วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2559

ป.ป.ช ออกคำสั่งตั้งอนุฯ ไต่สวน ยิ่งลักษณ์ เหตุน้ำท่วมใหญ่ปี 54


ป.ป.ช. ออกคำสั่งตั้งอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง ยิ่งลักษณ์ และเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง ปมน้ำท่วมปี 54 ยิ่งลักษณ์ระบุข้อกล่าวนี้ อภิสิทธิ์ เป็นผู้แจ้ง เผยตอนนี้มีทั้งหมด 15 คดีแล้ว พร้อมส่งทนายยื่นหนังสือค้าน สุภา ปิยะจิตติ เป็นกรรมการ เหตุเป็นคู่ขัดแย้งชัดเจน
22 ก.ย. 2559 นรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความผู้รับมอบอำนาจจาก ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เมื่อวันที่8ก.ย.ที่ผ่านมา ทางคณะกรรมการป.ป.ช.ยังได้ส่งหนังสือถึงยิ่งลักษณ์ เพื่อแจ้งให้ทราบคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีกล่าวหายิ่งลักษณ์ และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องมี พฤติการณ์ร่วมกันกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา หรือกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ หรือทุจริตต่อหน้าที่ตามกฎหมายอื่น กรณีมีหน้าที่เกี่ยวข้องและรับผิดชอบในการเก็บกัก ควบคุม ระบาย หรือบริหารจัดการน้ำ เป็นเหตุให้เกิดมหาอุถกภัยในปี 2554 ทั้งนี้ หนังสือดังกล่าวเป็นการแจ้งให้ยิ่งลักษณ์ ลงนามรับทราบในคำสั่งดังกล่าว และแจ้งกลับมายังป.ป.ช.ภายใน 15 วัน
ด้านยิ่งลักษณ์  ให้สัมภาษณ์ถึงคดีการบริหารจัดการน้ำว่า เป็นข้อกล่าวหาที่แจ้งโดยอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามกันทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้มีการส่งสำนวนมา แต่ตนไม่เข้าใจเพราะการบริหารจัดการน้ำตอนที่เข้ามา น้ำได้ท่วมอยู่แล้ว ซึ่งมาตั้งแต่รัฐบาลอื่นจึงไม่เข้าใจว่าทำไมจึงโดนอยู่คนเดียว จากกรณีนี้ตนไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ก็หวังว่า ป.ป.ช. จะให้ความเป็นธรรม ทุกวันนี้คดีที่เจออยู่ นั่งอยู่ดีๆ ก็ต้องมารับเรื่องหมด ตอนนี้มีถึง 15 คดีแล้ว จึงเป็นเหตุผลให้ตนส่งทนายคัดค้านต่อ ป.ป.ช. แต่ก็ได้รับการปฏิเสธร้องขอทุกครั้ง จึงอยากร้องผ่านทางสื่อมวลชนและสาธารณชนด้วย อยากให้ปฏิบัติเท่าเทียมกับคนอื่นๆ เพราะจะเห็นได้ว่ามาตรฐานที่ทำกับคดีตนคดีมาเร็วมาก รับทุกเรื่อง พิจารณาทุกเรื่อง แต่ในขณะเดียวกันคดีของผู้อื่นไม่คืบหน้าเลย ซึ่งตนพร้อมจะชี้แจงทุกคดีแต่ต้องอยู่ด้วยเหตุและผล ถ้าการที่ตั้งข้อกล่าวหาโดยที่ไม่คำนึงถึงเหตุผล ใครอยากจะใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองก็เอามาใช้ มันก็ไม่มีวันจบ ทำให้สังคมเกิดข้อสงสัย จริงๆ แล้วหน่วยงานทุกองค์กรที่ทำในเรื่องของกระบวนการเหล่านี้ควรจะให้ความเป็น ธรรมกับทุกคน เชื่อว่าทุกคนยอมรับ แต่อย่างที่เรียนข้างต้น ตนได้ร้องมาหลายครั้งแล้วก็ไม่ได้ความเป็นธรรมตั้งแต่ต้น ไม่รู้ว่าคดีที่เหลือจะเป็นเช่นเดียวกับคดีที่ตนได้รับมาหรือไม่ ก็หวังว่าจะไม่เป็นแบบนั้น
ส่วนในเรื่องของมาตรา 44 ที่ให้อำนาจกรมบังคับคดีในการยึดทรัพย์นั้น ยิ่งลักษณ์ระบุว่า กรมบังคับคดีต้องได้รับคำสั่งจากศาลปกครอง ซึ่งการใช้มาตรา 44 สิ่งแรกที่มองคือ ผลของคดีไม่ว่าจะเป็นอย่างไรยังไม่รู้ ฉะนั้น การออกคำสั่งมาตรา 44 มอบอำนาจให้กรมบังคับคดีก็เหมือนเป็นการชี้นำคดี ซึ่งต้องขอร้องเพราะมันมีผลกับคดีอื่นๆ ที่ดำเนินการอยู่ในชั้นศาล ถือเป็นความไม่ยุติธรรมที่ได้รับ
“ถ้ามั่นใจว่ากระบวนการทั้งหมดมีความโปร่งใสและเป็นธรรม ทำไมต้องใช้มาตรา 44 ด้วย แต่กระบวนสอบสวนขั้นต้นในการปกป้องข้าราชการ ถ้ามั่นใจว่าข้าราชการทำถูกก็ไม่ต้องกลัวการถูกฟ้องร้อง แต่วันนี้ใช้มาตรา 44 กันถูกฟ้องร้อง ใครจะทำอะไรก็ได้ แล้วอย่างนี้ขนาดอดีตนายกฯ ยังปกป้องและหาความยุติธรรมให้กับตัวเองไม่ได้ แล้วประชาชนธรรมดาปกติจะเรียกหาความยุติธรรมได้อย่างไร” ยิ่งลักษณ์กล่าว
อดีตนายกฯกล่าวว่า ถึงวันนี้สิ่งที่รัฐบาลต้องตอบว่าทำไมถึงไม่ใช้อำนาจตามปกติ ซึ่งเราก็ได้ท้วงไปตั้งแต่ต้นแล้วว่าการพิจารณาในเรื่องของความเสียหายตาม หลักสากลก็ต้องไปร้องที่ศาลแพ่ง และรัฐบาลก็ถือว่าเป็นคู่กรณีกับเรา ซึ่งก็ต้องร้องศาลให้เป็นผู้ตัดสินว่าฝ่ายตนหรือรัฐบาลถูกหรือผิดกันแน่ ที่จะมาเรียกร้องค่าเสียหาย แต่ขณะเดียวกันรัฐบาลกลับไม่เลือกใช้วิธีการฟ้องร้องตามกระบวนการยุติธรรม เพียงเพราะไม่ต้องการเสียค่าธรรมเนียมศาล และเพียงเพราะเพื่อที่การร่นเวลาให้ง่ายขึ้นก็ใช้คำสั่งทางการปกครองกับตน อย่างนี้เท่ากับรัฐบาลเป็นคู่กรณีกับตนโดยตรง และบวกกับการใช้มาตรา 44 ในการคุ้มครองเจ้าหน้าที่ไปตั้งแต่การสอบสวนจนถึงการไปมอบอำนาจให้กับกรม บังคับคดีถือเป็นการชี้แจงหรือไม่ เป็นสิ่งที่ต้องตั้งคำถามกลับ
“เวลานี้อยากให้รัฐบาลมองภาพรวมของประเทศ ความเดือดร้อนของประเทศ เพราะวันนี้จริงๆ แล้วประชาชนรอในการที่จะให้เศรษฐกิจต่างๆ กลับคืนมา ประชาชนมีความเป็นอยู่ดีขึ้นถือเป็นเรื่องใหญ่ ไม่อยากให้มาใส่เรื่องของตนเป็นหลักจนลืมเรื่องอื่นๆ เพราะเรื่องจริงๆ แล้วมีกระบวนการขั้นตอนอยู่แล้ว ไม่อยากให้เร่งรัดโดยใช้วิธีแบบนี้ สุดท้ายจะเป็นคำถามที่ประชาชนตั้งข้อสังเกต” อดีตนายกฯกล่าว
ขณะเดียวกัน ที่สำนักงาน ป.ป.ช. นรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความผู้รับมอบอำนาจจาก ยิ่งลักษณ์ เปิดเผยว่า ยิ่งลักษณ์ฯ ได้มอบอำนาจให้ตนเดินทางมายื่นหนังสือ ถึงประธานกรรมการ ป.ป.ช. เป็นครั้งที่ 8 เพื่อยืนยันคัดค้าน การแต่งตั้ง สุภา ปิยะจิตติ เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง ในคดีที่กล่าวหา ยิ่งลักษณ์ ถึง 6 คดี ที่อยู่ในชั้นการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และทั้ง 6 คดี มีสุภา เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน และมี 1 คดี ที่มีวิชา มหาคุณ ที่พ้นตำแหน่ง กรรมการ ป.ป.ช. ไปแล้วแต่กลับมาเป็นอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงด้วย
นรวิชญ์ กล่าวว่า ในสมัยที่ยิ่งลักษณ์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นั้น สุภา เคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาและในฐานะประธานอนุกรรมการปิดบัญชี โครงการรับจำนำข้าว ก็ มีเหตุให้ข้อมูลการปิดบัญชี หลุดออกไปถึงมือนักการเมืองฝ่ายค้านในขณะนั้น นอกจากนี้สุภา และวิชา ยังเคยไปเป็นพยานเบิกความ ในฐานะพยานฝ่ายโจทก์ต่อศาลฎีกาฯ ในคดีโครงการรับจำนำข้าวซึ่งถือเป็นคู่ขัดแย้งอย่างชัดเจน จึงเห็นว่าจากข้อเท็จจริงดังกล่าว หากปล่อยให้ สุภา เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง และ วิชา ที่พ้นตำแหน่ง กรรมการ ป.ป.ช. ไปแล้ว กลับมาเป็นอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงอีก จะไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการไต่ส่วนข้อเท็จจริง ทั้งๆ ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีทั้งหมดถึง 9 ท่าน
ทนายความยิ่งลักษณ์ ยังกล่าวอีกด้วยว่า ได้เคยยื่นร้องคัดค้านมาแล้วถึง 7 ครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล ดังนั้นเพื่อรักษาสิทธิตามกระบวนการยุติธรรม ตามคำสั่งของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และเพื่อให้คดีของอดีตนายกรัฐมนตรี ได้รับการพิจารณาอย่างถูกต้องและเป็นธรรม จึงขอคัดค้านความเห็นของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามหนังสือสำนักงาน ป.ป.ช. ที่ ปช 0012/1216 ลงวันที่ 29 สิงหาคม 2559 และเพื่อยืนยันหลักฐานทางเอกสาร และพฤติกรรมแห่งการปฏิบัติตนของสุภา และวิชา ในฐานะเป็นประธานอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง และอนุกรรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง ว่าไม่เหมาะสมเช่นไรแนบท้ายเอกสารประกอบในการยื่นถึงประธานกรรมการป.ป.ช. ด้วย

วิษณุ แจงความคืบหน้าร่าง กม.ประโยชน์ส่วนตัวขัดกับส่วนร่วม 4 ชั่วโคตร


22 ก.ย. 2559 ที่ทำเนียบรัฐบาล วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการจัดทำร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการกระทำความผิดอันเกิดจากประโยชน์ส่วนตนขัดกับผลประโยชน์ส่วนรวมว่า วันนี้เราได้หยิบขึ้นมาใหม่ในความหมายที่ไม่ถึงกับ 7 ชั่วโคตร จะเพียง 4 ชั่วโคตร คือผู้กระทำผิดเป็นโคตรที่ 1 ถ้าเอื้อประโยชน์ต่อลูกเป็นโคตรที่ 2 พ่อแม่เป็นโคตรที่ 3 เอื้อประโยชน์ต่อพี่น้องเป็นโคตรที่ 4 จบแค่นี้ แต่ไม่ใช่ว่าทำผิดและไปลงโทษ 4 ชั่วโคตรเหมือนสมัยก่อน คนที่โดนคือข้าราชการอยู่คนเดียว แต่ว่าเอื้อประโยชน์ต่อใคร ซึ่งขั้นตอนขณะนี้ส่งไปให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจและมีการตั้งคณะพิเศษขึ้นมาเพื่อพิจารณา ขณะนี้พิจารณาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ ตนเห็นว่าเป็นกฎหมายที่มีผลกระทบต่อเจ้าหน้าที่รัฐและข้าราชการถือเป็นกฎหมายปราบโกงฉบับแท้จริง จึงสมควรจะต้องดูให้รอบคอบ โดยตนได้ขอให้นำขึ้นเว็บไซต์เพื่อให้ประชาชนได้ดู พร้อมส่งให้กระทรวงต่างๆ นำไปศึกษาหากคิดว่าหนักไป เบาไปหรือไม่ชัดเจน ปฏิบัติไม่ถูกก็ให้บอกมาเพื่อจะได้ปรับปรุงแก้ไขโดยให้เวลาประมาณเดือนเศษ และเมื่อรวบรวมความเห็นได้และแก้ไขเรียบร้อยแล้วจะนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อีกครั้งก่อนนำเข้าสภาเพื่อแก้ไข คาดว่าจะนำเข้าสภาได้ภายในปีนี้ และสภาจะใช้เวลาจากนี้ไป 2 เดือน
เมื่อถามว่ากฎหมายฉบับนี้จะแก้ปัญหาการคอร์รัปชั่นได้แบบเอาอยู่หรือไม่ วิษณุกล่าวว่า เราตอบไม่ได้ว่าเอาอยู่หรือไม่อยู่ อย่างน้อยก็จะทำให้คนหวาดกลัวว่ามีเครื่องเอกซเรย์เราอยู่ มีคนจ้องจับผิดอยู่ เพราะฉะนั้นถ้าคุณจะทำต้องทำให้แนบเนียนและระมัดระวังกว่าเดิม และไม่ใช่เรื่องที่จะไปเล่นงานเล็กๆ น้อยๆ แล้วเรื่องใหญ่ๆ ตัวใหญ่ๆ รอด แต่อย่างไรก็ตามกฎหมายดังกล่าวไม่ได้เข้มงวดจนถึงขนาดซองจดหมายตราครุฑใบเดียวก็ใช้ไม่ได้ ชาร์จโทรศัพท์นิดหน่อยก็ใช้ไม่ได้ เพราะมันมีข้อยกเว้นอะไรหลายอย่าง ถ้าอะไรเล็กน้อยก็ให้โอกาส ครม.หรือกระทรวงออกระเบียบไปว่าขนาดนี้ยอมให้ทำ ขนาดนี้ไม่ยอมให้ทำ และในกฎหมายนี้ยังรวมถึงใครไปเสนอโปรเจ็กต์อะไรเป็นประโยชน์ต่อตัวเองมากกว่าประโยชน์ต่อส่วนรวม คือถ้าเป็นประโยชน์ต่อส่วนตัว 100 เปอร์เซ็นต์ ซวยแน่ แต่ถ้าเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมด้วยแต่ของตัวเองได้ประโยชน์มากกว่าคนที่เสนอโปรเจ็กต์เหล่านี้ก็มีความผิดด้วย
“อย่างการรับของต่อไปจะเข้มงวดมาถึงข้าราชการด้วย ถ้ารับมาแล้วบอกว่ารับส่วนตัวแต่เกินอัตราราคาที่กำหนดใครได้รับไว้ต้องส่งคือราชการใน 30 วัน ถ้าส่งคืนถือว่าไม่ผิด ถ้าไม่ส่งผิด ถ้าไม่แน่ใจราคาให้ส่งไปก่อนแล้วค่อยตรวจสอบภายหลัง ทั้งหมดอยู่ในกฎหมายฉบับนี้” นายวิษณุกล่าว
เมื่อถามว่าถึงกรณีมีชื่อบุตรชาย พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหมน้องชายนายกรัฐมนตรีมีผู้ถือหุ้นของบริษัทที่เข้ามารับทำโครงการของกองทัพภาคที่ 3 นายวิษณุกล่าวว่า เป็นคนละเรื่องกัน ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ยังไม่ออกมาบังคับใช้และถึงจะบังคับใช้แล้ว จะผิดหรือไม่ผิดข้อเท็จจริงตนไม่รู้

อัยการสั่งฟ้องหลานสาวพลทหารวิเชียร คดีหมิ่นประมาทฯ พ่วง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

นริศราวัลถ์ แก้วนพรัตน์ (ที่มาภาพ profile ใน LINE)

พนักงานอัยการมีความเห็นสังฟ้อง นริศราวัลถ์ แก้วนพรัตน์ หลานสาวพลทหารวิเชียร เผือกสม  ในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาและความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
22 ก.ย. 2559 รายงานข่าวจากมูลนิธิผสานวัฒนธรรม แจ้งว่า เมื่อเวลา 10.00 น. ของวันนี้ มูลนิธิผสานวัฒนธรรมได้รับแจ้งจาก นริศราวัลถ์ แก้วนพรัตน์ ว่า จากการติดตามความคืบหน้าคดีของตนนั้น  พนักงานอัยการเจ้าของสำนวน นายรติ ช่อลำไย ได้แจ้งต่อตนด้วยวาจาว่าได้สรุปสำนวนและมีความเห็นสั่งฟ้องต่อศาล โดยระบุว่าความเห็นพนักงานสอบสวนที่สรุปมาในสองข้อหาคือ 1) ข้อหาความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาด้วยเอกสาร  2) ข้อหานำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์ โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ  ขณะนี้สำนวนอยู่ที่อัยการจังหวัดนราธิวาส พิจารณาและมีคำสั่งต่อไป
นริศราวัลถ์ ข้าราชการกองกิจการเด็กและเยาวชน กรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ถูก ร.อ.ภูริ เพิกโสภณ แจ้งความร้องทุกข์ไว้ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2558 ต่อมา ศาลจังหวัดนราธิวาสได้ออกหมายจับตามคำร้องขอของพนักงานสอบสวน เพราะมีพฤติการณ์หลบหนีเนื่องจากไม่มาพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียก
โดยเมื่อวันที่ 27 ก.ค.ที่ผ่านมา ตำรวจชุดสืบสวนจากศูนย์ปฏิบัติการตำรวจชายแดนใต้ (ศชต.) ร่วมกับชุดสืบสวน จาก สน.มักกะสัน ได้เข้าจับกุมนริศราวัลถ์ ณ กองกิจการเด็กและเยาวชน และควบคุมตัว นริศราวัลถ์ ไปพบพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนราธิวาส เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาในวันเดียวกันนั้น โดยนริศราวัลถ์ได้รับทราบและให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาและขอให้การโดยละเอียดพร้อมเสนอพยานหลักฐานต่างๆ ต่อพนักงานสอบสวนในภายหลัง เนื่องจากพนักงานสอบสวนได้สรุปสำนวนและมีความเห็นสั่งฟ้องคดีโดยไม่มีตัวไปก่อนที่นริศราวัลถ์จะถูกจับแล้ว จากนั้นจึงได้ขอประกันตัวโดยใช้ตำแหน่งหน้าที่ราชการประกันตัวเอง
ต่อมาเมื่อวันที่ 17 ส.ค. 2559 นริศราวัลถ์ได้เข้ายื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมกับอัยการสูงสุด ในเรื่องการสอบสวนคดีนี้ เนื่องจากตนไม่เคยได้รับหมายเรียกจนถูกออกหมายจับ และขอให้อัยการส่งสำนวนให้พนักงานสอบสวนสอบเพิ่มเติม  เนื่องจากพนักงานสอบสวนได้สรุปสำนวนไปโดยที่ยังไม่ได้รับข้อมูลจากฝ่ายตน เป็นการสรุปสำนวนไปโดยที่ยังไม่ได้ฟังความทุกฝ่ายและไม่เป็นธรรม จึงขอให้พนักงานอัยการขอให้พนักงานสอบสวนเพิ่มเติมก่อนมีความเห็นเกี่ยวกับคดีนี้ ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนเจ้าของสำนวนยังได้แจ้งด้วยว่าหากทำประวัติอาชญากรรมเรียบร้อยแล้ว ก่อนสรุปผลการจับกุมตัวส่งให้พนักงานอัยการ จะแจ้งให้นริศราวัลถ์เข้าให้การเพิ่มเติมได้ด้วย แต่ก็ไม่ได้มีการดำเนินการดังกล่าวแต่อย่างใด
มูลนิธิผสานวัฒนธรรมมีความเห็นว่า การที่พนักงานอัยการเจ้าของสำนวน ได้สรุปความเห็นไปก่อนที่จะได้รับข้อมูลต่างๆจากฝ่ายนริศราวัลถ์ นั้น เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรม เนื่องจากไม่ได้ฟังความทุกฝ่าย โดยเฉพาะพยานหลักฐานที่จะแสดงว่าผู้ถูกกล่าวหาในคดีนี้เป็นผู้บริสุทธิ ไม่ได้ทำผิดตามที่ถูกแจ้งข้อหาแต่อย่างใด เพียงแต่ใช้สิทธิเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้ พลทหารวิเชียร เผือกสม น้าของตนที่ถูกทำร้ายถึงตายเท่านั้น และขอเรียกร้องให้พนักอัยการจังหวัดนราธิวาส  สั่งให้มีการสอบคำให้การฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาเพิ่มเติมและรับพยานหลักฐานจากฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาเข้ามาประกอบในการสั่งคดีนี้ด้วย เพื่อเป็นการอำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชน และเพื่อไม่ให้ผู้ใดใช้กฎหมาย เจ้าหน้าที่รัฐ และกระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งประชาชน