น้ำหนักกับชายชุดดำ มากกว่าปฏิบัติการทางทหาร ทั้งที่มีข้อมูลชัดเจนว่าใช้กระสุนจริงไปเท่าไร
ในแง่การดำเนินคดี แม้จะดูว่ามีความคืบหน้า เพราะ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมตกไป มีการฟ้องร้อง โดยดีเอสไอฟ้องอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ สุเทพ เทือกสุบรรณในข้อหาพยายามฆ่า แต่ศาลอาญายกฟ้องเพราะเป็นความผิดหน้าที่ต่อราชการ ให้ไปฟ้องที่ศาลฎีกาแผนกคดีนักการเมือง พอฟ้องที่ ป.ป.ช. ป.ป.ช.มีคำสั่งว่า เขาปฏิบัติหน้าที่ถูกต้องแล้ว เพราะการชุมนุมนั้นไม่ใช่การชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญ จำเป็นต้องดำเนินการตามมาตรการปราบปราม ถ้ามีความผิดอยู่บ้าง เป็นแค่ความผิดเฉพาะตัวของเจ้าหน้าที่ทหารแต่ละคนที่ใช้อาวุธปืนโดยไม่ควรแก่เหตุ ไม่ใช่ความผิดระดับผู้บังคับบัญชา
คำตัดสินของ ป.ป.ช. ไม่ต่างกันนักจากความเห็นของคณะกรรมการในกรณี 14 ต.ค. และพฤษภาทมิฬ ที่ลดทอนการกระทำความรุนแรงของรัฐเป็นความผิดส่วนบุคคลของเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการ และมีนัยเรื่องการอนุญาตให้ใช้ความรุนแรงปราบปรามได้ หากผู้ชุมนุมไม่ได้ชุมนุมโดยสงบ โดยไม่ได้ตั้งคำถามถึงสัดส่วนที่เหมาะสมของความรุนแรงที่ใช้โดยเจ้าหน้าที่รัฐเลย
กรณีนี้ผู้เสียชีวิต 90 กว่าคน บาดเจ็บ 1,600 กว่าคน ทุพพลภาพ 4 คน (ตัวเลขของ คอป.) ยังไม่มีผู้ใดต้องรับผิดชอบ
จากการศึกษาการดำเนินการค้นหาความจริงและการพยายามเอาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ จะเห็นว่า เราแทบไม่มีการค้นหาความจริงเลย และไม่พุ่งเป้าไปที่การค้นหาตัวผู้กระทำผิด ซึ่งหากไม่มีการดำเนินเช่นนี้แล้ว เราคงไม่สามารถสร้างวัฒนธรรมสิทธิมนุษยชนให้หยั่งรากในสังคมไทย เพราะจะกลายเป็นวัฒนธรรมลอยนวล และนี่คือการตอกย้ำกับประชาชนซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า รัฐสามารถละเมิดสิทธิประชาชนได้ตามอำเภอใจโดยไม่ต้องรับผิดชอบ และเป็นการนิยามความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับพลเมืองผู้ไร้สิทธิ
ที่น่าสนใจอีกอัน คือ สะท้อนท่าทีของประชาสังคมไทยต่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย การที่เสียงเรียกร้องของประชาชนให้มีการหาความจริงและการรับผิด ยังจำกัดอยู่ในกลุ่มเล็กๆ ชี้ให้เห็นว่า วัฒนธรรมสิทธิมนุษยชนของไทยยังไม่หยั่งรากพอที่จะออกมายืนยันสิทธิแทนผู้อื่น พลเมืองที่เรียกร้องประชาธิปไตยมักถูกเรียกว่าเป็นปฏิปักษ์กับความมั่นคงของชาติ และเราจะได้เห็นกรณีที่สังคมส่วนหนึ่งให้การตอบรับหรือเป็นผู้สนับสนุน ในกรณี 6 ต.ค.และพ.ค. 53
การค้นหาและการเปิดเผยการละเมิดสิทธิมนุษยชน อาจจะยังไม่ถึงกับทำให้เกิดการนำตัวผู้กระทำผิดมารับผิดชอบได้ แต่อย่างน้อยก็เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างมาตรฐานวัฒนธรรมสิทธิมนุษยชนในสังคมไทย ซึ่ง อ.ป๋วยได้เขียนบทความไว้ในกรณี 14 ต.ค. ว่า จะทำอย่างไรไม่ให้เป็นการ "เสียชีพ" แล้ว "เสียสิ้น"

ปาฐกถาทักษิณ ชินวัตร: สภาวะปกติใหม่ของโลกศตวรรษที่ 21 ไทยจะอยู่รอดอย่างไร

แฟ้มภาพทักษิณ ชินวัตร สมัยที่เป็นนายกรัฐมนตรี ระหว่างเยือนสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนกันยายนปี 2548 (ทีมา: วิกิพีเดีย)

ปาฐกถา ทักษิณ ชินวัตร ระบุศตวรรษที่ 21 ไม่มีสังคมใดก้าวหน้าและกินดีอยู่ดีหากปราศจากเสถียรภาพการเมือง-ศักยภาพเศรษฐกิจ การผลิตในโลกเปลี่ยนจาก "ประเทศเดียว" สู่ "เครือข่าย" กลับตาลปัตรโครงสร้างเดิม ชี้ยุทธศาสตร์จีน-สหรัฐไม่ใช่สัมพันธ์เชิงปฏิปักษ์ แต่จะสร้างผลประโยชน์ร่วมแก่เอเชีย-ตะวันตก พร้อมตั้งคำถามถึง รธน.ใหม่ ว่าจะส่งเสริมให้ประเทศสามารถเติบโตและแข็งแกร่งได้มากยิ่งขึ้นในภาวะโลกปัจจุบันหรือไม่
10 มี.ค. 2559 ในเฟซบุ๊คเพจพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายของทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เผยแพร่ ปาฐกถาจากงาน “สนทนาเป็นการส่วน ตัวกับทักษิณ ชินวัตร” (Thaksin Shinawatra in Private Discussion) ที่สถาบันนโยบายโลก (World Policy Institute) นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เมื่อ 9 มี.ค. ที่ผ่านมา มีรายละเอียดดังนี้

ท่านผู้ทรงเกียรติ แขกผู้มีเกียรติ ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ
ผมต้องขอขอบคุณสถาบันนโยบายโลก (World Policy Institute) ที่ให้โอกาสผมได้มาร่วมบอกเล่าหลักคิดของผม และแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเรื่องความท้าทายต่างๆ ซึ่งเกิดมาจากคําถามที่ว่า ประเทศไทยจะเดินหน้าและผ่านพ้น ช่วงแห่งความเปลี่ยนแปลงและระยะเปลี่ยนผ่านได้อย่างไร โดยเฉพาะในแง่มุมที่เชื่อมโยงกับด้านเศรษฐกิจ ภูมิภาค และโลกในบริบทปัจจุบัน
พวกเราทุกคนคงทราบกันดีว่า ไม่มีสังคมใดในศตวรรษที่ 21 ที่จะสร้างความก้าวหน้าและความกินดีอยู่ดีให้แก่ ประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง หากสังคมคมนั้นขาดซึ่งหลักพื้นฐาน 2 ประการ
ประการที่หนึ่ง ได้แก่ ความมีเสถียรภาพทางการเมือง ประการที่สอง ได้แก่ ศักยภาพในการสร้างกิจกรรมทาง เศรษฐกิจ ซึ่งนําไปสู่การเจริญเติบโตของประเทศ และความพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงความสร้างสรรค์ให้กลายเป็น ความมั่งคั่งที่ต่อเนื่อง
ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ
ผมขออนุญาตเล่าถึง “เรื่องของสองนคร” ที่ไม่ได้ถูกเขียนขึ้นโดยชาร์ลส์ ดิกคินส์ เรื่องเล่านี้เกี่ยวกับการพัฒนาคู่ ขนานของกรุงวอชิงตัน ดีซี และปักกิ่ง ซึ่งแต่ละนครมีประวัติศาสตร์ ความทุกข์ และความชิงชังของตนเอง เมื่อ ระยะเวลาผ่านไปนานปี ทั้งสองนครถูกมองว่าเป็นคู่ปรับที่แข่งขันกันนําเสนอโมเดลการพัฒนาทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง
โมเดลที่หนึ่ง ได้แก่ ระบบทุนนิยมตลาดเสรีซึ่งมีระบอบ “ประชาธิปไตยแบบเปิด” เป็นรากฐานของการพัฒนา เศรษฐกิจ อีกโมเดลหนึ่ง ได้แก่ ระบบทุนนิยมซึ่งนําโดยรัฐ (รูปแบบของสาธารณรัฐประชาชนจีน) ที่กํากับด้วย อํานาจศูนย์กลางจากพรรคเดียว
ทั้งสองโมเดลได้รับการพิสูจน์ว่าสามารถนําไปปรับใช้จนประสบความสําเร็จจากอดีตจนถึงปัจจุบัน โดยโมเดลของ สาธารณรัฐประชาชนจีน เหมาะสมกับความเปลี่ยนแปลงทางด้านทัศนคติของคณะผู้นําในประเทศ ณ เวลาขณะ นั้น ทั้งนี้ ความเปลี่ยนแปลงทางด้านทัศนคติดังกล่าว เกิดขึ้นพร้อมๆ กับความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจในโลก ตะวันตก ที่ “การค้าเสรี” ได้สร้างประโยชน์แก่สาธารณรัฐประชาชนจีนที่กําลังปรับตัว จากระบบตลาดปิด สู่ระบบ ตลาดเปิดครึ่งใบ
อย่างไรก็ตาม เราคงต้องยอมรับว่าทั้งสองโมเดลจะต้องถูกปรับให้เหมาะสมกับสภาพความเป็นจริงใหม่ ซึ่งเกิดขึ้น จากความเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วทางด้านเทคโนโลยีการผลิตแบบอุตสาหกรรม จากรูปแบบ “การผลิตสินค้าในประเทศเดียว” สู่ “ระบบเครือข่ายการออกแบบ การสรรหาปัจจัยการผลิต และการผลิตที่มีลักษณะข้ามชาติ เพื่อที่จะนําสินค้าชิ้นหนึ่งๆ ออกสู่ตลาด” ความเปลี่ยนแปลงนี้ ได้กลับตาลปัตรโครงสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ ภายในประเทศต่างๆ และส่งผลให้การปรับตัวทางเศรษฐกิจไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนในอดีต
พวกเรายังต้องทราบอีกว่าความก้าวหน้าของเทคนิคและเทคโนโลยีการบริหารความมั่งคั่งได้กลับตาลปัตรความ สัมพันธ์ระหว่างทุนและวิธีการผลิต ทั้งนี้ พวกเราทั้งหลายคงต่างเห็นพ้องกันว่า “สภาวะปกติใหม่ของโลกปัจจุบัน” (New Normal) จะเป็นภัยคุกคามต่อความอยู่รอดหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าคุณพร้อมและมีศักยภาพที่จะ เปลี่ยนแปลงหรือไม่
ประเทศไทยก็ต้องเผชิญชะตากรรมเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับสภาวะปกติ ใหม่ในเวทีโลก
ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ
อีกเรื่องราวหนึ่งซึ่งเป็นที่กล่าวขานถึง คือ เรื่องเล่าเกี่ยวกับครูสอนภาษาอังกฤษในสาธารณรัฐประชาชนจีนผู้เคย ยากจน แต่ปัจจุบันติดอันดับผู้ร่ำรวยที่สุดของโลก ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้สร้างโรงงานหรือลงทุนในปัจจัยการผลิตใด แต่ ผู้คนทั่วไปกลับยินดีจ่ายเพื่อใช้บริการของเขา เพื่อเข้าถึงโครงข่ายอุปทานและอุปสงค์ขนาดใหญ่ ผมเชื่อว่าชาวจีน คนนี้คงต้องรู้สึกขอบคุณระบบอินเทอร์เน็ตเป็นแน่
ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ
ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว รูปแบบทางการค้าได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสําคัญ คุณูปการจาก การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของประชากรที่เพิ่มสูงขึ้น ได้ ส่งผลให้อีคอมเมิร์ซกลายเป็นกลจักรใหม่ที่คอยส่งเสริมให้เกิดความเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่บ้างทั้งในประเทศพัฒนา แล้วและประเทศกําลังพัฒนา
จากรายงานของการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) เมื่อปีที่ผ่านมา พบว่าการค้าอีคอมเมิร์ซประเภทธุรกิจกับธุรกิจ (B2B) ของโลกในปี พ.ศ. 2556 มีมูลค่ามากกว่า 15 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่อีคอมเมิร์ซประเภทธุรกิจกับผู้บริโภคของโลกยังคงอยู่ที่ระดับราว 1.2 ล้านล้าน ดอลลาร์สหรัฐ รูปแบบการค้าดังกล่าวกลับมีอัตราการขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียและโอเชีย เนีย ซึ่งมีการประมาณการว่าอีคอมเมิร์ซประเภทธุรกิจกับผู้บริโภคจะขยายตัวจากระดับร้อยละ 20 สู่ระดับร้อยละ 37 ระหว่างปี พ.ศ. 2556 ถึง 2561 นอกจากนี้ การค้าอีคอมเมิร์ซข้ามแดนที่ค่อยๆ ขยายตัวขึ้น ยังส่งผลให้ปริมาณ การขนส่งพัสดุภัณฑ์ขนาดเล็กระหว่างประเทศของโลกเพิ่มมากขึ้นถึงร้อยละ 48 ระหว่างปี พ.ศ. 2554 ถึง 2557
สําหรับภูมิภาคเอเชียและโลกตะวันตก ผมเชื่อว่าข้อมูลความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจดังกล่าวคือเค้าลางของ โอกาสการสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจใหม่ ที่ “การเข้าถึงเครือข่าย” (Access to Network) คือหัวใจของ ความสําเร็จ โดยในที่นี้ หมายถึงเครือข่ายผู้บริโภคและปัจจัยการผลิตที่มีลักษณะข้ามชาติ แตกต่างออกไปจากรูปแบบเศรษฐกิจในศตวรรษที่ 20 ซึ่ง “การเข้าถึงศูนย์กลาง” (Access to Center) คือเงื่อนไขของความสําเร็จ
ในปัจจุบัน นักธุรกิจผู้ไม่ได้เป็นเจ้าของโรงงานขนาดใหญ่หรือบรรษัทข้ามชาติ สามารถเข้าถึงลูกค้าจากทั่วทุกมุมโลก และตอบสนองความต้องการบริโภคสินค้าของพวกเขาได้ โดยการเข้าถึงเครือข่ายการผลิตและการกระจายสินค้าซึ่ง เกิดขึ้นได้ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารยุคใหม่ เศรษฐกิจในวันนี้กระจายตัวออกจากศูนย์กลางอํานาจเดิมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นควบคู่กับการกระจายตัวของการบริโภคและการผลิต พวกเราคงสามารถ จินตนาการได้ง่ายๆ ถึงสถานการณ์ที่นักธุรกิจชาวอเมริกันสามารถขายสินค้าผ่านระบบออนไลน์โดยตรงให้แก่ผู้บริโภคในฝั่งตะวันตกของสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยที่นักธุรกิจเหล่านั้นไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปทําธุรกรรมที่นครปักกิ่งหรือเซี่ยงไฮ้ ในทางตรงกันข้าม ผู้ผลิตชาวจีนสามารถขายสินค้าให้แก่ผู้บริโภคในแถบนิวอิงแลนด์และมิดแอตแลนติกของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยไม่ต้องผ่านนครนิวยอร์ก
“เศรษฐกิจเครือข่าย” ได้ส่งเสริมให้ประชาชน ซึ่งประกอบธุรกิจขนาดเล็กและขนาดใหญ่ มีศักยภาพในการผลิตและเข้าถึงลูกค้าได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำลง พวกเราในฐานะประชาคมโลกต้องให้ความสําคัญเป็นพิเศษแก่การสรรหาวิถีทางให้ประเทศต่างๆ สามารถร่วมลงทุนและร่วมเสี่ยงกับประชาชน เพื่อสร้างแนวร่วมการสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ
อีกหนึ่งเรื่องเล่านั้นเกี่ยวข้องกับการเกิดใหม่ของถนนสายหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครสนใจมานานนับตั้งแต่โปรตุเกสได้ค้นพบ เส้นทางเดินเรือจากทวีปยุโรปสู่เอเชีย โปรตุเกสเคยได้นําเสนอเส้นทางการค้าใหม่ซึ่งสร้างผลกําไรเป็นกอบเป็นกํา จากกิจกรรมการเดินเรือขนสินค้า แม้บางครั้งสินค้าอาจเสียหายไปกว่าครึ่ง แต่ก็ไม่ได้ทําให้ใครขาดทุนจนล้มละลาย เพราะด้วยเหตุที่ว่าอุปสงค์ความต้องการเครื่องเทศในยุคดังกล่าวมีมาก จึงทําให้พ่อค้าเดินเรือสามารถตั้งราคาขายที่สูงลิบได้
ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ
การขนส่งสินค้าหนักทางเรือเป็นสิ่งที่พวกเราคุ้นชินจนถึงยุคปัจจุบัน ในขณะที่เส้นทางการค้าทางบกจากทวีปเอเชีย ไปยังยุโรปกลับถูกลืมเลือนไปเป็นเวลานาน หากเศรษฐกิจโลกยังคงเจริญรุ่งเรืองเช่นเดียวกับในอดีตที่อ้างว่า หอมหวน คนส่วนใหญ่คงไม่จําเป็นต้องคิดที่จะสรรหาทางเลือกในชีวิต แต่ด้วยเหตุที่สถานการณ์โลกปัจจุบันดูไม่สู้ดีนัก ผมจึงเชื่อว่าแต่ละประเทศควรที่จะพิจารณาถึงทุกๆ ความเป็นไปได้
ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ
ในปัจจุบัน ผมคิดว่ามียุทธศาสตร์ 2 ประการที่มีศักยภาพในการเร่งการเติบโตและยกระดับ “คุณภาพของการ เติบโตทางเศรษฐกิจ” ที่เกิดขึ้นจากระบบเศรษฐกิจเครือข่าย ประการที่หนึ่ง คือ ยุทธศาสตร์ “One Belt, One Road” (OBOR) หรือยุทธศาสตร์เส้นทางสายไหมใหม่ที่นําโดยสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อพัฒนาความเชื่อมโยงด้านการคมนาคมและโลจิสติกส์ระหว่าง 60 ประเทศ ซึ่งมีรายได้ประชาชาติรวมกันคิดเป็นสัดส่วนราวร้อยละ 50 ของรายประชาชาติของโลก
และยุทธศาสตร์อีกประการหนึ่ง คือ ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Trans-Pacific Partnership, TPP) ที่นําโดยประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีประเทศเข้าร่วมเป็นสมาชิกแล้ว 12 ประเทศ มีรายได้ประชาชาติรวมกันมากกว่าร้อยละ 40 ของรายได้ประชาชาติของโลก ทั้งนี้ ผมไม่ได้มองว่า ยุทธศาสตร์ทั้งสองเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน แต่เป็นกระบวนการคู่ขนาน ซึ่งเมื่อถึงจุดหนึ่ง จะสร้างผลประโยชน์ทาง เศรษฐกิจร่วมให้แก่ทั้งภูมิภาคเอเชียและโลกตะวันตก
พวกเราคงต้องก้าวข้ามมุมมองแบบเหมารวมที่ว่า สาธารณรัฐประชาชนจีนและประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นเพียงมหาอํานาจทางการเมืองซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน ในสภาพความเป็นจริง พัฒนาการในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา น่าจะทําให้พวกเราได้เห็นถึงการพึ่งพากันทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ สาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นผู้ถือครองพันบัตรรัฐบาลสหรัฐรายใหญ่ที่สุดคิดเป็นมูลค่า 1.24 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ สหรัฐอเมริกาถือเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีมูลค่าการค้ารวม (Total Trade) ที่ระดับ 5.21 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ การลงทุนโดยตรง (FDI) ของสหรัฐอเมริกาในสาธารณรัฐประชาชนจีนคิดเป็นมูลค่า 6.58 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่การลงทุนโดยตรงของสาธารณรัฐประชาชนจีนในสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ระดับมูลค่า 1.19 หมื่นล้าน ดอลลาร์สหรัฐ
เมื่อพิจารณาถึงการพึ่งพากันทางเศรษฐกิจดังกล่าว ผมเชื่อว่าภูมิภาคเอเชีย ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ระหว่างยุทธศาสตร์การ พัฒนาอันสําคัญของสองมหาอํานาจทางเศรษฐกิจ ควรให้ความสําคัญแก่การขยายความร่วมมือเพื่อสร้างผล ประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกับประเทศคู่ค้าต่างๆ
ภูมิศาสตร์การเมืองของภูมิภาคเอเชียแห่งศตวรรษที่ 21 ควรเป็น เรื่องของการส่งเสริมการสร้างเครือข่ายความมั่งคั่งให้แก่ประชาชนแบบระหว่างประเทศและระหว่างภูมิภาค
ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ
ผมขออนุญาตเล่าถึงนิทานเรื่องสุดท้ายเกี่ยวกับร้านอาหารไทย ซึ่งไม่ว่าหัวหน้าพ่อครัวจะพร่ำสอนลูกศิษย์ในอุปถัมภ์ของเขาอย่างไร ลูกศิษย์ก็กลับไม่สามารถผสมเครื่องปรุงได้ถูกต้อง ลูกค้าก็ถูกปล่อยปละให้นั่งรอจนหิวและหัวเสีย เมื่อลูกค้ากว่าครึ่งที่ได้รับประทานอาหาร ก็กลับต้องท้องร่วงตามๆ กันไป นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การเขียนตําราอาหารไว้เป็นลายลักษณ์อักษรให้ถูกต้องเป็นเรื่องสําคัญ
ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ
ในขณะที่หลายคนอาจเน้นย้ำถึงลักษณะเฉพาะที่แตกต่างออกไปของประเทศไทยในแง่มุมทางประวัติศาสตร์และทิศทางการพัฒนา ประเทศไทยคงไม่สามารถหลีกเลี่ยงความท้าทายของโลกในศตวรรษที่ 21 ได้ ตลอดช่วงกว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยได้ถูกเชื่อมโยงเข้ากับเศรษฐกิจโลกอย่างต่อเนื่อง สัดส่วนมูลค่าการส่งออกต่อรายได้ประชาชาติของประเทศไทยและมูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติในประเทศไทยได้แสดงให้พวกเราได้เห็นอย่างชัดเจนถึงทิศทางของเศรษฐกิจไทยที่เชื่อมโยงอย่างแน่นแฟ้นเข้ากับชะตากรรมของเศรษฐกิจโลก
เมื่อพิจารณาถึงบริบทดังกล่าว พวกเราควรพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประเทศไทยด้วยคําถามง่ายๆที่ว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับล่าสุดนี้จะช่วยส่งเสริมให้ประเทศสามารถเติบโตและแข็งแกร่งได้มากยิ่งขึ้นในภาวะโลกปัจจุบันหรือไม่ หรือกล่าวในอีกแง่หนึ่ง ร่างรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวจะสามารถวางโครงสร้างพื้นฐานเชิงสถาบันที่ เพียงพอเพื่อการลงทุน การผลิต การสร้างความร่วมมือ และธุรกิจให้แก่ประเทศไทยได้หรือไม่
ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ
เมื่อพิจารณาถึงเค้าโครงของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ มันคงเป็นไปได้ยากที่จะได้มาซึ่งรัฐบาลที่ตอบสนองต่อความ ต้องการของประชาชนและความท้าทายในศตวรษที่ 21 ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ ได้กําหนดให้วุฒิสภา ประกอบด้วยสมาชิกจํานวน 200 คนซึ่งจะถูกแต่งตั้งโดย “ผู้เชี่ยวชาญ” วุฒิสภาจะมีอํานาจมากยิ่งขึ้นในการยับยั้ง การออกพระราชบัญญัติต่างๆ ศาลรัฐธรรมนูญจะมีขอบเขตอํานาจในการตัดสินคดีที่มากยิ่งขึ้น ศาลรัฐธรรมนูญจะ มีอํานาจในการไต่สวนและวินิจฉัยคดี เมื่อมีบุคคลใดก็ตามได้ดําเนินการร้องเรียน โดยไม่ได้มีเงื่อนไขที่ว่ากรณีดัง กล่าวต้องเป็นข้อพิพาทจริงที่องค์กรทางการเมืองหรือศาลอื่นได้ดําเนินการยื่นเรื่องแก่ศาลรัฐธรรมนูญ
หากพวกเราคิดว่าหลักการแบ่งแยกอํานาจอธิปไตย คือรากฐานเพื่อการสร้างความเจริญเติบโตและเสถียรภาพของประเทศ หัวข้อสําคัญที่พวกเราต้องพิจารณาคงเป็นเรื่องที่ว่า อํานาจตุลาการจะล่วงล้ำอํานาจนิติบัญญัติและอํานาจบริหารหรือไม่ เพื่อให้รัฐบาลสามารถบริหารเศรษฐกิจของประเทศในยุคที่เศรษฐกิจโลกกําลังชะลอตัว ผมหวังว่า คงจะไม่มีการใช้อํานาจตุลาการที่เกินกว่าความจําเป็นอีกในอนาคต กรณีศึกษาในประเทศต่างๆ ได้แสดงให้พวกเราเห็นว่า การใช้อํานาจพิจารณาทบทวนโดยศาล (Judicial Review) โดยไม่ได้มีการถ่วงดุลและตรวจสอบ อาจกลาย เป็นการใช้อํานาจอย่างไม่เหมาะสมและเป็น “ยุทธวิธีเตะถ่วงงาน” จนสุดท้ายก่อให้เกิดอุปสรรคในการดําเนินนโยบายเศรษฐกิจของประเทศ
ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ
ผมเชื่อว่ารากฐานของประเทศในการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจและความเจริญรุ่งเรือง คือการสร้างความเชื่อถือในประชาคมโลก รัฐธรรมนูญควรยึดหลักนิติธรรมและปกป้องเสรีภาพในการแสดงออก โดยอย่างน้อยต้องเป็นไปตามมาตรฐานขั้นต่ำ เพื่ออํานวยความสะดวกและเกื้อหนุนให้เกิดความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประชาชนในประเทศกับประชาคมโลก การค้าและการลงทุนจะไม่สามารถเจริญงอกงามได้ หากไม่มีหลักนิติธรรม เพราะหลักนิติธรรมคือรากฐานของการสร้างความเชื่อมั่น
ในช่วงแห่งความเปลี่ยนแปลงและระยะเปลี่ยนผ่านนี้ ประเทศไทยต้องประเมินจุดแข็งและจุดอ่อนของตนเองเสียใหม่ และสรรหาวิถีทางที่สมเหตุสมผลเพื่อสร้างเสถียรภาพทางการเมืองและพลวัตรทางเศรษฐกิจ ผมเพียงแค่นํา เสนอถึงวิธีคิดและพิจารณาปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบัน

จับตา สนช. พิจารณาเร่งด่วน พ.ร.บ.แร่ฯ หวั่นเขียนเอื้อนายทุนเหมืองทอง


สำนักข่าวสิ่งแวดล้อมชวนจับตา การบรรจุร่าง พ.ร.บ.แร่ เป็นเรื่องเร่งด่วน ในการประชุม สนช. นักวิชาการ และภาคประชาสังคมตั้งคำถาม ร่างกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์ให้นายทุนหรือไม่
ภาพขุมเหมือง เหมืองแร่ทองคำจังหวัดเลย เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2559 (แฟ้มภาพประชาไท)
ร่าง พ.ร.บ.แร่ พ.ศ. … ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นผู้เสนอได้รับการบรรจุลงในระเบียบวาระการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) วันที่ 10 มี.ค.2559 โดยถูกยกให้เป็น 'เรื่องด่วน' สำหรับพิจารณา
ร่างกฎหมายฉบับนี้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นผู้จัดทำขึ้น โดยมีทั้งสิ้น 188 มาตรา ที่ผ่านมาถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากนักวิชาการ นักอนุรักษ์ และเครือข่ายภาคประชาสังคมว่า สาระสำคัญอาจเข้าข่ายเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคำ
หากพิจารณาบทบัญญัติในร่าง พ.ร.บ.แร่ พ.ศ. … จะพบว่ามีหลายประเด็นที่สุ่มเสี่ยงต่อการสร้างผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม
มาตรา 11 เขียนเอาไว้ว่า เพื่อประโยชน์ในการดำเนิน การสำรวจ การทดลอง การศึกษา หรือการวิจัยเกี่ยวกับแร่ ให้ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี มีอำนาจประกาศกำหนดพื้นที่ใดๆ ให้เป็นเขตสำหรับดำเนินการสำรวจ การทดลอง การศึกษา หรือการวิจัยเกี่ยวกับแร่ได้
ภายในเขตที่กำหนดตามวรรคหนึ่ง ผู้ใดจะยื่นคำขออาชญาบัตรหรือประทานบัตรไม่ได้ เว้นแต่ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะประกาศกำหนดให้ยื่นคำขอในเขตพื้นที่นั้นได้เป็นกรณีพิเศษ
ประกาศตามวรรคหนึ่งให้มีผลใช้บังคับไม่เกินห้าปี โดยให้สามารถขยายระยะเวลาการใช้บังคับได้อีกสองครั้ง ครั้งละไม่เกินสองปี
ในกรณีที่หมดความจำเป็นในการใช้เขตพื้นที่เพื่อประโยชน์ตามวรรคหนึ่งให้ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยกเลิกประกาศตามวรรคหนึ่งก่อนสิ้นสุดระยะเวลาการใช้บังคับได้โดยประกาศในราช กิจจานุเบกษา
อธิบายให้เข้าใจอย่างง่ายก็คือ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) มีอำนาจในการประกาศเปิดพื้นที่ใดก็ได้เพื่อสำรวจแร่ และยังให้อำนาจ รมว.ทส.พิจารณาคำขออาชญาบัตรได้เป็นรายกรณี โดยกำหนดอายุการใช้ประโยชน์พื้นที่สูงสุดคือ 9 ปี
มากไปกว่านั้น ความใน มาตรา 12 บัญญัติไว้ว่า เพื่อประโยชน์แก่เศรษฐกิจของประเทศ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี มี อำนาจประกาศกำหนดพื้นที่ให้เป็นเขตแหล่งแร่ เพื่อการทำเหมืองได้เป็นอันดับแรกก่อนการสงวน หวงห้าม หรือใช้ประโยชน์อย่างอื่นในพื้นที่นั้น โดยพื้นที่ที่จะกำหนดให้เป็นเขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมืองแร่ได้ ต้องเป็นพื้นที่ดังต่อไปนี้
(1) มีแหล่งแร่อุดมสมบูรณ์และมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง (2) มิใช่พื้นที่ที่มีกฎหมายเฉพาะห้ามการเข้าใช้ประโยชน์ใดๆ โดยเด็ดขาด รวมถึงพื้นที่เขตปลอดภัยและความมั่นคงแห่งชาติ
นั่นหมายความว่า รมว.ทส. ต้องคำนึงถึงเสมอว่าหากพื้นที่ใดในประเทศไทยมีศักยภาพแร่สูง สามารถประกาศให้เป็นเขตแร่ (Mining Zone) ได้ทันที โดยพื้นที่เหล่านั้นอาจรวมถึงพื้นที่ป่า ป่าต้นน้ำ ภูเขา ชายทะเล หรือพื้นที่ที่มีคุณค่าในการอนุรักษ์
ใน มาตรา 13 กำหนดว่า รมว.อุตสาหกรรม โดยคำแนะนำของคณะกรรมการ มีอำนาจนำพื้นที่ที่มีแหล่งแร่อุดมสมบูรณ์และมีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจสูง มาประกาศให้มีการประมูลแหล่งแร่ในพื้นที่ดังกล่าว เพื่อให้ผู้ชนะการประมูลได้สิทธิในการสำรวจแร่และทำเหมืองแร่นั้น
นอกจากนี้ ยังพบว่ามีบทบัญญัติบางมาตราที่อาจเข้าข่ายเป็นการ “คุ้มครอง” ผู้ประกอบกิจการเหมืองแร่ อาทิ มาตรา 29 ที่ระบุว่า ในเขตอาชญาบัตรผูกขาดสำรวจแร่ เขตอาชญาบัตรพิเศษ หรือเขตเหมืองแร่ ห้าม มิให้ผู้ใดนอกจากผู้ถืออาชญาบัตรผูกขาดสำรวจแร่ ผู้ถืออาชญาบัตรพิเศษ ผู้ถือประทานบัตร หรือผู้รับใบอนุญาต เข้าไปยึดถือหรือครอบครองพื้นที่ในเขตนั้น เว้นแต่ผู้นั้นมีสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมาย
หรือใน มาตรา 49 ที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่าอาจเข้าข่ายเป็นไปเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการ โดยกฎหมายมาตราดังกล่าว บัญญัติไว้ว่า เพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการแร่และการกระจายอำนาจในการบริหารจัดการแร่ ให้รัฐมนตรีมีอำนาจออกประกาศเพื่อแบ่งการทำเหมืองออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
(1) การทำเหมืองประเภทที่ 1 ได้แก่ การทำเหมืองในเนื้อที่ไม่เกิน 100 ไร่ ให้เจ้าพนักงานอุตสาหกรรมแร่ประจำท้องที่ โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการแร่จังหวัดที่มีการทำเหมืองเป็นผู้ออกประทานบัตร
(2) การทำเหมืองประเภทที่ 2 ได้แก่ การทำเหมืองในเนื้อที่ไม่เกิน 625 ไร่ ให้อธิบดีโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการเป็นผู้ออกประทานบัตร
(3) การทำเหมืองประเภทที่ 3 ได้แก่ การทำเหมืองที่ไม่ใช่การทำเหมืองประเภทที่ 1 หรือ 2 การทำเหมืองในทะเล การทำเหมืองใต้ดิน ให้อธิบดีโดยความเป็นชอบของคณะกรรมการเป็นผู้ออกประทานบัตร
สำหรับความรับผิดชอบของผู้ประกอบการในกรณีที่สร้างความเสียหาย ถูกเขียนไว้ใน มาตราที่ 133 ว่า ผู้ ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.นี้ ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือค่าเสียหายที่เกิดจากการประกอบกิจการของ ตนต่อความเสียหาย หรือความเดือดร้อนรำคาญอันเกิดขึ้นแก่บุคคล สัตว์ พืช ทรัพย์สิน หรือสิ่งแวดล้อม
ในกรณีที่มีความเสียหายเกิดขึ้นในเขตที่ได้รับอนุญาต ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าความเสียหายดังกล่าวเกิดจากการกระทำของผู้ได้รับอนุญาตรายนั้น
นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดบทลงโทษอื่นๆ ไว้อีกในหมวดที่ 15 ตั้งแต่มาตราที่ 147-183
อาภา หวังเกียรติ อนุกรรมการสิทธิชุมชนและฐานทรัพยากร ในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เคยให้ข้อมูลว่าไว้ ตลอดการดำเนินกิจการเหมืองแร่ในประเทศไทยพบว่ามีการละเมิดสิทธิชุมชนอย่าง ต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นด้านสิ่งแวดล้อม สิทธิในการจัดการทรัพยากร สิทธิในการพัฒนา ตัวอย่างเช่น จ.เลย ชาวบ้านถูกคุกคามทั้งการแย่งชิงทรัพยากรและการถูกทำร้ายร่างกาย
นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมรายนี้ เสนอว่า ประเทศไทยควรยกเลิกการเปิดเหมืองทองใหม่ เพราะจนถึงขณะนี้ชัดเจนว่าไม่สามารถควบคุมการกระจายของสารพิษได้ ส่วนเหมืองเก่าที่ดำเนินการอยู่นั้น รัฐบาลต้องทบทวนการใช้ไซยาไนด์ในขั้นตอนการสกัดแร่ เพราะหากเกิดรั่วไหลจะทำลายสิ่งแวดล้อมถึงขั้นหายนะ
อนึ่งเมื่อปี 2552 กรมทรัพยากรธรณี ได้คาดการณ์ว่าประเทศไทยมีทองคำสำรองใต้ดินใน 31 จังหวัด รวมแล้ว 700 ตัน คิดเป็นมูลค่ารวม 8.75 แสนล้านบาท
แต่นั่นเป็นเพียงการคาดการณ์จึงไม่มีหลักประกันใดยืนยันว่าตัวเลขดังกล่าวเป็นความจริง