วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2554


กัดดาฟีใช้มากกว่ากระสุนในการฆ่าประชาชน 
"ดูสภาพศพชาวลิเบีย" น่ากลัว 


http://www.internetfreedom.us/thread-15991.html
สภาพศพพลเรือนผู้ประท้วงเหล่านี้ ปรากฎบาดแผลใหญ่ร้ายแรงมาก จากการยิงของทหารซึ่งแน่นอนว่าใช้อาวุธที่ใหญ่กว่ากระสุนธรรมดา โดยภาพเหล่านี้ถ่ายจากโรงพยาบาลในเมือง Benghazi วันที่ 22 Feb,11

[Image: ghaddafi_killing_own_people.jpg]

[Image: ghaddafi_killing_own_people002.jpg]

[Image: ghaddafi_killing_own_people003.jpg]

[Image: ghaddafi_killing_own_people004.jpg]



ความความรู้สึก ลึกๆของคนไทย
http://www.internetfreedom.us/thread-15992.html


ในเวลานี้ คนไทย จำนวนมาก ต่างก็ สงสัยตัวเองว่า จิตใจ ที่แท้จริงของพวกเราเป็นอย่างไร


หลังจากผ่านเหตุการณ์มวลชนลุกฮือต่อต้านรัฐบาลอย่าง 14 ตุลาฯ 2516 6 ตุลา 2519 พฤษภา 2535 7 ตุลาเลือด 2551 สงกรานต์เลือด 2552 จนกระทั่ง เหตุการณ์ ความขัดแย้ง ระหว่างรัฐบาล และคนเสื้อแดง ซึ่งถึงจุดสูงสุด ด้วยการสังหารประชาขน ในเหตุการณ์ พฤษภาคม 2553


หลายคน โดยเฉพาะ รัฐบาล หรือ ผู้สนับสนุน รัฐบาล อาจจะมองว่า พวกเราโหดเหี้ยมขึ้น วันๆ เอาแต่สุมหัวรวมตัวลุกฮือต่อต้านล้มล้างรัฐบาลท่าเดียว




เบน นักศึกษาปริญญาเอกสาขาดนตรีวิทยาจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์กในสหรัฐอเมริกา ผู้มาสำรวจวิจัยการแสดงดนตรี/ร้องเพลงในการชุมนุมประท้วงทางการเมืองของไทยปัจจุบัน ก็ยังกล่าวทิ้งท้ายกับ นีล เทรวิธิค ผู้สื่อข่าวบีบีซีระหว่างไปร่วมงานชุมนุมของคนเสื้อแดงที่อยุธยา เมื่อเร็วๆ นี้ว่า : -


ชาวโลกคงประทับตาตรึงใจกับภาพข่าวการชุมนุมต่อสู้ของคนเสื้อแดงกับทหารอย่างดุเดือดร​ุนแรงเมื่อกลางปีก่อน แต่ถ้าคุณอยู่ในที่เกิดเหตุจริงๆ คุณจะเห็นว่าลับตากล้องออกไป ผู้คนแสดงความเมตตาปรานีต่อกันอย่างเหลือเชื่อ มีการช่วยดึงฝ่ายตรงข้ามให้หลบพ้นภยันตราย พาคนไม่เลือกฝ่ายไปรักษาที่โรงพยาบาลเมื่อได้รับบาดเจ็บ แจกน้ำแจกท่าให้กันไม่เว้นแม้แต่ทหาร ตำรวจ ฯลฯ 


(รายการวิทยุ From Our Own Correspondent ของ BBC, 12 ก.พ. 2011
http://www.bbc.co.uk/iplayer/episode/p00..._02_2011/)


http://www.matichon.co.th/news_detail.ph...catid=0207

สมัชชาโดยปวงชนแห่งชาติ 5&3/3/11 
National Libyan Council &I.C.C.แจ้งข้อหา Gaddafi
http://www.internetfreedom.us/thread-16012.html


Click “สมัชชาโดยปวงชนแห่งชาติ” วันที่ 5 และ 3 มีค.54 National Libyan Council 
และ โจทก์ของI.C.C.แจ้งข้อหาGaddafi และพวก

ทีโอที’ไม่สน‘จุติ’ ไม่ฟ้องAIS! 
รัฐมนตรีไอซีทีจุ้น-วุ่นหนัก!! บอร์ดเฮโลลาออก 6 คนรวด


http://www.internetfreedom.us/thread-16010.html


ทีโอที’ไม่สน‘จุติ’ ไม่ฟ้องAIS! รัฐมนตรีไอซีทีจุ้น-วุ่นหนัก!! บอร์ดเฮโลลาออก 6 คนรวด
วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ.2554 11:27 น.


ท่าทีกระเหี้ยนกระหือรืออย่างมากของนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ในการที่จะให้บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) มีการฟ้องร้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เรียกค่าเสียหาย 75,000 ล้านบาท


ถึงขนาดทำหนังสือด่วนที่สุด ลงวันที่ 23 ก.พ.ที่ผ่านมา ถึงกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) เพื่อให้เร่งรัดดำเนินการตามกฎหมาย ให้เสร็จสิ้นก่อนที่คดีจะหมดอายุความในวันที่ 28 ก.พ.2554


ระบุด้วยว่า หากดำเนินการไม่ทัน ถือว่าผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องไม่มุ่งมั่นที่จะรักษาผลประโยชน์ของรัฐ อาจส่งผลให้ดำเนินการกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องที่จงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแ​รง


ข้ออ้างในการเร่งรัดให้ฟ้องก็คือ คำพิพากษาศาล ฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อวันที่ 26 ก.พ.2553 ให้ทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตกเป็นของแผ่นดิน และมีคำวินิจฉัยที่เกี่ยวข้องกับสัญญาสัมปทานมือถือ ซึ่ง ทีโอที และ กสท ได้รับความเสียหายจากการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ


ซึ่งการตั้งธง เดินหน้าของนายจุติได้ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากว่า เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเหตุผลทางการเมืองหรือไม่???


เพราะทุกวันนี้ที่บ้านเมืองวุ่นวาย ยังคงไม่มีคำตอบว่า ปัญหาทุกวันนี้จะจบอย่างไร ก็ล้วนมาจากการมุ่งทำลายล้างทางการเมืองนั่นเอง


ซึ่งในเรื่องของการแก้ไขสัญญาสัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่นั้น จริงๆแล้วเป็นเรื่องที่มีกลุ่มขั้วอำนาจใช้เป็นเครื่องมือในการทำลายล้างกันใช่หรือไ​ม่??


เพราะเรื่องขึ้นหลังจากมีการทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และเกิดขึ้นหลังจากที่มีการตั้งคณะบุคคลที่ยืนอยู่คนละขั้วกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ขึ้นมาเป็น คตส.


ทั้งๆที่สัญญาสัมปทานมือถือ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมากว่า 20 ปีแล้ว และทำรัฐประหารมา 4 ปีกว่าแล้วแต่เรื่องนี้ก็ยังคงถูกเล่นไม่เลิก


โดยเป็นผลมาจากการเปิดประเด็นของ นายสิทธิชัย โภไคยอุดม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีที สมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ว่าการแก้ไขสัญญาของบริษัทเอกชนอาจผิดกฎหมาย


และคำให้การของนายสิทธิชัยนี่แหละที่ คตส. ใช้เป็นน้ำหนักมากที่สุดในการเล่นงาน พ.ต.ท.ทักษิณ ในเรื่องการแก้ไขสัญญาสัมปทาน


แต่ก็เป็นที่น่าสังเกคุว่า จริงๆแล้วเรื่องการแก้ไขสัญญาสัมปทานนั้น ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือทั้ง 4 ค่าย คือ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด(มหาชน หรือเอไอเอส บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด(มหาชน)หรือดีแทค บริษัท ดิจิตอลโฟน จำกัดหรือดีพีซี และบริษัท ทรูมูฟ จำกัด ล้วนแล้วแต่ก็แก้ไขสัญญาด้วยกันทั้งนั้น


ทำไมจึงดูเหมือนว่า มีการมุ่งเล่นงานเฉพาะ เอไอเอส เป็นหลักเพียงรายเดียว???


และข้อกล่าวหาก็คือไม่ได้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการร่วมการงานระหว่างรัฐและ​เอกชน พ.ศ.2535 ซึ่งในความเป็นจริงสัมปทานมือถือของเอไอเอส ได้ทำสัญญากับ องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย เมื่อมีนาคม 2533 ส่วนสัมปทานของดีแทค ก็ได้ทำสัญญากับ การสื่อสารแห่งประเทศไทย ไล่หลังเอไอเอสแค่ 8 เดือน โดยทำสัญญาเมื่อ พฤศจิกายน 2533


เป็นการทำสัญญาก่อนที่จะมี พ.ร.บ.ว่าด้วยการร่วมการงานระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ.2535 และเป็นการตกลงสัญญากันระหว่างบริษัทเอกชนกับหน่วยงานของรัฐ คือภายใต้สัญญาของ การสื่อสารแห่งประเทศไทย และภายใต้สัญญาของ องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย


ซึ่งขณะนั้นทั้ง มีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐ ทำหน้าที่เป็นผู้กำกับดูแล หรือ Regulator ในระบบสื่อสารโทรคมนาคมของไทย


ประเด็นที่เป็นปัญหา และถูกหยิบยกขึ้นมาก็คือ แม้จะทำสัญญากันมาก่อนที่จะมีกฎหมาย พ.ร.บ.ว่าด้วยการร่วมการงานระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2535 และเป็นสัญญาที่มีสภาพบังคับอย่างถูกต้อง เพราะกฎหมายไม่ไปย้อนหลัง


แต่มีการแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาในภายหลังจากที่มีกฎหมายร่วมการงานฯ ปี 2535 แล้ว จึงต้องเล่นงาน


สิ่งที่นายจุติ และรัฐบาลประชาธิปัตย์ไม่พยายามที่จะพูดถึงก็คือ การแก้ไขสัญญาสัมปทานนั้น เป็นเรื่องที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้ผลักดันมาตลอด


เพราะอ้างว่าได้รับการร้องเรียนจากผู้ประกอบธุรกิจ และต้องการจัดระเบียบสัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้งรายเก่าและรายใหม่ให้เกิดความเป็​นธรรม


ซึ่งจริงๆแล้วควรจะมีการออกแก้ไขเสร็จในสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2543 แต่เพราะสไตล์ “ชวน เชื่องช้า” จึงทำให้เรื่องการแก้ไขสัญญาสัมปทานตกค้าง และมาเสร็จในสมัยรัฐบาลทักษิณ จึงกลายเป็นประเด็นที่นำมาใช้เล่นงาน พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าแก้ไขสัมปทานเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจตนเอง


โดยไม่พูดถึงเลยว่า ใครกันที่ชงเรื่องนี้มาตั้งแต่แรก


ซึ่งก็คล้ายกับกรณี เซ็น MOU กับกัมพูชานั่นเอง ที่มีการใช้สื่อตรงข้าม พ.ต.ท.ทักษิณ ให้ข้อมูลว่า เป็น MOU ที่เซ็นสมัยรัฐบาลทักษิณ แม้ว่าจะมีการหยิบยกหลักฐานมาว่าเป็น MOU ที่เซ็นในปี 2543 ซึ่งเป็นสมัยรัฐบาลชวน


แต่ก็ยังมีการเบี่ยงเบนผ่านสื่อของกลุ่มม็อบไล่รัฐบาลทักษิณว่า ต้องเรียก MOU ปี 44 จนสุดท้ายเมื่อผลประโยชน์ไม่ลงตัว ขัดแย้งกันเองแล้วนั่นแหละ กลุ่มม็อบจึงหันกลับมาเรียกเป็น MOU ปี 43 และใช้อัดรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อยู่ในขณะนี้ ว่าเป็น MOU ขายชาติและทำให้เสียดินแดนไทย


ดังนั้นในเรื่องของการแก้ไขสัญญาสัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่ของทาง เอไอเอส ปรากฏว่า การแก้ไข 6 ครั้งแรกเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2536 – 2543 ซึ่งไม่ได้เป็นช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นรัฐบาลเลย
มีเพียงการแก้ไขในครั้งที่ 7 เท่านั้นที่เกิดขึ้นในปี 2544


แต่เพราะว่า แนวทางของ นายสิทธิชัย โภไคยอุดม ไม่เพียงสอดคล้องกับความต้องการของ คตส. แต่ยังสอดคล้องกับท่าทีของ พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ที่โดดเข้ามาเป็นประธานกรรมการ บริษัท ทีโอที ด้วยตนเอง และยังตั้งให้ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน เข้ามาเป็นประธานเจรจาการแก้สัญญาของ เอไอเอส ด้วย


สิ่งเหล่านี้เป็นที่มาที่ไปของกรณีสัญญาสัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งกลายเป็นมหากาพย์ที่ปั่นป่วนลากยาว เพราะว่าวันนี้ ทั้ง องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย และการสื่อสารแห่งประเทศไทย ได้กลายสภาพจากหน่วยงานรัฐ ไปเป็น บริษัท จำกัด มหาชน หมดแล้ว


ซึ่งหากเทียบเคียงกับกรณี การปิโตรเลี่ยมแห่งประเทศไทย ซึ่งเคยเป็นหน่วยงานรัฐทำหน้าที่ Regulator ด้านพลังงาน แต่พอแปลงสภาพไปเป็น บริษัท ปตท จำกัด (มหาชน) หมวกในการทำหน้าที่ Regulator ก็ถูกถอดไป


คำถามก็คือ แล้ว บริษัท ทีโอที จำกัด(มหาชน) และบริษัท กสท จำกัด(มหาชน) ยังควรจะต้องมีหมวก Regulator อยู่ต่อไปหรือไม่???


ประเด็นเหล่านี้นายจุติ ไกรฤกษ์ คงไม่ได้สนใจ เพราะมั่งแต่จะไล่บี้เฉพาะ เอไอเอส เป็นหลัก ถึงขนาดที่ทำหนังสือด่วนที่สุด จี้ให้ทั้ง ทีโอที และ กสท เร่งฟ้องให้เร็วที่สุด


แน่นอนว่าหนังสือดังกล่าว ย่อมก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆนาๆ มีทั้งเห็นด้วยไม่เห็นด้วย มีทั้งที่อึดอัด และมีทั้งที่เด้งรับสนองความต้องการของนายจุติ


เพราะหลังจากที่ได้รับหนังสือเร่งรัก นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ ประธานบอร์ดของ กสท ก็ได้เรียกระชุมบอร์ดเป็นการด่วน สุดท้ายเมื่อวันที่ 25 ก.พ. ตัวแทนบริษัท กสท โทรคมนาคม ก็ได้ไปศาลปกครองกลาง เพื่อยื่นฟ้อง คณะรัฐมนตรี ยุคที่พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2546 เป็นคดีหมายเลขดำที่ 506/2554 อ้างคำพิพากษาของศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่พิพากษาให้ยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ กรณีการแปลงส่วนแบ่งรายได้เป็นภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคม จนทำให้ กสท เสียหายมูลค่า 4 หมื่นล้านบาท


ซึ่งนายสถาพร เอียดใหญ่ ผู้จัดการฝ่ายคดี กสท ยอมรับว่า การยื่นฟ้องดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายของนายจุติ ไกรฤกษ์ !!!


แต่ขณะเดียวกัน ทางบริษัท ทีโอที กลับเกิดเรื่องปั่นป่วนขึ้นมา เพราะความต้องการและท่าทีของนายจุติ ได้ทำให้คณะกรรมการของ ทีโอที หลายคนรู้สึกอึดอัด


จนสุดท้ายเมื่อถูกเร่งรัด จี้ติดมากๆเข้า กรรมการของ ทีโอทีบางคน จึงเลือกที่จะตัดสินใจลาออก ดีกว่าที่จะรับเผือกร้อนเอาไว้ในมือ


ทำให้รอบแรก มีบอร์ด ทีโอที ตัดสินใจลาออกก่อน 3 คน ประกอบด้วย นายวันชาติ สันติกุญชร รองอธิบดีอัยการสูงสุด นางวณี ทัศนมณเฑียร รองอธิบดีกรมสรรพากร นางนุชนารถ ปัณฑวังกูร กรรมการจากบริษัทวิริยะประกันภัย


ถัดมาอีกวัน นายวีรไท สันติประภพ กรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และนายชิต เหล่าวัฒนา อาจารย์จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ก็ลาออกตามมาอีก


ซึ่งการที่คณะกรรมการ ทีโอที ซึ่งมีอยู่ 12 คน ลาออกติดต่อกันถึง 5 คน จนทำให้บอร์ดเหลือเพียง 7 คน แม้จะอ้างว่ายังสามารถประชุมได้ ลงมติได้ เพราะยังถือว่าครบองค์ประชุมได้อยู่นั้น


แต่ในแง่ของความสง่างาม ในแง่ของการยอมรับจากสังคม และในแง่ของหลักธรรมาภิบาล ก็เป็นเรื่องที่กลายเป็นรอยด่างไปแล้ว


เป็นเรื่องที่นายจุติ ในฐานะรัฐมนตรีเจ้ากระทรวง ในฐานะที่ทำหนังสือเร่งรัดไป ควรจะต้องฉุกใจคิดว่าเกิดอะไรขึ้น???


บรรดาบุคคลที่เป็นบอร์ด ซึ่งก็ล้วนแล้วแต่มีชื่อเสียง ได้รับการยอมรับในสังคม ทำไมถึงได้ลาออกกันเป็นพรวนเช่นนี้... ทุกคนอึดอัดอะไรหรือ???


สิ่งเหล่านี้นายจุติจะไม่คิดไม่ได้ และจะมองข้ามก็ไม่ได้ด้วย


เพราะล่าสุด นายสายัณห์ สตางค์มงคล ก็ได้ลาออกจากเป็นกรรมการทีโอทีแล้วอีกหนึ่งคน ถือเป็นการลาออกคนที่ 6 จากก่อนหน้าที่ได้ลาออกไปแล้ว 5 คน


ทำให้บอร์ดทีโอที เหลือเพียงแค่ 6 คนเท่านั้น จาก 12 คน


ที่สำคัญล่าสุด นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม บอร์ดทีโอที ออกมาบอกแล้วว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ บริษัท ทีโอที มีมติไม่ฟ้องเอไอเอส !!!

แต่จะปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการเจรจาการแก้ไขสัญญาสัมปทานที่มีนางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือไอซีที เป็นประธาน

รวมทั้งที่ประชุมยังมีมติไม่ฟ้องศาลให้เป็นคดีความกับบริษัท กสท โทรคมนาคม เกี่ยวกับค่าเชื่อมโครงข่าย (เอซี) แต่จะยื่นฟ้องต่อกระทรวงการคลังตามมาตรา 11

ผลออกมาแบบนี้ นายจุติ ควรจะต้องทบทวนหรือไม่ว่า ความวุ่นวายที่เกิดขึ้น กระทั่งบอร์ด ทีโอที ลาออก 6 คนรวดนั้น



เกิดขึ้นเพราะฝีมือใคร???


และเกมทำลายล้างทางการเมืองจะจบลงได้เสียทีหรือยัง? หรือต้องให้ประเทศชาติยุ่งเหยิงไปยิ่งกว่านี้?!

http://www.bangkok-today.com/node/8473

ศักดิ์สิทธิ์มาก รถบัสไปไม่ถึงงานหลวงตามาหาบัว ชน18ล้อ ดับ3


http://www.internetfreedom.us/thread-16007.html
[Image: 725e908b97c42f965c2a6eb5a89e2ae5.jpg]


เมื่อช่วงค่ำวันที่ 4 มี.ค. 54 พ.ต.ท.เฉลิมเกียรติ ศิริมาก สารวัตรเวรสอบสวน สภ.ห้วยใหญ่ จ.ชลบุรี ได้รับแจ้งมีเหตุรถชนกันมีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ บนถนนทางหลวงหมายเลข 331 โคราช-ระยอง ช่วงหลักกิโลเมตรที่ 118-119 ฝั่งขาออกระยอง

ที่เกิดเหตุเป็นเนินเขาไม่มีแสงไฟ พบรถบัส ป.2 สายกรุงเทพ-ชลบุรี หมายเลขข้างรถ 38-15 สีฟ้าขาว ทะเบียน 10-3401 ชลบุรี มีนายวิโรจน์ เทพจิตร อายุ 60 ปี อยู่บ้านเลขที่ 59/19 ม.1 ต.บ้านสวน อ.เมือง จ.ชลบุรี เป็นคนขับ เฉี่ยวชนกับรถพ่วง 18 ล้อ ของบริษัทที.โอ. โลจิชทิคส์ จำกัด ทะเบียน 70-4371 ระยอง (หมายเลขพ่วง 70-2474 ระยอง) ซึ่งจอดเสียหม้อน้ำแห้งอยู่บริเวณข้างทาง โดยมีนายจำรัส รมห์ดา อายุ 34 ปี เป็นคนขับ สภาพรถทั้ง 2 คันเสียหายอย่างหนัก ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ และมีเศษกระจกแตกกระจัดกระจายไปทั่วพื้นถนนทำให้รถที่สัญจรไปมาติดขัดเป็นแถวยาว

ตรวจสอบพบในที่เกิดเหตุพบผู้เสียชีวิต 1 ราย คือนายมนัส ออมสิน อายุ 37 ปี และบาดเจ็บอีกกว่า 45 ราย ในจำนวนนี้อาการสาหัส 5 ราย เสียชีวิตที่โรงพยาบาลเพิ่มเติมอีก 2 ราย ทราบชื่อต่อมาคือ ด.ญ.ลลิตา โฆษณา อายุ 12 ปี และนางปัน ติ๊บการเงิน อายุ 62 ปี รวมยอดเสียชีวิตทั้งสิ้น 3 ราย ขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้นำศพมาไว้ที่ รพ.บางละมุง เพื่อรอญาติมาติดต่อรับศพ

สอบสวนทราบว่า รถบัสคันดังกล่าวได้รับคณะสาธุชนออกเดินทางจากวัดช่องแสมสาร อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี จะเดินทางไปร่วมงานพิธีพระราชทานเพลิงศพหลวงตามหาบัว ที่จะมีขึ้นในวันที่ 5 มี.ค. ที่วัดป่าบ้านตาล จ.อุดรธานี แต่มาเกิดอุบัติเหตุจนมีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตเสียก่อน เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวคนขับรถพ่วง 18 ล้อ ไว้ดำเนินคดีต่อ


*************************


http://kunginternews.blogspot.com/

ประยุทธ์ ไล่ออก ทหารเอี่ยวปืนหาย
http://www.internetfreedom.us/thread-16003.html

[Image: hilight_news_2010_0_1299320968.jpg]
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวยอมรับว่าอาวุธ ที่ค่ายศูนย์กลางทหารราบปราณบุรี ค่ายธนะรัชต์ จ.ประจวบคิรีขันธ์นั้น ได้เกิดการสูญหายจริง ซึ่งจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า เป็๋นการทุจริตทางบัญชี โดยมีเจ้าหน้าที่ทหารและบุคคลภายนอกร่วมกันทยอยนำออกจากค่ายธนะรัชต์

ทั้ง นี้กองทัพบก ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง อาทิ ผู้บังคับการกองพันทหาร ผู้บังคับการกองร้อยและนายทหารยศจ่าสิบเอก ซึ่งขณะนี้ได้พ้นจากหน้าที่ก่อน และเรื่องดังกล่าวถือเป็นความบกพร่อง ที่ต้องมีโทษสถานหนัก ซึ่งอาวุธปืนที่หายไปดังกล่าวนั้น ไม่น่าจะนำมาใช้ก่อเหตุภายในประเทศ

ขณะเดียวกัน ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้นมาเพื่อดำเนินการสอบสวน และให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ เร่งติดตามอาวุธที่หายกลับคืนมาโดยเร็วที่สุด เนื่องจากเป็นห่วงว่า อาจมีการลักลอบนำไปขายตามบริเวณชายแดน

////////////////////////////////

พวกหัวหน้าระดับกลางถึงสูง เป็นทหารห้องแอร์
คอยแต่เล่นการเมืองและแสวงหาผลประโยชน์ทางธุรกิจ
เลยไม่สนใจงานในหน้าที่ ปล่อยปละละเลย ออกตีกอล์ฟตลอด
พวกลูกน้องสอพลอแสวงหาช่องว่าง เลยสบโอกาส
ทำงานหากินบ้าง แบบนี้เขาเรียกว่า ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น
เจ้านายเป็นไง ลูกน้องก็เป็นอย่างนั้น
ประชาชนตาดำๆ ก็อยู่กันตามยถากรรม กับเศรษฐกิจแบบสมรู้ร่วมคิดกับนายทุนธุรกิจที่สนับสนุนพรรค ปชป และรัฐบาล
สวาปาร์มกันแบบด้านๆ ยุคมืดสังคมไทย

จำลองเผยพันธมิตรฯถูกตร.กลั่นแกล้งให้ยุติการชุมนุมก่อนสิ้นเดือนมี.ค.
http://www.internetfreedom.us/thread-16005.html

[Image: t012169a.jpg]
พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึง กรณีที่ตำรวจเรียกร้องให้พันธมิตรฯ ยุติการชุมนุม ก่อนสิ้นเดือน มี.ค.นี้ เพราะต้องการใช้พื้นที่ในการจัดงานกาชาดว่า กลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ ก็อยากเรียกร้องให้ทางตำรวจใช้เส้นทางอื่น ในการจัดงานเช่นกัน เพราะผู้ชุมนุมออกมาเรียกร้องเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทย ซึ่งการที่ตำรวจออกมาเรียกร้องในลักษณะนี้ คิดว่า เป็นการกลั่นแกล้ง เพื่อให้พันธมิตรฯ ออกไปให้พ้นจากพื้นที่การชุมนุม แต่หากจะมีการจัดงานกาชาดขึ้นจริง ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะบริเวณพื้นที่การจัดงานออกร้านต่างๆ ก็สิ้นสุดบริเวณแยกสวนมิสกวัน และในส่วนของผู้ชุมนุม ก็อาจไปเที่ยวงานกาชาด เป็นการสร้างรายได้ให้กับการจัดงานด้วย

นอกจากนี้ พล.ต.จำลอง ยังกล่าวถึง กรณีที่ศาลแพ่งมีคำสั่งยกคำร้องขอไต่สวนฉุกเฉิน และคำขอคุ้มครองชั่วคราว ที่ยื่นฟ้อง พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ว่า แม้ศาลแพ่งจะมีคำสั่งยกคำร้อง แต่พันธมิตรฯ ก็จะใช้สิทธิ์ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้ตีความเรื่องการออกพ.ร.บ.ดังกล่าว ว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

จากศึกซักฟอก โยงศึกเลือกตั้ง ข่าวสดเช้านี้
http://www.internetfreedom.us/thread-16013.html


วันที่ 06 มีนาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7402 ข่าวสดรายวัน
จากศึกซักฟอก โยงศึกเลือกตั้ง




รัฐบาล ภายใต้การนำของนายอภิ สิทธิ์ เวชชาชีวะ ผ่านการบริหารประเทศแบบลุ่มๆ ดอนๆ มากว่า 2 ปี กำลังเข้าสู่ช่วงชี้เป็นชี้ตายทางการเมืองอีกครั้ง


จาก การที่ฝ่ายค้านพรรคเพื่อไทยโดย นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ นำทีมยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ และรัฐมนตรีรวม 10 คน ประกอบด้วย


1.นายอภิสิทธิ์ 2.นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ 3.นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง 4.นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 5.นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม


6.นาง พรทิวา นาคาศัย รมว.พา ณิชย์ 7.นายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ 8.นายองอาจ คล้าม ไพบูลย์ รมต.สำนักนายกฯ 9.นาย ศุภชัย โพธิ์สุ รมช.เกษตรฯ 10.นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย


สำหรับเนื้อหา การอภิปรายครอบ คลุม 3 เรื่องใหญ่ คือ การสลายการชุม นุมกลุ่มคนเสื้อแดง การทุจริตและประ พฤติมิชอบต่อหน้าที่ และการบริหารราชการแผ่นดินล้มเหลว ใช้ผู้อภิปรายประมาณ 30 คน


ส่วนการยื่นถอดถอนรัฐมนตรี ทั้งสิ้น 9 ราย เป็นรายชื่อชุดเดียวกับผู้ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจในข้อหาทุจริต ยกเว้นนายกษิต ภิรมย์ ที่ถูกอภิปรายข้อหาบริหารงานผิดพลาดบกพร่อง


เบื้องต้นวิปรัฐบาลและวิปฝ่ายค้านตกลงกันว่าจะให้เปิดอภิปรายแบบจุใจ 4 วัน 66 ชั่วโมง ระหว่าง 9-12 มี.ค. แล้วลงมติวันที่ 13 มี.ค.


โดยจัดสรรเวลาให้ฝ่ายค้านได้อภิ ปราย 40 ชั่วโมง รัฐมนตรีชี้แจง 20 ชั่วโมง และเผื่อไว้ 6 ชั่วโมงสำหรับการประท้วงของส.ส.ทั้งสองฝ่าย


แต่ ในที่สุด นายชัย ชิดชอบ ประธานสภา ได้อ้างปัญหาทางเทคนิคในการตรวจสอบความถูกต้องของญัตติ สั่งเลื่อนเปิดอภิปรายไปอีก 1 สัปดาห์ เป็นระหว่างวันที่ 15-18 มี.ค.


ท่าม กลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์อื้ออึงว่าการเลื่อนออกไป เป็นเพราะรัฐบาลไม่ต้องการให้ศึกอภิปรายไปทับซ้อนกับการชุมนุมใหญ่คนเสื้อ แดงวันที่ 12 มี.ค.


บ้างก็ว่าเป็นเพราะ 4 รัฐมนตรีภูมิใจไทย ซึ่งอยู่พรรคเดียวกับนายชัย และถูกยื่นอภิปรายครั้งนี้ด้วย คือ นายชวรัตน์ นางพรทิวา นายโสภณ และนายศุภชัย ยังเตรียมตัวไม่พร้อม


นอกจากนี้ วันที่ 12 มี.ค. นายกฯอภิสิทธิ์ พร้อมแกนนำ และส.ส. ประชาธิปัตย์ทุกคน ยังต้องเดินทางไปร่วมงานพระราชทานเพลิงศพแม่ถ้วน หลีกภัย มารดาอดีตนายกฯชวน หลีกภัย ที่จ.ตรัง อีกด้วย


การเลื่อนวันเปิดอภิปรายออกไปจึงเป็นวิธีการง่ายๆ แต่สามารถคลี่คลายปมปัญหาของรัฐบาลได้ทั้งหมด


อย่าง ไรก็ตามเมื่อเรื่องดำเนินมาถึงจุดนี้ ข้อกังวลของใครหลายคนที่เคยเกรงกันว่านายกฯ จะชิงยุบสภาหนีการอภิปรายไปก่อนนั้น ปิดประตูตายไปได้เนื่องจากกฎหมายรัฐธรรมนูญห้ามไว้


จึงเป็นอันสรุปได้ว่าถึงจะเลื่อนช่วงวันอภิปรายออกไปแต่ศึกครั้งนี้ต้องระเบิดขึ้นแน​่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีทางหลีกเลี่ยง


เว้น แต่จะมีการใช้อำนาจพิเศษนอกเหนือแนวทางประชา ธิปไตยเข้ามาดำเนินการเท่านั้น แต่นั่นจะยิ่งทำให้กลายเป็นปัญหาใหญ่โต ถูกต่อต้านหนักยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า


การยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ถือเป็นการใช้กลไกสภาในการทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร ซึ่งเป็นวิธีการที่ถูกต้อง


โดยเฉพาะในช่วงการเมืองอยู่บนเส้นทางเดินเข้าสู่สนามเลือกตั้งในอีกไม่กี่ก้าวข้างหน​้า


จึง เป็นช่วงเวลานาทีทองของฝ่ายค้านในการนำข้อมูลการทุจริตประ พฤติมิชอบของรัฐมนตรีในรัฐบาล ออกมาตีแผ่อย่างเป็นระบบให้สาธารณชนได้รับทราบ


ขณะเดียวกันยังถือ เป็นโอกาสดีที่รัฐบาลจะได้ชี้แจง เคลียร์ตัวเองจากข้อกล่าวหาต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งประโยชน์ก็จะตกอยู่กับประชาชนในการเก็บเกี่ยวข้อมูลที่ได้ ไว้สำหรับตัดสินใจก่อนเดินเข้าคูหาเลือกตั้ง


ส่วนการหวังผลทางการเมืองจากศึกอภิปรายนั้น ไม่ว่าจะในซีกฝ่ายค้านหรือซีกรัฐบาลถือเป็นเรื่องธรรมดา


โดยเฉพาะการนำผลจากการอภิ ปรายไปขยายต่อยอดถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า


มี การพูดกันมากว่าการยื่นญัตติซัก ฟอกรัฐบาลครั้งนี้ ฝ่ายค้านเลือกเวลาได้เหมาะเจาะ เพราะอยู่ในช่วงรัฐบาลกำลังระส่ำหนักจากมรสุมกระหน่ำรอบด้าน


ทั้ง ปัญหาภายในพรรคร่วมรัฐบาลที่ความสัมพันธ์เป็นไปแบบสามวันดีสี่วันไข้ ปมไฟใต้ที่ยังแก้ไม่ได้ตามที่โฆษณาไว้ แถมยังปะทุรุนแรงถี่ยิบกว่าเดิม


ปัญหาความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านขยายตัวเป็นสงครามขนาดย่อมตามแนวชายแดน ปัญหายาเสพติดกลับมาระบาดหนัก


ปัญหา ปากท้องจากน้ำมันปาล์มขยายวงลามไปถึงสินค้าอาหารประ เภทอื่น เตรียมพาเหรดปรับขึ้นราคาเป็นทิวแถว ทั้งยังแฝงไปด้วยปม ทุจริตคอร์รัปชั่น จัดสรรผลประโยชน์ เข้าพกเข้าห่อนักการเมืองด้วยกันเอง


ปัญหาความคลุมเครือในการถือสัญ ชาติของนายกฯ ที่อาจบานปลายถูกลากขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศในคดีฟ้องร้อง 91 ศพ


ปัญหาม็อบพันธมิตรฯ คู่ขาเก่ายังปักหลักประท้วงไม่เลิก


โดยเฉพาะการชุมนุมคนเสื้อแดง ที่น่าจะมีจำนวนคนเข้าร่วมมากขึ้นหลังจากศาลมีคำสั่งอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว 7 แกนนำออกจากเรือนจำ


ถึง จะมีการใช้เทคนิคหลบเลี่ยงไม่ให้การอภิปรายรัฐบาลไปชนกับการชุมนุมวันที่ 12 มี.ค. แต่อย่าลืมว่าคนเสื้อแดงยังมีวาระสำคัญที่จะจัดชุมนุมใหญ่อีกอย่างน้อย 2 วัน คือ 10 เม.ย. และ 19 พ.ค.


แต่ก็มีการส่งสัญญาณค่อนข้างชัด แล้วว่ารัฐบาลคงไม่อยู่รอถึงตอนนั้น เพราะจะเป็นการฝืนกระแสสังคมที่อยากเห็นการยุบสภาเลือกตั้งใหม่มากเกินไป


บวก กับการที่นักวิเคราะห์การเมืองหลายสำนักฟันธงตรงกัน จากสถานการณ์ตอนนี้รัฐบาลยิ่งอยู่นานคะแนนยิ่งหดหาย ถึงผ่านศึกอภิปรายไปได้แต่แผลเต็มตัว


ล่าสุดมีรายงานข่าวจากกลุ่ม อำนาจที่เคยหนุนหลังพรรคประชาธิปัตย์ ประเมินแล้วกระแสนายกฯอภิสิทธิ์ เริ่มไหลลงเรื่อยๆ ถึงจุดที่ไม่อาจแน่ใจได้ว่าจะชนะเลือกตั้งในรอบต่อไปหรือไม่


ถึง จังหวะกระแสตีกลับทำการเมืองพลิกผัน ประเด็นชี้ขาดอยู่ที่พรรคเพื่อไทยจะเสนอใครมาแข่งกับ"อภิสิทธิ์" ภายใต้เงื่อนไขเดียวว่าต้องไม่ใช่คนของ"ทักษิณ"เด็ดขาด


ถ้าทำได้กลุ่มอำนาจก็พร้อมตัดหาง"อภิสิทธิ์-ประชาธิปัตย์" ทันที

ทนายประเวศ ฟันธง มาตรา 112 ถูกใช้เป็นเครื่องมือของรัฐทำลายฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง
Posted by TTT


Image has been scaled down 16% (1137x326). 
Click this bar to view original image (1344x385). 
Click image to open in new window.
[Image: 112new.jpg]



โดย ประเวศ ประภานุกูล
6 มีนาคม 2554

ประเวศ ประภานุกูล คือทนายความอาวุโสที่ดูแลคดี "หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ"
โดยเฉพาะคดีของดารณี ชาญเชิงศิลปกุล ถือได้ว่าเป็นทนายที่ศึกษาและเข้าใจ
เกี่ยวกับประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 อย่างลึกซึ้งมากที่สุดคนหนึ่งของเมืองไทย


เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือ
ในการทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง
ทำลายล้างผู้มีความคิดเห็นต่างจากผู้มีอำนาจรัฐ

ที่สำคัญได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการปิดปากประชาชน
ผู้มีความเห็นต่างจากผู้กุมอำนาจรัฐไม่ให้แสดงความคิดเห็น

การใช้ถ้อยคำที่กำกวม คลุมเคลือ อย่างเช่น "ดูหมิ่น"
ทำให้ง่ายต่อการขยายความกฎหมาย เป็นการขยายความกฎหมาย
ทั้งๆที่หลักกฎหมายอาญาต้อง "ตีความโดยเคร่งครัด"

หลักกฎหมายอาญาได้ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิงจากการขยายความกฎหมายมาตรานี้
ตัวอย่างที่เห็นชัดของการขยายความ คือ
การไม่ลุกขึ้นยืนขณะมีการเปิดเพลงสรรเสริญพระบารมี เป็นความผิดตามมาตรานี้
เป็นการยืนยันความผิดโดยคำพิพากษาศาลฎีกา
ศาลซึ่งได้ชื่อว่า ทำงานในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์

การขยายความให้การ ไม่ลุกขึ้นยืน
ขณะมีการเปิดเพลงสรรเสริญพระบารมี เป็นความผิดตามมาตรานี้
เท่ากับการขยายความมาตรานี้ให้มีความหมายว่า
การไม่แสดงความเคารพ เท่ากับ ดูหมิ่น
จะตีความหมายเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากว่า
เป็นหน้าที่ของประชาชนทุกคนที่ต้องแสดงความเคารพให้กับ "เพลงสรรเสริญพระบารมี"
โดยการฝ่าฝืนไม่แสดงความเคารพมีโทษสูงถึงจำคุก 15 ปี

สิ่งที่ตามมาและน่าสนใจกว่าในความเห็นของผม คือ
ทำไมถึงต้องเปิดเพลงสรรเสริญพระบารมี ในโรงภาพยนต์
ทำไมต้องเปิดเพลงนี้พร้อมกับฉายภาพพระบรมฉายาลักษณ์ ก่อนทำการฉายภาพยนต์

โรงภาพยนต์ คือ สถานที่ที่คนเข้าไปพักผ่อน หาความสำราญ หาความบันเทิง
การเปิดเพลงสรรเสริญพระบารมี แล้วบังคับทุกคนที่เข้าไปชมภาพยนต์ให้ต้องลุกขึ้นยืน
ไม่ใช่การละเมิดสิทธิ์ของผู้ที่ต้องการชมภาพยนต์??

เคยมีการถามความความเห็นประชาชนก่อนมั้ยว่า เขาต้องการให้เปิดเพลงก่อนดูภาพยนต์หรือไม่

นี่คือสิ่งที่สมควรมีและเกิดขึ้นในประเทศที่ประกาศตนว่า มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย??


*************

รายละเอียดเพิ่มเติม
กรณีดารณี ชาญเชิงศิลปกุล LM Watch
http://lmwatch.blogspot.com/2009/04/blog-post_5453.html 


เรื่องที่เกี่ยวข้อง

นิติธรรมร่ำไห้ แม้ศาลอุทธรณ์ชี้ขาดไม่มีโทษติดตัว
แต่ไม่ให้ประกัน ไม่ปรานี คดีประหลาดดา ตอร์ปิโด
http://thaienews.blogspot.com/2011/02/bl..._6750.html

ทนายดา ตอร์ปิโด:คำพิพากษาที่สร้างความประหลาดใจ และคาดไม่ถึง
http://thaienews.blogspot.com/2011/02/blog-post_13.html

กาหลิบ:เหตุประหลาดในคดีดา ตอร์ปิโด
http://democracy100percent.blogspot.com/...st_14.html 


http://thaienews.blogspot.com/2011/03/112.html

จับกระแสสังคม "ธาริต-อัมพร"พรุน 
ทฤษฎี"ปืนอาก้า" ฆ่าช่างภาพญี่ปุ่น


http://www.internetfreedom.us/thread-16019.html
คอลัมน์ แฟ้มคดี

[Image: p0161060354p1.jpg]

บานปลายไปกันใหญ่แล้ว
และทำท่าว่า นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีเอสไอ พร้อมด้วย
พล.ต.ท.อัมพร จารุจินดา อดีตผบช. สำนักนิติวิทยาศาสตร์ตำรวจ(สนว.ตร.)
จะรับบทหนัก หลังออกมาแถลงข่าวพลิกคดีฆ่า "นาย ฮิโรยูกิ มูราโมโตะ"
ช่างภาพรอยเตอร์ ชาวญี่ปุ่น ที่ถูกยิงเสียชีวิต
ระหว่างทำข่าวม็อบเสื้อแดงปะทะกับทหาร เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553

ก่อนหน้านี้นายธาริต ซึ่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนชุดใหญ่
ทีมชันสูตรประกอบด้วยคณะแพทย์ร.พ.ใหญ่ๆ มากถึง 12 คน ใช้เวลาทำงานหลายเดือน
แถลงผลการสอบสวนคดี 91 ศพ หรือ 89 ศพ ที่เสียชีวิตจากการกระชับพื้นที่ของทหาร
โดยระบุว่านายฮิโรยูกิ และอีก 12 ศพ เชื่อว่าเสียชีวิตเพราะการกระทำของเจ้าหน้าที่!??

แต่ผ่านไปแค่เดือนเดียว นายธาริต กลับออกมาแจ้งข้อมูลใหม่
อาศัยเพียงการวิเคราะห์ภาพถ่ายและอ่านรายงานชันสูตร ของพล.ต.ท. อัมพร ว่า
นายฮิโรยูกิ เสียชีวิตเพราะกระสุนปืน "อาก้า"


ก่อนสรุปดื้อๆ ว่าจึงไม่ใช่ฝีมือทหารไทย
เพราะทหารไทยไม่ได้ใช้ปืนอาก้า แต่ใช้เอ็ม 16!??

ผลที่ตามมาทั้งนายธาริต และพล.ต.ท.อัมพร โดนถล่มยับ
เพราะทั้งสังคมไทยและสังคมนานาชาติ ไม่มีใครเชื่อถือคำแถลงครั้งที่ 2

แถมเหน็บให้เจ็บๆ คันๆ อีกว่าดีเอสไอน่าจะเปลี่ยนชื่อเป็น "กรมผงซักฟอก"
หรือยังดีที่ดีเอสไอไม่บอกว่านายฮิโรยูกิ ยิงตัวตายเอง!??

"ธาริต-อัมพร"แถลงข้อมูลใหม่

วันที่ 26 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา คดีฆ่านาย ฮิโรยูกิ และคนเสื้อแดงรวม 13 ศพ
ซึ่งดีเอสไอแถลงไปเมื่อวันที่ 20 มกราคมที่ผ่านมา
เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐ โดยส่งสำนวนให้ตำรวจรับผิดชอบ กลายเป็นประเด็นร้อน
เมื่อจู่ๆ นายธาริต ออกมาระบุว่าพบหลักฐานใหม่
นายมูราโมโตะ ถูกยิงตายด้วยกระสุนปืนอาก้า ซึ่งเป็นปืนที่ไม่มีใช้ในราชการทหาร
เนื่องจากทหารไทยจะใช้ปืนเอ็ม 16

จึงเชื่อว่านายมูราโมโตะ น่าจะเสียชีวิตเพราะบุคคล อื่นไม่ใช่เจ้าหน้าที่ทหาร

นายธาริต อ้างอีกว่าระหว่างการเผชิญหน้าของทหารกับม็อบเสื้อแดงบริเวณแยกคอกวัว
จุดที่นายฮิโรยูกิ ถูกยิงนั้น หลังแนวทหารมีเสื้อแดงอีกกลุ่มล้อมเอาไว้ด้วย!??

"พล.ต.ท.อัมพร วิเคราะห์ภาพถ่ายรวมทั้งผลชันสูตรจากแพทย์มาประกอบ ก่อน
จะสรุปผลออกมาว่าเป็นอาก้า ดังนั้นจึงทำให้ข้อสงสัยเดิมที่ระบุว่า
อาจจะเกิดจากเจ้าหน้าที่ก็เปลี่ยนแปลงไป"!??

ด้านพล.ต.ท.อัมพร กล่าวว่า
การตรวจสอบบาดแผลของนายฮิโรยูกิ เป็นไปตามหลักวิชาการทุกอย่าง
ซึ่งตามหลักฐานที่นำมาจากผลการชันสูตรพลิกศพ ก็เพียงพอที่จะทำให้ระบุได้ว่า
ผู้ตายนั้นไม่ได้เสียชีวิตด้วยกระสุนปืนชนิดเอ็ม 16 ที่เจ้าหน้าที่ทหารใช้อย่างแน่นอน"

[Image: p0161060354p2.jpg]

พร้อมกันนี้นายธาริต กับพล.ต.ท.อัมพร ก็ร่วมแถลงข่าวยืนยันผลการวิเคราะห์ดังกล่าว
ท่ามกลางนักข่าวทั้งไทยและต่างประเทศจำนวนมาก

นายธาริต เปิดฉากด้วยการอ้างว่าวันเกิดเหตุนายฮิโรยูกิ อยู่ในกลุ่มนปช.
ที่เผชิญหน้ากับทหาร แต่หลังแนวทหารก็มีนปช.อีกกลุ่มล้อมอยู่ด้วย!??

"ก่อนหน้านี้ผลการชันสูตรไม่ได้ระบุอาวุธที่ทำให้เสียชีวิต เพียงแต่ระบุว่า
เป็นกระสุนปืนที่มีความเร็วสูง การตรวจสอบของ พล.ต.ท.อัมพร จึงถือเป็นการสอบเพิ่มเติม
เพื่อให้คดีมีความรอบคอบมากขึ้น"

นายธาริต ระบุว่าการเสียชีวิตของนายฮิโรยูกิ นั้น
ก่อนหน้านี้มีพยานบุคคลเพียงปากเดียว เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ที่เข้าร่วมชุมนุมกับนปช. ได้ให้ข้อมูลว่ายืนอยู่ใกล้นายฮิโรยูกิขณะถูกยิง
แต่ไม่รู้ว่ายิงมาจากทิศทางใด แต่เชื่อว่ามาจากทหาร
เนื่องจากขณะนายฮิโรยูกิ ถูกยิงหันหน้าไปถ่ายภาพแนวทหาร

ส่วนพล.ต.ท.อัมพร กล่าวว่า ได้วิเคราะห์จากรายงานการชันสูตรพลิกศพของแพทย์ในทุกๆ คดี
คดีไหนที่ยืนยันได้ว่าควรจะโดนยิงด้วยอาวุธปืนขนาดอะไร
ก็จะยืนยันให้
ก็มีหลายอันที่ยืน ยันไม่ได้ สำหรับรายนี้ค่อนข้างชัดเจน

"ผมไม่ได้เห็นหัวกระสุน ทุกอย่างก็ได้
แค่สรุปจากบาดแผลกระสุนปืนเท่านั้น" อดีตผบช. สพฐ.ตร.กล่าว

พล.ต.ท.อัมพร ระบุด้วยว่าศพลักษณะนี้ดูแค่ชั่วโมงเดียว
ก็สรุปได้แล้วว่าถูกยิงด้วยปืนอะไร

เผยเคยสรุปคดีน้องโบว์

การแถลงครั้งนี้ขัดแย้งอย่างมากกับการแถลงครั้งแรกว่า
นายฮิโรยูกิ ถูกฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐยิงเสียชีวิต แล้วจู่ๆ ก็มากลับคำแถลง
ทำให้ผู้สื่อข่าวจำนวนมากโดยเฉพาะต่างชาติ
จี้ถามประเด็นข้อสงสัย จนทั้งนายธาริต และพล.ต.ท.อัมพร ถึงกับไปไม่เป็น

อาทิ การถามถึงศพอื่นๆ ที่เหลือ ว่าระบุได้หรือไม่ถูกยิงด้วยกระสุนชนิดใด
พล.ต.ท.อัมพร อ้างว่าไม่ทราบเพราะไม่ได้ดู

เช่นเดียวกับนายธาริต ก็ตอบไม่ได้เพราะไม่ได้ดูผลศพอื่นๆ เช่นกัน

เมื่อถามถึงความแตกต่างระหว่างกระสุนเอ็ม 16 กับอาก้า ก็พยายามตอบเลี่ยงๆ ไป

รวมทั้งการใช้ตรรกะง่ายๆ มาสรุปว่า
เมื่อไม่ได้ถูกยิงด้วยเอ็ม 16 จึงไม่ใช่ฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐ
และหากใช้ตรรกะเดียวกันสรุปว่า
ทุกศพที่ถูกยิงด้วย 16 เป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐใช่หรือไม่
ก็ไม่มีคำตอบออกมาเช่นกัน

อย่างไรก็ตามเมื่อพล.ต.ท.อัมพร ถูกจี้ถามข้อมูลต่างๆ
เกี่ยวกับการตายของนายฮิโรยูกิ เทียบกับศพอื่นๆ
ก็พยายามเลี่ยงตอบก่อนยุติแถลงข่าวทันที


สำหรับพล.ต.ท.อัมพร ได้ชื่อว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธปืนคนหนึ่งของเมืองไทย
เคยไปศึกษาและร่วมฝึกกับเอฟบีไอ และซีไอเอ ของสหรัฐ
จบปริญญาตรีวิทยาศาสตรบัณฑิต จุฬาฯ
ปริญญาโทวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต จากสถาบันเดียวกัน

รับราชการตำรวจครั้งแรกในปี 2515 ตำแหน่ง รองสว. แผนกอาวุธปืน
และเติบโตในสายกองพิสูจน์หลักฐาน

ปี 2541 รับตำแหน่ง ผบก.สพฐ.
ก่อนเกษียณในตำแหน่ง ผบช. สำนัก งานนิติวิทยาศาสตร์ตำรวจ (สนว.ตร.) เมื่อปี 2551

ก่อนหน้านี้เคยสร้างความฮือฮาเมื่อระบุว่า
น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ หรือ "น้องโบว์" พันธมิตรฯที่เสียชีวิต เมื่อ 7 ต.ค.2551 ว่า
เสียชีวิตจากแก๊สน้ำตา และยืนยันว่าแก๊สน้ำตาทำให้แขนขาขาดได้

ถือว่าสวนทางกับการพิสูจน์ของคณะกรรมการชุดใหญ่ที่ตั้งขึ้น
และแย้งกับการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศด้วย

มาถึงคดีนายฮิโรยูกิ
ก็อาศัยเพียงการดูภาพถ่ายบาดแผล และอ่านรายงานผลชันสูตร
ก็สรุปออกมาเป็นเรื่องเป็นราวได้ทันที


เผยใช้แพทย์ชุดใหญ่ชันสูตร

การชันสูตรศพเหยื่อกระชับพื้นที่วันที่ 10 เม.ย. 2553
ดีเอสไอตั้งคณะกรรมการเป็นแพทย์จากร.พ.ต่างๆ รวม 12 คนร่วมชันสูตร
ในจำนวนศพที่พบมี 10 ราย รวมทั้งนายฮิโรยูกิ คณะแพทย์ระบุว่า
ถูกยิงด้วยกระสุนความเร็วสูง กระสุนเจาะเข้าร่างกายใน 2 จุด คือ
ศีรษะและเข้าหน้าอกตัดขั้วหัวใจ น่าเชื่อได้ว่า
ผู้ลงมือเป็นนักแม่นปืน ซุ่มตัวแล้วเลือกเป้ายิงได้อย่างแม่นยำ

คณะกรรมการไม่ได้ระบุว่าผู้เสียชีวิตทั้ง 10 ราย ถูกยิงด้วยอาวุธปืนชนิดใด
เนื่องจากการผ่าชันสูตรไม่พบหัวกระสุนปืน
จึงรายงานในผลการชันสูตรเพียงว่าเป็นกระสุนปืนความเร็วสูง
ซึ่งสรุปตามหลักฐานวิชาการ

เช่นเดียวกับตำรวจกองพิสูจน์หลักฐานก็ไม่กล้ายืนยันว่า
ศพที่พบถูกยิงด้วยกระสุนชนิดใด เนื่องจากกระสุนปืนแต่ละชนิดมีความใกล้เคียงกัน
ที่สำคัญเมื่อไม่พบหลักฐานหัวกระสุน ก็ยากจะระบุได้

จึงมีจุดที่น่าสนใจว่าการดูเพียงภาพถ่ายกับอ่านผลชันสูตร น่าเชื่อถือเพียงใด
เมื่อเทียบกับคณะแพทย์ชุดใหญ่ที่ร่วมผ่าศพ หรือหลักฐานและพยานอื่นๆ
ที่ดีเอสไอสืบเสาะมานานหลายเดือนซึ่งต้องนำมาประกอบกัน

รวมทั้งการออกมาฟันธงเพียงดูจากบาดแผล
ซึ่งปกตินักนิติวิทยาศาสตร์ หรือการชันสูตรจะไม่ระบุขนาดนั้น
เพราะต้องใช้หลักฐานอื่นมาประกอบด้วย

เคยมีตัวอย่างที่ยังพูดถึงจนทุกวันนี้เกี่ยวกับการสรุปเกินหน้าที่ของตน
จนทำให้เกิดปัญหาการทำงานของหน่วยอื่น คือ
กรณีการตายของ "2 แม่ลูกศรีธนะขัณฑ์" นางดาราวดี และด.ช.เสรี
ภรรยาและลูกของนายสันติ ศรีธนะ ขัณฑ์ ตัวละครสำคัญในคดีเพชรซาอุฯ

หลังจากพบศพ 2 แม่ลูกตายในรถเบนซ์ ปรากฏว่า
ผบก.นิติเวช ในขณะนั้นออกมาเล่าเป็นฉากๆ ว่าตายเพราะอุบัติเหตุ
แผลต่างๆ เกิดจากการกระแทกพวงมาลัยบ้าง คอนโซลบ้าง
จนการสอบสวนของตำรวจในช่วงแรกถึงกับเป๋ไปเป๋มา

ก่อนต้องเสียผู้เสียคนเพราะข้อเท็จจริงในภายหลังออกมาว่า
2 แม่ลูกถูกฆาตกรรม และแผลต่างๆ เกิดจากถูกตีด้วยท่อนเหล็ก!??

ฆ่าช่างภาพญี่ปุ่นสะเทือนรัฐบาล

มีความน่าสนใจอย่างยิ่งต่อการออกมาของนายธาริต และพล.ต.ท.อัมพร ว่าทำไปเพื่ออะไร!??

เนื่องจากคดีของนายฮิโรยูกิ ถึงตอนนี้อยู่ในความรับผิดชอบของตำรวจ
โดยปกติหากได้พยานหลักฐานใหม่
ต้องส่งให้พนักงานสอบสวนดำเนินการหาข้อเท็จจริง นำไปประกอบสำนวน

อีกทั้งขั้นตอนการสอบสวนคดีใด คดีหนึ่ง
ไม่ได้ดูตัดตอนเพียงหลักฐาน พยาน หรือความเห็นของผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
หากแต่ต้องนำทุกอย่างมาประกอบกันเพื่อความสมบูรณ์ที่สุด

คดีนายฮิโรยูกิ มีพยานและหลักฐานมากมาย
ที่ดีเอสไอใช้เวลาสอบสวนนานหลายเดือน
จนถูกทูตและรัฐบาลญี่ปุ่นตามจี้หลายครั้งหลายหน เพราะเห็นว่าช้าเกินไป

จนเมื่อสามารถสรุปออกมาได้โดยนายธาริต เป็นผู้แถลงข่าวด้วยตัวเอง

และหลังจากนั้นมีคณะกรรมการหลายชุด
ทั้งของส.ส. หรือ ส.ว. และกรรมการพิเศษที่รัฐบาลตั้งขึ้น
เชิญดีเอสไอไปซักถามข้อมูลเรื่องผู้เสียชีวิต

ทุกครั้งตัวแทนดีเอสไอก็ยืนยันว่า
นายฮิโรยูกิ และเหยื่ออย่างน้อย 13 ราย น่าจะเสียชีวิตเพราะเจ้าหน้าที่รัฐ
ตามที่อธิบดีดีเอสไอแถลง

แต่จู่ๆ นายธาริต กลับนำความเห็นของพล.ต.ท.อัมพร เพียงคนเดียว
ที่ดูภาพและเพียงอ่านรายงาน โดยไม่ได้เป็นคณะกรรมการ
หรือเป็นพนักงานสอบสวนในคดีนี้ตั้งแต่แรก มาหักล้างพยานหลักฐานทั้งหมด


สาเหตุสำคัญน่าจะมาจากการแถลงกรณีนายฮิโรยูกิ ในครั้งแรก
ส่งผลกระทบในวงกว้างอย่างยิ่ง เห็นได้จากความเคลื่อนไหวของรัฐบาลญี่ปุ่น
ซึ่งส่งทูตมาจี้เพื่อให้หาตัวผู้กระทำผิด และถึงขั้นขู่ใช้มาตรการตอบโต้ทางการเมือง

เช่นเดียวกับชมรมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ และสำนักข่าว รอยเตอร์ ต้นสังกัดของนายฮิโรยูกิ
ก็เรียกร้องให้เร่งหาตัวผู้กระทำความผิดอย่างเข้มข้นยิ่ง

กรณีนายฮิโรยูกิ จึงเหมือนจุดสลบของรัฐบาล เพราะทั้งการจับตาของรัฐบาลญี่ปุ่น
หรือสำนักข่าวทั่วโลกรายงานกรณีนี้อย่างต่อเนื่องว่านาย ฮิโรยูกิ เสียชีวิตเพราะเจ้าหน้าที่รัฐ

การออกมากลับคำแถลงของนายธาริต และพล.ต.ท.อัมพร จึงเหมือนตัวช่วยกลายๆ

ส่วนช่วยแล้วดีขึ้น หรือแย่หนักกว่าเดิม

ถึงตอนนี้คงรู้คำตอบกันดีอยู่แล้ว!??




http://www.khaosod.co.th/view_news.php?n...B3Tmc9PQ==

ด่วน! ผ.บ.ฯ ถูกหามส่งร.พ. กลางดึก
http://www.internetfreedom.us/thread-16016.html


[Image: prayut_smmouth.jpg]

เดลินิวส์ออนไลน์
"ยืนยันว่า ทหารไม่เคยเป็นศัตรูกับประชาชนไม่ว่าเมื่อไรก็ตาม ทั้งปีนี้ ปีที่แล้วหรือปีต่อไป ก็เป็นทหารของชาติ เป็นทหารของพวกเราทุกคน วันนี้ทหารไม่เคยไปเรียกร้องกับใคร ที่ผ่านมาตนเรียนไปหมดแล้วว่า ทุกอย่างต้องเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม "


หลังท่านผ.บ.ฯออกมาปฏิเสธข่าวกรณีทหารฆ่าโหด 6 ศพในวัดประทุมฯ ริมฝีปากท่านก็เริ่มหดตัวลงเรื่อยๆจนเล็กเท่ารูเข็ม จะดื่มจะกินอะไรก็ทำไม่ได้ แม้แต่หลอดโอเลี้ยงก็ยังทะลวงไม่เข้า หมอได้แต่เกาหัวสลับกับส่ายหน้า หมดปัญญาจะช่วย

ท่านมัคนายกวัดข้างบ้านได้ให้ความเห็นกับเราว่า น่าจะเกิดจากผลบาปที่ได้กระทำความชั่วต่อบุพการีหรือผู้ที่มีพระคุณ เช่นการตีพ่อตีแม่มือจะโตเท่าใบตาล ในกรณีของท่านผ.บ.ฯคือโกหกตอแหลต่อผู้มีพระคุณ (ประชาชน) ปากจึงเล็กลงเท่ารูเข็ม!

ท่านมัคนายกยังได้แนะวิธีแก้เคล็ด ซึ่งง่ายนิดเดียวคือนอนให้ประชาชนเข้าแถวกันกระทืบปากอันแสนโสมมสักพักก็จะหาย! Big Grin

วธ. เตรียมเสนอให้ ขรก. สวดมนต์ถวายเป็นพระราชกุศล 
ทุกเช้าก่อนเข้าประชุม


http://www.internetfreedom.us/thread-16028.html
ที่มา: ไทยรัฐ ออนไลน์ March 6th 2011


ผู้สื่อข่าวรายงานในการประชุมครม.วันที่ 8 มี.ค. กระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) ได้เสนอขอความเห็นชอบหลักการแนวทางการดำเนินงานส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม สำหรับข้าราชการและประชาชน เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล พระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 โดยให้หน่วยงานราชการจัดพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณ เพื่อปฏิบัติตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทยเมื่อวันที่ 9มิ.ย.2549 พร้อมจัดโต๊ะหมู่บูชา พร้อมธงชาติ และพระบรมฉายาลักษณ์/พระบรมสาทิสลักษณ์ประจำห้องประชุมกระทรวง กรม และพิธีจุดธูป เทียนบูชาพระรัตนตรัย รวมถึงไหว้พระสวดมนต์เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลฯทุกครั้งที่ มีการประชุม ยกเว้นพื้นที่ที่มีผู้นับถือศาสนาอื่น


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากนี้ยังให้กระทรวงวัฒนธรรมเสนอมหาเถรสมาคมเห็นชอบให้คณะสงฆ์เจริญ พระพุทธมนต์ทุวันธรรมสวนะ ให้กระทรวงศึกษาธิการ โรงเรียนและสถานศึกษาจัดกิจกรรมนำนักเรียน นักศึกษาเข้าวัดปฏิบัติธรรม ณ วัดที่ตั้งโรงเรียนหรือใกล้เคียงทุกวันพระหรือวันอาทิตย์ปิดภาคเรียน ยกเว้นพื้นที่ที่มีผู้นับถือศาสนาอื่น และให้โรงเรียนทุกแห่งจัดสวดมนต์ไหว้พระก่อนเข้าเรียนภาคเช้าทุกวัน และสวดมนต์เต็มรูปแบบในทุกวันศุกร์ก่อนเลิกเรียน


ขณะที่ กระทรวงมหาดไทยให้ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอทั่วประเทศเชิญชวนข้าราชการบุคลากรในสังกัดที่นับถือศาสนาพุทธเข้า วัดปฏิบัติธรรมตามรายชื่อวัดที่เข้าร่วมเข้าวัดวันอาทิตย์ รวมทั้งให้จัดพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณ เพื่อปฏิบัติตามพราชดำรัสฯ พร้อมจัดโต๊ะหมู่บูชาพร้อมธงชาติ และพบรมฉายาลักษณ์ และมีพิธีจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย และไหว้พระสวดมนต์ เพื่อถวายพระราชกุศลฯทุกครั้งที่มีการประชุม และยังให้ผวจ.ประสานงานกับคณะสงฆ์และส่วนราชการระดับส่วนกลาง ระดับจังหวัด และท้องถิ่น ขับเคลื่อนโครงการเข้าวัดวันธรรมสวนะ หรือ วันอาทิตย์สำหรับข้าราชการ และประชาชนในจังหวัดให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ และให้ตัวชี้วัดในภาพรวมของจังหวัดด้วย รวมทั้งให้กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการแบบเดียวกันด้วย


#################################


เดี๋ยวนี้ มีบังคับให้ทำบุญด้วยแฮะ...
สงสัยได้เวลาเบิกงบซื้อโต๊ะหมู่บูชากันแล้ว

การทำบุญเป็นเรื่องดี
แต่ตามหลักพระพุทธศาสนา...

...บุญ กรรม.. ใครทำ คนนั้นก็ได้นะจ๊ะ หึหึหึ

สถานการณ์ ลิเบีย 5 ม๊.ค.54
http://www.internetfreedom.us/thread-16026.html
กลุ่มต้านลิเบียยึดเมืองทางตะวันตกเพิ่ม ด้านทหารกัดดาฟีใช้รถถังยิงใส่กลุ่มต่อต้านคาดมีผู้เสียชีวิตราว 30 ขณะที่สภาแห่งชาติลิเบียมีประชุมลับครั้งแรก
กองกำลังฝ่ายต่อต้านรัฐบาลลิเบีย และพยายามขับไล่ พ.อ.มูอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำลิเบีย ยกกำลังรุกคืบยึดเมืองทางภาคตะวันตก ท่ามกลางความพยายามต่อต้านยึดคืนพื้นที่ โดยฝ่ายสนับสนุน พ.อ.กัดดาฟี ทั้งนี้ ต่างฝ่ายต่างมีอาวุธหนัก อยู่ในครอบครอง รวมทั้งปืนกล และเครื่องยิงจรวด การต่อสู้แย่งชิงยึดพื้นที่ดำเนินไปอย่างดุเดือด คาดว่า สถานการณ์รุนแรง จะยืดเยื้อต่อเนื่อง นานหลายสัปดาห์ หรืออาจเป็นหลายเดือน เพราะต่างฝ่ายต่างมีทหารช่วยสนับสนุน ซึ่งทำให้ยากต่อการได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด ขณะที่ พ.อ.กัดดาฟี ยังยืนกรานไม่ก้าวลงจากอำนาจ และจะปราบปรามฝ่ายต่อต้านอย่างถึงที่สุด


ขณะที่กองกำลังผู้จงรักต่อประธานาธิบดี มูอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำลิเบีย ล่าถอยออกจากศูนย์กลางของเมืองซาวิยาห์ ของฝั่งตะวันตกของประเทศลิเบียแล้ว เมื่อวันเสาร์ที่ 5 มี.ค. หลังจากการปะทะกับกลุ่มกบฏต่อต้านรัฐบาล อย่างดุเดือด ตลอดทั้งวัน


แพทย์ซึ่งประจำการ อยู่ในเมืองซาวิยาห์ กล่าวว่า มีประชาชนราว 30 คน เสียชีวิต ในระหว่างการต่อสู้ในวันเสาร์ที่ 5 มี.ค. ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตจากการปะทะ ในเมืองดังกล่าวช่วง 2 วัน ที่ผ่านมา พุ่งถึง 60 คนแล้ว
โดยสำนักข่าวรอยเตอร์สซึ่งอยู่บริเวณชานเมืองซาวิยาห์ รายงานว่า กองกำลังของรัฐบาล ได้ล้อมเมืองดังกล่าวไว้ และตั้งจุดตรวจในระหว่างราว 3 กิโลเมตร จากใจกลางเมือง พวกเขาเข้ามาในเมืองซาวิยาห์ตั้งแต่ช่วง 6 โมงเช้า พร้อมด้วยกองกำลังจำนวนมาก มีทั้งทหารจำนวนหลายร้อยนาย รถถัง และคาดว่ากำลังเตรียมที่จะเข้าบุกช่วงชิงพื้นที่อีกระลอก 


โดยตามรายงานของอัลจาซีรา ระบุว่า กัดดาฟี ได้ส่งกองกำลังเสริมเข้ามาสมทบ โดยแพทย์ ซึ่งเปิดคลินิกอยู่ในบริเวณใจกลางเมืองซาวิยาห์ ให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์ส ผ่านทางโทรศัพท์ รอยเตอร์ส ระบุว่า รถถังของทางฝั่งรัฐบาล ได้ยิงเข้ามาในอาคาร มีประชาชนอาศัยอยู่ รวมทั้งยิงเข้าใส่รถของพลเรือน ที่พยายามจะหนีด้วย เกิดความเสียหายจำนวนมากในเมือง ตนมองไปรอบๆ และทั้งหมดที่เห็นก็ คือ ซากความเสียหาย อาคารที่โดนระเบิด และรถที่ไหม้ดำ อยู่ทั่วทุกหนทุกแห่งในเมืองโฆษก กล่าวว่า พ.อ.มูอัมมาร์ กัดดาฟี ยังคงเข่นฆ่าประชาชน จึงต้องจัดการประชุมลับ เพื่อความปลอดภัย สภาแห่งชาติลิเบียมีสมาชิก 30 คน แต่งตั้งให้ นายมุสตาฟา อับเดล จาลิล อดีตรัฐมนตรียุติธรรมเป็นประธานสภา เขาแปรพักตร์ หลังการต่อต้านกัดดาฟี เริ่มขึ้นเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนฝ่ายต่อต้าน เผยว่า ได้ตั้งสภาท้องถิ่นตามเมืองต่างๆ ที่ยึดได้ทางตะวันออกของประเทศ และจะให้รัฐบาลชั่วคราว ทำหน้าที่จัดการเลือกตั้ง แม้ว่ากัดดาฟี ยังกุมอำนาจอยู่ในกรุงตริโปลี ก็ตาม


InnNews/AFP

CPJ:กรณีฟอกขาวของไทยในการสังหารมูราโมโต
http://www.internetfreedom.us/thread-16025.html
Posted by นักข่าวชาวรากหญ้า

[Image: ra357714813.jpg]

ที่มา คณะกรรมการคุ้มครองผู้สื่อข่าวโลก(CPJ)
http://www.cpj.org/2011/02/concerns-of-t...ters-m.php 


แปลโดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
5 มีนาคม 2554

Concerns of Thai whitewash in killing of Reuters'
Muramoto:กรณีการฟอกขาวของไทยในการสังหารช่างภาพของรอยเตอร์ นายมูราโมโต


[Image: capt1].photo_129881347056210.jpg]


กรุงเทพฯ, กุมภาพันธ์ 28, 2554
–คณะกรรมการคุ้มครองผู้สื่อข่าวโลก( The Committee to Protect Journalists-CPJ)
กังวลในความไม่แน่นอน ไม่คงเส้นคงวาของการสืบสวนของรัฐไทย
ในการสืบสวนการสังหารช่างภาพของรอยเตอร์ ฮิโร มูราโมโต
ซึ่งถูกฆ่าด้วยกระสุนปืนในขณะกำลังถ่ายทำการปะทะระหว่าง
ผู้ชุมนุมประท้วงรัฐบาลและกองกำลังความมั่นคงเมื่อ 10 เมษายน ปีที่แล้วในกรุงเทพฯ

กรมสืบสวนคดีพิเศษของประเทศไทย(DSI)กล่าวต่อผู้สื่อข่าววันนี้ว่า
การสืบสวนแสดงให้เห็นว่า มูราโมโต ไม่ได้ถูกยิงโดยกองกำลังความมั่นคง
ผลการสืบสวนแตกต่างจากผลสรุปก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง
เกี่ยวกับการเสียชีวิตของนักข่าว
ซึ่งเผยแพร่และรายงานโดยสำนักข่าวต่าง ๆ เมื่อปลายปีที่แล้ว
ซึ่งการค้นพบนั้น แสดงให้เห็นว่า กระสุนที่ยิงมูราโมโต
มาจากทิศที่ทหารตั้งกำลังอยู่และยิงมาจากปืน M-16 เจ้าหน้าที่ปฏิเสธ ว่า
เป็นแรงกดดันที่จะล้างความรับผิดชอบของกองทัพ

DSI แก้การชันสูตร
โดยใช้หลักฐานที่อ้างว่า มูราโมโต ถูกสังหารโดยกระสุนที่ยิงจาก AK 47
สืบเนื่องจากหัวหน้า DSI ธาริต เพ็งดิฐษ์ ซึ่งกล่าวต่อผู้สื่อข่าวในวันแถลงข่าว
เขาบอกนักข่าวว่าทหารติดอาวุธด้วยอาวุธที่แตกต่าง ได้แก่ M-16
ในช่วงการสลายการชุมนุมในวันนั้น

หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ รายงานวันอาทิตย์ว่า
ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ. ดาวพงศ์ รัตนสุวรรณ ไปเยือน DSI
เพื่อไปต่อว่าเกี่ยวกับการชันสูตรเบื้องต้นที่กล่าวหาว่า ทหารสังหารมูราโมโต
ธาริต ปฏิเสธว่าเขาไม่ได้พบดาวพงศ์ในการแถลงข่าว
บางกอกโพสต์รายงานว่าทหารไทยราว 20,000 คน ติดอาวุธ AK 47 ด้วย

“ความแตกต่างของการชันสูตรเบื้องต้นของการสืบสวนของการตายของนักข่าว
ฮิโร มูราโมโต เป็นการตั้งคำถามเกี่ยวกับความเป็นอิสระของการสืบสวนของรัฐ”
ฌอน คริสปิน ผู้แทนระดับสูงฝ่ายเอเชียตะวันออกของ CPJ กล่าว
“เรากังวลอย่างยิ่งต่อรายงานว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทหารอาจกดดัน DSI
ในการเซ็นเซอร์ผลการชันสูตรเบื้องต้น”

หัวหน้าบรรณาธิการของสำนักข่าว ทอมสัน รอยเตอร์
นายสตีเฟ่น เจ แอดเลอร์ กล่าวในแถลงการณ์ว่า
“ความขัดแย้งที่เด่นชัดของการสืบสวนเบื้องต้นและรายงานนี้
ทำให้เห็นชัดแจ้งเกี่ยวกับกระบวนการและผลลัพธ์ที่เกิดจากการถูกบังคับ”

อย่างน้อย 90 คนถูกสังหาร และกว่า 1,800 คน บาดเจ็บ
ระหว่าง เมษายน และพฤษภาคม ในปี 2553 เป็นความรุนแรงทางการเมือง
ที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของไทย
นักข่าว 2 คน มูราโมโตและนักข่าวอิสระชาวอิตาเลียน ฟาบิโอ โพเลงกี ถูกฆ่าตาย
และอย่างน้อย 9 ราย ที่นักข่าวไทยและต่างชาติบาดเจ็บสาหัส
ในขณะที่กำลังเก็บภาพการปะทะระหว่างกองทัพและผู้ชุมนุม

ผู้เชี่ยวชาญนิติวิทยาศาสตร์ของตำรวจ พล.ต.ท. อัมพร จารุจินดา บอกผู้สื่อข่าว
เมื่อวันจันทร์ว่า ยัง “ไม่เป็นที่แน่ชัด” ว่าใครยิง โพเลงกี (สืบเนื่องจาก AP) เขากล่าวว่า
การสืบสวนของ โพเลงกียังดำเนินการอยู่

การสืบสวนของCPJ ของปีที่แล้ว
“ความไม่สงบในประเทศไทย นักข่าวตกอยู่ในอันตราย” เปิดเผย
กรณีของการขัดขวางจากรัฐในการสอบถามจากเอกชน
ในกรณีการเสียชีวิตของมูราโมโต และโพเลงกี
แหล่งข่าวของ CPJ กล่าวว่าทหารปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์นายทหารที่เชื่อว่า
อยู่ใกล้กับมูราโมโตในขณะเวลาที่เขาถูกยิง

DSI ไม่เปิดเผยว่า ผลนั้นมาจากกล้องวงจรปิด
ในบริเวณที่รัฐบาลครอบครอง ที่มูราโมโตเสียชีวิต ธาริตกล่าวว่า
รายงานของ DSI จะส่งไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
“ซึ่งอาจจะมีหลักฐานเพิ่มเติมที่จะทำให้กระจ่างขึ้น”

ทั้งนี้จากรายงานของสำนักข่าว AP
http://www.forbes.com/feeds/ap/2011/02/2...29320.html 


******

เรื่องเกี่ยวเนื่อง:
ดูจะๆ!! ใบชันสูตรศพ "ฮิโรยูกิ" นักข่าวญี่ปุ่นระบุ "กระสุนความเร็วสูง" ไม่ใช่ "อาก้า"??
http://thaienews.blogspot.com/2011/02/blog-post_28.html 





http://thaienews.blogspot.com/2011/03/cpj.html

สัมภาษณ์ “ร.ต.ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล” (บางส่วน)
http://www.internetfreedom.us/thread-16029.html
ณ วันนี้ สถานการณ์การเมืองไทยกำลังเร่าร้อน...
จึงอยากให้ฟัง “มุมมอง” ที่ “เร่าร้อน” แบบครบรสชาด...
ตามสไตล์ “เป็นปลื้ม” กับ “คุณปลื้ม”...อีกสักครั้ง!!!



Q : ที่บอกว่า “ม็อบมีเส้น” กับ “รัฐบาลมีแบ็ก” คนที่อยู่เบื้องหลังทั้ง 2 กลุ่ม มีการมองกันว่าเป็นคนกลุ่มเดียวกัน เพราะพันธมิตรฯมีส่วนช่วยให้ประชาธิปัตย์มาเป็นรัฐบาลได้ แม่ยกของทั้ง 2 ฝ่ายจะไม่พูดคุยกันหรือ แล้วเชื่อว่าพันธมิตรฯชุมนุมคราวนี้ มีเป้าหมายที่จะล้มรัฐบาลที่อาจเรียกได้ว่ ามีส่วนตั้งขึ้นมาก่อนกับมือจริง

A : อย่าลืมว่าพันธมิตรฯเขายังมีอิทธิพลในการระดมคนผ่านเว็บไซต์ Manager คือสาวก Manager หลักๆยังไงถ้าสนธิ (ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ) เป่านกหวีดให้ชุมนุม ผมคิดว่าตัวเลขก็ยังอยู่ที่อย่างน้อยหลายๆพัน สบายๆ ก็ไม่น้อย แต่ว่าถามว่าน้อยกว่าฐานเสียงประชาธิปัตย์ (ปชป.) มั๊ย ถ้าปชป.จะขนคนมาชุมนุม ผมคิดว่าก็ยังน้อยกว่า มันก็พิสูจน์ไงว่า ถ้าเกิดคุณย้อนกลับดูการชุมนุมในปี 2549 คือตอนนั้นคุณมีทั้งฐานเสียงปชป. ที่ออกมาชุมนุม บวกกับกระแสต่อต้านพ.ต.ท.ทักษิณในยุคนั้นผสมกัน โดยพูดง่ายๆประชาสัมพันธ์ผ่านกระบอกเสียง Manager ตอนนั้นเต็มที่เลย คนมันเลยเยอะ แต่ตอนนี้คุณแบ่งออกเป็นฐานเสียงปชป. เขาไม่ออกมาชุมนุม คนกรุงเทพฯที่เชียร์ปชป.เขาไม่ออกมาชุมนุม อันนี้ก็ลดไปเยอะนะ แล้วจากภาคใต้ที่เชียร์ปชป.เขาก็ไม่ขึ้นมา ก็จะเหลือเฉพาะสาวก Manager เต็มๆ เพียวๆเลย หรือไม่ก็กลุ่มที่คลั่งชาติมากเกินปกติ พวกนี้ก็ออกมา แต่กลุ่มนี้ยังไง...ถ้าเฉพาะแค่นี้ไม่พอ สันติอโศกก็ไม่ได้เยอะขนาดที่สามารถเปลี่ยนเกมได้

“มันแตกต่างนิดนึง Perception (การรับรู้) ของคนไทยในยุคปี 2549 ตอนนั้น เวลาพันธมิตรฯอ้างสถาบัน พอคนส่วนใหญ่คล้อยตามแล้วเชื่อ เขาออกมาชุมนุม ด้วยความรักที่เขามีต่อสถาบัน ก็คือพูดง่ายๆ ตอนนั้นการอ้างของแกนนำพันธมิตรฯ ภาพที่ออกมาคนเชื่อเยอะ แล้วเขาก็ออกมาเคลื่อนไหวด้วย แต่ ณ เวลานี้ อ้างไม่ค่อยติด (หัวเราะ) คือตอนนั้นที่โค่นทักษิณ อ้างโดยคำพูดที่ใช้บนเวที ถ้าอ้างสถาบันไม่รู้ทำไมตอนนั้นอ้าง แล้วคนเชื่อเยอะ อาจจะมีเหตุผลอย่างอื่นนะ แต่ว่าวันนี้อ้างสถาบันในการเคลื่อนไหวครั้งนี้มันไม่ค่อยได้ ด้วยเหตุผล และความที่รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลที่อยู่ภายใต้เครือข่ายอำมาตยาธิปไตยอย่างค่อนข้างออก​นอกหน้ามาตลอดในช่วงที่ปราบกลุ่มคนเสื้อแดง ก็เลยอ้างประเด็นนี้ไม่ค่อยติด พอประเด็นนี้ไม่ได้ พันธมิตรฯก็เลยเสียฐานในส่วนนี้ไปเยอะ”

คือในช่วงโค่นพ.ต.ท.ทักษิณ บางคนที่เขารักสถาบันซึ่งเชื่อตามที่แกนนำพูดหมด เขาออกมาทันทีเลยไง แต่ว่ากลุ่มนั้นซึ่งเยอะ เขาไม่ออกมาคราวนี้ เพราะว่านี่เป็นเรื่องอะไรวะ...เอ็มโอยู 43 คือมันเรื่องนอกโลกสำหรับคนที่เขาติดตามทั่วไป ซึ่งเขาไม่รู้ว่าเอ็มโอยู 43 คืออะไร พื้นที่พิพาทอยู่ตรงไหน คือเรื่องสถาบันครั้งนี้พูดง่ายคือ “อ้างไม่ได้-อ้างไม่ติด”


Q : แล้วคนที่แบ็กทั้ง 2 ฝ่ายจะไม่คุยกันหรือ

A : ทุกวันนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าใครแบ็กพันธมิตรฯ คือมันแตกต่างไปจากเดิมนะ (หัวเราะ) ถ้าคุณถามผมว่า “ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง” ยังสนับสนุนรัฐบาลนี้อยู่หรือเปล่า “กลุ่มคนที่โค่นพ.ต.ท.ทักษิณออกไป” ยังสนับสนุนรัฐบาลนี้อยู่หรือเปล่า ผมคิดว่า “ยังสนับสนุน” คือผมไม่เชื่อว่าผู้ที่มีอำนาจดึงคุณอภิสิทธิ์มาเป็นนายกฯ ขับไล่พ.ต.ท.ทักษิณออกไป วันนี้อยากให้พันธมิตรฯขึ้นมาเป็นใหญ่ แล้วก็มีนายกฯคนใหม่ ผมไม่เชื่อว่าอยู่ดีๆเขาจะเปลี่ยนม้าอย่างนั้น แต่นี่คือสิ่งที่พันธมิตรฯเขาต้องการให้เชื่อ


Q : โอกาสที่จะมีการเปลี่ยนตัวนายกฯ เปลี่ยนตัวผบ.ทบ. ก็น้อยมาก

A : คอนเซปต์แบบพันธมิตรฯคือต้องการนายกฯคนใหม่ ผบ.คนใหม่ ที่ทำนโยบายตามพันธมิตรฯเลย แต่ผมว่าไม่ใช่คอนเซปต์ที่ผู้ที่มีอำนาจในการปกครองบริหารบ้านเมือง...เอาด้วย แต่นั้นคือสิ่งที่พันธมิตรฯอาจต้องการให้คนเชื่อ แต่ว่าครั้งนี้บังเอิญคนก็คงไม่เชื่อ แต่ถามว่าสำหรับผม อันนี้ถ้าในช่วงนี้จะต้องสนับสนุนรัฐบาลให้รัฐบาลนี้อยู่ไปเรื่อยๆ เพื่อให้พันธมิตรฯต้องเก็บ พับกระเป๋ากลับบ้านไป ผมคิดว่าดี...คุ้ม ผมมองว่ารัฐบาลนี้ไม่ได้มีพิษมีภัยเท่ากับการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ซึ่งการเคลื่อนไหวของพันธมิตรปลุกกระแสคลั่งชาติ กระตุ้นให้มีสงครามกับประเทศเพื่อนบ้าน แล้วแกนนำก็พร้อมที่จะใส่ข้อมูลอะไรมาก็ได้ เพื่อที่จะให้โค่นล้มรัฐบาลนี้ไป คือพร้อมที่จะใช้กำลังในทุกด้าน ให้ทหารเข้ามายุ่งกับทุกเรื่อง คือมันเป็นศัตรูต่อประชาธิปไตยมากกว่านักการเมืองเยอะ


Q : ประเมินแล้วเกมของพันธมิตรฯด้วยการใช้หมากนี้ รัฐบาลจะเพลี่ยงพล้ำหรือไม่

A : “รัฐบาล” จะเพลี่ยงพล้ำด้วยฝีมือการบริหารที่ย่ำแย่อยู่แล้ว นี่คือคอนเซปต์ นี่คือปัญหาของเมืองไทยตอนนี้ คือว่าผู้ที่มีอำนาจบริหารปกครองบ้านเมือง ไม่ต้องการให้ “เพื่อไทย” เป็นรัฐบาล แต่ในขณะเดียวกันทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจว่า รัฐบาลนี้บริหารประเทศไม่ดีพอ ผลงานไม่มากพอควรที่จะได้รับโอกาสกลับมาบริหารประเทศอีกรอบ ตอนนี้คุณจินตนาการ “เพื่อไทย” มาเป็นรัฐบาลไม่ได้เพราะว่าผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองไม่ยอมให้ “เพื่อไทย” เป็นรัฐบาล ในขณะเดียวกันประชาชนพร้อมจะเลือก “เพื่อไทย” อาจจะไม่ใช่เสียงข้างมาก แต่ส่วนใหญ่ แต่ว่าบังเอิญผมคิดว่ากลุ่มคนเดียวกันที่รู้ว่า...เฮ้ยปล่อยให้ “เพื่อไทย” มา ไม่ได้ เขาก็รู้ว่าไม่มีคนๆไหน แม้กระทั่งผมคิดว่าคนในประชาธิปัตย์เองที่มองว่าคุณอภิสิทธิ์ควรได้เป็นนายกฯอีกรอบห​นึ่ง มันก็เลยมาถึงทฤษฎีที่ว่าควรจะให้คนอื่นมาบริหารประเทศแทนในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า แล้วค่อยมีการเลือกตั้ง นี่คือที่มาของทฤษฎีที่จะยึดอำนาจแล้วก็ให้คนโน่นคนนี้มาเป็น ซึ่งในความเป็นจริง สมมติคุณสุรเกียรติ์ เสถียรไทย(อดีตรมว.ต่างประเทศ) และคนอื่นเป็นนายกฯได้ดีกว่าคุณอภิสิทธิ์มั๊ย...ดีกว่า แต่ว่าถ้าทำอย่างนั้น มันก็คือไปละเมิดกลไกทางประชาธิปไตยอีกครั้งหนึ่ง แล้วเป็นการแก้ไขปัญหาช่วงแค่ระยะสั้น

ความจริงเกมการเมืองมันจะไปถึงช่วงที่มีบุคคลากรทางการเมืองที่มีคุณภาพมาเป็นนายกฯไ​ด้ ในช่วงปี 2555 เดือนมิ.ย.อยู่แล้ว 111 (บ้านเลขที่ 111 ) ก็กลับมา อย่างน้อยบางคนก็มีศักยภาพพอที่จะเป็นนายกฯที่ดีกว่าคุณอภิสิทธิ์ ผมคิดว่าถ้ารอถึงช่วงนั้นก็ดี คือผมมองว่าตอนนี้พันธมิตรฯก็ให้เขาเคลื่อนไหวครั้งสุดท้าย ให้เขาปลุกเท่าที่ปลุกได้ ให้เขาก่อกวนเท่าที่ทำได้ นี่คือเฮือกสุดท้ายของคุณสนธิ ในรูปแบบของนักปลุกระดม แต่ว่าสื่อ Manager ก็คงอยู่ต่อไป เป็นสื่อ เป็นเว็บที่มีอิทธิพลมากที่สุด แต่ว่าก็ปล่อยให้เขาตีรวนตอนนี้ไป ให้รัฐบาลเผชิญกับปัญหานี้ไป แต่ในมุมมองผมต้องให้รัฐบาลอยู่ต่อไปเรื่อยๆ อยู่ต้านทานพันธมิตรฯนี่แหละ แล้วให้ทุกคนตั้งความหวังว่าการเมืองไทยจะมีผู้บริหารที่มีคุณภาพในช่วงมิ.ย.ปี 2555 จากตอนนี้ถึงตอนนั้นก็ทนๆไปเถอะ มันไม่มีอะไรมาก


Q : อย่าง “ผู้มีอำนาจ” ที่ควบคุมรัฐบาลนี้อยู่ จะรอจนกระทั่งถึงเดือนมิ.ย.ได้หรือไม่ โอกาสที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงตามทฤษฎีหานายกฯคนใหม่มานั่งเป็นไปได้มาก-น้อยแค่ไหน

A : มีช่องทางในการทำให้เกิดขึ้นหรือเปล่า ผมบอกเลยว่าอยู่ที่ 3 กลุ่ม คือการยึดอำนาจแล้วให้นายกฯที่มีฝีมือมาบริหารประเทศ มีฝีมือมากกว่าคุณอภิสิทธิ์เนี่ยเกิดขึ้นได้ แต่...ผมไม่เห็นด้วยนะ แต่จะเกิดขึ้นได้ถ้าเกิด 3 กลุ่มยอมรับ

กลุ่มที่ 1 คือพันธมิตรฯเอง ให้พันธมิตรฯไม่ออกมาเคลื่อนไหว หยุดการชุมนุม หยุดตีรวน หยุดก่อกวนทุกอย่าง Manager ก็ เสนอข่าวที่มองโลกในแง่ดี แล้วก็ไม่ได้วาดภาพให้การเมืองไทยมันดิ่งลงเหวตลอดเวลา แล้วก็ 2.เสื้อแดงยอมรับ เสื้อแดงยอมรับในรัฐบาลใหม่นี้ ที่แบบยึดอำนาจมา ซึ่งทั้ง 2 อย่างนี้ก็ Impossible (เป็นไปไม่ได้) และ 3.คือประชาธิปัตย์ต้องยอมรับด้วย อย่าลืมนะว่าถ้ามีรัฐบาลที่ยึดอำนาจจากคุณอภิสิทธิ์ ถ้าคุณอภิสิทธิ์และพรรคพวกในปชป.ไม่ยอมรับ ไม่เอาด้วย ถ้าปชป.จัดเวทีชุมนุม เขาเอามาได้ผมว่าเป็นแสน...อย่างน้อย ผมว่าหลายแสน ศักยภาพของปชป.และหัวคะแนนของพรรคนี้ทั้งประเทศ ถ้าเขาจะชุมนุม ผมคิดว่า...ถ้าไม่เท่าก็มีโอกาสใกล้เคียงกับเสื้อแดงชุมนุม ถ้าเขาเล่นจริงนะ คือพูดง่ายๆที่ผ่านมายึดอำนาจแล้วปชป.เขายอมด้วยไง ยึดอำนาจจากคุณทักษิณ แต่ว่าถ้าปชป.ไม่ยอมด้วยคุณคิดดู เขาเอามาชุมนุม รัฐบาลใหม่ยึดอำนาจมาแล้วอยู่ไม่ได้นะ คือมันไม่ง่ายนะ คือคราวที่แล้วหลังยึดอำนาจจากพ.ต.ท.ทักษิณ คนชุมนุมน้อย ปชป.เขาเห็นด้วยแล้วเขาก็ยอม แต่ลองคุณอภิสิทธิ์ คุณชวน (หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี) ประกาศบอกฐานเสียงปชป.ออกมาชุมนุมเลยที่กรุงเทพฯวันนี้ ผมคิดว่าก็เป็นแสน อย่าลืมคิดถึงอันนี้นะ มันทำได้ไม่ยาก

“ผมว่า...ผมรอไปก่อน คือคุณอภิสิทธิ์เป็นนายกฯไป หลังเลือกก็เชิญ...เชิญ...มิ.ย.55 คุณภาพของรัฐมนตรีจะดีขึ้น คุณภาพรัฐมนตรีดูทุกวันนี้สิ คือแบบ...(หัวเราะ) มันไม่ใช่อะไร คือคุณภาพรัฐมนตรีมันเริ่มห่วยลงมาเรื่อยๆไง ถ้าคุณสังเกต แล้วมันไม่ใช่ความผิดของคนพวกนี้นะ ผมว่า...เขากำจัดนักการเมืองไปเยอะมาก”


Q : ที่มีการทำนาย มีการคาดการณ์ว่า คุณอภิสิทธิ์จะได้กลับมาเป็นนายกฯรอบ 2

A : คงเป็นสักพัก ผมคิดว่าคุณอภิสิทธิ์ได้เป็นนายกฯหลังเลือกตั้งอีก แล้วก็รอมิ.ย.ปี 55

Q : ไม่ใช่เพราะเก่ง

A : มันไม่มีคนอื่น คือผมไม่รู้ว่าคุณเอกยุทธ (อัญชันบุตร เจ้าของเว็บไซต์ไทยอินไซเดอร์) เขาคิดยังไงเรื่องนี้ คุณเอกยุทธเขาเป็นโรคแอนตี้นักการเมืองมาก ในมุมมองของผม นักการเมืองไทยไม่ได้เลวกว่านักการเมืองประเทศอื่น คุณภาพในบุคลากรใน 111 ที่จะกลับมา คนที่เป็นแคนดิเดตนายกฯ เป็นได้ดีๆ อย่างจาตุรนต์ ฉายแสง (อดีตรองนายกฯและรมว.ศึกษาธิการ) สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ (อดีตรองนายกฯและรมว.คลัง) มีสุรเกียรติ์ เสถียรไทย อย่างน้อย 3 คนนี้ ก็พอไปไหว ในมุมมองของผมสมมติผมทนกับคุณอภิสิทธิ์ไปจนถึงกลางปีหน้า เขาเลือกตั้งครั้งหน้าประชาธิปัตย์ก็อาจกลับมา เขาจับมือกับภูมิใจไทย ถ้าคุณจาตุรนต์มาเป็นหัวหน้าเพื่อไทย เป็นฝ่ายค้าน สมมติปชป.ได้เป็นรัฐบาลต่อ ไม่นานคุณจาตุรนต์ก็ได้เป็นนายกฯ ถ้าไม่ถูกใครสกัด คือคุณสมคิดไปอยู่ภูมิใจไทย คือผมว่าต้องอดใจรอปี 55 เดือนมิ.ย. แสงสว่างจะเริ่มปรากฏ โดยที่ไม่จำเป็นต้องทำอะไรมาก ตอนนี้ก็แก้รัฐธรรมนูญ ต่างคนต่างอยู่กันไป อดทนรัฐบาล สำหรับผมในฐานะสื่อมวลชนน่าเบื่อมาก ผลงานไม่หวือหวาไม่ตื่นเต้น สำหรับคนไทยก็ไม่มีอะไรที่ก้าวกระโดดมาก ถ้าลองคิดดูปี 55 มิ.ย.มีทั้งเนวิน ชิดชอบ มัน Superstar กลับมาไง ทีนี้การเมืองจะคึกคัก (หัวเราะ)


Q : มีข่าวว่าปชป.อาจจับมือกับเพื่อไทย คุณสุเทพ (เทือกสุบรรณ รองนายกฯ) ไปแอบคุยกับคุณทักษิณ เชื่อได้มากน้อยเพียงใด

A : คิดว่าไม่มีการคุยกันนะ ในระดับ...ถามว่าปชป.จะเป็นพรรคร่วมรัฐบาลกับเพื่อไทยหรือไม่ ถ้าหัวหน้าพรรคปชป.เป็นคุณอภิสิทธิ์...ไม่มี เพราะว่าปชป.เขามีหลักการในจุดยืนที่ผ่านมา คือเขาไม่เอาด้วยกับระบอบทักษิณ เขาเปลี่ยนจุดยืนตรงนี้ไม่ได้ เขาไม่เปลี่ยน ในกรณีของพันธมิตรฯ คุณสนธิเองถ้าเขาอยู่ดีๆ กลับมาคืนดีกับคุณทักษิณ ถ้าเขาอยู่ดีๆ บินไปคูเวตอย่างที่มีหนังสือพิมพ์มาปล่อยข่าว ก็แสดงว่า 4 ปีที่ผ่านมานี่ ที่เขาพูดเขาต้องยอมรับว่าเขาโกหก ซึ่งผมมองว่าเขาคงไม่ทำอย่างนั้น เพราะฉะนั้นการคืนดี ผมมองว่าไม่น่าเกิดขึ้น แล้วมันเกิดขึ้นไม่ได้ด้วย สำหรับคนที่เป็นผู้นำในระดับนี้ ทั้งคุณสนธิและคุณทักษิณ ไม่มีสิทธิ์ที่จะพบกันอีก

เพราะว่าการที่คุณสนธิกับคุณทักษิณจะพบกัน พูดคุยกัน เป็นการทรยศต่อคนที่เคารพต่อจุดยืนของ 2 คนนี้ คือเสียทั้งคู่ คือพูดง่ายการพบปะกัน ทำข้อตกลงกันหรืออะไร เป็นการละเมิดต่อศรัทธาที่เขาเคยได้รับ แล้วก็ยังได้รับอยู่จากบรรดาสาวกของเขา เพราะฉะนั้นผมเชื่อว่าไม่เกิดขึ้น และเป็นการปล่อยข่าวมาเฉยๆเพื่อต้องการลด ต้องการรวมศัตรูรัฐบาลไปอยู่กลุ่มเดียว สะดวกดี แต่ว่าการคืนดีเกิดขึ้นไม่ได้ แล้วก็ไม่ควรจะเกิดขึ้น ถ้าเกิดขึ้น...แสดงว่าที่ผ่านมาคุณสนธิที่กล่าวหาฝ่ายคุณทักษิณมา ก็กล่าวหาเพื่อผลประโยชน์ หรือเพื่ออะไร เพราะฉะนั้นดีเสียกว่า ก็แสดงจุดยืนเดิมต่อไป ไม่ต้องเปลี่ยน


Q : คุณสนธิกล่าวหาว่าคนใกล้ชิดนายกฯเป็นคนปล่อยข่าวเพื่อลดทอนความน่าเชื่อถือในช่วงการ​ชุมนุมของพันธมิตรฯ

A : ใช่...นี่คือความเฉลียวของด้านมืดของปชป. ที่เล่นเกมอย่างนี้ในช่วงเวลาที่คนสับสนว่านี่มันทำอะไรกันอยู่ แล้วคนที่เชื่ออะไรง่ายๆก็จะเชื่อว่า...อ๋อใช่ นี่เขาจับมือกันเพื่อโค่นรัฐบาลนี้ รัฐบาลนี้ดี พวกนี้มัน...เลว คือมันง่ายมันเป็นการเล่านิทานให้คนฟัง

“ปัญหาของผมคืออย่างนี้ สิ่งที่ตลกที่สุดคือคุณสนธิ โดยลักษณะนิสัยบุคลิกจริงๆแล้วเป็นคนที่สนุกและน่ารัก และจุดยืนทางการเมืองจริงๆของเขา มันไม่ใช่จุดยืนที่เขาได้พูดและแสดงออกมาบนเวทีพันธมิตรฯในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เขาไม่ได้เชื่อว่า...เท่าที่ผมได้คุย เขาไม่ได้เชื่อว่า เครือข่ายอำมาตยาธิปไตยมีอิทธิพลที่ดีต่อการพัฒนาประเทศชาติ เขาไม่ได้เชื่ออย่างนั้น แต่เขาต้องพูดออกมาอย่างนั้นเพื่อให้ฝ่ายทักษิณนั้นดูแย่ คือมันตลกในความเป็นจริง ถ้าคุณสนธิย้อนกลับไปดูคำพูดของตัวเองในช่วงปี 47-48 ตอนนั้นพูดได้เป็นหลักเป็นการมากด้วยซ้ำไป อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของคุณสนธิจนถึงปัจจุบันก็ได้ ลึกๆอยู่ข้างใน แต่บังเอิญถูกกลบด้วยคำพูดที่ใช้ วาทะศิลป์ที่ใช้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จนสายเกินไปที่จะย้อนกลับไปตรงนั้นแล้ว”

คุณทักษิณถ้ายอมคบกับคุณสนธิก็เสียหาย สำหรับบรรดากลุ่มคนเสื้อแดงและกลุ่มคนต่อสู้เพื่อฝ่ายประชาธิปไตยใหม่ ก็เสียหายเหมือนกันถ้าคุณทักษิณปล่อยให้คุณสนธิมาลวง บางเรื่องคุณฟังคุณรู้มันไม่มีเหตุผล เดิมที่เคยพูดมันมีเหตุผล มันฟังมันฟังออก เหมือนสุริยะใส กตะศิลา (เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่) ถ้าคุณเคยฟังเขาพูด หรืออ่านที่เขาเขียนในสมัยที่เขายังเป็นหนุ่มๆ คุณจะเข้าใจเลยว่าจุดยืนของพันธมิตรฯ มันไม่ใช่...โดยอุดมการณ์โดยรวม มันไม่ใช่จุดยืนของเขา มันไม่ใช่ แต่บังเอิญเขาไปอยู่ในค่ายที่ทุกอย่างที่ฝ่ายทักษิณ หรือแดงทำมันไม่ดี เขาก็เลยต้องแสดงจุดยืนนั้นมาตลอด มันเลยกลายเป็นตัวของคนพวกนี้ไปหมด แต่ลึกๆผมว่าคนพวกนี้เขามีความเป็นประชาธิปไตยมาก แต่อย่างที่บอก ถ้าเขาทรยศต่อจุดยืนที่เขาได้สร้างขึ้นมาเมื่อไหร่ สาวกของเขาก็จะรู้สึกว่า “อะไรวะ”


เพราะฉะนั้นคอนเซปต์ “แดงบวกเหลือง” แล้วเป็นพลังประชาชนที่บริสุทธิ์ที่สุดอะไรอย่างนี้...ไม่มี เพราะว่าโดยอุดมการณ์มันขัดแย้งกันมาก ฝ่ายเหลืองต้องการการตรวจสอบนักการเมือง ต้องการเพิ่มอำนาจให้กับองค์การและสถาบันที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง โดยแนวคิดแล้ว ผิดหลักประชาธิปไตย ต้องการเพิ่มอำนาจให้กับฝ่ายตุลาการ เพิ่มอำนาจให้กองทัพ ต้องการเพิ่มอำนาจให้องค์กรอิสระอย่าง ป.ป.ช. ต้องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์นักการเมืองที่ถูตรีตราว่าโกงกิน นี่คือคอนเซปต์พันธมิตรฯ เคลียร์ๆเลยนะ พร้อมที่จะใช้กำลังในการตอบโต้กับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งที่ไม่จำเป็น คอนเซปต์เสื้อแดงที่ผ่านมาคือ ต้องการเลือกนายกฯ ต้องการให้นายกฯเลือกผบ.ทบ.ได้ ต้องการให้ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญไม่ต้องเข้ามายุ่งกับอำนาจของฝ่ายบริหาร ต้องการให้ผู้พิพากษาเป็นกลางในการดำเนินคดีกับประชาชนทุกๆกลุ่ม ส่วนหนึ่งต้องการให้ช่วยเหลือพ.ต.ท.ทักษิณ...มันเป็นการขัดแย้งในอุดมการณ์ ของ 2 สีที่ไม่จำเป็นต้องดีกัน แล้วถ้าเป็นไปอย่างที่เป็นคือ อุดมการณ์ของฝ่ายเสื้อเหลืองควรจะค่อยๆสลายหายไปจากสังคม ยกเว้นบางเรื่อง อุดมการณ์ฝ่ายเสื้อแดงควรค่อยๆแพร่กระจายมีอิทธิพลมากขึ้น ยกเว้นบางเรื่อง แต่ไม่ควรมารวมกัน เพราะเสียหายเปล่าๆ

“แต่มันเป็นสิ่งที่ชัดเจนนะว่า...ผมบอกเลยว่า ฝ่ายที่เขาคิดว่าเป็นมิตรกับคุณสนธิได้ ฝ่ายเนชั่น ฝ่ายปชป. เขาควรที่จะเรียนรู้แล้วว่า เป็นมิตรกับคุณสนธิพอถึงเวลาก็เจออย่างนี้ คือแบบจะเรียนรู้ ซึ่งผมก็พูดมาตลอด จุดยืนแดงส่วนใหญ่ถูก แต่ภาพลักษณ์ออกมารุนแรง ภาพลักษณ์พันธมิตรฯส่วนใหญ่โอเค แต่จุดยืนผิด เพราะว่าแกนนำ..แกนนำพันธมิตรฯสามารถค่อยๆ ปรับจุดยืนให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น แล้วสาวกเขาก็จะค่อยๆเชื่อตาม”


Q : การเปลี่ยนตอนนี้ถ้าจะเกิดขึ้นอาจไม่ใช่เพราะเหลือง เพราะแดง แต่ขึ้นอยู่กับคนที่มีอำนาจในประเทศนี้ที่สามารถควบคุมทุกอย่างได้ต้องการ ถึงจะเกิดขึ้น

A : การเปลี่ยนแปลงในลักษณะที่เราได้เห็นในต่างประเทศที่ตูนีเซีย ที่อียิปต์ แล้วก็อาจมีในหลายประเทศที่ประชาชนลุกฮือขึ้นมาเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย ที่สมบูรณ์แบบ ในบ้านเราคงจะไม่ได้เห็น เพราะว่าประชาชนคนไทยรวมทั้งผมเอง (เอานิ้วชี้ที่ตัวเอง) ยังมีกรอบทางความคิด ซึ่งอยู่ในกรอบของประเพณีและวัฒนธรรมอยู่ คือความเดือดของแรงปรารถนาทางประชาธิปไตย ที่มันเพียวๆสมบูรณ์แบบ มันยังอยู่ภายใต้กรอบของขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรม ที่เราได้รับการหล่อหลอมมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะฉะนั้นจะเห็นเราออกมาเดือดขนาดในอียิปต์ ผมว่าไม่ขนาดนั้น อย่างมากสิ่งที่จะได้เห็นก็คือว่าจะมีการสร้าง Paradigm ขึ้นมา แล้วหวังว่าจะเกิดขึ้นได้ในยุคที่ผมโตเป็นผู้ใหญ่ ที่เราเลือกนายกฯคนใหม่ขึ้นมา ทำงานดีเด่น สง่างาม ผลักดันเศรษฐกิจประเทศชาติโต ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม เสร็จแล้วองค์กรศาลรัฐธรรมนูญ สถาบันกองทัพ สามารถปล่อยวางจากอิทธิพลของฝ่ายการเมืองที่ขึ้นมาเป็นใหญ่ ต้องปล่อยวางไปได้ นั่นคือ New Paradigm สำหรับเมืองไทย นอกเหนือไปจากนั้นผมไม่ได้หวังอะไรไปมาก ถ้าเราเดือดถึงขั้นนั้น คนไทยสามารถสลัดบางส่วนที่เขาสมมติว่าเป็นความเป็นไทยออกไปได้ แล้วไปเคลื่อนไหวบนท้องถนนแบบที่อียิปต์ แล้วเรียกร้องประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ แต่ผมเชื่อว่าคนไทยยังสลัดออกไปไม่ได้ ก็เอาแบบที่พอไปได้

“คนรุ่นใหม่” เขาไม่พร้อมที่จะเปลี่ยนสถาปัตยกรรมทางการเมืองของประเทศ คือ Governing Architecture ของประเทศมันไม่ได้เปลี่ยนไป ตราบใดที่สถาปัตยกรรมทางการเมืองของประเทศไม่เปลี่ยนไป ผู้พิพากษาและทหารนั้นจะมีอิทธิพลแบบนี้ ไปเรื่อยๆ องคมนตรีก็เหมือนกัน ถามว่าคนไทยรุ่นใหม่เติบโตขึ้นมาจะสลัดกรอบแห่งขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรม ออกไปถึงขั้นที่จะเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาปัตยกรรมทางการเมืองของชาติ มั๊ย...ผมคิดว่ายัง (หัวเราะ) เพราะฉะนั้นสิ่งเดียวที่ยังหวังได้ก็คือ ขอแค่เลือกตั้งนายกฯที่มีคุณภาพขึ้นมา แล้วก็มีรัฐมนตรีที่เก่งกาจขึ้นมา แล้วก็บรรดาป.ป.ช. ศาลรัฐธรรมนูญ กองทัพ คุณถอยๆไป ให้นักการเมืองบริหารประเทศ แล้วก็ให้มันโกงกินน้อยที่สุดเท่าที่จะได้ แต่ว่าให้มันบริหารประเทศ ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน คือถ้าไปยุ่งมากมันก็เป็นอย่างนี้

ปัญหา ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเพราะมีผู้มีอิทธิพลในโครงสร้างสถาปัตยกรรมทางการเมือง ที่มีอยู่ ที่ไปยุ่งกับนักการเมืองมากจนเกินไป โดยการอ้างว่าเขาโกง นี่คือปัญหามันเกิดขึ้นมาเพราะเหตุผลนี้ คือตอนนี้นายกฯไม่มีอำนาจในการแต่งตั้งผบ.ทบ. ไม่มีอำนาจในการแต่งตั้งผู้พิพากษา แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นคือศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครองมีอำนาจเหนือนายกฯ เสร็จแล้วถึงเวลาผบ.เหล่าทัพ กว่านายกฯจะเสนอชื่อได้ต้องผ่านคณะกรรมการสภากลาโหม นายกฯจะเลือกผบ.ทบ. เลือกไม่ได้ นายกฯไม่มีอิทธิพลต่อผู้พิพากษาใดๆเลย เพราะผู้พิพากษามาจากการแต่งตั้งทั้งนั้น แล้วก็คัดเลือกกันเองด้วย คือทั้งหมดเป็นโครงสร้างที่ทำให้ประชาชนไม่มีอิทธิพลเลยต่ออำนาจของกองทัพ และ อำนาจของตุลาการ อันนี้ก็เป็นต้นตอของอุปสรรคที่ทำให้ประเทศไทยไม่เป็นประชาธิปไตย”

ในที่สุดก็กลับมาที่เดิม หมายความว่า เท่าที่หวังได้ก็คือตอนนี้ หวังแค่...พูดง่ายๆ ถ้าไม่ก็ทนอยู่กับคุณอภิสิทธิ์ไป คือไม่ใช่อะไรนะ คุณอภิสิทธิ์เป็นคนเก่งนะ แต่ว่าผลงานรัฐบาลนี้มันช่างไม่มี มันช่างน้อย คือผมถามว่ารัฐมนตรีในรัฐบาลนี้เขาพอใจกับผลงานรัฐบาลนี้มั๊ย ผมว่าเขาก็ไม่พอใจสักเท่าไหร่...ให้คุณจาตุรนต์เป็นนายกฯ ดร.สมคิดมาเป็นนายกฯ หรือดร.สุรเกียรติ์มาเป็นนายกฯ ให้ไปถึงจุดนั้นโดยที่ไม่ต้องมีการยึดอำนาจ โดยที่รอจนถึงมิ.ย.55 แล้วให้เป็นกลุ่มนี้หรือคนอื่นที่ดีกว่ามาเป็น...โอเค แต่ถ้าต้องยึดอำนาจเพื่อเอาพวกนี้มาเป็นคือขอร้อง...อย่า!!!

http://thaiinsider.info/news2011/column/.../11277--55