วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ชนชั้นทางวิชาการไทยกับการ (ไม่) รับใช้เพื่อนมนุษย์


เกริ่นนำ

อะไรคือสิ่งที่เนื่องมาจากการตั้งมั่นอยู่ของหลักวิชา (Disciplinary) ? จากกำเนิดของระบบมหาวิทยาลัยในยุคกลางที่สั่งสมสกุลความคิดสำนักต่างๆ จนกระทั่ง โลกเริ่มทวีจำนวนลูกศิษย์ (Disciple of Discipline) ซึ่งบรรดาลูกศิษย์หลานศิษย์เหล่านั้นได้ทำการเปลี่ยนแปลงโลกทั้งในทางสร้างสรรค์และทำลายนานัปการ ทั้งนี้ภายใต้อุดมคติที่ว่า “เพื่อเสรีภาพและชีวิตที่ดี” แต่ในวันนี้ที่ประเทศไทย ในศตวรรษที่ 21 ตามเวลาของสากลโลก  “ชนชั้นทางวิชาการ” ได้ถูกสถาปนาอย่างรุ่งโรจน์กว่าศตวรรษเข้าไปแล้ว น่าแปลกว่า ลักษณาการของ “ผู้มีวิชาความรู้” สำหรับประเทศนี้ยังไม่แตกต่างจากยุคกลางอย่างน่าประหลาด โดยที่ไม่อาจโทษใครได้ ปัญหามิได้อยู่ที่นักรบหรือพ่อค้าซึ่งมิได้ทำการศึกษาศาสตร์แขนงต่างๆ อย่างที่นักวิชาการกระทำ แต่ปัญหาอยู่ที่กุศโลบายในการแก้ไขปัญหาของนักวิชาการเหล่านั้นต่างหาก  และประวัติศาสตร์มิได้สั่งสอนเราอย่างมากเกินพอหรอกหรือว่า “นักปราชญ์ราชบัณฑิต” ควรทำอะไร? สำคัญกว่านั้น สกุลความคิดหลังสมัยใหม่มิได้เปิดเปลือยให้เข้าใจมากหรอกหรือว่า “จะทิ้งชนชั้นอันแสนโรแมนติกนี้อย่างไร?” เพราะความจริงที่น่าเจ็บปวดมีว่า เพื่อนมนุษย์ที่มิได้เป็นหรือมิได้แสดงตัวว่าเป็นนักคิดนักวิชาการมากมายต้องสังเวยชีวิตลงตรงรากหญ้า ณ ที่ซึ่งไม่มีความช่วยเหลือจากหอคอยงาช้าง ทั้งที่ การแสดงความเห็นอันเลิศลอยมาจากตรงนั้น? เจ็บปวดกว่านั้นคือ หลายชีวิตเป็นลูกศิษย์ของระบบหลักวิชานี้เอง


(1) ว่าด้วยคำว่า “บัณฑิต”, “มหาบัณฑิต”, “ดุษฎีบัณฑิต”, “ความมีกิตติมศักดิ์”

นักคิดหลังสมัยใหม่อย่าง Foucault เคยกล่าวประโยคน่าประทับใจว่า “จงปล่อยให้การระบุตัวตนเป็นหน้าที่ของตำรวจและบรรดาเจ้าหน้าที่เถอะ!” [1]  แต่สำหรับประเทศไทย ตัวตนความเป็น “บัณฑิต” ไม่ว่าจะเป็นระดับธรรมดา, หรือระดับยิ่งใหญ่ หรือระดับเป็นที่ยอมรับกันโดยดุษฎี ผูกพันกับภาพลักษณ์แห่งความสำเร็จ และเป็นเงื่อนไขสำคัญในการยกย่องฐานะหรือสร้างอัตลักษณ์ของตนให้สูงเด่นกว่าที่เป็น ดังนั้นจึงพอสรุปได้ว่า “ความเป็นบัณฑิต” มีนัยยะของการเป็นเครื่องมือในการยกฐานะมากกว่าที่จะเป็นเพียงเครื่องมือสำหรับจัดจำแนกประเภทวิทยฐานะ ดังนั้น การสื่อสารเรื่องดังกล่าวในประเทศไทย จึงเข้ากันได้ดีกับแนวคิดเรื่อง “นักปราชญ์”, “ราชบัณฑิต”, “ผู้ทรงภูมิ” จึงส่งให้เรามี “ระเบียบ” (Order) และรูปแบบ (Uniform) ของการจะเป็น “ศาสตราจารย์”, “รองศาสตราจารย์”, “ผู้ช่วยศาสตราจารย์” ซึ่งแอบอิงอยู่กับจารีตประเพณี หลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับระบบอุปถัมภ์อย่างวิจิตรพิสดาร เพราะความที่ลงทุน ลงเงิน ไปมากมาย “ผู้มีการศึกษา” หลายคนจึงไม่อาจมองการศึกษาเป็น “แค่” การศึกษา แต่จำต้องมองเพื่อให้รู้สึกสูงส่งกว่าว่า เราได้รับการศึกษา “ถึง” ระดับนี้ ความหยิ่งทระนง จองหองลำพอง ได้ถักทอและฟูมฟักขึ้นภายในระบบปิดของวงวิชาการไทย

อาจกล่าวได้ว่า “ชนชั้นสูงแบบใหม่ชนิดหนึ่ง” ถูกสถาปนาแล้วบนรากหญ้าของนักการภารโรงและลูกนักการภารโรง ผู้ไม่อาจส่งเสียงได้ (Subaltern) ทางเดียวที่จะมีสิทธิ์มีเสียง (Right) ได้ในสังคมฐานันดรสมัยใหม่นี้ คือ ถีบตัวด้วยความช่วยเหลือของ “ทุน” (Capitalism) จะว่าไปนี่เป็นข้อดีของการไม่เผด็จการเต็มใบ แต่นั่นจะผลักดันให้ ปมทางจิตวิทยาเข้มข้นเป็นปมเขื่อง  ฉะนั้น เพื่อกลบเกลื่อนบาดแผล น้ำตา ความเจ็บป่วยทางจิตใจเอาไว้ การเปลี่ยนไปยอมรับ “ระบบแห่งความมีกิตติมศักดิ์” ช่วยได้มาก และนั่นเป็นมุมมองที่เจือด้วยคติอย่างเหนือธรรมชาติ (Superstition) จึงไม่แปลกที่จะมีการเรียกหา “คำนำหน้า” ที่บ่งนัยยะถึงภูมิปัญญา เรียกร้องความเคารพ การบูชา การบวงสรวงที่ล้นเกินและไม่เป็นธรรมชาติ แม้จะมีการเซ่นสรวงบัดพลีถึงขั้นพลีกายขายตัวแล้วก็ตาม แต่ผู้ไม่อาจส่งเสียงได้ (Subaltern) ก็ยังไม่อาจเล่าเรื่องของตนเองได้ต่อไป เขาจึงต้องยืมปาก “นักคิดนักวิชาการ” เป็นผู้เล่าเรื่องต่างๆ ซึ่งจริงบ้าง เท็จบ้าง โรแมนติก บ้างก็ตามแต่นักวิชาการนั้น สาเหตุสำคัญทุกคนยอมรับว่า “บัณฑิต”, “มหาบัณฑิต”, “ดุษฎีบัณฑิต”, “ความมีกิตติมศักดิ์” นั้นมีความขลังกว่าสามัญชน และสามัญชนก็ยังสยบยอมและยินดีให้ค่านิยมนี้ครอบงำ ถึงขั้นจะต้องขายควายขายนาส่งลูกเรียนอีกด้วย ทั้งที่ในเวลาคับขันทางการเมือง เมื่อถูกตำรวจจับกุมและต้องประกันตัว “สามัญชน” ไม่มีเอกสิทธิ์หรือชนชั้นใดๆเลย แต่ “นักปราชญ์” มีอะไรบางอย่างที่ว่า อาจจะเป็นคุณวุฒิ ชาติวุฒิ หรือกำลังทรัพย์ เรื่องเหล่านี้เป็นความเหลื่อมล้ำที่มีอยู่แต่จับต้องไม่ได้คล้ายๆกับเรื่องผี  กระนั้นเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า  “นักปราชญ์” ถือว่ามีประโยชน์ต่อสังคม บ่อยครั้งเห็นสมควรให้ลด ละเว้นโทษได้ แต่ใครก็ตามที่พยายามเดินตามรูปรอยที่นักปราชญ์เหล่านั้นวางเอาไว้ จะกลายเป็นพวกไม่มีประโยชน์ต่อสังคมในทันที เห็นควรให้เพิ่มโทษ และไม่ให้ละเว้นโทษ พวกนี้จัดเป็นประเภทหญ้าแพรกที่ต้องแหลกลาญกันไป เป็นพวกไม่มีกิตติมศักดิ์


(2) เรื่องของ “เสียง” เรื่องของ “สื่อ” เรื่องของ “อำนาจ” เรื่องของ “ความรับผิดชอบ”

เป็นเรื่องโรแมนติกไปแล้วที่จะพูดว่า “เสียงทุกคนดังเท่ากัน” เพราะในท้ายที่สุด เมื่อนักคิดนักวิชาการได้ปลดแอกมนุษย์จากพันธนาการแห่งจักรวรรดินิยมไปแล้ว แต่ก็ได้ล่ามมนุษยชาติไว้กับหลักวิชาและเรื่องเล่ากระแสหลัก “เสียงนักปราชญ์” ราวกับจะมีความเข้มเสียงมากกว่า “เสียงคนขับแท็กซี่” ความคิดเล็กๆของคนขับแท็กซี่ที่ตัดสินใจฆ่าตัวตายหรือจะน่าสนใจกว่า “ความตายของนักปราชญ์ใหญ่” ? การทำงานหรือส่งสารอย่างเงียบๆ ของนักปฏิบัติจำนวนมาก หรือจะสำคัญเท่าท่าทีอันเผ็ดร้อนของนักวิชาการชื่อดัง? สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึง “ญาณวิทยา” หรือการให้คุณค่าของผู้คนในสังคมนั้นๆ และสิ่งนี้เองที่ทำให้เป็นไปไม่ได้ ที่แนวคิดเรื่อง ผู้ไม่อาจส่งเสียงได้ (Subaltern) จะสำเร็จในประเทศไทย สื่อย่อมประพฤติตัวเป็นแต่ผู้เงี่ยฟังเสียง คอยแต่จะแสวงหาเสียงโครมครามข่าวครึกโครม แต่กลับลืม “ความเงียบ” และ “เสียงกรีดร้องในความเงียบ” และมากไปกว่าสื่อ คือ บรรดาผู้มีสิทธิ์ส่งเสียงอันดังได้อย่างชอบธรรม กลับยิ่งห่างเหินจาก ผู้ไม่อาจส่งเสียงได้ (Subaltern) ไปทุกขณะ พวกเขาไม่ว่าจะฝ่ายใดก็มีแต่เสียงแห่งอำนาจของตนเอง ความภาคภูมิใจศักยภาพของตน การแสดงทัศนะอันทรงภูมิ วิสัยทัศน์ของตน น่าแปลกใจว่า ทั้งที่เขาปรารถนาอยู่ลึกๆ (Desire) ว่าการแสดงออกของตนจะสะเทือนอารมณ์ความรู้สึกของผู้ฟังให้บรรลุจุดสุดยอด (la jouissance) ซึ่งเร้าใจด้วยการเสียดสี (Satire) ยั่วล้อ (Parody) ตลกร้าย (Irony) ซึ่งในความเป็นจริงย่อมส่งให้เกิดผลกระทบอะไรบางอย่างกับผู้รับสาร เป็นต้น เรียกเสียงปรบมือ เสียงโห่ฮา เรียกการติดตาม แต่เมื่อผู้รับสารได้ตีความหมายไปสู่ปฏิบัติการ กลายเป็นว่า เขาต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เขากระทำอย่างโดดเดี่ยว ไม่มีจริยศาสตร์แห่งความเอื้ออาทร (Ethic of care) ถือกำเนิดขึ้นในเหตุการณ์นี้  เขาต้องรับผิดชอบเสรีภาพของตัวเองราวกับถูกสาป แน่นอน ผู้ที่ถูกพันธนาการอยู่ย่อมพูดได้ว่า พวกเขาหวาดกลัวการถูกสาป เขายินดีที่จะกลายเป็นคนขี้ขลาดตลอดไป หากเพื่อนที่เดินร่วมทางมาคิดทิ้งเขาเสียดื้อๆแบบนี้ ในวัยเด็กเรามักได้ยินเพื่อนพูดกันว่า “พวกเด็กเก่ง เด็กเรียน มักชอบทิ้งเพื่อน” ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นวาทกรรมที่ยังทรงพลังกับเด็กหลังห้องอยู่?


(3) จำเป็นต้องมนุษยนิยมหรือไม่? จำเป็นต้องยื่นมือเข้าช่วยเหลือด้วยหรือ?

หลักการนั้นจะเป็นอย่างไรก็ได้ แต่การจะปฏิบัติให้สอดคล้องกับหลักการอย่างไม่หลอกตนเองนั้นเป็นเรื่องยาก ซึ่งถ้าเราจะกล่าวว่า “ชนชั้นทางวิชาการ” ไม่จำเป็นต้องรับใช้เพื่อนมนุษย์ถึงขนาดนั้น ? ก็จะเป็นการเปิดเผยเส้นแบ่งที่พร่าเลือนว่า อะไรเป็นขีดสุดของการรับใช้ที่ชนชั้นทางวิชาการจะให้แก่เพื่อนมนุษย์ได้ และมีชนชั้นอื่นหรือไม่ที่แสดงตัวหรือช่วงชิงจังหวะโดยชี้ว่าพวกของตนรับใช้ได้มากกว่า? โดยสรุปแล้ว การศึกษาที่ได้รับมาเฉพาะอย่างยิ่ง บทวิเคราะห์ของนักคิดนักปรัชญาสำคัญทั้งหลาย ช่วยให้ตัดสินใจเรื่องนี้อย่างไร? ตกลงเราจำเป็นต้องคำนึงถึงผู้อื่นหรือไม่ และอะไรเป็นการแสดงให้เห็นถึงเสรีภาพในความเป็นปัจเจกของตนเอง?  การตัดสินใจไม่ช่วยเหลือเป็นเสรีภาพที่กระทำได้หรือไม่? เหล่านี้เป็นปัญหาทางปรัชญาที่น่าสนใจ เพราะสิ่งเหล่านี้ย่อมสะท้อนให้เห็นข้อตั้ง (Premise) ที่อยู่เบื้องลึกเข้าไปในมโนธรรม บางครั้งกว่าที่เราจะเห็นการเปิดเผยของการตัดสินใจในระดับลึกนี้ ก็ใช้เวลานาน เป็นต้น นักวิชาการด้านสิทธิมนุษยชนไทยได้ทำอะไรบ้างในช่วงเวลาอันยากลำบากนี้? หรือ นักวิชาการผู้รอบรู้ภาษาต่างประเทศได้มีการเคลื่อนไหวที่ทรงพลังอันใดบ้างเพื่อผลักดันให้ทุกๆฝ่ายรับทราบข้อเท็จจริงอย่างเท่าเทียมกัน? เรื่องทำนองนี้ทำให้นึกถึง ความไม่รู้สึกรู้สาต่อความตายและความเจ็บปวดของเพื่อนมนุษย์ ที่ต่อยอดมาจากแนวคิดของ Butler ที่ว่า “อารมณ์โรแมนติกชั่วขณะหนึ่งที่แสดงความเห็นอกเห็นใจต่อชีวิตที่ไม่สมควรตาย ไม่ได้หมายความว่า การสนับสนุนความรุนแรงของคุณในอดีตจะถูกลดทอนลงไป ถึงอย่างไรคุณก็ยังมีคนที่คุณอยากจะฆ่าให้ตาย และคุณต้องใช้อำนาจเท่าที่มีประหารเขาเสียในนามแห่งความชอบธรรม แบบนี้กลายเป็นว่า มีบางคนสมควรตาย และมีบางคนสมควรอยู่ อะไรเป็นเกณฑ์ที่แม่นตรงเชื่อถือพอที่จะแยกแยะคนสองกลุ่มนี้ออกจากกัน” [2] แบบนี้เองที่อาจเรียกว่า “สันติวิธีเชิงวิชามาร” [3]


(4) ฤาชนชั้นทางวิชาการไทยไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อรับใช้เพื่อนมนุษย์?

เช่นเดียวกับโลกทัศน์เรื่อง “สิทธิ” [4] ความเป็นบัณฑิตหรือผู้ทรงภูมิ ที่ผสมผสานกับคติเรื่องบัณฑิตเป็นคนดี (ตามอิทธิพลของการตีความพระไตรปิฎกเพื่อสนับสนุนอำนาจ) ดังนั้น นักปราชญ์ราชบัณฑิตนักคิดนักวิชาการอาจเป็นสมาชิกของระบบที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อคืนความรู้สู่ปวงชนตั้งแต่แรก เป็นไปได้ที่แนวคิดดังกล่าวจะคล้ายคลึงกับในยุคกลางที่ มหาวิทยาลัยมีไว้สำหรับคนชอบธรรม (นักบวช) และคนรวย ซึ่งในยุคกลาง “นักศึกษา” หรือ “อาจารย์” ถึงกับวางอำนาจกับชาวบ้านผู้ไม่รู้หนังสือได้โดยที่ไม่มีความผิด (แม้กระทั่งดูถูกหรือถึงขั้นทำร้ายก็ไม่ผิด) ส่วนชาวบ้านไม่รู้หนังสือถ้าพยายามจะถีบตัวขึ้นมาเป็นนักศึกษาก็พอมีทางเป็นไปได้ โดยไปรับใช้หรือล้อมหน้าล้อมหลังคนรวยอีกต่อหนึ่งในฐานะเพื่อนเล่น ในฐานะผู้ต่ำกว่า ซึ่งแนวคิดแบบคนรวยเป็นศูนย์กลางเพื่อความสำเร็จทางการศึกษาน่าจะยังมีอยู่ไม่น้อยในประเทศไทย (เหมือนที่เป็นมาในยุคกลาง) ด้วยเหตุว่า “การศึกษาในประเทศไทย” พึ่งพำนักอยู่กับอำนาจที่มองไม่เห็นเช่นเดียวกับศาสนจักร แน่นอน ทำให้ประเทศไทยมีงานเอกสารจำนวนมากและหลายชิ้นเป็นขนาดยาว แต่กลับสังเกตได้ว่า “ไม่ก่อให้เกิดสิ่งใหม่” และในภายหลังบรรดานักคิดเหล่านั้นยังได้แสดงตนสนับสนุนอำนาจเผด็จการเพื่อคงไว้ซึ่งอำนาจทางวิชาการเสียอีก ซ้ำร้ายบางคนกลับลอกเลียนงานวิชาการของผู้อื่นด้วยเจตนาที่น่าสงสัย คนเหล่านี้มักได้รับการยกย่องในวงวิชาการภายในประเทศ? แต่ปัญหาเหล่านี้เป็นเรื่องเก่าๆ ในประวัติศาสตร์ยุโรปเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นแล้ว ในครั้งที่มนุษย์ยังไม่รู้ว่ามนุษยธรรมที่จับต้องได้ จำเป็นกว่าการเป็นตู้พระคัมภีร์เดินได้อย่างนกแก้วนกขุนทอง ปัญหาคือประเทศไทยยังมีค่านิยมเรื่อง “นกแก้วนกขุนทอง”


สรุป

“ตราบใดที่บรรดานักวิชาการยังวนเวียนอยู่กับความเป็น “ฉัน” (Self) มากเกินไป นั่นอาจทำให้เสียเวลาในอันที่จะทำอะไรต่อมิอะไรเพื่อประชาชนอย่างที่ตั้งใจ และจะกลายเป็นหลักฐานมัดตัวเองชิ้นสำคัญ ในกรณีที่นักวิชาการเหล่านั้นอ้างว่า “ทำเพื่อประชาชน” เพราะจริงๆ ทำเพื่อสนองอัตตาหรือปมของตนเอง” [5]

สิ่งนี้ฟังเผินๆอาจแสลงหู แน่นอนกลไกทางจิตวิทยาของผู้ที่คิดว่าตนถูกพาดพิงอาจติดเครื่องขึ้นมาทันที ทำนองว่ากำลังถูกโยนภาระให้ต้องแบกอย่างหนักหน่วง แต่ในความเป็นจริงมันโหดร้ายตรงนี้ นักคิดนักวิชาการไทยจำต้องช่วยเหลือทางมนุษยธรรมก่อนเป็นอันดับแรกต่อเพื่อนมนุษย์มิใช่หรือ เพื่อยืนยันความเป็นอารยชนของตน แต่ที่จริงแล้วได้เกิดการข่มเหงรังแก ผู้ไม่อาจส่งเสียงได้ (Subaltern) อย่างกว้างขวางและมากมายซึ่งนักคิดทั้งหลายต่างตกอยู่ในสภาพเอาตัวรอดและทำอะไรไม่ได้? น่าสงสัยว่า ไม่มีวิธีการอันชาญฉลาดและแยบยลหรือ? ที่จะช่วยคุ้มครองป้องกันสวัสดิภาพหรือกำลังใจของเพื่อนมนุษย์เหล่านั้นเอาไว้ แล้วหลักวิชาการที่สู้อุตส่าห์เรียนมาเล่า? พูดกันตามหลักสถิติ เราสามารถตรวจสอบบุคลากรทางวิชาการหรือจำนวนนักคิดได้อย่างแน่นอน แต่ที่เราทำไม่ได้คือสำรวจความเป็นปึกแผ่น หรืออะไรที่เป็นรูปธรรมมากไปกว่า การจับกลุ่มเพื่อวิพากษ์วิจารณ์ และสรรเสริญ (ดุษฎี) กันเอง ซึ่งไม่ต่างอะไรจากคำศัพท์ที่เรียกว่า “การสำเร็จความใคร่ทางวิชาการ” [6] นั่นเองยืนยัน การมีอยู่จริงของชนชั้นทางวิชาการไทยกับการ (ไม่) รับใช้เพื่อนมนุษย์

โดยระลึกถึง นายนวมทอง ไพรวัลย์ เป็นพิเศษ และแด่ผู้เล็กน้อยที่ถูกจับกุมคุมขัง (ทางความคิด) ทุกคน
อ้างอิง
[1] “Do not ask who I am and do not ask me to remain the same: leave it to our bureaucrats and our police to see that our papers are in order” Michel Foucault. The Archaeology of Knoweldge (1972), tr. A. M. Sheridan Smith (New York: Pantheon) Page 17
[2] ธนัชชนม์ ธนาธิป-ปริพัฒน์.การข่มขืนในบางรัฐที่สนับสนุนการประหาร

[3] ธนัชชนม์ ธนาธิป-ปริพัฒน์.คนไทยกับสันติวิธีเชิงวิชามาร 
[4] ธนัชชนม์ ธนาธิป-ปริพัฒน์. สิทธิมนุษยชนกับปฏิกิริยาสวนโต้ของเชลยศึก
[5] ธนัชชนม์ ธนาธิป-ปริพัฒน์. นักวิชาการ : อัตตาเพื่อประชาชน? 
[6] ไชยันต์ ไชยพร.  2550.  Postmodern : ชะตากรรมโพสต์โมเดิร์นในอุ้งมือนักปรัชญาการเมืองโบราณ.  พิมพ์ครั้งที่ 1.  กรุงเทพฯ : Openbook.

กระแส Ice Bucket Challenge ลามถึงนักการเมืองไทย


“อภิสิทธิ์” รับคำท้าทำ Ice bucket challenge ส่วน "สมชัย ศรีสุทธิยากร" กกต. ท้า "ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ" มอบเงินให้สถาบันประสาทวิทยา
ที่มาภาพ: สำนักข่าวไทย
เมื่อเวลา 14.30 น. ที่สภากาชาดไทย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รับคำท้านายฐากร ปิยะพันธ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท กรุงศรี คอนซูเมอร์ จำกัด ร่วมแคมเปญ Ice Bucket Challenge ท่ามกลางแฟนคลับมาร่วมเป็นสักขีพยานเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีอดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมเป็นกำลังใจ
โดยก่อนเริ่มแคมเปญดังกล่าว นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ที่จริงตนไม่ค่อยนิยมทำอะไรอย่างนี้ แต่ที่รับคำท้าจากนายฐากร เพราะเห็นว่าเป็นกิจกรรมการกุศล และต้องการให้ประชาชนตื่นตัวเรื่องโรคเอแอลเอส หรือโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ซึ่ง ร.ต.อ.พเยาว์ พูนธรัตน์ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์และอดีตแชมป์มวยโลก ที่บั้นปลายชีวิตเป็นโรคดังกล่าว และตนได้เห็นถึงความยากลำบากในการต่อสู้กับโรคนี้ จึงรับคำท้า เนื่องจากนายฐากรระบุว่า จะบริจาคเงิน 500,000 บาท ให้สภากาชาดไทย โดยระบุจุดประสงค์เพื่อประชาสัมพันธ์โครงการระดมทุนช่วยเหลือผู้ป่วยกล้ามเนื้ออ่อนแรง
“ผมดูแล้วในชีวิตคงไม่มีโอกาสหาเงินจำนวนนี้มาบริจาคได้ ดังนั้น ก่อนที่จะทำกิจกรรม จึงได้ลงนามเซ็นสัญญามอบเงินให้กับสภากาชาดไทยแล้ว และจะขอท้าอดีตพิธีกรรายการสายล่อฟ้า คือ นายเทพไท เสนพงศ์ นายศิริโชค โสภา และนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โดยให้เวลาถึงวันที่ 25 ส.ค.ในช่วงบ่าย ถ้าท่านใดไม่ทำ ขอให้บริจาคแทนท่านที่ทำ แต่หากทำทั้ง 3 คน ผมจะไปหาสปอนเซอร์รับบริจาคให้ได้มากที่สุด” นายอภิสิทธิ์กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนที่นายฐากรจะยกถังน้ำแข็งราดศีรษะ นายอภิสิทธิ์ได้นำมือจุ่มลงไปในถังน้ำแข็งแล้วบอกว่า “ชิล ชิล” จากนั้นนายฐากรได้ยกถังน้ำแข็งราดนายอภิสิทธิ์เพียง 1 ถัง ท่ามกลางเสียงปรบมือจากบรรดาแฟนคลับ
กกต. ด้านการเลือกตั้ง ท้า นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ร่วมการกุศล Ice Bucket Challenge
ที่มาภาพ: สำนักข่าวไทย
เมื่อเวลา 16.00 น. ที่บริเวณลานอเนกประสงค์ อาคารบี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติแจ้งวัฒนะ นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านบริหารงานเลือกตั้ง ได้ตอบรับคำท้านายพีรวัฒน์ อัฐนาค ผู้ประกาศข่าวไทยรัฐทีวี ที่ท้าให้ร่วมกิจกรรมเอาน้ำแข็งราดตัว หรือ Ice Bucket Challenge เมื่อเวลา 21.00 น.วานนี้ ( 21 ส.ค.) โดยก่อนทำกิจกรรมดังกล่าว นายสมชัยได้อ่านกลอนที่แต่งเองถึงการตัดสินใจรับคำท้า และระบุถึงบุคคลที่ขอท้าต่อไป 3 คน คือ 1.ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีต รมช.พานิชย์ เนื่องจากแม้ไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัว แต่เป็นผู้ที่ชอบเข้ามาต่อคำกลอนกับตนเอง 2.นักศึกษาหลักสูตรพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูง (พตส.) รุ่น 5 ไม่ว่าจะเป็นประธานรุ่นคือนายสรอรรถ กลิ่นประทุม อดีต รมช.คลัง หรือนักศึกษาทั้งรุ่น และสุดท้าย นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รวมทั้งระบุว่าขอร่วมบริจาคให้กับกองทุนสนับสนุนช่วยเหลือผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือเอแอลเอส สถาบันประสาทวิทยา
ท้า "อำพน กิตติอำพน" มอบเงินให้มูลนิธิพระดาบส 
นายประวิช รัตนเพียร กรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ด้านกิจการการมีส่วนร่วม ได้ร่วมการกุศล Ice Bucket Challenge ที่ บริเวณลานศูนย์ราชการ อาคารบี หลังได้รับคำท้าจากนายสมพันธ์ จารุมิลินท รองประธานกรรมการบริหาร ทรูวิชั่นส์ จำกัด (มหาชน) และประธานคณะกรรมการบริหาร สถานีข่าวโทรทัศน์ TNN โดยนายประวิช รัตนเพียร จะนำเงินร่วมการกุศลกับมูลนิธิพระดาบส เพื่อสร้างคนให้มีอาชีพและมีอนาคต ซึ่งไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดยอดเงินทำบุญ พร้อมทั้งท้าทำ Ice Bucket Challenge เพื่อร่วมทำบุญอีก 3 คน คือ นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการคณะรัฐมนตรี // นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ของ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) และ ใหม่ เจริญปุระ ดารานักแสดง
ที่มาเรียบเรียงจาก
สำนักข่าวไทย, สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย

นิธิ เอียวศรีวงศ์: รัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมไทย 2557

รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557 ซึ่งเพิ่งประกาศใช้ไม่นานมานี้ ไม่ได้รับการต้อนรับอย่างชื่นชมจากใคร แม้แต่พวกสลิ่มและ กปปส.ก็เพียงแต่สงบปากสงบคำเท่านั้น ไม่ถึงกับออกมายกย่องเชิดชู อย่างไรก็ตามเสียงวิจารณ์ทั้งจากต่างประเทศและในประเทศ (ทั้งตรงไปตรงมาและระหว่างบรรทัด) ล้วนใช้มาตรฐาน "ฝรั่ง" ในการตัดสินทั้งสิ้น เช่น ความเป็นประชาธิปไตยบ้าง สิทธิมนุษยชนบ้าง ซึ่งล้วนจริงและถูกต้องทั้งสิ้น แต่บรรทัดฐานเหล่านั้นอาจไม่ได้มีความสำคัญในวัฒนธรรมไทยเท่าฝรั่งก็ได้ ผมจึงอยากประเมินรัฐธรรมนูญฉบับนี้จากมาตรฐานของวัฒนธรรมไทย (ตามความเข้าใจของผมเอง) บ้างว่า จะถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่สวยงามหรือขี้ริ้ว
ในปี 2534 ระหว่างที่ รสช.ประชุมนักปราชญ์ราชบัณฑิตฝ่ายเขาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้น ผมได้เขียนเรื่อง "รัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมไทย" ลงในวารสารศิลปวัฒนธรรมมาในระยะไม่กี่ปีมานี้ ผมถูกถามเสมอว่า รัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมได้เปลี่ยนไปบ้างแล้วหรือไม่อย่างไร แล้วผมก็ตอบไม่ได้ เพราะลืมไปว่าเขียนอะไรลงไว้เมื่อ 20 ปีที่แล้วและไม่ได้คิดเรื่องนี้อีกเลย จึงต้องนำบทความนั้นกลับมาอ่านใหม่ และได้เห็นคำตอบลางๆ บางอย่างซึ่งจะพูดถึงข้างหน้านี้
อำนาจในวัฒนธรรมเก่าของไทยนั้นแบ่งแยกมิได้เพราะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แม้แต่อำนาจของพระเจ้าก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับอำนาจของกษัตริย์ เพราะกษัตริย์คืออวตารของพระเจ้า ดังนั้นความคิดว่าอำนาจอธิปไตยอาจแบ่งออกได้เป็นสามด้าน คือ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ คอยถ่วงดุลกันและกัน จึงเป็นความคิดของฝรั่งโดยแท้
แม้ว่าอำนาจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่คนไทยสมัยก่อนก็หาได้วางใจต่ออำนาจไม่ เพราะอำนาจที่เขารู้จักคือถูกเก็บส่วยหรือถูกเกณฑ์ทัพซึ่งเป็นความเดือดร้อนแสนสาหัสแก่ผู้คนในวิถีชีวิตชาวนา เขาจึงมีความคิดเกี่ยวกับการถ่วงดุลอำนาจของ "อำนาจ" อยู่เหมือนกัน วิธีทำแบ่งออกได้เป็นสองอย่าง หนึ่งคือสถาปนาอำนาจใหม่ขึ้นมากำกับควบคุมอำนาจที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวนี้ ที่สำคัญสุดคือพระพุทธศาสนา ซึ่งวางมาตรฐานบางอย่างที่ควบคุมอำนาจของพระราชาได้ระดับหนึ่ง (แยกให้ชัดนะครับ หลักธรรมของพระพุทธศาสนานั้นเลิกล้างไม่ได้ แต่พระภิกษุแต่ละรูปนั้น พระเจ้าแผ่นดินจับสึกเสียเมื่อไรก็ได้ พระภิกษุแต่ละรูปจึงต้องสร้างอำนาจอีกชนิดหนึ่งซึ่งเรียกว่าอิทธิพลขึ้นเพื่อป้องกันตัว เช่น ทรงคุณวิเศษบางอย่างจนเป็นที่นับถือกว้างขวาง เปรียบเทียบกับสังคมมุสลิม ผู้รู้ทางศาสนามีอำนาจในตัวเอง จึงแตกต่างจากสังคมพุทธไทยอย่างมาก) อย่างไรก็ตาม การสร้างอำนาจใหม่นี้เป็นวิธีที่มีข้อจำกัดมาก
วิธีที่สองซึ่งใช้แพร่หลายกว่า คือ การใช้อิทธิพลคานกับอำนาจ สองอย่างนี้แตกต่างกันอย่างไร ผมนิยามตามความเห็นของนักวิชาการญี่ปุ่นว่า อำนาจคืออำนาจที่มีกฎหมายหรือประเพณีรองรับ ส่วนอิทธิพลคืออำนาจที่ไม่มีกฎหมายหรือประเพณีรองรับ พระราชอำนาจในราชอาณาจักรโบราณของไทยถูกจำกัดด้วยอิทธิพลนานาชนิด เช่น อิทธิพลของตระกูล นักเลง "เจ้าพ่อ" ในท้องถิ่น หรือแม้แต่ในเมืองหลวงเอง รวมทั้งอิทธิพลของพ่อค้าต่างชาติและหัวหน้าชุมชนต่างชาติด้วย
สามัญชนคนไทยมีชีวิตอยู่ท่ามกลางการเอาอิทธิพลกับอำนาจมาคานกัน บางครั้งก็ใช้อิทธิพลคานอำนาจ บางครั้งก็ใช้อำนาจคานอิทธิพล ผมขอยกตัวอย่างจากสังคมไทยสมัยหลัง 2500 เพื่อผู้อ่านจะได้นึกออกได้ง่าย
ผู้กำกับตำรวจในจังหวัดใหญ่แค่ไหน ก็ใหญ่มากนะครับ ถ้าพ่อจะรังแกใครด้วยการตั้งข้อหาใด คนนั้นก็เดือดร้อนไปหลายปี ผู้ว่าฯ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาก็มีอำนาจจำกัด จะเข้าแทรกแซงได้ยาก ฉะนั้นเพื่อป้องกันตน คนไทยก็วิ่งเต้นกับอิทธิพลสิครับ เช่น วิ่งเต้นกับ "เจ้าพ่อ" ซึ่งสามารถ "เจรจา" กับผู้กำกับฯ ได้ หรือวิ่งเต้นกับ ผบ.ทหารในจังหวัดก็ได้ ผบ.ทหารไม่มี "อำนาจ" ไปก้าวก่ายงานของตำรวจก็จริง แต่ ผบ.ทหารมีอิทธิพลในท้องถิ่นแน่ (ยกทหารไปพังป้อมตำรวจก็เคยมีมาแล้ว) จึงสามารถ "เจรจา" กับผู้กำกับได้
ตรงกันข้ามนะครับ อิทธิพลก็อาจรังแกประชาชนได้เหมือนกัน เช่นในสมัยก่อน ทหารก็อาจสั่งควบคุมตัวลูกหลานในฐานะเป็นผู้ปฏิบัติงานของ พคท. เดือดร้อนกันยกใหญ่แน่ ชาวบ้านไทยจะทำอย่างไร ก็วิ่งเต้นกับอิทธิพลที่ใหญ่กว่าสิครับ ทั้งนี้หมายถึงทหารที่ใหญ่กว่านั้น รัฐมนตรี ส.ส. หรือถวายฎีกา หากการใช้อิทธิพลคานอิทธิพลยังไม่สำเร็จก็ต้องดึงเอาอำนาจเข้ามาคาน เช่น ร้องไทยรัฐเพื่อให้เป็นข่าวใหญ่ และอำนาจก็จะเข้ามาปรามเอง หรือจนถึงที่สุดก็หวังว่าอำนาจในกระบวนการยุติธรรมระดับที่สูงกว่าตำรวจจะขวางอิทธิพลได้ เช่น พนักงานอัยการหรือผู้พิพากษา
โดยสรุปก็คือ สามัญชนคนไทยเคยชินกับการคานอำนาจระหว่างอิทธิพลและอำนาจ ไม่อยากเห็นฝ่ายใดถูกอีกฝ่ายหนึ่งขจัดออกไปโดยสิ้นเชิง อำนาจก็มีอันตราย อิทธิพลก็มีอันตราย แต่ถ้ามีสองอย่างก็พอจะเอาตัวรอดไปได้
อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ปลายทศวรรษ 2530 เป็นต้นมา ผมคิดว่ารัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมไทยเริ่มเปลี่ยนตรงนี้ นั่นคือ มีเหตุผลหลายอย่างที่ทำให้อิทธิพลเริ่มปรากฏน้อยลงในสังคม เช่น "เจ้าพ่อ" เบนทุนไปลงในธุรกิจสว่างหรือถูกกฎหมายมากขึ้น พคท.ล่มสลายทำให้บทบาทของทหารในสังคมลดลง อีกทั้งยังต้องกลับเข้ากรมกองต่อเนื่องกันตั้งแต่ 2535-2549 ฯลฯ ในขณะที่นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งมีบทบาทสูงเด่นขึ้น รัฐธรรมนูญ 2540 ทำให้คนไทยเกิดความหวังว่า การใช้อำนาจถ่วงดุลอำนาจน่าจะมีประสิทธิผลมากขึ้น จนแม้เมื่อคณะรัฐประหารต้องเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ใน 2550 ก็ยังต้องรักษาอย่างน้อยก็รูปแบบของการถ่วงดุลอำนาจด้วยอำนาจเอาไว้
รัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมเริ่มเปลี่ยนไปสู่การจัดให้อำนาจมีสถาบัน กลไก กระบวนการ ที่ถ่วงดุลกันเอง สิ่งเหล่านี้ไม่เคยมีความสำคัญมาก่อน แต่เมื่ออิทธิพลลดน้อยถอยลง กลับกลายเป็นเรื่องสำคัญแก่คนไทยมากขึ้น พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ รัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรม ซึ่งไม่เคยคิดว่าอำนาจพึงแบ่งแยกเป็นหลายส่วนได้ ก็เริ่มเปลี่ยนมาเป็นการแบ่งแยกอำนาจเพื่อคานกันเองแบบฝรั่งมากขึ้น
แม้ว่ามีรัฐประหารโดยกองทัพในเมืองไทยบ่อยเหมือนฝนตก แต่ที่จริงแล้วรัฐประหารเป็นภาวะตึงเครียดตามรัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมไทย เพราะรัฐประหารคือการสถาปนาอิทธิพล (อำนาจที่ไม่มีกฎหมายหรือประเพณีรองรับ) ขึ้นเหนืออำนาจ (อำนาจที่มีกฎหมายหรือประเพณีรองรับ) หรือจะพูดให้ชัดกว่านี้ก็คือ รัฐประหารเป็นอิทธิพลที่ทำลายสถาบันอำนาจไปแทบหมดสิ้นก็ได้ เหลือไว้เพียงสถาบันพระมหากษัตริย์ ศาลสถิตยุติธรรม และการรับรองของมหาอำนาจต่างประเทศ ยิ่งรัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมเปลี่ยนไป ความตึงเครียดก็ยิ่งมากขึ้นเป็นธรรมดา
คณะรัฐประหารหลัง 14 ตุลาเป็นต้นมาจึงต้องพยายามรื้อฟื้นบรรยากาศของอำนาจกลับคืนมาโดยเร็ว อย่างน้อยก็โดยรูปแบบซึ่งเป็นที่ยอมรับกันได้ กล่าวคือ มีอำนาจที่ดูคล้ายจะเป็นอิสระ (หน่อยๆ) จากคณะรัฐประหารซึ่งเป็นอิทธิพลใหญ่สุด อาจประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่ทันที (เช่น 2490 และ 2494 เป็นต้น)
คนชอบพูดกันถึงรัฐประหารของสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งดูเหมือนสถาปนาอิทธิพลขึ้นเหนืออำนาจต่อเนื่องกันได้ถึง 16 ปี แต่ที่จริงแล้วสฤษดิ์ฉลาดกว่านั้นมาก เขาตั้งใจทำให้อิทธิพลใหญ่ที่เขาสถาปนาขึ้นดูเหมือนถูกถ่วงดุลมาแต่ต้น นายกรัฐมนตรีคนแรกของเขาคือ นายพจน์ สารสิน พลเรือนซึ่งได้รับการยอมรับทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งในตอนนั้นก็ไม่มีใครรู้เส้นสนกลในของความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นนำในช่วงนั้นด้วย รัฐมนตรีในคณะรัฐบาลของสฤษดิ์เองเป็นปลัดกระทรวงเดิม ในตอนนั้นยังมองระบบราชการแยกออกจากการเมืองและกองทัพมากกว่าปัจจุบัน ที่สำคัญเขานำเอานักวิชาการเข้ามาสู่องค์กรและสภาที่เพิ่งตั้งใหม่ประหนึ่งแยกความชำนาญการ (expertee) ออกไปจากการเมืองของอิทธิพลอย่างเด็ดขาด นักวิชาการรุ่นนั้นก็ต่างจากอธิการบดีในรุ่นนี้ซึ่งออกมาเต้นเหยงๆ เชียร์อิทธิพล-รัฐประหารกันอย่างน่าสมเพช อย่างน้อยก็ไม่มีใครรู้ว่าคนเหล่านั้นเชื่อมโยงกับอำนาจและอิทธิพลอย่างไรมาก่อน
จะเข้าใจความฉลาดของสฤษดิ์ได้ก็ต้องนำเอารัฐประหารของเขาไปเปรียบเทียบกับของถนอม กิตติขจร ใน 2514 หรือธานินทร์ กรัยวิเชียร ใน 2519 สองคนหลังนี้ไม่เข้าใจรัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมไทยเอาเลย จึงกลับพยายามรักษาภาพลักษณ์ของระบอบอิทธิพลไว้อย่างเหนียวแน่น เพราะนึกว่าอิทธิพลอย่างเดียวจะทำให้ตัวรักษาอำนาจได้ตลอดไป
ในขณะที่สฤษดิ์รู้วิธีที่จะแปรบางส่วนของอิทธิพลให้มีภาพลักษณ์ของอำนาจ เพื่อความสบายใจของคนไทยว่าอิทธิพลถูกถ่วงดุลไว้แล้วในระดับหนึ่ง
เนื่องจากพื้นที่จำกัด ผมจะไม่เข้าไปหยิบยก รธน.2557 เป็นรายมาตรา เพราะก็ตรงกับคำวิจารณ์ของสื่อไทยและต่างประเทศอยู่แล้ว นั่นคือ ไม่เป็นประชาธิปไตยและไม่เคารพสิทธิมนุษยชน เปลี่ยนมาเป็นภาษาของรัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมก็คือ ไม่มีผลเปลี่ยนภาพลักษณ์ของอิทธิพลให้กลายเป็นอำนาจ
ยิ่งมาพิจารณาควบคู่กันไปกับมาตรการเด็ดขาดทั้งหลายที่คณะรัฐประหารกระทำหลังยึดอำนาจได้ ก็ยิ่งทำให้ภาพของอิทธิพลเด่นชัดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเรียกตัวบุคคลเข้าไปปรับทัศนคติ การคุกคามสื่อ การตั้ง สนช. และคงพอเดาได้ว่าสภาปฏิรูปจะมีหน้าตาอย่างไร ฯลฯ แม้ว่า คสช.พยายามใช้อิทธิพลเพื่อปราบอิทธิพล เช่น ยาเสพติด ค้าไม้เถื่อน ค้ามนุษย์ ค้าอาวุธ คิวรถ ฯลฯ ก็ไม่ช่วยให้อิทธิพลของการรัฐประหารกลายเป็นอำนาจที่คนวางใจได้
เพราะรัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมไทยบัญญัติไว้นานแล้วว่า อำนาจใดๆ ก็ตาม (ทั้งอิทธิพลและอำนาจ) ย่อมไม่เป็นที่น่าไว้วางใจทั้งสิ้น จนกว่าจะมีเกิดการถ่วงดุลกันอย่างมีประสิทธิผล
น่าประหลาดที่อำนาจอย่างเดียวที่เหลืออยู่ในการถ่วงดุลอิทธิพลเวลานี้ในทัศนะของคนไทยจำนวนไม่น้อย คือ มหาอำนาจต่างประเทศ นั่นคือเหตุผลที่ต้องเขียนป้ายประท้วงเป็นภาษาอังกฤษไงครับ
เนติบริกรและนักวิชาการบริกรทั้งหลายชอบพูดว่า ประชาธิปไตยไม่เหมาะกับวัฒนธรรมไทย ผมอยากจะชี้ว่า เผด็จการก็ไม่เหมาะกับวัฒนธรรมไทยเหมือนกัน เพราะเปิดให้อำนาจ (ทั้งอำนาจและอิทธิพล) ทำอันตรายผู้คนได้ โดยไม่มีทางจะป้องกันตัวได้

ขัอสังเกตคดี 112 หลังรัฐประหาร


ประชาไท รายงานเมื่อ 20 สค. 57 ว่า หลังการรัฐประหารมีผู้ถูกดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ทั้งหมด 15 คน อันที่จริง ยังมีผู้หลบหนีไม่รายงานตัวอีกจำนวนหนึ่ง ถ้ายึดตามรายงานของไทยรัฐ วันที่ 25 กค. 57 มีจำนวน 55 คน  ในจำนวนนั้นส่วนหนึ่งเป็นผู้ที่เคยถูกดำเนินคดี 112 มาก่อนแล้วแต่ได้รับการอภัยโทษแล้วหรือไม่ก็คดีสิ้นสุดแล้ว อีกส่วนหนึ่งคาดว่าอาจจะถูกดำเนินคดี 112 หากคนเหล่านี้มารายงานตัว ก็อาจจะทำให้จำนวนผู้ถูกดำเนินคดีเพิ่มขึ้นอีก
การดำเนินคดี 112 ในขณะนี้ยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงปัญหาของกฎหมายข้อนี้ที่คาราคาซังมาเนิ่นนานอยู่แล้วหลายประการด้วยกันดังนี้
  • หนึ่ง ผู้ถูกกล่าวหาส่วนใหญ่ไม่ได้รับการประกันตัว มีเพียงผู้มีชื่อเสียง 2 คนจาก 15 คน (ตามรายงานของประชาไท) เท่านั้นที่ได้รับการประกันตัว ทั้งนี้อาจเพราะเพื่อลดความกดดัน หากแต่ส่วนใหญ่เป็นคนที่ไม่มีชื่อเสียง ไม่เป็นที่รู้จัก หรือมีอาชีพที่ไม่มั่นคง จึงแทบไม่เป็นข่าว ไม่มีใครรับรู้ และไม่มีหลักประกันอย่างเป็นทางการ เช่น นักศึกษามหาวิทยาลัยต่างจังหวัด ผู้ประกอบอาชีพอิสระ เป็นเกษตรกร นี่สะท้อนความยุติธรรมที่วางอยู่บนความเหลื่อมล้ำของสังคม
  • สอง ผู้ถูกกล่าวหาส่วนใหญ่ถูกตีตราว่าเป็นคนผิด ก่อนที่จะมีการดำเนินคดี ข้อนี้เห็นได้ชัดจากกรณีของผู้ต้องหารายล่าสุด ที่ถูกปฏิเสธไม่ให้ประกันตัวเนื่องจาก "การกระทำความผิดของผู้ต้องหากับพวก..." ซึ่งเป็นเสมือนการตัดสินไปก่อนแล้วว่าผู้ต้องหา "กระทำความผิด" ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ดำเนินคดี นี่แสดงให้เห็นถึงทัศนคติของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ไม่ให้ความยุติธรรมกับผู้ต้องหาก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
  • สาม มีแนวโน้มที่การดำเนินคดีจะไม่โปร่งใส และอาจจะไม่ได้รับความยุติธรรมยิ่งขึ้น เนื่องจากมีการประกาศใช้ศาลทหาร และผู้ถูกดำเนินคดีบางรายถูกดำเนินคดีโดยศาลทหาร ข้อนี้ยิ่งทำให้ผู้ถูกเรียกตัวจำนวนมากลังเลที่จะเข้ารายงานตัว
  • สี่ ถูกใช้เพื่อกลั่นแกล้งทางการเมือง แนวโน้มดังกล่าวสอดคล้องกับการดำเนินคดีที่ผ่านมา และในกรณีหลังการรัฐประหาร แนวโน้มนี้ยิ่งเด่นชัดขึ้นว่าผู้ถูกดำเนินคดีส่วนใหญ่ หรืออาจจะทั้งหมด ล้วนเป็นผู้เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของฝ่ายการเมืองที่ขัดแย้งกับผู้มีอำนาจในปัจจุบัน หรือเป็นฝ่ายที่ต่อต้านอำนาจของคณะรัฐประหาร คณะรัฐประหารจึงใช้คดี 112 เพื่อหวังผลสืบเนื่องจากการดำเนินคดี กล่าวคือเพื่อลดการต่อต้านคณะรัฐประหาร ด้วยการข่มขู่ว่าจะดำเนินคดี 112

หากแนวโน้มยังคงเป็นเช่นนี้ การดำเนินคดีกับผู้ต้องหาคดี 112 ก็จะกลายเป็นเครื่องมือในการควบคุมทางการเมืองที่คนกลุ่มหนึ่ง ชนชั้นหนึ่ง ใช้อย่างลำเอียงต่อคนอีกกลุ่มหนึ่ง อีกชนชั้นหนึ่ง ตลอดจนสะท้อนปัญหาความยุติธรรม ความเหลื่อมล้ำของสังคม ปัญหาการกระบวนการยุติธรรมและทัศนคติของเจ้าหน้าที่รัฐ และเหนืออื่นใดคือ ปัญหาการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนอยู่ต่อไป

มายาคติ 6 ข้อของเผด็จการแบบไทยๆ



เมื่อท่านผู้นำคือพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาออกมาคืนความสุขเพียงคนเดียวหน้ากล้องโทรทัศน์ถึงประชาธิปไตยแบบไทยๆ อยู่หลายครั้ง ผู้มีสำนึกปกติโดยทั่วไปก็รู้ได้ทันทีว่าท่านพยายามกล่าวชมหรือสนับสนุนแบบเป็นนัยต่อเผด็จการแบบไทยๆ นั้นเอง  ตามความรู้สึกของกองทัพและคนที่สนับสนุนทหารทั้งหลาย เผด็จการภายใต้คราบประชาธิปไตยแบบไทยๆนั้นมีลักษณะเฉพาะตัวและดีงามไม่เหมือนใคร ถ้าจะนำไปเปรียบเทียบกับประเทศอื่นก็ย่อมเหนือชั้นกว่าเผด็จการแบบดาษดื่นทั่วไปในประเทศโลกที่ 3 ไม่ว่าทวีปอเมริกาใต้ แอฟริกาหรือเอเชีย ซึ่งได้สร้างความฉิบหายให้กับประเทศของตนมามากต่อมากแล้ว  พวกเขายังมองอีกว่าเผด็จการแบบไทยๆ นั้นย่อมเทียบชั้นได้กับเผด็จการของจีน (ซึ่งคอลัมนิสต์หลายคนในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐมีมุมมองเช่นนี้) หรืออย่างธรรมดาที่สุดก็เผด็จการแบบสิงคโปร์ ซึ่งผู้นำเต็มไปด้วยวิสัยทัศน์ ความสามารถและความซื่อสัตย์ยังผลประโยชน์มาให้ประเทศชาติอย่างอนันต์ ไม่เหมือนกับนักการเมืองโดยเฉพาะในอาณัติของ พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตรซึ่งมุ่งแต่โกงกิน จ้องแต่ผลาญชาติ
ต่อไปนี้คือคือมายาคติเกี่ยวกับเผด็จการแบบไทยๆ  ที่ผู้เขียนต้องจะนำเสนอเพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยกับความคิดและความเชื่อดังกล่าวและอื่นๆ ที่ยังไม่ได้กล่าวถึง  ส่วนแหล่งที่มาของมายาคตินี้ผู้เขียนนำมาจากข้อสังเกตและมุมมองที่มีในโซเชียลมีเดียต่างๆ  หรือคำพูดเปรยๆ ของคนรอบข้างหรือแม้แต่มุมมองของกลุ่มกปปส. ซึ่งก็สะท้อนมายาคติหรือความเชื่อแบบผิดๆ ของคนไทยจำนวนมากต่อการปกครองแบบเผด็จการได้อย่างดี

1.คนไทยบอกดีๆ ไม่ชอบ ชอบถูกบังคับ
มายาคติที่สนับสนุนการปกครองเผด็จการเช่นนี้ก็ไม่เชิงผิดทั้งหมดหากมองตามความคิดของคนไทยบางกลุ่มเช่นชนชั้นกลางที่เชื่องกับระบบบริโภคนิยมและระบบข้าราชการนิยมคือรอแต่ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐมาสั่ง และอาจจะจริงที่ว่าคนไทยจำนวนมากไม่ชอบทำตามกฎหมายต้องรอให้ทางคสช.ใช้ไม้แข็งจึงจะปฏิบัติตาม อันทำให้เกิดคำถามว่าทำไมจะต้องเป็นระบอบเผด็จการเท่านั้นเพราะในประเทศที่เป็นประชาธิปไตยเสรีนิยมก็มีคนมีลักษณะเช่นนี้อยู่เป็นจำนวนมาก เราควรจะหาทางอื่นในการเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ได้โดยวิธีการที่ไม่แตกหักกับระบอบประชาธิปไตยได้หรือไม่ มีอยู่นับครั้งไม่ถ้วนที่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งได้ใช้วิธีการแก้ไขอย่างเข้มงวดและเด็ดขาด จนถูกประณามดังเช่นยุคของมาร์กาเร็ต แทชเชอร์ของอังกฤษจนเธอได้ชื่อว่าเป็นเผด็จการที่ได้รับการเลือกตั้งมา (Elected dictator) แต่เธอก็ต้องพ้นตำแหน่งไปตามวิถีทางการเมืองแบบอังกฤษ ส่วนอังกฤษก็ยังเป็นประชาธิปไตยที่มั่นคงอยู่จนถึงปัจจุบัน   ดังเมืองไทยนั้นถ้ารัฐบาลของยิ่งลักษณ์ไม่ถูกทำรัฐประหารโดยระบบราชการและฝ่ายเอกชน  รัฐบาลก็สามารถบริหารงานต่อไปได้เรื่อย  ๆ  และสมควรจะจากไปโดยวิถีทางแห่งประชาธิปไตยเช่นเดียวกับอังกฤษ
ถ้ามองว่าอย่างไรแล้วคนไทยก็ไม่เหมือนกับคนอังกฤษ ก็ลองมองประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา  คนไทยเป็นคนที่ไม่ชอบถูกบังคับเลยต่างหาก  ตั้งแต่อดีตสังคมไทยคือเวทีแห่งการดิ้นรนและการต่อสู้กับอำนาจของรัฐเสมอมาโดยเฉพาะชนรากหญ้า  ในอดีตอำนาจจากรัฐส่วนกลางเหนือท้องถิ่นนั้นมีขีดจำกัด มีเป็นจำนวนนับไม่ถ้วนที่ท้องถิ่นทำการต่อสู้แย่งชิงอำนาจหรือการหลบหนีไปยังสถานที่อยู่ไกลๆ เพื่อหนีการรีดไถและการกดขี่ข่มเหงของรัฐ การต่อสู้ทางการเมืองในยุคร่วมสมัยไม่ว่า 14 ตุลา 6 ตุลา  ขบวนการชาวนา   เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ฯลฯ ยังเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญสะท้อนให้เห็นว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยนั้นรักอิสรภาพและเสรีภาพ ไม่ยอมตกอยู่ภายใต้อำนาจของเผด็จการ (แบบเรียนในประวัติศาสตร์มักจะเน้นว่าคนไทยไม่ยอมตกอยู่แต่ภายใต้การปกครองของต่างชาติ ทั้งที่ความจริงแล้วคนไทยยังไม่ยอมอยู่ภายใต้อำนาจของรัฐบาลของตัวเองอีกด้วย !)  ยิ่งในปัจจุบันนับตั้งแต่ยุคหลังพฤษภาทมิฬเมื่อปี 2535 นั้น คนไทยได้เกิดสำนึกทางการเมืองหรือการรวมกลุ่มกันเพื่อทำประโยชน์ให้สังคมและการจรรโลงประชาธิปไตยกันมากมายดังเช่นขบวนการประชาสังคมหรือกลุ่มชนรากหญ้าต่างๆ โดยไม่ต้องถูกรัฐชี้นำหรือบังคับเสมอไป  แต่น่าเสียดายที่ว่าปัจจุบันภาพเหล่านั้นก็ถูกกลบทับโดยข้ออ้างของพวกอนุรักษ์นิยมและกองทัพนิยมที่มักมีมุมมองแบบมักง่ายเช่นนี้

2. คนไทยเป็นพวกกบเลือกนาย ต้องยัดเยียดนายให้จึงจะดี
หากเรามองการเมืองโลกในมุมกว้าง จะเห็นได้ว่าในประเทศจำนวนมากที่เป็นประชาธิปไตยเสรีนิยมและมีคุณภาพ ผู้นำไม่สามารถหลีกเลี่ยงที่จะถูกวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนที่มีความคิดและอุดมการณ์อันหลากหลาย แม้แต่เผด็จการอย่างเช่นจีนหรือสิงคโปร์เอง ประชาชนก็แสดงความไม่เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐจำนวนมากไม่ว่าผ่านโซเชียล มีเดียหรือออกมารวมกลุ่มกันประท้วงเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลท้องถิ่น   ปรากฏการณ์อันแสนธรรมดาเช่นนี้หากถูกมองผ่านสมองของพวกอนุรักษ์นิยมที่ถูกแช่แข็งให้อยู่แต่ในยุคกรุงศรีอยุธยาก็เหมือนกับนิทานเรื่องกบเลือกนาย แต่สำหรับการเมืองไทยยุคก่อน 22 พฤษภาคม มันคือภาพสะท้อนของการต้องการเข้ามามีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งได้เป็นลักษณะสำคัญของคนไทยจำนวนมากในยุคปัจจุบัน ประชาธิปไตยก็คือระบบที่ประชาชนสามารถเลือก “นาย” ของตนและสามารถคัดค้านหรือปลด “นาย” ของตนได้โดยใช้การมีส่วนร่วมทางการเมืองที่เหมาะสม  การยัดเหยียดนายแบบปัจจุบันเหมือนจะดูดี แต่เป็นการเอาปืนจ่อหลังอันขัดกับธรรมชาติของคนไทยจำนวนมากในปัจจุบันและรอวันจะระเบิดออกมาในอนาคต

3. เผด็จการแบบจีนและสิงคโปร์ดี  เผด็จการแบบไทยก็น่าจะดี
มายาคติดังกล่าวถือได้ว่าเป็นมุมมองที่เกินจริง เพราะเป็นการพยายามยัดเหยียดเอาประเทศซึ่งมีอัตลักษณ์ต่างกัน  ปูมหลังทางประวัติศาสตร์ การเมือง เศรษฐกิจ สังคมที่ไม่เหมือนกันเอามาทับซ้อนกันเพื่อให้ได้คำตอบที่ตัวเองต้องการ   ประเทศจีนและสิงคโปร์นั้นถึงแม้จะเป็นเผด็จการแต่ก็มีการพัฒนาของระบบและโครงสร้างทางการเมืองอันยาวนานและต่อเนื่อง พรรคคอมมิวนิสต์จีนนั้นกลายเป็นสถาบันที่มีการคัดเอาคนมีคุณภาพ ไปพร้อมๆ กับลูกหลานของพวกผู้นำพรรคยุคก่อนขึ้นมาเป็นกลุ่มผู้นำของพรรคได้ ดังกรณีนายเจียง เจ๋อหมินและนายหู จินเทา นอกจากนี้จีนยังมีทรัพยากรจำนวนมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งประชากรซึ่งเป็นแรงงานค่าแรงถูกอันกลายเป็นแรงจูงใจให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน เช่นเดียวกับระบบเศรษฐกิจทุนนิยมแบบรัฐชี้นำ ที่วางแผนโดยพรรคคอมมิวนิสต์อย่างกลมกลืนกับเศรษฐกิจโลกยุคโลกาภิวัฒน์ภายหลังจากเปิดประเทศในยุคของเติ้ง เสี่ยวผิงเมื่อปี 1978 รวมไปถึงอุดมการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลง แก้ไขอยู่เสมอให้สอดคล้องกับโลกยุคใหม่ (พอสมควร)
ในขณะที่เผด็จการแบบไทยในปัจจุบันนั้นถึงแม้พยายามเข้ามาจัดระบบการเมืองไทยเสียใหม่ทั้งที่ตัวเองก็เหมือนกับคณะรัฐประหารทุกสมัยคือขาดวิสัยทัศน์และมุมมองใหม่ๆ   มีเพียงการยึดถืออุดมการณ์เก่าๆ แบบตกยุคเช่นลัทธิกษัตริย์นิยมแบบสุดขั้ว ผสมผสานลัทธิข้าราชการนิยมและกองทัพนิยมที่สามารถย้อนหลังกลับไปถึงยุคของพระนเรศวรเมื่อ 400 ปีที่แล้ว แน่นอนว่าคสช.ต้องอาศัยพลเรือนในทุกสาขาอาชีพไม่ว่านักกฎหมาย  นักธุรกิจ ข้าราชการ อธิการบดี ฯลฯเข้ามาช่วยขับเคลื่อนประเทศร่วมกับพรรคพวกตัวเองซึ่งอยู่กันเต็ม สนช.หรือสปช. ซึ่งคนเหล่านั้นส่วนใหญ่ก็มีแนวคิดไม่ต่างกับระบอบเก่าเท่าใดนัก ที่ว่าเก่าคือย้อนกลับไปยังยุคไม่ว่า    จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์และจอมพลถนอม กิติขจร ส่วนนโยบายโดยรวมของประเทศก็ไม่แตกต่างจากของรัฐบาลชุดก่อนๆ  ที่คณะรัฐประหารชอบโจมตีดังเช่นเรื่อง   ประชานิยมและตลาดเสรีแบบเอาใจนักลงทุนต่างชาติ ดังนั้นจึงบอกไม่ได้ตรงไหนว่าเผด็จการไทยจะเหมือนกับเผด็จการของจีน ไม่ว่าปัจจุบันหรือในอนาคต  ทั้งนี้ไม่นับสิงคโปร์ซึ่งถึงแม้จะเป็นเผด็จการแต่ก็ไม่มีบทบาทของกองทัพเข้ามาเกี่ยวข้องและรัฐบาลมีความโปร่งใสกับประสิทธิภาพกว่ารัฐบาลทหารไทยในปัจจุบันมากมายนัก
อย่างไรก็ตามผู้เขียนคิดว่าเผด็จการไทยนั้นก็มีความเหมือนกับรัฐบาลจีนอยู่บ้างอย่างเช่นพรรคคอมมิวนิสต์ในปัจจุบันค่อนข้างเปราะบางในเรื่องของความถูกต้องชอบธรรมเพราะความเป็นเผด็จการและเต็มไปด้วยการฉ้อราษฎรบังหลวง เช่นเดียวกับคสช.และสถาบันที่เพิ่งถูกจัดตั้งทั้งหลาย  การกำจัดนักการเมืองที่โกงกินของคสช.ก็ไม่ต่างกับ นายสี จิ้งผิง ผู้นำของจีนที่ใช้ข้ออ้างเรื่องการปราบการฉ้อราษฎรบังหลวงในการกำจัดคู่แข่งทางการเมือง

4.เผด็จการแบบไทยๆ เป็นเรื่องดี ดูอย่างยุคของจอมพลสฤษดิ์สิ
ได้มีนักวิชาการหลายคนได้ตั้งข้อสังเกตเช่นนี้ อันสะท้อนว่าคนเหล่านั้นก็ไม่ต่างกับคนยุคก่อนจำนวนมากที่เชื่อว่าเมื่อจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ยึดอำนาจจากจอมพลป.พิบูลสงครามในปี 2500 แล้วประเทศจะกลายเป็นประชาธิปไตยกว่าเดิม และยังเชื่อตามๆ กันมาว่าสมัยจอมพลสฤษดิ์เป็นยุคทองของไทยไม่ว่าการพัฒนาประเทศทางด้านเศรษฐกิจหรือความมั่นคงของชาติ     ในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจนั้นไทยช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 25 ได้รับการช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกาทางด้านเงิน    ยุทโธปกรณ์และการให้คำปรึกษาในแผนและโครงการด้านต่างๆ  เพราะสหรัฐฯนั้นหวังให้ไทยเป็นป้อมปราการต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ในช่วงต้นๆ ของสงครามเวียดนาม  กระนั้นมรดกที่มีการแย่งชิงกันภายหลังจากการตายของจอมพลสฤษดิ์จำนวน 2 พันกว่าล้านบาทอาจบอกเป็นนัยได้ว่าเงินซึ่งจอมพลสฤษดิ์ยักยอกมานั้นจำนวนไม่น้อยเป็นเงินช่วยเหลือจากสหรัฐฯ ดังนั้นจอมพลสฤษดิ์จึงไม่สมควรได้รับการยกย่องเท่าไรนักในเรื่องการพัฒนาประเทศ ยกเว้นความสามารถในการหลอกพวกนักวิชาการที่เก่งกาจทั้งหลายในการมาทำงานให้กับตัวเอง  ในทางกลับกันถ้านายกรัฐมนตรีในยุคนั้นไม่ใช่จอมพลสฤษดิ์ คือเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์พอสมควร มีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ ประเทศก็น่าจะพัฒนามากกว่านี้
ส่วนความมั่นคงของชาตินั้น คนที่ฝักใฝ่เผด็จการมักมองไปที่ กฎหมายมาตรา 17  ที่มอบอำนาจให้กับฝ่ายบริหารได้อย่างเต็มที่เช่นการตัดสินผู้กระทำความผิดโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการศาลโดยเฉพาะฉากอันน่าตราตรึงใจคือการยิงเป้าผู้กระทำความผิด  อย่างฉับไวแต่มักจะลืมมองไปว่าผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของการยิงเป้านั้นได้กระทำความผิดจริงหรือไม่  ส่วนเรื่องของอาชญากรรมซึ่งมักเชื่อกันว่าค่อนข้างน้อยเพราะความเด็ดขาดของรัฐในยุคของจอมพลสฤษดิ์นั้น มีการเก็บสถิติกันอย่างเป็นทางการหรือไม่ และผู้กระทำความผิดเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐเสียเองเป็นจำนวนเท่าไร
ที่สำคัญสื่อมวลชนซึ่งในยุคนั้นถูกควบคุมโดยรัฐสามารถสะท้อนภาพของอาชญากรรมที่กระทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐได้มากน้อยเพียงใด นอกจากนี้จอมพลสฤษดิ์สมควรได้รับคำชมสำหรับนำประเทศรอดจากภัยของคอมมิวนิสต์และการแบ่งแยกดินแดนหรือไม่ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าภัยคุกคามเหล่านั้นถูกแต่งเติมโดยสื่อที่ผูกขาดโดยรัฐเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับระบอบเผด็จการ หากเราลองสมมติว่าประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยในสมัยนั้นจะสามารถป้องกันภัยเหล่านี้ได้หรือไม่ (ถ้าเราเชื่อว่าเผด็จการสามารถปราบปรามคอมมิวนิสต์ได้ รัฐในยุคหลังก็คงไม่ออกคำสั่ง 66/2523 เพื่อให้พวกคอมมิวนิสต์ออกมาร่วมพัฒนาชาติไทย)  คำถามเหล่านี้จำเป็นต้องมีการค้นคว้าอย่างจริงจัง มากกว่าจะเชื่อตามๆ กันมา  สมมติว่าเราพิสูจน์ได้ว่าจอมพลสฤษดิ์นั้นดีจริง (ซึ่งก็ต้องมาวิเคราะห์กันในเชิงปรัชญาการเมืองอีกว่า ความดีคืออะไร)  เราจะทราบได้อย่างไรว่าคสช.จะดีเหมือนจอมพลสฤษดิ์ เพราะนอกจากจะเป็นคนละคนกันแล้ว บริบททางการเมืองของไทยนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย (หนังสืออ่านเพิ่มเติม : การเมืองระบบพ่อขุนอุปถัมภ์แบบเผด็จการของทักษ์ เฉลิมเตียรณ)

5.เผด็จการแบบไทยๆ จะนำประเทศไปสู่ประชาธิปไตยมากขึ้นในอนาคต

หากเรามองประวัติศาสตร์ของการเมืองโลก แทบจะไม่พบว่าการทำรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจะทำให้ประเทศกลายเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นในภายหลัง ตัวอย่างยุคร่วมสมัยได้แก่อียิปต์ที่มูฮัมหมัด มอร์ซีประธานาธิบดีคนแรกที่มาจากการเลือกตั้งถูกทหารทำการรัฐประหาร และต่อมาได้จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ที่มีผู้เข้าชิงตำแหน่งเพียง 2 คน และผู้ชนะก็คืออับเดล อัล-ซิซี อดีตผู้บังคับบัญชาการทหารบก การเลือกตั้งครังนี้ถือได้ว่าไม่เป็นประชาธิปไตยเพราะตัวผู้ชนะได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ส่วนสถาบันทางการเมืองของอียิปต์ก็ยังถูกผูกขาดโดยชนชั้นสูงโดยเฉพาะกองทัพและศาล เหมือนไม่ต่างจากยุคของฮอสนี มูบารัก 
ไม่ว่าคณะรัฐประหารจะมีเหตุผลหรือความชอบธรรมในการทำรัฐประหารอย่างไรก็ตาม การทำรัฐประหารนั้นก็คือความไม่เป็นประชาธิปไตยของสถาบันกองทัพไปในตัวตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว เพราะภาวะที่กองทัพมีอำนาจเหนือรัฐบาลพลเรือน  โดยเฉพาะรัฐบาลมาจากการเลือกตั้งแล้ว เมื่อกองทัพได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการปกครองร่วมกับชนชั้นสูงอื่นๆ ในการจัดระบบหรือโครงสร้างทางการเมืองก็ย่อมทำทุกวิถีทางในการรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง  หากเราเฝ้ามองการจัดการประเทศของคสช.ตลอดเวลาที่ผ่านมา จะพบว่าไม่มีแนวโน้มใดๆ ที่จะนำไปสู่การเป็นประชาธิปไตยเสรีนิยมไม่ว่ารัฐธรรมนูญชั่วคราวหรือสภานิติบัญญัติแห่งชาติ  และยังเป็นเรื่องน่าตกใจอีกว่าสื่อมวลชนของไทยจำนวนมากกลับแสดงท่าทีโหยหาการปกครองแบบเด็ดขาดจากคสช.ไม่ว่าจะเกิดจากความจริงใจหรือไม่จริงใจก็ตาม  มุมมองเช่นนี้ย่อมสะท้อนหรือชี้นำมวลชนซึ่งปรารถนาความมั่นคงหรือความผาสุกในชีวิตมากกว่าระบอบประชาธิปไตยที่พวกเขาคิดเอาเองว่าคือเฉพาะการเลือกตั้งและพรรคการเมืองที่ไร้ประสิทธิภาพ เหตุการณ์เหล่านี้จะนำประเทศไทยไปสู่ระบอบประชาธิปไตยกึ่งเผด็จการอีกนานเท่านานตามแผนของกองทัพ
การคิดว่าเผด็จการแบบไทยๆ จะนำไปสู่ประชาธิปไตยมากกว่าเดิมก็อุปมาได้ดังหว่านเมล็ดมะม่วงลงไปในดินแล้วหวังว่าจะได้ต้นแก้วมังกร

6. เผด็จการสอดคล้องกับสังคมไทย ส่วนประชาธิปไตยเป็นของนอก
เป็นความเข้าใจผิดอย่างยิ่งที่พวกฝักใฝ่เผด็จการเห็นว่าประชาธิปไตยเป็นของนอกซึ่งไม่เข้ากับสังคมไทย  แท้ที่จริงเผด็จการก็เป็นของนอกหรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ที่ไม่สอดคล้องกับสังคมไทยต่างหาก ผู้เขียนคิดว่าคสช.คงจะตระหนักถึงสิ่งนี้ดีจึงได้พยายามเผยแพร่ภาพยนตร์พระนเรศวรเพื่อสะกดจิตคนไทยให้เข้าใจว่าเผด็จการนั้นเป็นของดีมานับตั้งแต่สมัยอยุธยาและคสช.ก็สืบต่อของดีนั้น พระนเรศวรคือบุรุษในอุดมการณ์ของเผด็จการแบบไทยๆ ในฐานะผู้นำทางทหารซึ่งเปี่ยมด้วยความสามารถและความกล้าหาญ ความเด็ดเดี่ยว พระองค์ยังเป็นนักปกครองผู้ทรงคุณธรรมซึ่งปกครองด้วยความเมตตาต่อประชาชน    หากพิจารณาภาพยนตร์ในทุกภาคแล้วอย่างละเอียดแล้ว ภาพของพระนเรศวรในภาพยนตร์คือกษัตริย์ที่ทรงบัญชากองทัพได้อย่างเก่งกาจเสียมากกว่าเป็นนักบริหารประเทศ เพราะกรุงศรีอยุธยาอยู่ในยุคที่มุ่งการทำสงคราม เผด็จการในยุคของพระนเรศวรจึงไม่สามารถนำมาเทียบได้กับเผด็จการในยุคปัจจุบันที่ประเทศไทยปราศจากสงครามและมีความซับซ้อนทางการเมืองกับสังคมยิ่งกว่ายุคกรุงศรีอยุธยาไม่รู้กี่ร้อยเท่า ทั้งนี้ไม่นับว่าในสมัยของพระนเรศวรรวมไปถึงพระมหากษัตริย์องค์อื่นๆ ก่อนปลายศตวรรษที่ 19  คำว่าประเทศไทยยังไม่เกิดและกองทัพยังไม่เป็นองค์กรแบบจัดตั้งอย่างปัจจุบัน
ดังนั้นหากตัดมายาคติเรื่องเผด็จการดำรงอยู่คู่ไทยตั้งแต่อดีตแล้ว ผู้เขียนคิดว่าเผด็จการแบบไทยๆ ในปัจจุบันเริ่มก่อตัวมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5  ที่รัฐบาลกลางใช้ยุทธวิธีที่เลียนแบบจากฝรั่งชาติตะวันตกในการดึงดูดทรัพยากรและรวบอำนาจจากส่วนภูมิภาคเข้าสู่กรุงเทพฯ นั้นคือระบบสมบูรณาญาสิทธิราชหรือการกลายเป็นรัฐชาติอันมีศูนย์กลางอำนาจอยู่ที่พระมหากษัตริย์  ถึงแม้ไทยจะเปลี่ยนแปลงการปกครองไปแล้วในปี พ.ศ. 2475  เผด็จการทหารในยุคการกลายเป็นสถาบันทางการเมืองก็พยายามสร้างลัทธิชาตินิยมและราชการนิยมโดยตั้งอยู่บนการรวมศูนย์อำนาจเช่นนี้ผ่านทฤษฎีของฝรั่งเช่นฟาสซิสต์ของเยอรมันหรือญี่ปุ่นเช่นเดียวกับการเลียนแบบเผด็จการในประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอเมริกากลาง ตะวันออกกลางหรือเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยุคสงครามเย็น ดังตัวอย่างในปัจจุบันผู้เขียนคิดว่า สนช.ของไทยนั้นได้รับอิทธิพลจากพม่าไม่มากก็น้อย
ปรากฏการณ์นี้นำไปสู่คำถามที่ว่าหากเผด็จการสอดคล้องหรือเหมาะสมกับสังคมไทยอย่างแท้จริง เหตุใดจึงเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม  6 ตุลาคม พฤษภาทมิฬเรื่อยมา  (หรือว่าเหตุการณ์เหล่านี้คือความเป็นไทยแท้ ?)   นอกจากนี้เหตุใดการทำรัฐประหารโดย คมช.ในปี 2549 ที่ทำให้เกิดรัฐบาลเผด็จการที่มีหัวหน้าคือพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์จึงทำให้พรรคพลังประชาชนกลับได้คะแนนเสียงอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งครั้งต่อมา  อันนำไปสู่คำถามในปัจจุบันอีกว่าเหตุใดจึงคิดกันว่าการทำรัฐประหารในปี 2557 ของ คสช.จะแตกต่างจากคณะรัฐประหารกลุ่มอื่นๆ และสอดคล้องความเป็นไทยมากที่สุด  นอกจากนี้การที่ คสช.สามารถสร้างระบบและโครงสร้างทางเมืองต่างๆ เพื่อปลอดอิทธิพลของทักษิณรวมไปถึงนักการเมืองไม่ว่าจากกลุ่มไหนก็ตามจะทำให้คนไทยสยบยอมต่อเผด็จการตลอดไปหรือไม่
อย่างน้อยถ้าเราท่องไปในโลกโซเชียลมีเดียชนิดต่างๆ โดยเฉพาะเฟซบุ๊กจะพบว่าความคิดเห็นด้านลบของบุคคลเป็นจำนวนมากต่อพลเอกประยุทธ์และ คสช.โดยที่คนเหล่านั้นไม่ได้แสดงตนว่าอยู่ฝ่ายทักษิณอาจช่วยสามารถตอบคำตอบข้างบนได้ในระดับหนึ่ง

หัวหน้า คสช. เผยเดี๋ยวนี้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย ต่างชาติชื่นชม


"คืนความสุขให้คนในชาติ" กับ พล.อ.ประยุทธ์ วอนชาวสวนยางอย่าเพิ่งเข้ากรุง มาแล้วจะเสียเวลาไม่ได้อะไรกลับไป - เดี๋ยวนี้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย ทุกคนเคารพกฎหมาย ต่างชาติชื่นชมหาดทรายสวยๆ ที่ภูเก็ต - วอนอย่าบ่นรถติด เมืองใหญ่ประเทศไหนรถไม่ติดบ้างบอกหน่อย เผยตอนเด็กก็เคยขึ้นรถเมล์รู้ถึงความยากลำบากขึ้นรถ 3 ต่อ 4 ต่อ จากนี้ไปรัฐจะเน้นระบบรางให้ใช้ได้แท้จริง

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ/ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวในรายการ "คืนความสุขให้คนในชาติ" ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 22  สิงหาคม  2557 เวลา 20.15 น ตอนหนึ่งว่าขอความร่วมมือกลุ่มผู้ต่อต้านที่เรียกตัวเองว่า “ประชาธิปไตย” โดยเรียกร้องให้มีการคืนอำนาจและการเลือกตั้ง โดยมีการใช้คำตำหนิติเตียน ทำใบปลิว บัตรสนเท่ห์ โซเซียลเน็ตเวิร์คให้ร้ายการกระทำของ คสช. รวมทั้งทราบว่ามีการประชุมลับกันหลายครั้ง โดยยืนยันว่าบ้านเมืองเกิดปัญหามากมายที่ในระยะเวลาที่ผ่านมา และคสช.กำลังแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ อย่าพยายามทำให้คนไทยโดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยเข้าใจผิด

“เราน่าจะมองว่าถ้าเราปล่อยให้สิ่งเหล่านั้น ยังเดินหน้าต่อไปด้วยการเป็นประชาธิปไตยแบบเดิม ก็น่าจะทำให้ประเทศไทยเสียหายเป็นอย่างยิ่งในอนาคต ทำให้การพัฒนาประเทศช้าลงตามลำดับ”

ส่วนการปรองดองและการปฏิรูปเพิ่งเริ่มต้นในระยะที่ 2 อย่าเพิ่งตำหนิ ติเตียน เรื่องของตัวบุคคล โดยตอนนี้ ถ้าดูในโซเชียลมีเดีย ดูในสื่อ ก็แทบจะไม่มีคนดีเหลืออยู่แล้วในสายตาของสังคมวันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนี้จะให้โอกาสของคนทุกคนไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตามเข้ามาแก้ไขร่วมกัน โดยจะมีการควบคุมด้วยระบบธรรมาภิบาล

ขณะที่ภาคเศรษฐกิจ มีทั้งวิกฤติและโอกาส ทำอย่างไรจะให้วิกฤติเป็นโอกาสให้ได้ ทั้งภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และอื่น ๆ ต้องพัฒนาตนเองทั้งความรู้ความสามารถ ความซื่อสัตย์ ความเข้าใจซึ่งกันและกันรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา โดยยึดเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นหลัก และจะมีการปรับปรุงเทคโนโลยีให้ทันสมัย โดยจะมีการสนับสนุนด้านเงินทุน ด้วยแบงค์รัฐ และกองทุนของรัฐ รวมทั้งบีโอไอ เพื่อให้เกษตรกรมีศักยภาพในการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพมากขึ้น พัฒนาความสามารถในการแข่งขันของประเทศในเวทีโลกให้มากขึ้น

สำหรับด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ให้ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาปฏิรูปแห่งชาติ หาวิธีทำกฎหมายให้เป็นธรรมกับคนทุกคน เพื่อให้เกิดควยามยั่งยืน ก่อนกลับเข้าสู่การเป็นประชาธิปไตยที่ยั่งยืน

นอกจากนี้ คสช.ได้แก้ปัญหาด้านความมั่นคง ได้แก่ปัญหาที่ดินทำกิน ซึ่งได้มอบหมายให้ฝ่ายความมั่นคง คสช. ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และส่วนราชการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ไปจัดตั้งคณะทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินแบบบูรณาการ คือโฉนดที่ดินยังเป็นของรัฐแต่ให้ประชาชนทำมาหากินร่วมกันได้ และมีการปลูกป่าไปด้วย และย้ำว่าไม่อยากให้มีการบุกรุกป่าสมบูรณ์อีกเป็นอันขาด ส่วนป่าชุมชนอยากให้ปรับมาเป็นป่าเศรษฐกิจ ให้คนในพื้นที่มาดูแล ซึ่งจะต้องมีการดูแลข้อกฎหมายใหม่ เพื่อไม่ให้มีการบุกรุกป่ามากขึ้น ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการหารือ สามารถแสดงความคิดเห็นต่อ คสช.ได้
ทั้งนี้รายละเอียดทั้งหมดของรายการ "คืนความสุขให้คนในชาติ" ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 22  สิงหาคม  2557 เวลา 20.15 น มีดังต่อไปนี้



พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ/ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวในรายการ "คืนความสุขให้คนในชาติ" ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 22  สิงหาคม  2557 เวลา 20.15 น 

สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องประชาชนที่รักพบกันอีกครั้งเช่นเดิม ขอบคุณที่ทุกท่านได้กรุณาติดตามรับฟัง และเป็นกำลังใจให้ผมกับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตลอดมา

ทุกครั้งที่เราพบกัน อยากจะเรียนว่าสิ่งที่เราคิดและเราทำออกไปนั้น บางครั้งอาจจะดูเหมือนยังไม่เร็วเท่าที่ควรพอที่จะแก้ปัญหาทุกอย่างของประเทศได้ อยากจะเรียนว่ามีปัญหาความทับซ้อนกันมากมาย ทั้งในด้านการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคมจิตวิทยา และอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเหล่านั้น มีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของประเทศ การพัฒนาประเทศ ความอยู่ดีกินดีของประชาชนในทุกมิติ

พวกเราจึงอยากขอความร่วมมือ ขอร้องบรรดาผู้ที่ยังไม่ค่อยเข้าใจที่พยายามจะต่อว่าหรือต่อต้าน โดยเลือกที่จะพูดคำว่า ประชาธิปไตย โดยการคืนอำนาจและเลือกตั้ง หรือกล่าวคำตำหนิติเตียน ทำใบปลิว บัตรสนเท่ห์ ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์ค ให้ร้ายการกระทำอันเป็นเจตนาดีของพวกเรา ผมไม่ทราบว่าจะทำไปเพื่ออะไรยังคงมีการซุ่มซ่อน หลบเลี่ยง ดำเนินการในลักษณะที่มีการปกปิดซ่อนเร้นอยู่ตลอดมา และผมทราบมีการประชุมกันอยู่หลาย ๆ ที่ด้วยกัน โดยเป็นคนกลุ่มเดิม ๆ พูดจากันว่าอะไรบ้าง ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่ดีเลย กับการที่จะขับเคลื่อนประเทศในวันข้างหน้า หรือการปฏิรูปของพวกเราผมพูดอยู่เสมอแล้วว่าเราก็อยากสร้างบรรยากาศการปรองดอง ในการที่จะปฏิรูปประเทศไทย ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ให้ได้ แต่หลายคนก็มีความพยายามที่จะนำพากลับไปสู่สถานการณ์ไม่ปกติอีกต่อไป โดยใช้คำว่าประชาธิปไตย การเลือกตั้ง โดยที่ไม่เห็นว่าประชาธิปไตยที่ไม่สมบูรณ์ เกิดความไม่ปลอดภัย ขาดความน่าเชื่อถือจากสังคมโลก การกระจายรายได้ที่ไม่เป็นธรรม การทุจริตผิดกฎหมาย มีการบุกรุกทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การเอารัดเอาเปรียบผู้คนโดยใช้ทุกวิธีการทั้งผิดและถูก เพื่อให้ประชาชนส่วนใหญ่นั้นเชื่อมั่นในการกระทำดังกล่าวว่าเป็นสิ่งที่ดี ที่ถูก เกิดประโยชน์ต่อประชาชน ซึ่งก็คงเกิดได้เฉพาะบางพวก บางกลุ่ม บางพื้นที่เท่านั้น ไม่ทั่วถึงและไม่แก้ปัญหาพื้นฐานของประชาชนได้เลย ตลอดระยะเวลายาวนานในอดีตที่ผ่านมา

ผมยกตัวอย่างง่าย ๆ การบริหารจัดการเรื่องน้ำทั้งระบบ การแก้ปัญหาสาธารณูปโภคพื้นฐานที่ทันสมัยพร้อมต่อการให้บริการ การเตรียมการรองรับประชาคมอาเซียน การกำหนดยุทธศาสตร์ชาติที่เป็นรูปธรรมปฏิบัติได้แล้วจับต้องได้ในระยะยาว การแก้ปัญหาหนี้สินประชาชน การเข้าถึงทรัพยากรแหล่งเงินทุนของประชาชนที่ยั่งยืน ในการบริหารจัดการที่ผ่านมาเหมือนเราดูภาพถ่าย รูปถ่ายในภาพยนตร์ เหมือนนำมาให้ดูแล้วก็จบไปเหมือนหนังจบ หรือปิดหนังสือก็ไม่เห็นรูปอีกต่อไปจะเป็นชิ้น ๆ ไม่เกิดความต่อเนื่องทั้งระบบ ทั่วถึงและยั่งยืน

เพราะฉะนั้นเราต้องพยายามทำอะไรที่จับต้องไม่ได้อย่างเป็นรูปธรรมมากนัก มาบริหารจัดการให้ได้ เช่น การบริหารจัดการพลังงานอย่างไร้ทิศทางที่ชัดเจน มียุทธศาสตร์ระยะยาวและอีกหลาย ๆ เรื่องที่เมื่อเราเข้ามาควบคุมอำนาจในการบริหารราชการได้ตรวจสอบพบสิ่งเหล่านี้ บั่นทอนความเจริญก้าวหน้าของประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง การศึกษา  สาธารณสุขที่ยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอและยั่งยืน ผมใช้คำว่ายังไม่เพียงพอและยั่งยืน บางอย่างก็ดีอยู่ บางอย่างก็ยังไม่ยั่งยืน ผมอาจจะต้องก้าวล่วงในการทำงานของทุกฝ่าย ทั้งข้าราชการ ฝ่ายนโยบาย ฝ่ายการเมืองอยู่บ้าง เพราะท่านรู้ว่าปัญหาประเทศอยู่ที่ไหน เพียงแต่แก้ไขอะไรยังไม่ได้ ตราบใดที่ยังมีผู้บริหารข้าราชการบางคน บางส่วน บางพวก ยังมีผลประโยชน์ในการบริหารราชการ เพราะฉะนั้นประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับก็จะลดลงไปตามลำดับ ผมไม่ได้หมายถึงทุกหน่วย ทุกคน ก็มีบางคนบางส่วนเท่านั้นเอง แต่เป็นผลกระทบโดยรวม เป็นเหมือนลูกโซ่ พอตรงนี้พลาด ตรงนี้ไม่ดี ตรงนี้ผิด ก็ทำให้สิ่งที่อาจจะดีอยู่แล้ว ถูกถ่วงดุลดึงลงไปด้วย อันนี้อยากจะเรียนให้ทราบ

เรื่องที่ผมกล่าวไปทั้งหมด เราน่าจะมองว่าถ้าเราปล่อยให้สิ่งเหล่านั้น ยังเดินหน้าต่อไปด้วยการเป็นประชาธิปไตยแบบเดิม ก็น่าจะทำให้ประเทศไทยเสียหายเป็นอย่างยิ่งในอนาคต ทำให้การพัฒนาประเทศช้าลงตามลำดับ
จากผลดำเนินงานที่ผ่านมาของ คสช. ระยะที่ 1 ประมาณ 3 เดือน มีความก้าวหน้าในการแก้ไขปัญหามาในระดับหนึ่ง ไม่อยากให้ทุกอย่างเป็นในลักษณะไฟไหม้ฟาง คือทำแล้ว แก้ไปแล้ว ระหว่างที่เราเข้มงวดอยู่ก็ดูเหมือนจะดี แต่พอเราไปทำเรื่องอื่นที่มีปัญหามากมาย เรื่องเก่า อำนาจเก่า ผู้มีอิทธิพลเก่าก็จะเข้ามาอีก พยายามที่จะกลับเข้ามาแก้ไขอีก กลับไปเป็นแบบเดิมอีก โดยใช้กระแสสังคม โดยใช้กระแสของประชาชนผู้ยากไร้ ผู้มีรายได้น้อย ผมไม่เข้าใจว่าคนเหล่านี้ จิตใจทำด้วยอะไร พยายามจะทำให้คนไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้มีรายได้น้อยเข้าใจผิด และยกประโยชน์แต่เพียงส่วนน้อย ผิดกฎหมายหรือละเมิดความสงบเรียบร้อยของสังคมให้กับประชาชนเป็นจุดอ้าง และกอบโกยผลประโยชน์ส่วนใหญ่ไป และแบ่งปันส่วนน้อยให้กับผู้ที่ทำผิดกฎหมายดังกล่าว โดยมีประชาชนเหมือนกับเป็นตัวประกัน อันนี้ต้องขอร้องให้เลิกซะที เช่น การที่เราไปจัดระเบียบในสังคมเหล่านี้ ก็ยังมีคนพยายามที่จะกลับมาให้เป็นเหมือนเดิม การปรับปรุงทางเท้า การปรับปรุงการค้าขาย ปลีก ขายย่อยตามถนนหนทางก็ไปจัดระเบียบกันมาให้ได้ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องคงต้องไปหาแนวทางที่เหมาะสม ทำอย่างคนที่ยากจนจะไม่เดือดร้อน หาที่ขายให้ใหม่หรือกำหนดกติตาต่าง ๆ ให้ชัดเจนในบางพื้นที่ ก็ไปหาวิธีการทำให้ได้ คสช. กำหนดนโยบายไปแล้ว ฉะนั้นทุกคนต้องหามาตรการดำเนินการให้ดีที่สุด ทั้งระยะสั้น ระยะยาวไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปในการกระทำผิดกฎหมาย

การปรองดองและการปฏิรูป ในระยะที่ 2 ซึ่งเราพึ่งจะเริ่มต้นตอนนี้อย่าเพิ่งตำหนิติเตียนกันมากนักเลย ในเรื่องของตัวบุคคล วันนี้ถ้าดูในโซเชียลมีเดีย ดูในสื่อ ก็แทบจะไม่มีคนดีเหลืออยู่แล้วในสายตาของสังคมวันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนี้ถ้าเราบอกว่าเราจะให้โอกาสของคนทุกคนไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตามเข้ามาแก้ไข ถ้าคนที่เขาเคยทำไม่ดีก็เป็นโอกาสให้เขามาแสดงให้เห็นว่า ถ้าทำดีจะทำได้อย่างไร เพราะเราจะมีการบริหารจัดการ และควบคุมด้วยระบบธรรมาภิบาล เพราะอย่างไรเราต้องอยู่ร่วมกันต่อไปให้ได้

ด้านเศรษฐกิจ สัปดาห์ที่แล้ว ผมพูดไปแล้วว่าเรามีทั้งวิกฤติและโอกาส ทำอย่างไรจะให้วิกฤติเป็นโอกาสให้ได้ ทั้งภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และอื่น ๆ ต้องพัฒนาตนเองทั้งความรู้ความสามารถ ความซื่อสัตย์ ความเข้าใจซึ่งกันและกันรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ไม่มีอะไรยั่งยืน ผลิตผลต่าง ๆ การค้าขาย ฉะนั้นเราต้อง เตรียมตัวรับความเสี่ยงให้พร้อม เราก็มีหลักการอยู่แล้วใช่หรือไม่ เรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการมีภูมิคุ้มกัน โดยมีความรู้คู่คุณธรรม ความรู้สำคัญในทุกวิชาชีพ ทุกอาชีพต้องมีความรู้ คำว่ามีคุณธรรมคือไม่ไปเบียดเบียน ไม่ไปรังแก ไม่ไปขูดรีดกับผู้ที่มีรายได้น้อย ซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น การทำค้าขาย การผลิตสินค้าต่าง ๆ ต้องเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ ให้ได้รับความเชื่อถือจากผู้บริโภคและคู่ค้า ทั้งในประเทศและต่างประเทศ วันนี้สิ่งที่เรามีอยู่คือความเข้มแข็งของทุกภาคการผลิต การปรับปรุงเทคโนโลยีให้ทันสมัยขึ้น ก็ต้องไปดูว่าจะทำอย่างไรถึงจะมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากขึ้น ปรับปรุงเครื่องจักร ปรับปรุงการผลิตก็ต้องมีเงินทุนให้ไปทำการปรับปรุงในธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น SME ในเรื่องของการลงทุนขนาดใหญ่ BOI และกองทุนต่าง ๆ ของรัฐ อันนี้ก็ต้องพยายามช่วยกัน ต้องนำคนทุกคนเข้าหาทรัพยากรให้ได้จะเข้าไปอย่างไร จะมีวิธีการเฉลี่ยแบ่งปันกันอย่างไรให้เกิดความพอเพียงเกิดขึ้น และค่อย ๆ สร้าง ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไป ก็จะดีขึ้นไปตามลำดับ ถ้าทุกคนยังคงยึดถือการผลิตที่เชิงปริมาณมากเกินไป โดยไม่มีการปรับปรุงเทคโนโลยี ไม่มีการขยายประสิทธิภาพในการผลิตให้ดีขึ้น ให้มากขึ้น ให้ทันสมัยขึ้น ก็จะถอยหลังไปเรื่อย ๆ เราจะสู้เขาไม่ได้ สินค้าเราจะสู้เขาไม่ได้ ถ้าเขามาเห็นว่าการผลิตออกมาเป็นแบบนี้ เขาก็ไม่เชื่อถือ เราต้องช่วยกันเร่งปรับปรุงให้ได้โดยเร็ว รวมกลุ่มกันให้ได้ พึ่งพาอาศัยกันบ้าง อยากให้เป็นธุรกิจของคนไทยในประเทศของเราเอง สร้างความเข้มแข็งให้ธุรกิจที่ดำเนินการโดยคนไทยให้เข้มแข็งขึ้น เตรียมรับการเปลี่ยนแปลงของการแข่งขันในเวทีโลก ในการค้าขาย

การดำเนินการด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมของ คสช. เราพยายามปรับปรุงแก้ไขในเรื่องที่เร่งด่วนไปบ้างแล้ว เรื่องใหญ่ ๆ สำคัญ ๆ ที่มีผลผูกพันกับหลาย ๆ อย่างต้องไปแก้กันในสภาปฏิรูป หรือสภานิติบัญญัติ เราไม่ควรที่จะไปออกคำสั่ง หรือประกาศต่าง ๆ เพื่อที่จะไปหาวิถีทางเพื่อที่จะกำจัดเรื่องนั้นเรื่องนี้ กลุ่มหนึ่งกลุ่มใดได้ 100% เป็นการชั่วคราวเท่านั้น แต่การที่จะทำให้เกิดความยั่งยืนถาวรคงต้องไปแก้ในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ในคณะกรรมการสรรหาสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เพราะเราต้องการทำกฎหมายทุกอย่างให้เกิดความเป็นธรรมกับคนทุกหมู่เหล่า คนไทยทั้งประเทศ วันหน้าเราต้องกลับเข้ามาสู่การเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ มีการเลือกตั้งที่ทุกพวกทุกฝ่ายพอใจ เราต้องพยายามปรับแก้สิ่งเหล่านั้น น่าจะดีกว่าการให้ คสช. แก้ด้วยความรวดเร็ว โดยใช้กฎหมายพิเศษมากนัก เราต้องดูว่าที่ผ่านมานั้นจากระบบการเมือง การบริหารประเทศที่มีการทับซ้อน ก้าวก่ายกัน ระบบต่าง ๆ นั้นมีหรือไม่อย่างไร ผมคิดว่าทุกคนคงไม่มีใครอยากทำไม่ดี อยู่ที่ใครจะกำกับดูแล ใครจะควบคุมการใช้อำนาจให้ถูกต้องได้มากน้อยเพียงใด ทุกคนต้องมาช่วยกัน นั่นคือปัญหาสำคัญเพื่อจะนำพาประเทศชาติไปข้างหน้า

ฉะนั้นวันนี้อย่างพึ่งมาติ ให้ร้ายกันตั้งแต่ยังไม่ได้ทำอะไรหรือทำไปบ้างแล้ว จะถูก  จะผิด จะดี จะไม่ดี กฎหมายต้องตัดสินมา เมื่อจะแก้ไขเราก็ต้องเปลี่ยนแปลงวิธีคิด วิธีปฏิบัติให้เหมาะสม ไม่ได้หมายความว่าเราจะไปยกโทษให้ยังไม่มี ทำไม่ได้หรอก คนผิดก็ต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย อันนี้มีไว้สำหรับคนทุกคนที่ผิดกฎหมาย

ผลการดำเนินงานในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมาด้านความมั่นคงก็คงเป็นเรื่องการแก้ปัญหาที่ดินทำกิน อันนี้เป็นปัญหาของประชาชนหลายแสนคน อาจจะเป็นจำนวนล้านด้วยซ้ำไปที่ไม่มีที่ดินทำกิน ฉะนั้นปัญหานี้ผมได้มอบหมายให้ฝ่ายความมั่นคง คสช. ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และส่วนราชการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ไปจัดตั้งคณะทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินแบบบูรณาการให้ได้ เป็นแนวคิดเฉย ๆ ว่าเราอาจจะพิจารณาได้หรือไม่ว่านำพื้นที่ของรัฐที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ ป่าเสื่อมโทรมไม่สามารถฟื้นฟูได้แล้ว พื้นที่รกร้างว่างเปล่าไม่ได้ใช้ประโยชน์จะทำอย่างไรให้ประชาชนสามารถจะมาหารายได้ ทำมาหากินร่วมกัน ถ้าเป็นพื้นที่ป่าก็ต้องดูแลป่า ปลูกป่าไปด้วย แต่กรรมสิทธิ์ยังเป็นของรัฐ ไม่เป็นโฉนดของใครทั้งสิ้นเป็นของรัฐอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ว่าจะทำอย่างไรเขาจะเข้ามาทำกิน ผมเคยพูดเรื่องคิบบุตซ์ (Kibbutz) ในประเทศอิสราเอล เขาก็ทำแบบนี้ที่เขามีน้อยมาก ฉะนั้นเขาก็จัดเป็นกลุ่ม ๆ ขึ้นมา เป็นนิคมเล็ก ๆ ขึ้นมา ไปดูแลร่วมกัน รัฐลงทุนให้แบ่งปันผลประโยชน์กันไป ถ้าเราไม่มีที่แล้วเราไปแบ่งที่ทุกคน ๆ เมื่อไหร่จะพอ ไม่พอแน่นอน ถ้าทำเป็นกลุ่มแบบนี้และไปหาพื้นที่ของรัฐเข้าไปทำ แต่ไม่ใช่ไปทำกินอย่างเดียว ต้องปลูกป่าไปด้วย ถ้าใช้พื้นที่ป่า ป่าที่เสื่อมโทรมแล้วก็ทำเป็นป่าเศรษฐกิจ คำว่าป่าเศรษฐกิจคือมีทั้งไม้ยืนต้น มีทั้งไม้ที่ต้องอนุรักษ์ และมีไม้ที่เก็บผลประโยชน์ได้ เช่น อาจจะเป็นป่าผสมกันทั้งป่ายาง ป่าไม้ยืนต้น คือไม่มีอะไรที่จะสมบูรณ์ได้อย่างเดียว ป่าสมบูรณ์ 100% ประชาชนยากจน ประชาชนไม่มีที่ทำกิน ก็ไม่ได้ทั้งหมด ทำอย่างไรเราจะจัดระเบียบตรงนี้ได้ แต่ผมไม่ได้หมายความว่าให้ไปบุกรุกป่าใหม่เพิ่มเติม ทำอย่างไรป่าที่ฟื้นไม่ไหวแล้ว แต่ยังเป็นพื้นที่ป่าอยู่เหมือนเดิม แต่เป็นป่าเศรษฐกิจ กำลังให้ไปทดลองไปคิดกันมาว่าจะหาทางกันอย่างไร และนำไปสู่การปฏิรูปหรือการดำเนินการใน สนช. กันต่อไป มีกฎหมายหลายข้อ ป่าสมบูรณ์ปัจจุบันขออย่าบุกรุกอีกเป็นอันขาด จากขอบป่าเดิมที่มีพื้นที่บริเวณเดิม ถ้าบุกรุกเข้ามา ต้องตีพื้นที่ชัดเจนว่าตรงนี้เป็นแนวป่าอยู่ และตรงนี้รุกเข้ามาถึงตรงนี้ ในส่วนของตรงนี้ต้องไปใช้วิธีการแก้ปัญหาทั้งนิติศาสตร์ และรัฐศาสตร์ อย่างที่ผมว่าคือรัฐศาสตร์ และยังเป็นป่าอยู่เหมือนเดิม แต่อาจจะมีปัญหาที่ประชาชนต้องเดือดร้อน ทำอย่างไรประชาชนจะอยู่กับป่าได้ หลาย ๆ ที่เป็นแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงทำไว้แล้ว เช่น ป่าชุมชน ป่าเศรษฐกิจ คำว่าป่าชุมชน ผมว่าน่าจะไปปรับมาทำเป็นป่าเศรษฐกิจจะได้หรือไม่ ถ้าป่าชุมชน ก็บ้านใคร บ้านมัน หมู่บ้านนั้น หมู่บ้านนี้ ชี้ตรงนี้ ตรงนั้นเป็นของตรงนั้น ก็เป็นป่าเศรษฐกิจไปเลย คนในพื้นที่ก็ทำได้ มาดูแลได้ อีกส่วนหนึ่งก็มาแบ่งปันให้อีกส่วน ได้หรือไม่ยังไม่ทราบต้องไปดูข้อกฎหมายอีกและดูความเหมาะสม และดูว่าจะทำให้การบุกรุกป่ามากขึ้นหรือไม่ ถ้าประชาชนยังบุกรุกอยู่เหมือนเดิม ทำอะไรก็แก้ไม่ได้ ถ้าประชาชนยากจนอยู่ก็แก้ไม่ได้อีก บังคับใช้กฎหมายก็ทำไม่ได้ ฉะนั้นเรียนอีกครั้งอยู่ในขั้นการหารือ การพูดคุย ใครมีความคิดเห็นอย่างอื่นก็ว่ามา ว่าควรจะเป็นอย่างไร ผมก็รับฟังทั้งหมด

สำหรับความคืบหน้าการลงทะเบียนแรงงานต่างด้าว ขณะนี้ได้ดำเนินการไปแล้ว  8 แสนกว่าราย ทั่วประเทศ จะเห็นได้ว่ามีการขึ้นทะเบียนชัดเจนขึ้น ปัจจุบันก็กำลังดำเนินการร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ในการเตรียมการ พิสูจน์ยืนยันสัญชาติอีกครั้งหนึ่ง เพื่อจะจัดทำพาสปอร์ตให้ถูกต้อง เรามีกำหนดเวลาไปแล้วชัดเจน เพื่อจะได้สามารถบริหารจัดการแรงงานได้ ป้องกันปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน ผู้ประกอบการต้องร่วมมือ จดทะเบียนการประกอบการค้าท่านให้เรียบร้อย ซึ่งจะได้มายื่นความต้องการ เราจะได้รวบรวมทั้ง Demand Supply ให้สอดคล้องกัน ไม่ใช่นำมามาก ๆ เข้า นำมาจดทะเบียนมาก ๆ และกระจัดกระจายไปทำอะไรก็ไม่ทราบ ท่านต้องสร้างความเข้มแข็งในการประกอบการของท่านด้วย และรองรับแรงงานพวกนี้ ถ้าท่านพัฒนาสถานประกอบการให้ทันสมัยขึ้น ใช้เครื่องจักร เครื่องมือเทคโนโลยีมากขึ้น คนที่เข้ามาก็ต้องมีการปรับปรุงคุณภาพเพิ่มช่างฝีมือแรงงานต่าง ๆ เข้ามาหรือรับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผมอยากให้รับช่างฝีมือ หรือที่จบวิชาชีพในประเทศไทยทำงานในโรงงานของท่าน เราจะได้ไม่เสียคนพวกนี้ไปทำงานต่างประเทศ และเราจะเหลือแรงงานที่ไม่มีคุณภาพ อันนี้ต้อง

ช่วยกันคิดช่วยกันทำ เราจะเปิดรับลงทะเบียนถึง 31 ตุลาคม 2557 นี้เท่านั้น หลังจากนั้นจะเป็นการพิสูจน์สัญชาติให้แล้วเสร็จภายใน 31 มีนาคม 2558 อย่าให้เกินนั้นก็แล้วกัน

เรื่องของการส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีและความร่วมมือในด้านต่าง ๆ การปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศ ได้มอบหมายให้ฝ่ายความมั่นคงร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการคลัง กระทรวงแรงงาน และส่วนราชการต่าง ๆ ไปรวบรวมกฎหมายที่จะต้องปรับปรุงให้ทันสมัย เพื่อให้เป็นไปตามพันธกรณีระหว่างประเทศ เช่น การป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตคอรัปชั่น ปัญหาสิทธิมนุษยชน ปัญหาการค้ามนุษย์ การป้องกันการลักลอบการค้าสัตว์ป่าและซากสัตว์  ลิขสิทธิ์และทรัพย์สินทางปัญญา กฎหมายความร่วมมือทางการค้าการลงทุนต่าง ๆ ขณะนี้ได้ส่งให้ฝ่ายกฎหมาย คสช. พิจารณาร่วมกับคณะกรรมการกฤษฎีกา และนำเข้าสู่ สนช. เพื่อปรับปรุงให้ทันสมัยต่อไป

ปัญหาบางประการ คนไทยอาจจะไม่ค่อยทราบ หรือไม่ค่อยได้สนใจ แต่ส่งผลกระทบต่อประเทศชาติเป็นอย่างมาก เช่น ปัญหาการค้างาช้าง ซึ่งอาจจะมีงาช้างในประเทศ ผมว่าจำนวนน้อย ส่วนใหญ่จะเป็นงาช้างที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ ลักลอบเข้ามา เป็นงาช้างแอฟริกาบ้าง หรือจากอื่น ๆ จะเห็นขนาดที่ยาวใหญ่ อันนี้คือปัญหาสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่ออนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์ ที่พวกเรารู้จักกันในชื่อ CITES ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย หรือที่เรียกกันว่า IUU Fishing ปัญหาการค้ามนุษย์ ที่มีการปรับลดระดับประเทศไทยจาก Tier 2 เป็น Tier 3 หรือTier 2.5 เดิมมี Tier 2 เราถูกลดมาเป็น 2.5 วันนี้มาเป็น Tier 3 แล้ว เราต้องพยายาม จะทำอย่างไรให้ย้อนกลับขึ้นไปให้ได้ ตรงนี้จะเป็นภาระผูกพันที่เกิดจากกลไกในการแก้ปัญหาด้านต่าง ๆ ของประชาคมโลกทั้งสิ้น

ที่ผมพูดมาทั้งหมดเมื่อสักครู่นี้มีผลผูกพันทั้งสิ้น กฎหมายระหว่างประเทศทุกด้าน ท่านต้องแก้ไข วันนี้แก้ไขอย่างไร แก้ไขในเรื่องของการบังคับใช้กฎหมาย ปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัยมีหน่วยงานที่รับผิดชอบชัดเจน มีงบประมาณ มีผลสถิติการจับกุมดำเนินคดีในแต่ละเรื่องที่เป็นความสนใจของประชาคมโลก ถ้าเราแก้ตรงนี้ได้ ทำให้เป็นรูปธรรมได้ เราก็สร้างการรับรู้ ความเข้าใจไปต่างประเทศ จะเห็นได้ว่าเรามีความตั้งใจในการแก้ปัญหา สิ่งที่เขาลดความไว้วางใจของเราลงไป เขาก็ต้องกลับมาเหมือนเดิม เพราะที่ผ่านมานั้นเราแสดงให้เขาเห็นไม่ได้ว่าเราได้ดำเนินการเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน ต้องตอบได้ในหลาย ๆ เรื่อง กฎหมาย ผู้ปฏิบัติความรับผิดชอบ ผลทางคดี งบประมาณที่ใช้จ่ายไป ฉะนั้นถ้าจะตอบต่างประเทศได้ ต้องตอบแบบนี้ ทุกกระทรวงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเตรียมข้อมูลเหล่านี้ และต้องปฏิบัติให้ได้จริงจังด้วย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตม. กรมศุลกากร อะไรต่าง ๆ ทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง

ในส่วนของการพัฒนาความร่วมมือและความสัมพันธ์อันดีกับมิตรประเทศในอาเซียน บอกแล้วว่าเรามีมิตรประเทศที่ใกล้ชิดรอบบ้านเราใกล้ ๆ ไม่ไปไหน รอบบ้าน ในระยะรอบประเทศเรา 5600 กิโลเมตร มีประเทศที่เราค้าขาย และมีผลประกอบการเป็นจำนวนมาก จะเห็นได้จากผลการค้าชายแดนในแต่ละห้วงรายไตรมาสมีจำนวนสูงมาก วันนี้ถึงมีการปรับปรุงเป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ มีการปรับปรุงถนนเส้นทาง ด้านศุลกากร ขยายด่าน ขยายพื้นที่คอขวด กำลังทำอยู่ทั้งหมด เพื่อให้มีการค้าขายกับมิตรประเทศให้มากขึ้น

ขณะนี้ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร หัวหน้าฝ่ายความมั่นคง ได้เดินทางไปประชุมร่วมคณะกรรมการความร่วมมือระดับสูง ระหว่างราชอาณาจักรไทย-สหพันธรัฐมาเลเซีย  ราชอาณาจักรไทย-สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์  ราชอาณาจักรไทย-สาธารณรัฐอินโดนีเซีย และกำลังเตรียมการเดินทางไปกัมพูชาในเร็ววันนี้

นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ จะเป็นประธานของการประชุมร่วมกับนาย Alijandro Solano Ortiz ปลัดด้านการต่างประเทศ ของกระทรวงการต่างประเทศและศาสนาของสาธารณรัฐคอสตาริกา ซึ่งเป็นประเทศผู้ประสานงานฝ่ายลาตินอเมริกา  ในฐานะที่ไทยเป็นประเทศผู้ประสานงานฝ่ายเอเชียตะวันออกของเวทีความร่วมมือระหว่างเอเชียตะวันออกกับลาตินอเมริกา ระหว่างวันที่ 19-22 สิงหาคม 2557 คือในช่วงนี้ ที่กรุงเทพมหานคร โดยไทยจะผลักดันความร่วมมือในด้านต่าง ๆ อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อประโยชน์โดยรวมของประเทศสมาชิก

งานด้านเศรษฐกิจได้มีการตรวจสอบการระบายข้าว ซึ่งคงจะเหลืออีกไม่มากนัก ก็มีความก้าวหน้าไปตามลำดับ อยากจะเรียนอีกครั้งหนึ่ง ถึงแม้ว่าจำนวนข้าวจะมีจำนวนอย่างที่ทราบกันอยู่แล้วประมาณ 80 , 20 เสีย 20 ยังมีอยู่ 80 ผมพูดถึงเฉพาะในเรื่องของปริมาณ เป็นการตรวจสอบทางกายภาพว่ามีจำนวนครบหรือไม่ครบ มีเสียหรือไม่เสีย แต่เมื่อดูว่าครบหรือไม่ครบแล้วก็จะมีการตรวจสอบของ ปปช. ของคณะกรรมการอื่น ๆ อีก ในเรื่องของ DNA ถูกหรือไม่ เป็นข้าวชนิดเดียวกันหรือไม่ ขณะนี้ยังตรวจสอบกันอยู่เพื่อยืนยันชนิดคุณภาพของข้าว

ฉะนั้น ถ้าอันใดถูกต้องทั้งกายภาพ จำนวน ต่อไปก็เป็นเรื่องของ DNA ข้าวชนิดเดียวกัน ประเภทเดียวกัน ไม่เช่นนั้นส่งไปจำหน่ายเขาแล้ว ต่างชาติเขาก็ไม่ไว้วางใจ เขาก็ไม่เชื่อถือต่อไป ผสมไปขายเขา ต้องตรวจสอบให้ชัดเจนขึ้น ถ้าตรวจสอบได้แล้วก็เป็นเรื่องของการเตรียมการสู่การระบายข้าว

ปัญหาของเรื่องข้าวผมเรียนแล้ว นอกจากกายภาพเรื่องจำนวน เรื่อง DNA แล้วต้องไปดูเรื่องอื่น ๆ เพราะกระบวนการมีมากมาย การรับซื้อ รับจำนำ ราคา การทำสัญญาซื้อขายกับต่างประเทศหรือในประเทศ และเรื่องอื่น ๆ อยู่มาก เรื่องการเก็บดูแลรักษาก็มีการตรวจสอบในทุกระบบทุกขั้นตอน ซึ่งวันนี้ยังไม่ออกมาทั้งหมด ออกมาเฉพาะเรื่องของการตรวจสอบนับจำนวนข้าวเท่านั้นเอง แต่ที่เหลือทั้งหมดยังคงต้องดำเนินการต่อไป และเป็นการดำเนินการตามกฎหมาย ตามกระบวนการตรวจสอบขององค์กรอิสระก็ว่าไป

วันนี้เราจะดำเนินการเฉพาะข้าวที่ไม่มีปัญหา คือทั้งที่มีจำนวนครบนี้ คือทางกายภาพ และตรวจทางชีวภาพ คือการตรวจทาง DNA ถ้าตรงกัน ชนิดเดียวกัน อยู่ในกลุ่มนี้เดียวกัน เราจะได้ขายข้าวได้จำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นการระบายข้าว อาจจะไม่มากนัก เพราะว่าเราจำเป็นต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับต่างชาติคู่ค้าเขาด้วย เราไม่ได้ทำเพื่อปกป้องให้ฝ่ายใด หรือใครจะไปอ้างผลทางคดี ไม่ได้ทั้งนั้น เพราะเป็นการตรวจสอบทางกายภาพ เพื่อการระบายข้าว

สิ่งที่เราต้องเตรียมการมากในขณะนี้คือ มาตรการรองรับผลิตผลใหม่ เราคงไม่ย้อนกลับไปพูดถึงว่าเราจะช่วยเหลือเกษตรกรอย่างไร ถ้าเราดำเนินการไปแล้ว และแก้ไขตอนนี้คงไม่ได้ ลองทำดูก่อนว่าจะทำได้หรือไม่ ถ้าทำได้เกิดความยั่งยืน มีการขายในราคาที่เป็นธรรม ไม่ผูกขาดกัน รัฐไม่ต้องเข้าไปดูแลมากนัก เป็นไปตามกลไกของตลาด ก็น่าจะดีกว่าถ้าทำได้ ถ้าทำไม่ได้ก็ไปว่ากันอีกครั้งหนึ่ง ขอร้องอย่าเพิ่งมาประท้วงร้องเรียนในขณะนี้เลย มีหลายอย่างที่มีผลผูกพันกันมากนัก เช่น เราต้องช่วยกันดูแลปรับปรุงคุณภาพให้ได้คุณภาพที่ดีขึ้น มีพันธุ์ข้าวที่ดีปลูก และการสี การผลิตออกมาจะต้องไม่ปลอมปนกัน ไม่นำข้าวนอกประเทศมาปนในประเทศ จะได้เกิดการแข่งขันเสรีได้ ทุกประเทศในโลกเขากำลังทำอยู่ เรื่องการตรวจสอบ เวลาเราไปขายเขา ตอนไปให้เขาดู ถูกต้องทุกอย่าง แต่พอตอนส่งให้เขาไป ก็ขอร้องว่าอย่าไปปลอมปน ทำให้ประเทศเสียหาย และอีกหน่อยก็ไม่มีใครมาค้าขายกับเรา ก็เดือดร้อนไปถึงชาวนา เจ้าหน้าที่ ข้าราชการ มีปัญหาไปหมด ราคาจะได้ไม่ตก ผลผลิตต่าง ๆ ก็ไม่ตก ในอนาคตกันใกล้ต้องเตรียมการเรื่องข้าว

ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์จัดประมูลข้าวในสต็อกของรัฐ ได้รับความสนใจจากผู้ซื้อเป็นอย่างมาก มีผู้ร่วมยื่นซองเสนอราคารวม 49 ราย ชนิดข้าวสารที่ประมูลในครั้งนี้ ทั้งข้าวหอมมะลิ 100% ข้าวขาว 15% ข้าวเหนียวขาว 10% ข้าวท่อนหอมมะลิ ปลายข้าวหอมมะลิ ปลายข้าวปทุมธานี และปลายข้าวขาวเอวันเลิศ โดยการเปิดประมูลข้าวในสต็อกของรัฐครั้งนี้ได้จัดทำหลักเกณฑ์การประมูลให้มีความโปร่งใสในทุกขั้นตอน โดยผลการประมูลของคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว หรือ นบข. ได้มีมติอนุมัติให้ขายข้าวได้เป็นปริมาณทั้งสิ้นรวม 73,200 ตัน มูลค่าประมาณ 737 ล้านบาท ข้าวทั้งหมดต้องมี DNA ตรงกัน อยู่ในกลุ่มแต่ละกลุ่มให้ชัดเจน และเป็นข้าวที่มีคุณภาพ มีมาตรฐาน เป็นข้าวในประเทศ มีเอกชนยื่นซองรวม 11 ราย

การแก้ปัญหาราคายางพาราตกต่ำ ตอนนี้มีตั้งแถวกันแล้วรอจะมาร้องเรียน ถ้าราคาตกต่ำกว่า 50 ก็พยายามจะไม่ให้ต่ำกว่า 50 อยู่ในขณะนี้ พยายามอย่างยิ่ง เราไม่อยากให้ท่านต้องเสียเวลาเดินทางมา และไม่ได้อะไรกลับไป เพราะเรายังไม่มีเงินให้ท่าน ของเก่าก็ยังอยู่ ของใหม่จะทำอย่างไร เราต้องพยายามจะทำอย่างไรให้เกิดการแข่งขั้น ทำอย่างไรจะทำให้เกิดประโยชน์จากยางให้มากขึ้น อันนี้กำลังแบ่งการแก้ปัญหาออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นการเตรียมระบายยางในสต็อกจากโครงการรักษาเสถียรภาพราคายางพารา ซึ่งรับซื้อมาจากท่านสมัยที่ผ่านมา รับซื้อมาเป็นจำนวนมาก ราคาสูง ขายไม่ออก ขายไม่ได้ เพราะราคาบิดเบือน ไปขายใครได้ ถ้าซื้อมาราคาสูง ๆ ข้างนอกราคาตลาดเขาไม่ใช่เท่านั้น ต้องมาเก็บสะสมไว้ ก็ขาดทุน ขายไม่ได้

ขณะเดียวกัน รุ่นใหม่ก็เรียกร้องจะเอาเท่าเก่าอีก แล้วจะเป็นไปได้อย่างไร ก็นึกไม่ออกเหมือนกัน ต้องแก้กันทั้ง 2 อย่าง อย่างแรกคือ เราต้องแก้ไขจะทำอย่างไรยางเหล่านี้ หรือยางใหม่จะใช้ในประเทศเป็นหลักได้ และเป็นการเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ยางดิบให้ได้ โดยไปเชื่อมต่อกับ BOI เชื่อมต่อกับโรงงานต่าง ๆ ที่มีการผลิตยางไปทำถนน ไปทำถุงมือเป็น ที่ใช้ปริมาณยางให้มาก ๆ เราจะได้นำยางในสต๊อกมาใช้ในประเทศให้ได้ บริษัทต่าง ๆ ที่มาทำยางก็ต้องอุดหนุนยางของเรา อันนี้ต้องแก้ระเบียบ แก้กฎต่าง ๆ มากมาย อันนี้เป็นสิ่งที่เรากำหนดแนวทางในการพัฒนายางพาราทั้งระบบ ทั้งมาตรการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน ได้แก่ แนวทางจัดการสต็อกยาง มาตรการบริหารจัดการในช่วงฤดูกาลผลิต ได้แก่ แนวทางยกระดับราคาเพิ่มสภาพคล่องด้านการตลาด แนวทางเพิ่มมูลค่าและคุณภาพผลผลิต มาตรการพัฒนายางพาราเพื่อความยั่งยืน ได้แก่ การปรับโครงสร้างด้านการตลาด แนวทางในการหาตลาดส่งออกใหม่ วันนี้หลายประเทศปลูกเอง หลายประเทศไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ราคายางหรือความต้องการยางไทยลดลง ต้องเข้าใจตรงนี้ เราต้องมาช่วยตัวเองบ้าง

นอกจากการใช้ยางในประเทศแล้ว แนวทางการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ยาง ควบคุมพื้นที่การปลูกยางให้ลดลง ต่อไปอาจจะกรีดยางไม่ได้ อาจจะต้องไปทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ เป็นไม้ผลิตภัณฑ์ยางพารา ต้องช่วยกัน ถ้าเราจะขายยาง ๆ อย่างเดียว ยางดิบอย่างเดียวก็เป็นอยู่แบบนี้ยังไงก็ตก ฉะนั้นต้องเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของเกษตรกร การลดพื้นที่การเพราะปลูก ไปปลูกพืชหมุนเวียน หรือปลูกอย่างอื่น ๆ

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ทำการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมความพร้อมเกี่ยวกับการจัดทำร่างยุทธศาสตร์สินค้าเกษตรเป็นรายพืชเศรษฐกิจ 4 สินค้า เป็น Road map คือ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน และอ้อย ได้เสนอคณะอนุกรรมการร่วมจัดทำยุทธศาสตร์สินค้าเกษตรเป็นรายพืช ตามประกาศ คสช. ฉบับที่ 116/2557 ลงวันที่ 14 สิงหาคม 2557 เพื่อให้การขับเคลื่อนสินค้าเกษตร อาหารและพลังงานทดแทนจากสินค้าเกษตรของพืชเศรษฐกิจ 4 สินค้าดังกล่าวเกิดความสมดุล เข้มแข็งและมั่นคง มีขีดความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืน ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศ

ขณะนี้ทราบว่าทางบริษัท China Oversea Investment Service Limited สนใจนำเข้ามันสำปะหลังจากไทยราว 20,000-30,000 ตันต่อเดือน ภายในระยะเวลา 1 ปี ขณะนี้ก็ให้ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลทางบริษัทอยู่ว่าเป็นอย่างไรจะทำสัญญากันอย่างไรเป็นไปได้หรือไม่ ก็กำลังอยู่ในขั้นตอนการติดต่อกันอยู่

ผลิตผลการเกษตรอื่น ๆ เช่นกัน น่าเป็นห่วง บอกแล้วว่าปลูกมากราคาก็ตก ปลูกมากก็ไม่รู้จะไปขายใคร ปลูกมากรับซื้อมาจากประชาชน แล้วเราก็ขายไม่ได้น่าเป็นห่วง ทั้งพืชไร่ พืชสวน ผลไม้ เรามีการผลิตจำนวนมาก วันนี้ราคาก็ตก แข่งขันกัน บางอย่างคุณภาพก็ไม่ได้ ราคาก็ตกอีก ฉะนั้นต้องแก้ทั้งระบบ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กระทรวงเกษตรฯ ต้องเข้าไปดูแลในพื้นที่เพาะปลูกอย่างใกล้ชิด ให้คำแนะนำ สนับสนุนการปรับเปลี่ยน การปลูกพืชให้เหมาะสม กติกา สัญญา ระเบียบข้อบังคับ ภาษี ต้องแก้ทั้งระบบ

ฉะนั้น การทำงานเกี่ยวกับผลิตผลการค้าขาย ต้องเกี่ยวพันทั้ง 3 กระทรวง ทั้งกระทรวงเกษตรฯ ดูแลเรื่องการผลิต กระทรวงพาณิชย์ค้าขาย กระทรวงการคลังเก็บภาษี 3-4 กระทรวงต้องเกี่ยวข้องกันในการวางแผนตั้งแต่ปลูก ตั้งแต่ผลิต แปรรูป ขาย กระทรวงการคลังก็ต้องไปดูกฎ กติกาว่าภาษีจะทำอย่างไร จะได้ผลประโยชน์ตอบแทนรัฐเท่าไร บางอย่างต้องสร้างแรงจูงใจ อันนี้คือสิ่งสำคัญที่ต้องคุยกันมากกว่าการที่จะดูว่าพอราคาตกต่ำแล้วต้อง Subsidize ผมว่าแล้วเมื่อไหร่จะพอ เงินก็ไปทำอย่างอื่นไม่ได้อีก ทุกคนต้องการหมด ต้องรถไฟฟ้า ต้องการรถทางคู่ ต่าง ๆ แหล่งน้ำ แต่เงินทั้งหมดต้องมา Subsidize ของเหล่านี้เป็นตลอดระยะเวลาที่ยาวนานที่ผ่านมา ที่เราต้องการอย่างอื่นก็ไม่เกิดความทันสมัย ก็ไม่ได้ต้องลดค่าใช้จ่ายตรงนี้ลง เพื่อที่จะเพิ่มทางนี้จะได้ทันเวลาที่เราจะก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน AEC ด้วย

การตรวจสอบ Demand Supply การจัดทำฐานข้อมูลต้องทันสมัยทั้งความต้องการ การผลิต ต้องสมดุลกัน เพียงพอ สมดุล มีตลาด มีคุณภาพ ไม่ใช่เน้นปริมาณแต่ราคาต่ำมาก ไม่ได้ต้องจัดสรรกันให้เหมาะสมกันทั้งระบบ ผลประโยชน์ที่เราให้ได้ตอนนี้ ถ้าให้ได้ตอนนี้ก็เกิดโทษในวันหน้า ก็เกิดการต้องใช้เงินกู้ ต้องชำระหนี้ ที่วันนั้นผมไปแถลงงบประมาณ บางคนบอกทำไมต้องไปใช้หนี้อีก ก็ต้องใช้เขายืมเงินก้อนนั้นเขามามาทำตรงนี้ มา Subsidize ไป ก็ถึงเวลาที่จะเริ่มต้นใหม่ก็ต้องนำอันนี้คืนเขา และก็กู้เข้ามาใหม่อีก เป็นอยู่แบบนี้แล้วเราจะทำอย่างอื่นได้อย่างไร อันนี้ต้องแก้ให้ได้โดยเร็วส่วนราชการ ประชาชนต้องเข้าใจ ซึ่งต่อไปนี้ผมได้กำชับไปแล้ว 3-4 กระทรวงหลัก ต้องรับผิดชอบให้ได้ จะมาทำคนละชิ้น คนละส่วนไม่ได้ ปลูกเท่าไรก็ปลูกไป พอจะขายกระทรวงพาณิชย์ก็รับไป กระทรวงการคลังก็แล้วแต่จะขายอย่างไรก็ได้ ไม่ได้ต้องมาทำด้วยกัน เพราะเราจัดทำงบประมาณเป็นลักษณะการบูรณา ท่านต้องทำงานให้ต่อเนื่องกัน ฉะนั้นการกำกับดูแลของรัฐบาล ของคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะต้องตามติดเรื่องพวกนี้

พื้นที่เพาะปลูกใด ๆ ที่ไม่ถูกต้องก็ไม่ต้องซื้อ กระทรวงพาณิชย์ก็อย่าไปซื้อ ทุกคนต้องมีขื้นทะเบียนให้เรียบร้อย ต้องไม่บุกรุกที่ป่า ไม่ใช่ใครมาขายอะไรก็ซื้อหมด เราต้องควบคุม ถ้าไม่มีหลักฐานชัดเจนเป็นที่ของตัวเองมีโฉนด มีใบอนุญาตต่าง ๆ ก็ซื้อไม่ได้ อีกหน่อยคนเหล่านี้ก็ไม่กล้าที่จะไปบุกรุกป่ามาปลูกพืชเหล่านี้ เพราะไม่รู้จะไปขายใคร ผิดกฎหมาย ตำรวจจับ ต้องเข้มงวด ให้สอดคล้องกัน การบังคับใช้กฎหมาย คนจนจะทำอย่างไร พ่อค้าคนกลางจะทำอย่างไร ข้าราชการจะช่วยกันอย่างไร ทั้งหมดเป็นระบบทั้งสิ้น ฉะนั้นที่มาเหล่านี้ต้องถูกต้อง หลายกระทรวงต้องประชุมหารือกันให้เป็นระบบโดยเร็ว

เรื่องการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการพลังงาน คสช. เห็นชอบให้เดินหน้าโครงการลงทุนของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และการไฟฟ้านครหลวง ทั้งนี้เพื่อรองรับความต้องการการใช้งานที่มากขึ้นจากภาคประชาชน ภาคครัวเรือน ภาคอุตสาหกรรม ที่เรามีการขยับขยายตัวมากขึ้นตามลำดับ

ทั้งนี้ เราต้องการให้เกิดความมั่นคงทางด้านพลังงานไฟฟ้าต่อไปในอนาคต ว่าต้องวางแผน 5 ปี 5 ปี 5 ปี เรามีความต้องการไฟฟ้าเท่าไหร่ในภาคอุตสาหกรรม ในภาคครัวเรือน จะได้วางแผนได้ว่า จะสร้างโรงไฟฟ้าอย่างไร สร้างที่ไหน สร้างแบบไหน อันนี้ต้องเป็นยุทธศาสตร์ มีมาตรการระยะสั้น ระยะยาว ทำอย่างนี้ ไม่ใช่สั่งได้เลยทุกเรื่อง ไม่ได้ ทั้งวันนี้ก็ได้วันนี้ วันหน้าก็ไม่ได้อีก ฉะนั้นต้องจัดทำยุทธศาสตร์ให้ชัดเจนขึ้น ระยะยาวให้ได้ โดยได้อนุมัติโครงการที่สำคัญเร่งด่วนก่อน เพราะต้องใช้เวลา ต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนผ่าน ในการที่จะต้องไปทดแทนของเก่า เช่น โครงการโรงไฟฟ้าเพื่อทดแทนโรงไฟฟ้าแม่เมาะเครื่องที่ 4-7 ที่จะหมดอายุการใช้งานลงภายในปี 2560 อันนี้ใกล้จะหมดแล้ว จะมองว่าอีก 3 ปี ไม่ได้ เพราะการที่จะขยายต่าง ๆ หรือปรับปรุงเครื่องจักร เครื่องมือ ต้องใช้เวลาเป็นปี ๆ

วันนี้ก็อนุมัติไปก่อนเป็นการเร่งด่วน แต่ไปทำให้ถูกต้อง ให้โปร่งใสเป็นธรรมในการจัดซื้อ จัดหา โครงการขยายระบบส่งไฟฟ้าระยะที่ 12 ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย โครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าภาคตะวันตกและภาคใต้ เราก็มีการส่งไฟฟ้าจากภาคกลาง ภาคตะวันตกไปภาคใต้อยู่แล้ว แต่จำเป็นต้องปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้า เสาไฟฟ้า สายไฟฟ้า 2 แฟต 3 แฟต ต้องทำให้รวดเร็วขึ้น ทั้งนี้เพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า ป้องกันปัญหาไฟฟ้าดับ ไฟฟ้าไม่เพียงพอในภาคใต้

การจัดสร้างโรงไฟฟ้า เราก็ไปส่งเสริมการลงทุนของ BOI ในการขออนุมัติลงทุนเรื่องโรงไฟฟ้าจากขยะ โรงไฟฟ้าจากพลังงานอื่นที่ไม่ใช้น้ำมันหรือแก๊ส ตอนนี้ก็อนุมัติไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว 3-4 โรงไฟฟ้า เพื่อให้มีการใช้พลังงานจากขยะ หรืออื่น ๆ ที่เป็นพลังงานทดแทน อันนี้เราก็ให้นโยบายไปว่าสิ่งใด ๆ ก็ตามที่ทำให้เกิดความทันสมัย เกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ไม่มีมลพิษ เหล่านี้ได้รับการพิจารณาใน BOI เข้ามาก่อน หรือการสนับสนุนใด ๆ ก็ตาม จากภาครัฐเราจะมุ่งเน้นอย่างนี้ เพราะที่ผ่านเราไม่ได้กำหนดชัดเจนว่าจะทำอะไร ที่ไหนอย่างไร เมื่อไหร่ ก็เกิดปัญหาทับซ้อนกันมาอยู่ตลอด

วันนี้เรื่องโรงไฟฟ้าต้องเดินไปตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ.2553-2573 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 3 ที่ให้ประเทศไทยได้มีปริมาณกำลังการผลิตไฟฟ้าที่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในอนาคต วันนี้ต้องดูว่าเราจะผลิตไฟฟ้าเองได้เท่าไหร่ เราจะรับซื้อจากภายนอกเท่าไหร่ ใช้พลังงานทดแทนเท่าไหร่ พลังงานหมุนเวียนทางเลือกอีกเท่าไหร่ ต้องเป็นตัวเลขออกมาให้ได้ แล้วเดินไปตามนั้น ปีนี้จะทำอะไร 5 ปีจะเกิดอะไร อีก 5 ปี จะเกิดอะไรต้องวางอย่างนั้น จริง ๆ แล้วทุกเรื่อง ต้องวางแผนงานอย่างนี้ จะได้ไม่ได้ปัญหาความไม่ยั่งยืน ปัญหาว่าไม่เป็นธรรม ก็มุ่งไปสู่การทุจริตอีกต่อไป ผมก็บอกว่าการตั้งโรงไฟฟ้าต่อไปต้องกระจายไปทุกภาค ไม่ใช่มารวมกันอยู่ในนิคม รวมกันอยู่ภาคกลางอย่างเดียว และลากสายไฟฟ้าส่งไปจากข้างบน ไปข้างล่างไม่ได้ อนาคต 5 ปี 10 ปี ต้องมีโรงไฟฟ้าขนาดเล็กขนาดย่อมที่จะใช้เพียงพอในแต่ละภาค โดยที่อย่างน้อยก็แก้ปัญหาเรื่องปัญหาไฟฟ้าดับได้เป็นการชั่วคราว บางอย่างซื้อต่างประเทศมาก็ซื้อไป แต่ถ้าเขาไม่ส่งเมื่อไหร่ เขาตัดท่อแก๊สเมื่อไหร่ เราต้องอยู่ได้โดยที่ไม่ได้อยู่ในความมืด ทำอย่างไร ไปคิดมา

เรื่องขยะเป็นความจำเร่งด่วน ได้อนุมัติให้กระทรวงมหาดไทย ดำเนินการในเรื่องของการกำจัดขยะนำร่องในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โครงการดังกล่าวจะนำขยะไปผลิตไฟฟ้าใช้เทคโนโลยีแปลงขยะมูลฝอยเป็นเชื้อเพลิง ด้วยการเผาในเตา เตาของเรามีปริมาณความร้อนสูง ถ้าสูงไม่พอก็เผาไม่หมด มีมลพิษออกมาข้างนอกอีก จากข้อมูลของสำนักงานสิ่งแวดล้อมระบุว่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยามีปริมาณการผลิตขยะ 1,200 ตันต่อวัน แต่วันนี้สามารถกำจัดขยะได้เพียงประมาณ 700 ตันต่อวัน ดูว่าต่างกันอยู่แล้ว เกินมา 500 ตันต่อวัน จะทิ้งที่ไหน ตอนนี้มีขยะเก่าขยะใหม่รวมมาทั้งหมด  300,000 ตัน ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาอยู่ในขณะนี้ ถ้าหากเราตั้งโรงงานผลิตไฟฟ้านี้ได้ ถ้าตั้งโรงขยะนี้ได้ ก็จะมีโรงงานผลิตไฟฟ้าจากขยะ และสามารถรองรับขยะสำหรับผลิตกระแสไฟฟ้าได้เพิ่มเติม 300 ตันต่อวัน ดีกว่าเดิม ที่เหลือที่เกินอยู่ ก็จะย้ายหาที่ฝังกลบ ซึ่งสามารถรองรับขยะได้ทั้งสิ้น 760,000 ตัน ในเบื้องต้น ทั้งนี้ได้กำชับแล้วว่าไปทำที่ไหนก็ตามจะต้องไม่ทำให้เสียบรรยากาศ เสียภูมิทัศน์ หรือทำให้เกิดมลพิษ ประชาชนในพื้นที่ได้ประโยชน์ สร้างงาน สร้างรายได้จากการแยกขยะ คัดขยะหรือกิจกรรมใด ๆ ก็ตามที่เกี่ยวกับโรงงานต่าง ๆ ทั้งหมดอยู่ในพื้นที่แถวนั้น ต้องขอความร่วมมือจากภาคประชาชนในพื้นที่ ภาคประชาชนในพื้นที่ช่วยสนับสนุนด้วย ถ้าท่านต่อต้าน ท่านไม่ให้ใช้พื้นที่ จะไปทิ้งที่ไหน ขยะตอนนี้ 300,000 ตัน ท่านจะนำไปถึงไหน ก็กองเป็นภูเขาไปเรื่อย ๆ สักวันก็กองไม่ได้แล้ว ไปทางกว้าง ไปเรื่อย ๆ ที่เท่าไหร่ก็ไม่พอ กี่ร้อยไร่ก็ไม่พอ แต่ถ้าเรามีโรงงานกำจัดขยะ  แยกขยะให้ชัดเจน และไปผลิตไฟฟ้าออกมาก็จะหมุนเวียนไปเรื่อย ๆ ธุรกิจที่เกี่ยวกับขยะ ต่างประเทศเขาร่ำรวย ประชาชนก็มีความสุข อย่าไปรังเกียจว่าเป็นสิ่งน่ารังเกียจ จริง ๆ แล้วมีคุณค่า มีประโยชน์

วันนี้มีคนอีกจำนวนมากที่ทำมาหากินเลี้ยงชีพ เลี้ยงชีวิต เลี้ยงครอบครัวจากขยะ ทุกท่านทราบดี  โรงงานที่จัดตั้งขึ้นมาใหม่ ประเด็นสำคัญต้องรับผิดชอบต่อชุมชน ประชาชนโดยรอบ ให้มากขึ้นรอบโรงงาน เช่น เข้มงวดเรื่องระบบ มาตรการกำจัดของเสีย ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องปิดไป หรือจัดตั้งมาต้องแสดงให้เห็นถึงมาตรการควบคุมมลพิษ มาตรการกำจัดน้ำเสีย ต่าง ๆ ต้องแก้ไข ต้องเตรียมการตั้งแต่ต้น ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่อนุญาต ขอให้กรมควบคุมมลพิษ และในส่วนที่ตรวจสอบต่าง ๆ เหล่านี้ ของกระทรวงอุตสาหกรรมไปตรวจสอบให้ดีขึ้นด้วย โรงงานเก่าก็ช่วยกัน ท่านต้องไปตรวจ ไม่ใช่ตรวจแต่ใหม่ ตรวจเก่าด้วย เก่าไม่มีประสิทธิภาพก็ปิดไป ต้องพัฒนาสร้างใหม่ หรือปรับปรุงเทคโนโลยี ไม่มีเงินก็หาเงินกู้ เงินมาหมุนเวียน ท่านไม่พัฒนาเลย ท่านก็ปล่อยโทรมไปเรื่อย ๆ แต่ท่านก็มีรายได้จากการผลิตไปเรื่อย ๆ แต่สังคมเดือดร้อนท่านต้องเข้าใจ

เรื่องอื่น ๆ ที่สำคัญคือเรื่องของการเดินสู่ประชาธิปไตยในอนาคตของประเทศไทยคือการปฏิรูปและการปรองดอง ทุกคนก็เป็นห่วงถึงความต่อเนื่องในการทำงาน ในการปฏิรูปของ คสช. และรัฐบาลในวันนี้ ถ้าวันนี้ท่านสังเกตบางคนอาจจะลืมแล้ว บางคนอาจจะไม่ได้สังเกต บางคนก็ยังสับสนอยู่ ท่านอย่าไปมองอะไรที่จะต้องแก้ยาก ๆ ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา สิ่งแรกที่ท่านสังเกตผมได้ออกมาพูดทำความเข้าใจกับท่านมาโดยเปิดเผย ทุกเรื่อง กระทรวง ทบวง กรม ต่าง ๆ ก็ ออกมาชี้แจงเป็นระยะ ๆ ท่านก็ต้องฟัง พูดไปแล้วไม่ฟัง พูดไปแล้วก็ลืม พูดไปแล้วไม่สนใจก็มีปัญหาตลอด ไม่เช่นนั้นผมจะมาพูดทำไม พูดแล้วเหนื่อยเปล่า ไม่ใช่ ผมไม่ได้มาฉายหนังให้ท่านดู มาเชียร์กันและจบ ๆ ไป ผมมีความสุขไม่ใช่

ฉะนั้น สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปคือ เมื่อก่อนท่านเคยได้ยินหรือไม่ว่ามีพูดเป็นเรื่อง ๆ พูดมาก ๆ เหมือนผมพูด อธิบายท่านมีหรือไม่ ไม่มี ลักษณะการทำงานทุกคณะออกมาอย่างเปิดเผย มีหรือไม่ ไม่มี การวางแผนงาน การจัดทำงบประมาณร่วม บูรณาการส่วนราชการต่าง ๆ มีหรือไม่ ไม่มี วันนี้มีแล้ว ผมถึงพูดได้เสียงดัง พูดได้เต็มปาก แต่ต้องไปดูว่าผลผลิตประสิทธิผลที่จะเกิดมา จะเกิดได้หรือไม่จากที่เราวางแผนไว้ จัดทำงบประมาณไป จะเกิดได้หรือไม่ เมื่อแผนงานโครงการเกิดต้องไปดูขั้นตอนการปฏิบัติการกำกับดูแลอีกระดับหนึ่ง ไม่ใช่สั่งไปแล้วต้องเป็นแบบนี้ เป็นแบบนั้น แล้วถ้าไม่เป็น คนสั่งรับผิดชอบอีก ไม่เป็นธรรมเหมือนกัน ไปทบทวนใหม่ว่ากระบวนการมีอะไร บางอย่างแก้ไขได้ก็สั่งได้ บางอย่างแก้ไขไม่ได้ต้องไปสั่งให้ทบทวนทำแผนงานโครงการขึ้นมา นำเข้า สนช. สภาปฏิรูป เข้า ครม. ก็ว่าไป เขาบริหารราชการกันมาแบบนั้น ไม่ได้คิดอะไร อยากจะทำอะไรก็สั่งไปก็ไม่ได้เหมือนเดิม

วันนี้คือการเปลี่ยนแปลงจากอดีตที่ผ่านมา บ้านเมืองก็สงบเรียบร้อย ชาวต่างชาติ ผู้ประกอบการค้าต่าง ๆ ที่เขาเคยไปไหนมาไหนไม่ได้ มีแต่การประท้วง มีการใช้อาวุธต่อกัน บ้านเมืองสกปรก ไปไหนมีแต่ความขัดแย้ง วันนี้เขาชื่นชมทุกคนที่อยู่ในประเทศไทย คนต่างชาติเขาบอกว่าวันนี้ดีกว่าเดิมมาก บ้านเมืองสงบเรียบร้อย ทุกคนเชื่อฟัง เคารพกฎหมาย ชาวต่างชาติที่มาเที่ยวที่ภูเก็ต ที่เราปรับปรุงไปแล้ว เขาก็ชื่นชม ไม่คิดเลยว่าภูเก็ตจะสวยงามขนาดนี้ เมื่อมีชายหาดขาว ๆ ทรายสวย ๆ ไม่มีร้านค้าไปขว้าง เขาก็อยากจะมามากขึ้น เขาก็จะกลับไปบอกคนที่บ้านเขาให้มามากขึ้น เพราะว่าสวย บ้านเรามีของสวย แต่ถูกปิดบังด้วยบรรยากาศที่ไม่สวย เพราะเรามีคนที่มีรายได้น้อย เพราะว่าเรามีคนที่มีรายได้น้อย ผมไม่ได้หมายความว่าเราจะไปรังเกียจคนรายได้น้อย แต่ต้องหาทางว่าจะให้เขาไปขายที่ไหน ให้เขาไปทำอะไรกิน เอาแต่ไล่ ๆ อย่างเดียวแต่ไม่มีที่ ก็ลำบากไปแก้ให้ครบระบบ เห็นหลาย ๆ พื้นที่เขาบอก เขาไปจัดที่ขายให้ เมื่อคนมาเที่ยวก็จะมีรถมารับต่อไป ไปซื้อของ ใครจะเล่นน้ำชายหาดก็เล่นไปก่อน ถึงเวลามีรถมารับไปซื้อของที่ศูนย์ขายของ ขายสินค้า ผมว่าก็ดี ไม่ใช่ไล่ไปหมด ไปไหนก็ไปกลับบ้านไป แต่มันก็คือปัญหากับคนยากจน คนรายได้น้อย ก็มีการกระทบกระทั่งกับเจ้าหน้าที่ การใช้กฎหมายก็มีปัญหา มีการประท้วงผมว่าต้องแก้ใหม่แล้วนะ ไปหาวิธีการทำมา

วันนี้การสัญจรไปมา รถติดธรรมดาทุกประเทศติดหมด ถ้าในเมืองใหญ่มีประเทศไหนรถไม่ติดบ้างมาบอกผมซิ ผมก็ไปมาหลายประเทศก็เห็นรถติดเหมือนกัน ถ้าชั่วโมงเร่งด่วน เช้าเย็น กลางวัน ก็ไม่เห็นจะติด เช้าก็สัญจรไปมา ธรรมดา แต่ติดขัดด้วยการประท้วง ด้วยการปิดถนน ด้วยการจำกัดการใช้รถใช้ถนนเรื่องที่ผ่านมาเลยทำให้ติดมากกว่าเดิม วันนี้ก็อย่าบ่นเลยครับรถติด  รถมากไง คนก็มีสตางค์มากขึ้น ซื้อรถมากขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าซื้อแล้ว เงินสดก็ไม่เป็นไร ถ้าซื้อเงินผ่อนแล้วนำมาคืนไม่ได้ก็อย่าพึ่งไปซื้อ ฉะนั้นรัฐต้องมาดูในเรื่องของการให้การบริการให้มากขึ้น การบริการสาธารณูปโภค ขสมก. (องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ) มาไงจะหารถใหม่ได้แค่ไหน เส้นทางจะปรับอย่างไร รถไฟฟ้าความต่อเนื่องจะทำอย่างไร ที่จอดรถจะทำอย่างไร เหล่านี้มันไม่ได้แก้ปัญหาอย่างยั่งยืนอย่างเป็นระบบ ก็ยังเป็นปัญหาอย่างนี้ เราจะมีรถไฟฟ้ากี่สายก็ไม่รู้ เราจะมี ขสมก. มีรถที่ทันสมัยกี่คันก็ไม่ทราบ เราจะมีอะไรดี ถนนกี่เส้นไม่ทราบแต่ถ้าทั้งหมดยังไม่เกื้อกูลซึ่งกันและกันคนก็ใช้รถอยู่แบบนี้ คนที่ใช้รถไฟฟ้าก็ใช้รถไฟฟ้า คนใช้รถก็ใช้รถ แต่ถ้าการให้บริการของรัฐดีขึ้นคนก็ใช้รถน้อยลง การขับรถยนต์ก็น้อยลง ถนนจะติดน้อยลง แต่ต้องทำอย่างไร เพราะบ้านบางคนไม่ได้อยู่กับรถไฟฟ้า เขาก็ต้องขับรถมา มาจอดรถ เราต้องมีที่จอดรถให้เขา เขาขึ้นรถไฟฟ้าต่อ เพราะรถไม่ติดดี เขาก็นั่งรถมา เย็นขึ้นรถกลับบ้าน ขึ้นรถไฟฟ้า รถเมล์ประจำทาง และลงมาขับรถจากที่จอดรถกลับบ้านประหยัดน้ำมันด้วย

วันนี้ยังไม่ครบ ไม่ต่อกันทั้งหมด สร้างรถไฟฟ้าก็ไม่มีที่จอดรถ ไม่มีที่ที่จะไปต่อจากตรงนี้ไป บางคนเขาขึ้นรถตั้งหลายทอดใช่หรือไม่ อันนี้ผมก็เคย เด็ก ๆ ผมก็เคยขึ้นรถเมล์อยู่แล้ว ก็รู้อยู่ว่าความยากลำบากขึ้น 3 ต่อ 4 ต่อ ก็เปลืองเงินอีก แต่รถไฟฟ้าการขนส่งทางรางนี้ ประหยัดที่สุด ฉะนั้นรัฐต้องทำอย่างไรให้การขนส่งทางรางให้การบริการได้อย่างแท้จริง วันนี้เราต้องเรียนรู้การอยู่ร่วมกัน เข้าอกเข้าใจกันเห็นใจกันให้มากขึ้น ผมพูดไปหลายครั้งแล้ว บางคนก็ยังพูดอยู่ยุยุงปลุกปั่นอยู่ และวันนี้ประชาชนเราก็ฉลาดขึ้นมากแล้ว ไม่ยอมให้ใครมาชี้นำก็ยังมีอยู่บ้าง ที่พยายามอีก พยายามจะใช้เขาอีกต่อไป พยายามใช้ประชาชนอีกต่อไป วันนี้ที่เราทำถึงวันนี้ 3 เดือน นี่อนาคตแล้วมีอนาคตแล้ว ถ้าท่านไม่ทำจะมีอนาคตหรือไม่ แล้วท่านจะเริ่มปฏิรูปเมื่อไร ที่ผ่านมาหลายฝ่ายก็อยากจะปฏิรูป เห็นด้วยปฏิรูปรวมกัน หลายฝ่ายนะครับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมา อีกฝ่ายบอกปฏิรูปก่อน อีกฝ่ายบอกปฏิรูปหลังเลือกตั้งก็ไม่ยอมกันอีก วันนี้ทำให้เกิดการปฏิรูปแล้วท่านยังบอกว่า แบบนี้จะปฏิรูปได้อย่างไรจะสำเร็จหรือไม่ มันจะทำได้หรือ 1 ปี มันก็ดีกว่าที่ไม่ได้ทำใช่หรือไม่

ฉะนั้นทำเถอะครับ ทำมันจะเสร็จแค่ไหนก็ว่ามา แบ่งขั้นตอนให้ถูกต้องระยะสั้น ระยะยาว ระยะต่อไป ถ้าท่านไม่มาที่สภาปฏิรูป แล้วท่านเรียกร้อง ถึงเวลาท่านบอกไม่รู้ไม่ได้เข้า ไม่ได้ร่วมมันจะไปปฏิรูปได้หรือไม่ ความขัดแย้งจะเกิดขึ้นอีกหรือไม่ ก็เกิดขึ้นอีกอยู่ดี ถ้าทุกคนรักและสามัคคีไม่บ่อนทำลายซึ่งกันและกัน ไม่คอยจับผิดจับถูก ทุกอย่างก็ดำเนินไปในวิถีทางปกติ ไม่ต้องเป็นห่วงว่าใครจะไปใช้วิธีที่พิเศษอื่น ๆ อีก ถ้าดีอยู่แล้วใครอยากจะทำ ใครอยากจะใช้ ผมไม่เคยบอก ผมเองทำถูกทั้งหมดหรือผิดทั้งหมด เพราะผมมีเจตนาอันบริสุทธิ์ของผมในการที่จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดกับประเทศชาติบ้านเมือง ผมยังยอมรับในการกระทำของผมเอง แล้วทำไมบางคนยังไม่รับในความผิดพลาด ในความบกพร่องและแก้ไขปรับปรุงตัวเองยังว่ากล่าวทุกวัน มีการวิพากษ์วิจารณ์ทุกวัน บางเรื่องผมพูดไปแล้ว บางเรื่องสั่งไปแล้ว แก้ไขไปแล้ว ก็ยังวิจารณ์อยู่เหมือนเดิม เรื่องเดิมไม่เคยฟังผมเลย นี้ไม่น่าจะดีนะ

วันนี้ต่างชาติเขาเข้าใจปัญหาเรามากขึ้น ทั้งอาเซียน ทั้งตะวันตก ตะวันออก ก็ว่าไปเขาเข้าใจเรามากขึ้น การค้าขายเป็นปกติแล้ว เริ่มจะมากขึ้น เขาบอกว่าบ้านเรามีเสถียรภาพมากขึ้น ทั้งการเมือง ความมั่นคง ความปลอดภัย ชีวิตทรัพย์สิน แต่เขาก็ไม่สามารถจะพูดได้เต็มที่ว่าเห็นด้วยกับ คสช. แต่หลักการของเขา เขามีหลักการของเขาอยู่แล้ว แต่หลายคนอยู่ประเทศไทยมานาน เขาเข้าใจดีที่ค้าขายมา เขาบอกว่าเขาเกิดความมั่นใจมากขึ้นในขณะนี้
อดีตผู้นำประเทศของไทยท่านหนึ่งที่เป็นนักประชาธิปไตย นักสิทธิมนุษยชน ผมขออนุญาตไม่เอ่ยชื่อท่าน ก็เคยพูดไว้ว่าไม่มีใครสนับสนุนรัฐประหารอยู่แล้ว แต่ก็เห็นด้วยในการเสริมสร้างประชาธิปไตยใหม่ของใหม่ให้ยั่งยืน ฉะนั้นไม่อยากให้ทุกคนมาพูดว่ารัฐประหารว่าดีไม่ดีอย่างไร เพราะเกิดขึ้นมาแล้วทำมาแล้ว ก็ต้องคอยช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน สนับสนุนให้เกิดสิ่งที่ดี ๆ ในระยะเวลาอันสั้น ในระยะเวลาที่เราต้องปฏิรูปนี้ น่าจะดีกว่า ดีกว่าที่จะต่อต้านตั้งแต่แรกไม่อย่างนั้นมันเสียเวลาเปล่า เสียทุกอย่างเลย

สำหรับหัวข้อในการปฏิรูปทั้ง 11 ด้าน ในหัวข้อมีเรื่องปลีกย่อย เช่นการเมือง ผมบอกแล้วว่ามีข้อย่อย 4 – 5 ข้อข้างในหลายอย่างด้วยกันในนั้น การศึกษาหรือพลังงานก็ต้องมีหลายอย่างทั้งกฎหมายทั้ง การผลิตการจำหน่าย ราคา มากมาย ต้องไปปฏิรูปไปคุยกันมา ถ้ามีเรื่องอื่น ๆ อีกที่ท่านบอกว่ายังไม่มีหัวข้อนี้แล้วท่านบอกว่าไม่สำเร็จ มันไม่ใช่ ผมบอกไงว่ามีเรื่องอื่น ๆ อีก ไง อื่น ๆ ไปคุยกันสิครับนึกอะไรไม่ออกใส่อื่น ๆ ไป ถ้าเขาเสนอเพิ่มเติมเข้ามาในอื่น ๆ อื่น ๆ ก็จะแยกเป็นเรื่องนี้ เรื่องโน้นเพิ่มมาอีกทีไม่เข้ากับ 10 หัวข้อนี้พูดไปหลายครั้งแล้ว อย่ามาโจมตีกันเรื่องนี้อีก นะ 11 เรื่องจะครบได้อย่างไร ก็ข้อที่ 11 อื่น ๆ นี้อีก 100 เรื่องก็ได้ ถ้าท่านจะนำมา 100 เรื่องก็เถียงกัน นานหน่อย ฉะนั้นอย่าไปกังวล อีกอันหนึ่งก็ไปกังวลว่าจะครบหรือไม่ครบ ทำอย่างไรจะทันหรือไม่ทัน อยู่ที่ใครก็อยู่ที่ สภาปฏิรูป อยู่ที่คนเข้ามาร่วมสภาปฏิรูป ก็ไปตำหนิติติงกันว่าผู้เข้ามาเป็นคณะกรรมการสรรหาสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ถูกเลือกไว้แล้ว ผมจะไปเลือกใคร เราคัดสรรมาทั้งหมด คาดว่าเป็น 1,000  2,000 3,000 คน ที่ประมาณการในขณะนี้  วันนี้ขึ้นมาเป็น 500-600 คนแล้ว วันก่อนผมเห็น 486 คน วันนี้น่าจะเกือบ 600-700 อันนี้คือมาสมัครส่วนกลาง ทั้งหมดนี้คืออาจจะคัดเลือกให้เหลือ 550 คน จากนั้นจะคัดเลือกให้เหลือ 173+77 คน 77 นี้มาจากจังหวัด การคัดสรรจังหวัดก็บอกอีก บอกว่าเลือกคนไว้แล้ว เขาก็ตั้งคณะกรรมการคัดสรรไว้ใช่หรือไม่ ถ้าเขาทำไม่ดีเขาคงไม่เสี่ยงหรอกผู้ว่าราชการจังหวัด อัยการ ศาลที่เขาเกี่ยวข้องในการดำเนินการคัดสรรนี้เขาคงไม่กล้าเสี่ยง เขาจะไปชี้นำ คนโน้นคนนี้มา เดี๋ยวเขาโดนฟ้องวันหลังคุ้มค่ากับเขาไหม ผมว่าไปดูมาใหม่อย่าพูดกันเรื่อยเปื่อยไปเรื่อย ฉะนั้น 173+77 ก็เป็น รวม 250 คน

การเลือกคนเข้ามา ในเมื่อเราตั้งกลุ่มไว้ 11 กลุ่ม คนที่เข้ามามีหลากหลายประเภท หลายความรู้ หลายคุณสมบัติเราก็ สมัครมาคนนี้ก็สมัครมา คณะที่หนึ่งเท่าที่จำตัวเลขได้ ประมาณ 50-60 คน คณะที่สอง 30 คน คณะที่สาม 20 คน คณะที่สี่ 10 อะไรแบบนี้ เขาก็สมัครตามคุณวุฒิของเขาตามวาระของเขา เขาถึงมาลงหัวข้อ ไม่ใช่นำใครมาแล้วมาคัด ทั้งหมดจะทำได้อย่างไร ถ้าคนไม่มีความรู้เลย 11 เรื่อง ใครก็ได้ตัวแทนตรงนี้มาก็ไม่เข้าใจอีก ฉะนั้นเขาก็ สมัครของเขามาเอง โดยนิติบุคคลเป็นคนส่ง สมาคม มูลนิธิ อะไรที่เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายก็ไปส่งมาแล้วมา คัดเลือก นี่คือส่วนกลาง ในส่วนของตรงโน้นก็เช่นกันเขาก็ไปสมัครที่จังหวัด จังหวัดเขาก็ไปใช้วิธีการในการคัด สรรเขาออกมา แต่เขาจะระบุออกมาว่า สมัครด้านอะไร ฉะนั้น 1 คน จังหวัดอาจจะเหนื่อยหน่อย เพราะว่า คัดมา ต้องรู้เกือบทุกเรื่อง เพราะว่าถนัดเรื่องอะไร เรื่องหนึ่งเป็นพิเศษที่เหลือก็ต้องพอรู้มาไปรวบรวม อ่านมาว่า กลุ่มเขา ต้องการอะไรนั้นเป็นการเก็บข้อมูล ซึ่งมันมีอยู่แล้วข้อมูลที่ศูนย์ดำรงธรรมข้อมูลที่สำนักงานปฏิรูปของ คสช. ที่ตั้งไว้ เดิมหรือ กอ.รมน. (กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรไทย) ผมว่ามันมีหมด ท่านนำไปศึกษาเอง ไม่ใช่มาตัวเปล่า ไม่มีข้อมูลไม่มีพื้นฐาน ไม่มีความรู้อะไรเลย แต่ท่านอยากเป็น สปช. ถ้าแบบนี้ไปไม่ได้ท่านไปดูตรง นั้นมากกว่าถ้าท่านเก่งท่านดี เขาคัดเลือกท่านอยู่แล้ว จาก 5 คน จะมาเลือกให้เหลือ 1 คน เป็น 77 คน ในส่วนกลาง เมื่อสักครู่บอกไปแล้วจากทั้งหมดเป็น 1,000 ก็มาเหลือ 550 คัดเหลือ 173 ในส่วนนี้ก็เช่นเดียวกันต้องสมัครให้ตรง  มาแต่ละเรื่อง 11 เรื่อง ถ้าไม่สมัคร กลุ่มที่ 1 มาก ถ้ากลุ่มอื่นน้อยก็ต้องปัดที่เกินมาใส่ตรงนี้ แต่วิธีการทำงานไม่ใช่ว่าทุกคนมาแล้วพูดเรื่องเดียวกัน คนละเรื่องสองเรื่องแล้วจะไปไม่ได้เขามารวมกันได้ 250 เขา ก็กำหนดเรื่องเข้ามา แต่ละคณะก็จะไปศึกษารายละเอียดของตัวเองและมาเสนอในสภา เหมือนคณะกรรมาธิการ สนช. หรือ สส. (สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร) ก็แล้วแต่ตามหลักกฎหมาย เขาก็ไปศึกษาแต่ละเรื่องของเขาในกลุ่ม 11 กลุ่มนี้และมาเสนอในที่ประชุมใหญ่ ประธานสภาปฏิรูปที่รับการเลือกตั้งมาเองก็เป็นผู้ดำเนินการประชุมเพื่อปฏิรูป เมื่อได้ข้อสรุปมาแล้วถึงจะไปให้ สนช. ออกกฎหมายหรือไปดำเนินการด้วยรัฐบาลอะไรก็ตาม ไม่ใช่ ว่าพูดเรื่องนี้ก็นำมาพูดเลยทีเดียว พูดไม่จบหรอกแบบนั้น เพราะฉะนั้น 11 เรื่อง 11 กลุ่ม แต่ละกลุ่มไปหาข้อมูล จากของตัวเองมา จากความรู้ที่ตัวเองมีอยู่ คุณสมบัติที่ตัวเองมีอยู่และไปเก็บรายละเอียดเพิ่มเติม จากในพื้นที่มาส่งได้ตลอด การส่งข้อมูลมาเพิ่มเติมในสภาปฏิรูป ส่งตรงสภาปฏิรูปก็ได้ ส่งผ่าน คสช. ก็ได้ ส่งผ่านดำรงธรรมก็ได้ ส่งผ่านสำนักงานปฏิรูปก็ได้ สำนักงานปฏิรูป คสช. ที่จังหวัดหรือส่งผ่าน กอ.รมน. ก็ได้ เพราะฉะนั้นจะไปกังวลอะไรครับ วันนี้ที่ผมมีรายชื่อที่สมัครมายังไม่ได้คัดเท่าที่อ่าน ๆ ดู ไม่รู้จักใครสักคนไม่รู้จักจริง ๆ เป็นนักวิชาการบ้างพ่อค้าบ้าง มันก็ตรงในแต่กลุ่มของท่านฉะนั้นก็ไปเลือกกันมาสิครับ เดี๋ยวคัดสรรเข้าเลือกมา กรรมการคัดสรร ก็จะไปบอกว่าเขาเลือกคนของตัวเองไว้แล้ว ผมบอกแล้วไงว่า คสช. หรือใครก็แล้วแต่จะไม่ไปยุ่งกับท่าน เรื่องปฏิรูป ท่านต้องมาทำกันเอง มีประธานสภาประชุมและก็หาข้อสรุปมาให้ได้นี้ ผมอธิบายอย่างละเอียดแล้ว เดี๋ยวจะบอกว่าไม่รู้เรื่องอีก ในการสมัคร สปช. ใครยังไม่สมัครมาสมัครซะที่ส่วนกลางนี้ ที่ยอด 550 ที่จะถูกคัดมานี้ถ้ามาเป็น 1,000 ก็สมัครมาอีก ใครอยากสมัคร สมัครมาเดี๋ยวบอกไม่มียอดไม่มีคนโควตา คือคนอย่างนี้ชอบพูดใช่หรือไม่ พูดไว้ก่อน และตัวเองไม่สมัครแต่พูด แบบนี้ใช้ไม่ได้ คนพูดจะต้องสมัครมา ถ้าพูดแล้วไม่สมัครอย่าพูด ส่วนกลางสมัครได้ 2 อย่าง คือสมัคร กกต. (คณะกรรมการการเลือกตั้ง) ได้ เลยหรือไปรษณีย์มาส่ง เขาจะตรวจสอบคุณสมบัติคู่ขนานใน ระหว่างการรวบรวมรายชื่อเพื่อจะไปคัดสรร การคณะกรรมการแต่ละคณะเขาจะไปคัดมาไม่เกิน 50 คน 11 เรื่องก็ 550 ถ้ากรณีไม่ถึง 50 คนแต่ละคณะก็จะต้องส่งรายชื่อไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของบัญชีอันนี้เป็นเรื่อง ของ กกต. เดี๋ยวคงชี้แจงกันอีกครั้งหนึ่งวันที่ 4 กันยายนนี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการสรรหาโดยผมหัวหน้าคสช.เป็น ประธานครั้งที่ 1 อีก 3 ครั้ง เพื่อจะคัดสรรมาให้ได้ภายในวันที่ 22 กันยายน 2557

ในส่วนของ กกต.ตอนนี้น่าจะส่งรายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการสรรหาประจำจังหวัด เรียงตามตัวอักษร 5 คน มีหลักการพิจารณา จุดเด่น  ประสบการณ์  อาชีพ  สังคมยอมรับ สามารถทำประโยชน์ได้ใน สปช.ก็จะส่งรายละเอียดเหล่านี้ขึ้นมา 5 คนก็จะถูกคัดเหลือ 1 คน

กรณี ข้าราชการจากทุกกระทรวง ทบวง กรม ท่านก็ต้องสมัคร วันนี้ผมสั่งการไปแล้วด้วย เขาเตียมการอยู่อย่าพึ่งไปบอกว่า กระทรวง ทบวง กรม ก็ไม่ส่ง เขาต้องส่งสิครับเพราะเขามีความรู้ในเรื่องนี้ เขาอาจจะอยู่ในแต่ละคณะไปเพื่อเป็นข้อมูล เพื่อรับทราบ แล้วจะทำอย่างไรถ้าท่าน ท่านคิดเองโดยประชาชนอย่างเดียวข้าราชการไม่มีเลย คงไม่ได้ จะทำได้หรือไม่ผมก็ไม่รู้ ฉะนั้นถ้ากระทรวง ทบวง กรม ขณะนี้เขาเตรียมการอยู่ที่จะส่งผู้แทนรับการคัดเลือกด้วย โดยต้องส่งให้ตรงทั้ง 11 กลุ่ม เช่นเดียวกันวันนี้ทุกกระทรวงก็ให้คณะกรรมการอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อกพ.) ของตนเองประชุมคัดเลือก เพื่อส่งชื่อเข้ามาอีก ไม่ต้องกลัวว่าจะน้อยมีมากมายแน่นอน

การคัดสรรวันนี้ได้สั่งการไปให้กระทรวงมหาดไทยได้ประชุมทางไกลชี้แจงและให้เลขา กกต. มาตอบข้อซักถามด้วย รู้สึกจะทำวันนี้ ถ้าสงสัยก็ถามมาอีกก็จะจัดพูดไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเข้าใจและตอบข้อซักถามให้ได้ อย่าบ่น อย่าเข้าใจเอาเอง ทำให้ทุกอย่างไปไม่ได้ สื่อก็ต้องเข้าใจ เดี๋ยวผมจะคอยดูว่า ที่พูดไปแล้วเข้าใจอีกหรือเปล่า หรือไม่เข้าใจอีก เพราะฉะนั้นทุกอย่างโปร่งใส กรณีที่ได้รับการคัดเลือก คัดสรรเข้ามาแล้วและให้ปฏิบัติหน้าที่แล้วมีการฟ้องร้องกลับมาว่า ไม่เป็นธรรม ไม่ยุติธรรม อันนี้เราจะให้เข้ามาก่อน เหมือนกับใบเขียวใบแดง ถ้าเขียวก็ทำไปเลย ถ้าแดงเข้ามาก่อนแล้วก็สอบสวนและปลดออกไป ก็คัดสรรมาใหม่ก็แค่นั้นเอง ทำอย่างอื่นได้ไหมนอกจากนี้

ในเรื่องของผลกระทบการจัดระเบียบ เรื่อง วีซ่ารัน การอุ้มบุญ วันนี้มีคดีมากมายก็เป็นธรรมดาโลกเจริญขึ้น การพึ่งพาอาศัยการพัฒนาเทคโนโลยีทางด้านการแพทย์ก็มากขึ้นแต่ทำให้ถูกกฎหมายนี้ทำไม่ได้ซักที เมืองไทย วีซ่าท่องเที่ยวที่ตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) แสตมป์ให้ตอนเข้ามามันชั่วคราว หมดอายุ แต่บางคนเขาอยากทำงานต่ออยู่ต่อ ก็เดินทางออกจากประเทศไทยชั่วคราว แล้วเข้ามาใหม่อาจจะวัน 1 หรือระยะเวลาหนึ่งและมาแสตมป์ใหม่และอยู่ต่ออีกระยะหนึ่งตามวีซ่า นี้เขาเรียกวีซ่ารัน มันก็มีผลตอนจัดระเบียบพูดไปมากมายก็เกิดผลต่อครูสอนภาษาอังกฤษ พวกวิชาการที่จะมาลงทุน ที่จะมาประชุมมีปัญหาหมด ฉะนั้นกำลังทำในเรื่องนี้อยู่ต้องแยกแยะให้ชัดเจนขึ้น อันไหนที่เป็นการชั่วคราว อันไหนต้องไปวีซ่ารันหรืออันไหนที่เป็นการท่องเที่ยวธรรมดาแยกให้ออกจากกัน วันนี้ได้สั่งการไปแล้วให้มีการผ่อนผัน ขึ้นบัญชีเหมือนกับแรงงานต่างด้าวผู้ที่ทำวีซ่ารัน ไปขึ้นทะเบียนกับเขาให้ ตม. รับผิดชอบไป และ หาทางแก้ปัญหาให้ยั่งยืน ในอนาคตอย่างที่ผมบอกแล้วเมื่อสักครู่ ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นมานานแล้ว ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวขาดครูสอนภาษาอังกฤษอีก ขาดไกด์ที่มาเสริมอีก ไกด์เราจำนวนคุณภาพก็ยังมีปัญหาอยู่ จำนวนถือว่าเพียงพอ คุณภาพว่าอย่างไร ต่างชาติมาก็หาว่าไกด์ต่างชาติมาแย่ง เรื่องใหญ่

เรื่องการจัดระเบียบ  ปรับปรุงข้อกฎหมายอุ้มบุญวันนี้มีกฎหมายไม่ชัดเจนต้องไปแก้ใน สตช. ในระหว่างนี้ให้มีการตรวจสอบเป็นไปตามข้อกฎหมายเดิมอยู่บางประการการจะแก้ไขให้ยั่งยืน ในการดำเนินการโดยทันที เพราะเกรงว่าวันนี้คนไทย ผู้หญิงไทยที่รับอุ้มบุญแล้วไม่กล้าไปปรึกษาแพทย์ ที่โรงพยาบาล ตัวเองอุ้มท้องอยู่ ไม่กล้าไปหาแพทย์กลัวจะถูกดำเนินคดี พอไม่ไปหาแพทย์สุขภาพตัวเองก็แย่ ก็อุ้มบุญอยู่ในท้องไปหาหมอก็ไม่กล้า คลินิกที่จ้างหรือที่ให้ทำก็ถูกปิด เพราะฉะนั้นอันตรายกับเด็ก ผมสั่งการไปแล้ว ให้ผ่อนผันเป็นราย ๆ ไป ไปแสดงหลักฐานให้ชัดเจน ขอความร่วมมือจากโรงพยาบาล  การบริการทางการแพทย์ของรัฐโดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุข ช่วยดูแลเรื่องนี้ด้วย

ในเรื่องของการปฏิบัติงานของ คสช. ในช่วงมีรัฐบาลหรือมีการบริหารราชการเมื่อมีนายกรัฐมนตรี (นรม.) มีรัฐมนตรี (รมต.) คณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็จะบริหารราชการในระบบกฎหมาย และระเบียบปกติ ผมพูดถึง ครม. แต่บางอย่างมีปัญหาทับซ้อนจะแก้ไขโดยเร็วยังไม่ได้ โดยกฎหมายปกติ เรื่องนี้ คสช. ครม. จะร่วมมือกันประชุมร่วมกันจัดพิจารณา กำหนดว่าเรื่องใด ควรจะเป็นหลักของรัฐบาลหรือเรื่องเร่งด่วนที่ต้องการอำนาจพิเศษ ในการขับเคลื่อนก็จะจัดทำเป็นนโยบายขึ้นให้กระทรวง ทบวง กรม หน่วยงานร่วมกัน อะไรที่เป็นเรื่องเร่งด่วนต้องใช้กฎหมายพิเศษโดยทันทีก็ให้ คสช. ผู้รับผิดชอบในการขับเคลื่อน โดยใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวที่มีอยู่ หรือจัดตั้งคณะกรรมการเข้าดำเนินการ เช่น การแก้ไขปัญหาคอรัปชั่น โดยทันที การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ การแก้ไขปัญหาความยากจนระยะสั้น การแก้ไขปัญหายาเสพติด การแก้ไขปัญหาบุกรุกทรัพยากรธรรมชาติ และการจัดระเบียบอื่น ๆ ในเรื่องเหล่านี้บางเรื่องแก้ได้เร็ว บางเรื่องเป็นปัญหาเฉพาะหน้าก็ต้องใช้อำนาจพิเศษถึงจะเร็วขึ้น แต่อะไรที่ใช้อำนาจปกติได้ ก็ทำไปดำเนินการไปไม่ทับซ้อนกันแน่นอน พยายามไม่ให้เกิดผลกระทบในกว้าง

เรื่องการศึกษาเป็นหัวใจของชาติเป็นอนาคตของประเทศ เพราะฉะนั้นผมเห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีอยู่หลายประการ การจัดทำหลักสูตร การเตรียมการปรับปรุงเรื่องครู อะไรก็แล้วแต่ที่กระทรวงศึกษาธิการทำอยู่ ขณะนี้แต่ผมก็เป็นห่วงเรื่องความเป็นรูปธรรม ท่านต้องทำให้ได้ และให้ได้ทั้งระบบ เกื้อกูลซึ่งกันและกัน ทั้งคุณภาพปริมาณ ความต้องการของแรงงาน ความต้องการของลูกจ้างวิชาชีพ  ท่านต้องกำหนดระยะเวลา ประสิทธิผลให้เกิดผลสัมฤทธิ์โดยเร็ว ให้ทันปีการศึกษานี้ให้ได้ ท่านต้องทำให้ได้ ให้เวลาท่านแก้มานานแล้ว เพราะฉะนั้นวันนี้ต้องแก้ให้ได้นี่ไงเป็นเรื่องที่บางอย่างต้องใช้อำนาจ คสช. เหมือนกัน ไม่เช่นนั้นทำไม่ได้ซะที ผมรู้ว่ายากแต่ท่านต้องทำให้ได้ ประชุมร่วมกัน ลดข้อขัดแย้ง ใช้จ่ายงบประมาณ บุคลากรร่วมกัน เวลาของท่านจำกัด ต้องนำร่องเกิดขึ้นให้ได้โดยเร็วทุกเรื่องที่พูดไปแล้ว สั่งไปแล้วและข้อเรียกร้องของประชาชน ผู้ปกครองเด็ก ผู้ใหญ่ ทั้งหมดที่มีส่วนเกี่ยวข้องเขาเรียกร้องมาทำอย่างไรจะเกิดได้ ให้เขาพอใจแต่ไม่ใช่ทำให้การศึกษามันแย่ลง การศึกษาต้องดีคนก็พอใจ ไม่เดือดร้อน การเรียนพิเศษอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ต้องไปแก้หมด เพราะฉะนั้นท่านต้องทำให้ได้โดยเร็ว ให้เวลามานานเต็มทีหลาย 10 ปีแล้ว การศึกษาไทยนี้ ดีก็มี ไม่ดีก็มี ทำอย่างไรเราจะดีทั้งหมดได้ อยากให้ทำทุกมิติ การใช้จ่ายงบประมาณของรัฐท่านทราบดี ว่าใช้จ่ายงบประมาณมากที่สุด มากกว่าทุกกระทรวงแต่การศึกษาเป็นอย่างไร ผลสัมฤทธิ์เป็นอย่างไร ผลการประเมินเป็นอย่างไร เด็กไทยเป็นอย่างไรท่านทราบดี ไปแก้มา

ประวัติ ศาสตร์ชาติไทย  ประเทศไทย เด็กไทยวันนี้ไม่ทราบว่าบางคนนะ ถามว่ามีกี่จังหวัดตอบไม่ได้ ผมไม่เข้าใจ มี 76+1 กรุงเทพมหานครไม่รู้ไม่เข้าใจและมีที่ท่องเที่ยวที่ไหนต่างประเทศไปโน้นไปนี่ ถามว่าเมืองไทยมีมรดกโลกไหม ไม่ทราบ แล้วมันเป็นคนไทยได้อย่างไร แล้วใครบกพร่อง เวลาไปสอบสัมภาษณ์  ไปต่างประเทศหรือไปเรียนต่างประเทศ เขาบอกให้นักศึกษาต่างประเทศเขียนประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของแต่ละชาติ พี่ไทยเขียนไม่ได้ เพราะไม่รู้  ไม่รู้จะเขียนยังไงประเทศไทยเขียน 3 บรรทัด เพราะไม่รู้เลยไม่เคยสนใจ นั้นเป็นความบกพร่องของกระทรวงศึกษาธิการ ท่านต้องให้เขารู้ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ของเราเป็นไปเป็นมาที่ไหน ถ้าเราไม่รู้ตัวเราว่ามาจากไหน เราจะรู้ว่าเราจะทำอะไร ทำอะไรให้ประเทศไทยดินแดนผืนนี้ที่บรรพบุรุษไทยได้สร้างมาแล้ว ท่านต้องรู้บรรพบุรุษของท่านหรือพระมหากษัตริย์แต่ละพระองค์ทำอะไรมาบ้าง ความเป็นมาที่ยาวนานตั้งหลายร้อยปีตั้ง 4 ยุค 4 สมัย มีการต่อสู้รบรากันมากมาย เพราะฉะนั้นอันนี้เป็นการต่อสู่เพื่อรักษาผืนแผ่นดินไทย กับรอบ ๆ บ้านอะไรก็แล้วแต่เป็นประวัติศาสตร์ ไม่ใช่นำมาทะเลาะกัน ต้องเรียนรู้บอกว่าถ้าเรียนไปแล้ว เดี๋ยวจะขัดแย้งก็สอนให้เขาไม่ขัดแย้งสิ สอนว่าอย่าให้เกิดขึ้นอีก สอนว่าต้องเป็นมิตรกันอย่างไร แต่ต้องรู้ต่างชาติเขาก็สอนกัน วันหน้าผมติดตามสิว่าเราไปเขียนประวัติศาสตร์ต่างประเทศจะเขียนได้หรือไม่ เด็กไทย อาย อายเขานะ บางประเทศเขาเพิ่งเกิดมาในไม่กี่ปี ไม่กี่สิบปีเขาเขียนเป็นหน้า ๆ ผมได้รับรายงานมาคนไทยเขียนไม่ได้เลย มีประวัติศาสตร์ยาวนานเป็นพันปีอยู่แล้ว ฉะนั้นถ้าท่านรวบรวมความรู้เหล่านี้ได้ที่ท่านเคยเรียก สปช. ของท่านสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต ผมเห็นหนังสือพวกนี้เขียนเรื่องประวัติศาสตร์ชาติไทยเขียน 3 บรรทัด สิ่งที่พระมหากษัตริย์ทำ 2 บรรทัด สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงเป็นผู้ที่กู้ชาติไทยเมื่อวันนี้พุทธศักราช (พ.ศ.) นี้จบ 2 บรรทัด สมัยเด็ก ๆ ผมท่องทุกคนท่องหมด ท่านมาอย่างไรเล็กจนโต ทรงต่อสู้อะไรอย่างไร เราก็ภูมิใจ เราดีใจ วันนี้ก็เลย พันกันไปหมดพันกันไปทั่วหมด เมื่อสมัยก่อนพระมหากษัตริย์ทรงทำสงครามเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทย วันนี้พระมหากษัตริย์ของเราก็ต่อสู้ทำสงครามกับความยากจน สมัยก่อนท่านไปพัฒนาที่ดิน ที่ทำกิน ทั้งน้ำ ทั้งพืช ทั้งป่า ทั้งอะไรต่าง ๆ เพื่อให้มีที่ทำกินเพื่อรักษาทรัพยากรธรรมชาตินั้นไงคือการทำสงครามของ สถาบันพระมหากษัตริย์ในปัจจุบัน ความยากจนไม่ใช่ว่าทำสงครามกับประชาชน ไม่ใช่ไปหาว่าใครทำ
การเขียนเรียงความ การร่างหนังสือ การสรุปความย่อความ ทำไม่เป็น เขียนหนังสือไม่เป็น วันหลังผมจะให้ตรวจสอบ เรียกมาตรวจสักทีที่ว่าเก่ง ๆ จะเขียนเรียงความได้ทันผมหรือไม่ เขียนหนังสือทันผมหรือไม่ ก็ไม่ใช่ผมเก่งแต่ผมฝึกการเรียนรู้ด้วยตัวเอง เขียนหนังสือให้เร็ว อ่านหนังสือให้เร็วจะได้เก็บบรรจุข้อมูลอะไรได้มากหัวสมองก็มีมากมาย สมองมีไว้ใช้ไม่ได้มีไว้เก็บ มีส่วนหน้า ส่วนซ้าย ส่วนขวา หน้าหลังมีการบังคับควบคุมแต่ละอย่าง มีความสลับซับซ้อน ถ้าไม่ใช้ก็จะเล็กลงไปเรื่อย ๆ ไม่มีประโยชน์ หัวโตซะเปล่าไม่มีสมอง สมองมีไม่ได้ใช้อีก เพราะฉะนั้น ต้องสอนให้เขาต้องเตรียมการให้เขา มีข้อมูลให้เขาอย่าย่อมากนัก ความรู้ประวัติศาสตร์ พระมหากษัตริย์ 2 บรรทัด มันจะไปเกิดความภาคภูมิใจได้อย่างไร รู้ความเป็นมาของตัวเองได้อย่างไร ต้องแก้ไขนะครับ การคิดเลขในใจเหมือนกัน ไม่มีเท่าที่ทราบไม่มีนะ มันทำให้รู้จักการคิดเร็ว ไม่ได้จะเอาคิดเลขไปใช้อย่างไรไปใช้ไม่ได้ใช้หรอก ฝึกสมองให้ทำงานได้คล่องตัวได้มากขึ้น ถ้าท่านไม่หัดคิดก็จะคิดไม่เป็น พอคิดสั้น ๆ คิดยาว ๆ คิดไม่ได้ปวดหัว คิดสั้น ๆ พอแล้วจบ การทำแผนงานโครงการทำสั้น ๆ ดีกว่าของเก่ามีปัญหาแก้ไม่ได้ ทำเรื่องใหม่ดีกว่า ไอ้เรื่องเก่าก็ไม่ได้แก้ เรื่องใหม่ก็ทำไม่เสร็จก็เป็นอยู่แบบนี้ ท่านต้องเริ่มตั้งแต่เด็ก ๆ ให้เขาคิดให้เป็น คิดขบวนการคิด มีวิสัยทัศน์และกำหนดว่าจะทำอย่างไรได้ รู้จักคำว่า ทำ Road Map ได้หรือไม่ วางอนาคตตัวเองได้หรือไม่ วิเคราะห์ตัวเองได้หรือไม่ ว่าเป็นเด็กแล้วโตขึ้นจะเป็นอะไร อยากเห็นประเทศชาติเป็นอะไร เราต้องวางยุทธศาสตร์ชาติให้ได้ก่อนเด็กต้องรู้ ถ้าเด็กไม่รู้เขาก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อจากนั้น เขาเพียงเดี๋ยวเรียนหนังสือจบ หาเงินหารายได้ เลี้ยงครอบครัวมีลูกมีเต้า ตาย มีแค่นั้น คนจนก็พยายามจะรวยอะไรที่ถูกก็ทำ ไม่ถูกมีเงินก็ทำถูกนี่จิตสำนึกมันไม่เกิด ท่านต้องทำให้ได้ ตั้งแต่เด็กจนโต

วันนี้เห็นมีเรื่องการรับจ้างทำเอกสารวิจัย ผมเห็นในสื่อไม่รู้จริงหรือไม่จริง ในเว็บไซต์ก็มีการโฆษณาทำการบ้าน การทำการบ้านเด็กเล็กก็มี ทำเอกสารวิจัยก็มี เอกสารวิจัย 3,000 บาท ทำการบ้านตามระดับไม่แพงมากนั้น ราคา 200 เกิดขึ้นได้อย่างไรในประเทศไทย แล้วเด็กจะรู้เรื่องไหม เด็กก็มี ใครมีสตางค์ก็ไปจ้างเขา ผมไม่ได้หมายความทั้งหมดนะ มีกิจกรรมอย่างนี้ได้อย่างไร กิจการขายในโซเชียลมีเดียได้อย่างไร ใครควบคุม ต้องไม่มี ถ้ามีอีกหน่อยก็ไม่ต้องทำเองจ้างเขาหมด ใครมีสตางค์ก็จ้างแล้วก็จบมา โรงเรียน  มหาวิทยาลัย วันนี้มีมหาวิทยาลัยในระบบกับนอกระบบไม่เท่ากัน ครู ลูกจ้าง พนักงานไม่เท่ากัน ข้าราชการไม่เหมือนกัน ผลตอบแทนไม่เท่ากันก็มันมี แล้วใครไปคิดมาในระบบนอกระบบ ถ้านอกระบบออกไปแล้วรัฐก็ไม่ต้องดูแลมากนัก ท่านต้องหาทางดูแลให้ได้ พัฒนาให้คนมาเรียนรู้และดูแลตัวเอง วันนี้ท่านบอกว่ารัฐต้องดูแลทั้งหมดทั้งในระบบและนอกระบบ แบบนี้จะไปอย่างไรผมก็นึกไม่ออก ไปทบทวนใหม่ในระบบนอกระบบ และนอกระบบเหมือนกันมีเยอะไปหมด ตอนแรกมีเยอะมากผลิตนักศึกษาดีครับดี เป็นสิ่งที่ทำให้คนจบปริญญาแต่ถามว่าเขาทำงานแค่ไหน มีงานทำได้หรือไม่ ตอนนี้ 53% ตกงานทั้งหมด จบมาท่านต้องไปเรียนวิชาชีพ ไปดูว่าผลิตตอนปีเท่าไร มีงานได้หรือไม่ ผมเห็นเทคโนโลยีวิทยาลัยต่าง ๆ เขามีงานทำเลย บริษัทเขาไปรอรับได้เลย จบมามีงานทำแน่นอนคนก็ไปเรียนกันมากมาย เราไม่ได้ส่งเสริมเรื่องพวกนี้ ไม่ได้สร้างความเข้าใจไม่ให้ข้อมูล เด็กก็ไปเรียนแต่ปริญญาหมดอย่างนี้ไม่ได้ ถ้าไปเรียนวิชาชีพอาจจะไม่ได้ปริญญาไปหาว่าทำอย่างไรเมื่อเขาจบแล้ว ไปทำงานสามารถเรียนเพิ่มเติมได้ปริญญาอีก ทำไมไม่ไปคิดให้เป็นระบบ ให้เขาไปคิดเองทำไม เราวางแผนไว้ ให้เขากลับมาอย่างไรจะไปต่อตรงไหน บางมหาวิทยาลัยบอกอะไรจ่ายครบจบแน่ เป็นไปได้อย่างไร แบบนี้ก็เละเทะไปหมด รัฐบาลต้องดูแลรัฐบาลเป็นทุกอย่างเลย

การบริหารจัดการระบบไอทีเพื่อการศึกษา

คือการใช้ระบบที่ทันสมัย การใช้ระบบคมนาคม นอกจากการเสริมอุปกรณ์ให้แล้ว ต้องคุ้มค่า เตรียมบุคลากรที่มีความรู้ ทั้งเทคนิค  ฮาร์ดแวร์  ซอฟแวร์ และระบบเครือข่ายให้รู้เรื่องจริง ๆ ไปควบคุมก็เสียอีก พอเสียก็เลิก ก็เป็นแบบนี้มาโดยตลอด ต้องเตรียมให้พร้อมและให้ความสำคัญในการพิจารณาเนื้อหา สื่อการสอน ควบคู่กับการพัฒนาครู มากกว่าปีหน้าขออุปกรณ์มาใหม่ให้ดีขึ้น เร็วขึ้นบางอย่างอุปกรณ์ไปหน้าแล้ว เจ้าหน้าที่ ครู ตามไม่ทันเลย จะเอาของใหม่ตลอด ทำของเก่าให้ได้ รักษาให้ได้ พัฒนาไปให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เหมาะสมกับกำลังเงิน เหมาะสมกับเด็กนักเรียน เอาแค่นี้ก่อนได้ไหม ซื้อใหม่ตลอดไม่ไหวหรอกปีนี้กี่พันล้านไม่รู้ที่ไปเตรียมทำเรื่องนี้ เรื่อง IT เพราะฉะนั้นต้องเหมาะสมกับเด็กในหลายช่วง ตั้งแต่เด็กเลยต้องเรียนรู้คอมพิวเตอร์ตั้งแต่เด็ก จะรู้ได้อย่างไร ก็ได้ประโยชน์แต่คุ้มค่าหรือไม่ ถ้าเรามีเงินมากมาย ตกลง แจกได้น่าจะให้เขาได้ แต่วันนี้ผมว่ายังไม่ได้ประโยชน์ ได้แต่ได้น้อยเกินไป
การบูรณาการให้การศึกษาทางไกล ระบบการสอนจากดีวีดี  ระบบ e-learning ไปดูว่าคืออะไร ทุกคนสามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ มีระบบวัดผลผ่านไม่ผ่าน ผ่านกี่คนอย่างน้อย อย่างน้อยทุกคนก็มีโอกาสเข้ามาศึกษาเรียนรู้ด้วยตัวเองในสิ่งที่เพิ่มเติม ในสิ่งที่เป็นพื้นฐานอันนี้ก็ไปดำเนินการด้วย การจัดครู  บุคลากรรับผิดชอบระบบ IT ประจำโรงเรียน พูดไปแล้วต้องให้เหมาะสมเป็นการเฉพาะ และรู้จริงของไม่เสีย ไม่พังอีก โรงเรียนที่อยู่ห่างไกลซึ่งจะกำหนดมาตรฐานทำได้ยาก เพราะไกลครูก็น้อยยากลำบาก ระบบ IT จะช่วยได้บ้างในการพัฒนาและส่งเสริม
การจัดทำ Smart Classroom เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ให้กระทรวงศึกษาธิการไปพิจารณา ก็ต้องพิจารณาเรื่องเนื้อหา การเรียน การสื่อ การสอนเป็นลำดับแรก โดยท่านไปประยุกต์มา เนื้อหาหรือสื่อการสอนในโครงการศึกษาทางไกล ผ่านดาวเทียม ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่หัวหินมีอยู่แล้วนำมาประยุกต์สิครับ ท่านบอกอันนี้ตรงนี้ใช้ไม่ได้ ไม่ตรงกับตรงนั้น เขาเรียกว่าประยุกต์ ถ้าเกิดนี้ไม่เหมาะเริ่มไม่ได้เหมือนคนจัดเสื้อตัวเดียวทั้งหมด ทั้งอ้วน ทั้งผอม ใส่ไม่ได้ ไม่ได้ 10 คนใส่เสื้อตัวเดียวกันไม่ได้ ท่านต้องนำมาประยุกต์ เพราะฉะนั้นไปปรับปรุงให้เหมาะสม บางคนบอกไม่ยอมรับ ไม่ใช่แบบนี้ไม่ได้ ไม่เข้าใจกันคนละพื้นที่ แบบนี้ก็ไม่ต้องทำอะไรเลยดีกว่า อย่าเป็นประเทศกัน เป็นไม่ได้ เพราะฉะนั้นท่านต้องพัฒนาปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ให้หน่วยงานรับผิดชอบด้าน IT สามารถนำระบบ IT มาสนับสนุนการศึกษาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และต้องมีการลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เป็นสิ่งที่เกี่ยวพันทั้งสิ้น
ศูนย์ดำรงธรรม ของกระทรวงมหาดไทยและส่วนราชการ ให้เร่งรัดดำเนินการให้ทัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการแก้ปัญหาภาคเกษตร การเกษตร ราคาพืชผล มาตรการป้องกัน ช่วยเหลือ แก้ไขความเดือดร้อน โดยเร่งดำเนินการในพื้นที่ ทำให้ได้โดยเร็ว สร้างความเข้าใจ ถ่ายทอด นโยบาย แนวทาง คสช. ให้เขารับทราบ คสช.หรือรัฐบาลต่อไปให้ทราบว่า รัฐบาลกำลังทำอะไรอยู่ ถ้าเขาไม่รู้ เขาก็ร้องเรียน เขาก็ดิ้นรน น่าสงสารเขา แก้ให้เขาสร้างให้เขา อดทนเดี๋ยวจะเกิดนี้เกิดนั้น ทุกอย่างใช้เวลา กรุงโรมไม่ได้สร้างวันเดียว ประเทศไทยเหมือนกัน สร้างวันเดียวปีเดียวไม่ได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นต้องใช้เวลาในการแก้เป็นระยะ ๆ ให้เขาทราบอย่างใกล้ชิดต่อเนื่องในทุกเรื่อง
เรื่องการสาธารณสุข ต้องดูว่าจะทำอย่างไร จะดูแลคนทุกเพศทุกวัยได้มากน้อย ตามสัดส่วน ตามขีดความสามารถ ท่านต้องหามาตรการว่าจะดูแลคนส่วนใหญ่ทุกวัยได้อย่างไร มากน้อย ตามสัดส่วน ตามกำลังขีดความสามารถ ประชาชนก็ต้องให้ความร่วมมือ ทำอย่างไร คนรวยจะช่วยเสียสละให้คนรายได้น้อย รัฐไม่ต้องบังคับ พอบังคับก็ไม่ได้อีก เพราะฉะนั้นใครมีสตางค์สมัครมาเลย บอกว่าผมสละสิทธิ์ครับ ยอดเท่าไรกี่ล้านไม่รู้ 20 ล้าน 30 ล้าน อาจจะมีคนสละสิทธิ์ไม่ยอม ไม่ใช้สิทธิ์ในการรักษาพยาบาลรัฐ 30 บาท สัก 3 ล้าน 5 ล้านคน ก็นำเงินที่สละใน 5 ล้านมาใส่ให้คนที่ไม่มีมาก จำนวนก็จะมากขึ้นนี้ ต้องทำแบบนี้นะ ถ้าเราหาเงินมาก ๆ ขึ้น ไปใส่เข้าไปอีก ใส่ไปอีกแล้วเท่าไรถึงจะพอ แล้ววันนี้คนสูงวัยมีมากขึ้น ๆ สุขวิทยาอนามัยดีขึ้น คนก็อายุยืนและคนสูงอายุต้องมีเบี้ยสูงขึ้น คนจน Subsidize รายได้ Subsidize ผลิตผลทางการเกษตร การรักษาสุขาภิบาลก็ต้องมากขึ้น จะไปนำเงินมาจากที่ไหนผมก็ยังนึกไม่ออก นึกไม่ออกช่วยคิดหน่อยแล้วกัน ต้องช่วยกันเสียสละและขึ้นบัญชีเสียสละ ตัดยอดกันไป กระทรวงสาธารณสุขลองดูนะ ลองประกาศไป ถ้าทำก็ได้บุญนะครับคนรวยก็ได้บุญ ชาติหน้าก็รวยอีก ชาตินี้ชาติหน้าตามหลักศาสนาพุทธ ศาสนาอื่นเขาก็สอนไปแล้ว ถ้าเกี่ยงกันไปเกี่ยงกันมา เรียกร้องต่อสิทธิ์ไม่มีหน้าที่ ก็ไปไม่ได้ คนไทยต้องช่วยคนไทยด้วยกัน

ทุนการศึกษา วันนี้ก็ยังมีเหมือนเดิม ที่ลดเงินในงบประมาณไป เพราะไปนำเงินในกองทุนอื่นมาโปะเข้าไปอีก ทั้งของเก่าก็ยังไม่ได้คืน ของใหม่ก็ต้องให้ไป จำนวนคนกู้ก็มากขึ้น แล้วจะทำอย่างไรไม่ได้ไปลด ไม่ได้ไปตัด กองทุนอื่น ๆ ก็ต้องไปพิจารณาให้เหมาะสม ยังไม่ไปตัดอะไรสักอย่าง เพียงแต่ชะลอบางเรื่องที่มีปัญหาจากการตรวจสอบสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) บางกองทุนไม่ชัดเจน บางกองทุนไม่เรียบร้อย ก็ต้องไปแก้ไข อย่าไปปลุกระดมกันอีกเลย ว่าเราจะไปตัดตรงโน้นตัดตรงนี้ ประชาชนจะเดือดร้อน ที่ผ่านมาผมเห็นบางเรื่องประชาชนไม่ได้ ไม่รู้ไปอยู่ไหน ยังไม่รู้เลย ไปแก้กันมาไปสอบกันมา

เรื่องทุนการศึกษา คนรวยอย่ามายืมเงินอีก คนรวยมีสตางค์บางทีเป็นลูกข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ อะไรก็แล้วแต่ หรือกลาง ๆ มีเงินมากู้เงินอีก แล้วอย่างนี้คนจนจะเอาที่ไหนเหลือ เพราะใกล้ระบบอยู่แล้ว ก็ทำง่ายไม่ได้ ต่อไปนี้อย่าให้เกิด
เรื่องพลังงาน รัฐวิสาหกิจ มีการปรับปรุงหลายอย่าง บางคนบอกไม่เห็นทำอะไรเลย ก็ตั้งคณะกรรมการนโยบายไป ตั้งซุปเปอร์บอร์ดไป กำหนดยุทธศาสตร์และแผนงานไป แก้เรื่องบอร์ด แก้เรื่องระเบียบ แก้เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน แก้ไปก่อน เร่งด่วน แต่ถ้าอยู่หลายมิติด้วยกัน ที่เกี่ยวพันเรื่องโครงสร้างราคา โครงสร้างการผลิต การจัดหาแหล่งพลังงาน พลังงานทางเลือก พลังงานทดแทน แต่ละเรื่องมีเป็นร้อยแปดพันเรื่อง จากเรื่องเดียว ท่านจะลดราคาพลังงานเรื่องเดียว พันกันอีก 15 เรื่อง 15 เรื่อง แตกไปอีกเป็น 100 เรื่อง แล้วท่านก็ใจร้อน ท่านจะให้ผมทำเร็ว ๆ แล้วทำได้หรือไม่ เถียงกันไปเถียงกันมา นี่ผมสั่งไปแล้ว ชี้แจงกันให้ได้ ถ้าไม่ได้มา Debate ด้วยกัน แล้วดูสิว่าเหตุผลใครดีกว่ากัน น่าเข้าใจกว่ากัน ถ้าไปเชื่อตามที่เขียนอยู่ตามเว็บไซต์ ตามโซเชียล ก็ตีกันตายกันทั้งนั้น ทุกคนต้องฟังเหตุผล และเข้าใจกันด้วยเหตุด้วยผลกัน อย่าไปทะเลาะเบาะแว้งกัน เป็นไปไม่ได้บางเรื่องไม่ใช่ข้อเท็จจริง นี่ผมก็โดนเล่นงานอยู่เหมือนกัน หาว่าผมไปเอื้อประโยชน์ให้บริษัทโน้น บริษัทนี้ เขาเป็นญาติผมหรือเปล่า ผมไม่ได้เป็นญาติกับใครสักคนไม่รู้จัก ผมก็ซื้อน้ำมันแพงเหมือนท่านเหมือนกันเวลาที่ใช้รถส่วนตัว ไม่ใช่โทษกันไปโทษกันมา ไปหาทางแก้มา ใจเย็น ๆ เดี๋ยวต้องเข้าสภาปฏิรูป ไปดูว่าจะทำอย่างไร จะหาจากที่ไหนจะทดแทนด้วยอะไร จะผลิต จำหน่ายอย่างไร ผลประโยชน์ตอบแทนรัฐจะอยู่ที่ไหน เอกชน ประชาชน  จะถือหุ้นอย่างไร ถ้าอะไรเป็นของบริษัท ถ้าจะกลับเป็นของรัฐ รัฐก็ต้องหาเงินไปซื้อหุ้นมาให้มากขึ้น ๆ จนกลับมาเป็นของรัฐ ไปดูใหม่ สิทธิประโยชน์กรรมการก็ลดไปแล้ว บางอย่างต้องให้ความเป็นธรรมเขาด้วย คณะกรรมการไม่ใช่เขาทำอะไรได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เขาไม่ได้มองว่าเขาไปโกงร้อยเปอร์เซ็นต์เพียงแต่ว่าอาจจะไม่มีประสิทธิภาพดี ตรงโน้นตรงนี้ที่มีโอกาสที่จะรั่วไหลหรือไม่เข้าใจอะไรก็แล้วแต่ ต้องไปอธิบายกันเองให้เข้าใจ ต้องเห็นใจเขาว่าคณะกรรมการทุกกรรมการ บอร์ดเขามีกฎหมาย 20 กว่าฉบับ แต่ทำอย่างไรกฎหมายเหล่านั้นจะสามารถควบคุมให้มีประสิทธิภาพไปว่ามา ไปแก้ในกรอบปฏิรูปให้ชัดเจนขึ้น วันนี้แก้เร่งด่วนไปก่อนแล้ว

เรื่องพลังงาน เรื่องน้ำ เรื่องทั้งหมด ฟังเวลาที่ผมพูด ปัญหาความไม่เข้าใจของประชาชน ความเดือดร้อนของประชาชน ทุกอย่างถูกบิดเบือน ถูกคนนำไปใช้ประโยชน์ ต้องใช้เวลาวิธีบริหารที่จัดการอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม แยกให้ออกว่าอะไรเป็นของรัฐ อะไรของเอกชน อะไรผสมกัน เราจะเข้าไปถือหุ้นเพิ่มอย่างไร เราจะนำกลับมาเป็นของรัฐได้อย่างไร ไม่ใช่จะให้ คสช. ไปยึด การใช้อำนาจพิเศษไปยึดมา ไม่น่าได้ อย่าโยนภาระแบบนี้มาให้ คสช. เพราะเราทำหน้าที่ตามกฎหมาย กฎหมายพิเศษทำเพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาได้โดยเร็วเท่านั้น เราไม่ไปบิดเบือนอะไร ไม่ได้ทั้งสิ้น วัดหน้าเดี๋ยวก็มีปัญหาอีก เพราะฉะนั้น เราก็เป็นห่วงเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความมั่นคงด้านพลังงานจะต้องยั่งยืนสืบไป

ในส่วนสถานการณ์ภายนอกยังคงผันผวนตลอดเวลา ปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลทางด้านเศรษฐกิจ สังคม จิตวิทยา การสู้รบ ความมั่นคงมีทั่วโลกอยู่ในขณะนี้ เรื่องพลังงาน เราไปดูแลหมด ทั้งพลังงาน ขนส่ง บริการ ที่ยังไม่มีประสิทธิภาพ ต้องได้รับความไว้วางใจจากประชาชน ได้รับความพอใจจากประชาชน ผมพูดไปแล้วหลายเรื่องโครงสร้างยุทธศาสตร์ นโยบายรัฐ วิธีดำเนินการ ผลประกอบการ การฟื้นฟู การเตรียมการเรื่องการปรับราคา การลงทุนใหม่ ทุกอย่างไม่สามารถสั่งได้ในครั้งเดียว ผมพูดมาก็ยังเหนื่อยเลย ถ้าสั่งด้วย ทำด้วยเหนื่อยกว่านี้อีก คนนั่งฟังอาจจะเห็นว่าไม่มีอะไร ราคาน้ำมันไม่หันลงสักที ชี้แจงอย่างนี้ก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ไปไม่ได้หมด ผลผูกพันมากมาย ต้องเริ่มแก้ไข ค่อย ๆ แก้ไขไป

ภาษีเหมือนกันตอนนี้บอก เมื่อไหร่จะปรับภาษี เดี๋ยวปรับมาอย่าบ่นก็แล้วกัน ปรับมาต้องมีคนได้  คนเสียมาก คนเสียน้อย ผมก็บอกให้เป็นธรรมกับคนที่มีรายได้น้อยก็แล้วกัน ไปคิดมายังไม่เกิดอะไรทั้งสิ้น เขาแค่คิดเป็นแค่ข้อมูลเสนอมา จะทำไม่โน่น ครม. โน่น สปช. โน่น สนช. (สภานิติบัญญัติแห่งชาติ) เอามาตีกันแล้ว มาเขียนในสื่อ ในอะไรต่าง ๆ มีวิพากษ์วิจารณ์ บางอย่างคุยกันอยู่ในห้อง ไปได้อย่างไรผมยังไม่ทราบเลย บางเรื่องเป็นเรื่องลับ บางเรื่องเป็นเรื่องที่ยังไม่ดำเนินการ บางเรื่องไม่ได้สั่งการ เป็นเรื่องหารือ ออกไปแล้วว่า จะทำโน่นทำนี่ ไป ด่ากลับมาอีกว่า คสช. ไม่ทำอะไรไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจอีกกลายเป็น คสช. ไม่เข้าใจ ก็เหนื่อยใจเหมือนกัน บางคนบอก คสช. มีอำนาจล้นฟ้าตอนนี้ทำไมไม่ทำ ยึดมาเลยเป็นของรัฐได้ทั้งหมด อำนาจพิเศษไปยึดมา ไปยึดท่อ ยึดทาง ยึดบริษัท ยึดมาเลยเป็นของรัฐทั้งหมด ไปดูใหม่ว่าเป็นของใครอะไรอย่างไร ผมไม่ได้เข้าข้างใคร ไปเถียงกันให้จบก่อน ถ้าท่านเถียงกันไม่จบ ผมก็ทำไม่ได้เหมือนกันถ้าอย่างนั้นก็ เพราะฉะนั้นขอความร่วมมือ ความเข้าใจ อย่าพึ่งไปวิพากษ์วิจารณ์เสียหาย

ในเรื่องของการประชุม เสวนา วิพากษ์วิจารณ์หลายคณะ ผมไม่ได้ไปห้าม จนไม่กระดิกกระเดี้ยงไม่ได้ แต่ท่านไปรวมสัมมนาในที่ลับหรือไปประชุมการเมือง ประชุมในแนวทางต่อต้าน คสช. ผมว่าไม่ถูก ท่านจะทำอะไรมาบอกผม ขออนุญาตมา ผมจะพิจารณาให้ บางคนแอบไปประชุมที่โน่นที่นี่ บอกว่าเดี๋ยวรอ คสช. ขัดขาตัวเองล้มไปก่อนแล้วค่อยมา ประชาชนเตรียมให้พร้อมไว้ก่อนแล้วกันน่าเกลียดนะ ผมว่าผมไม่อยากจะไปกีดกั้นท่าน บางคนเป็นอดีตข้าราชการ อดีตนักการเมือง นักวิชาการที่เคยมีปัญหาหลาย ๆ ด้านกฎหมายพวกนี้พยายามยุอยู่อย่างนั้น ผมไม่รู้จะทำไปทำไม ตัวเองก็มีคดีความมากมาย แต่ยังจะไปให้คนอื่นเขาเชื่ออีก ผมพูดอย่างท่านไม่เชื่อก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร

ขอความร่วมมือจากองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น อบต. (องค์การบริหารส่วนตำบล) อบจ. (องค์การบริหารส่วนจังหวัด) กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ท่านมีความสำคัญที่สุด ท่านใกล้ประชาชนที่สุด ผมพูดหลายครั้งแล้ว ช่วยกันนำพาประเทศชาติ ประชาชน อย่าไปรวมกลุ่มมาประท้วงอีก คสช. เรื่องนี้ไม่เป็นประชาธิปไตย ก็วันนี้อะไรกันอยู่ ทำอะไรกันอยู่กำลังจะปฏิรูป แล้วใครไปบอกว่าจะไปยึดผมพูดมาหลายครั้งแล้ว ยังไม่เคยคิดเลย โน้นปฏิรูปไปว่ามา ตำรวจจะแก้อย่างไร โน่นปฏิรูปไปแก้มาโครงสร้าง จะให้ผมแก้โครงสร้างทั้งหมด โดยคำสั่ง คสช. ฉบับเดียว ผมทำไม่ได้ ผมก็แก้แต่ระเบียบบางอย่างให้ง่ายขึ้น ให้ทันสอดคล้องกับสถานการณ์ ผมมีแค่นั้น ท่านบอกอยากให้แก้แล้วท่านไม่ปฏิรูป จะทำได้หรือไม่ คสช. ไม่ทำ แบบนั้นไม่ทำให้ เราต้องพูดคุย พัฒนาตนเองให้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อบต. อบจ. กำนัน ผู้ใหญ่บ้านคุยพัฒนาตัวเองอย่างไร ทั้งความคิด ทั้งแนวทาง ทั้งการทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ท่านต้องสอดคล้องกับภูมิภาค ไม่ใช่ภูมิภาคจะไปยุบท้องถิ่น ท้องถิ่นจะยุบภูมิภาคอีกคงไม่ต้องมีอะไรแล้ว ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ท้องถิ่น เขาตั้งไว้สอดคล้องกันอยู่แล้ว บริหารไล่กันมาอยู่แล้ว ถ้าท้องถิ่นมาเล่นกับท้องถิ่นก่อนก็มีเงินท้องถิ่นไปแล้ว อบต. ต้องไปสร้างว่า 1 ปี ปีนี้ท่านต้องการอะไร ต้องการซ่อมโรงเรียน ต้องการซ่อมถนนกี่สาย ต่าง ๆ ถ้าท่านคำนวณอะไรที่เป็นของเก่ายังทำไม่เสร็จก็ไปทำปีที่ 2 อะไรที่ต้องสร้างใหม่ทำใหม่ ท่านก็ไปทำปีที่ 3 นี่คืองบประมาณที่ท่านมีอยู่ สถานพยาบาล ตลาดนัด ตลาดกลาง ท่านก็ไปคิดเพื่อจะไปดูแลประชาชนในพื้นที่ให้มีที่ทำกิน ที่อยู่ที่กินเขา ท่านก็ใช้งบประมาณท่านที่มีอยู่ ไม่ใช่ไปทำอะไรที่ซ้ำซาก ทำอะไรที่ไม่เกิดประโยชน์ผุดแล้ว ผุดอีก ซ่อมแล้ว ซ่อมอีกอยู่แค่นั้นแล้วไม่มีอะไรใหม่ขึ้นเลยก็เน่าอยู่แบบเดิม ถ้าท่านทำแผนอย่างนี้ได้ 1 ปี ใช้งบประมาณ ปีหน้าใช้อะไร ปีต่อไปใช้อะไร ท่านมีแผนระยะยาวว่าใน 5 ปี 10 ปี ในตำบลในหมู่บ้านท่านใช้เงินของท่านจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าท่านไม่พอภูมิภาคก็ของบประมาณส่วนกลางมาโปะเข้าไปอีกในช่องที่ไม่เกิด หรือต้องการให้เกิดเลย  ท่านต้องไปขอภูมิภาคสำหรับ ผู้ว่าราชการจังหวัด ก็รู้กระทรวง ทบวง  กรม เขาก็ไปช่วยกันนี่อันที่ 2 พออันที่ 3 สุดท้ายถ้าท่านไม่พออีกเดือดร้อนอีก ก็งบกลางรัฐบาลเติมเข้าไปอีก เพราะฉะนั้นมี 3 งบด้วยกัน ท่านจะเอาแต่งบท่านอย่างเดียวก็ไม่ได้ จะเช็คตรวจสอบถ่วงดุลกันได้อย่างไร

ผมไม่ได้มุ่งหวังจะไปแก้ไขอะไรทั้งนั้นตอนนี้ ไปว่ามาปฏิรูป ท่านอยากจะเปลี่ยนอยากจะยุบ อยากจะเลิก ใครก็ไม่ว่า ผมก็ไม่เกี่ยวกับท่าน รอผลออกมาปฏิรูปทำได้หรือไม่

การลดอิทธิพลความขัดแย้งในพื้นที่ ฝ่าย อปท. ท้องถิ่นต้องเลิกต้องหยุดให้ได้ทุกอย่างอยู่ในสภาปฏิรูป 11 เรื่อง คสช. ไม่เคยมีธง ทั้ง สนช. สปช. ไม่เคยมีธงให้ไปจะทำอะไรก็ทำ เราจะรักษาสภาพให้ได้ ขับเคลื่อนประเทศไปให้ได้ ท่านไปแก้ไขระยะยาวให้ได้ก็แล้วกัน 1 ปี 4 ปี ของรัฐบาลต่อ ๆ ก็ว่ามา แผนพัฒนาเศรษฐกิจก็ 5 ปี 5 ปี เลือกว่าจะเอากี่ปี เราต้องการให้ทุกคนทุกส่วนใช้ความคิด สติปัญญาของคนไทย ร่วมแก้ไขปัญหาในทุกมิติ ใช้สมองทุกส่วนให้ได้โดยเร็ว เป็นความหวังของพวกเรา ท่านต้องช่วยเราตรงนี้

เรื่องสำคัญอีกเรื่องคือการปรับย้ายในกองทัพ ในตำรวจ วิพากษ์วิจารณ์มาโดยตลอดเวลาเสียหาย แล้วเวลาไม่ตรงเขาไม่เห็นพูดอะไร ขอโทษครับ ขอโทษค่ะ ไม่เห็นมี เพราะเรามีหลักการ จะถูกจะผิดจะดีไม่ดี เขาพิจารณากันหลายคนไม่ใช่ใครจะไปชี้ตรงโน้น ตรงนี้ได้ มีระเบียบวินัย ทหาร ตำรวจต้องมีวินัย เราไม่เคยต้องไปแย่งชิงกัน แย่งชิงตำแหน่งผู้บัญชาการ (ผบ.) แย่งกันไม่ได้ถ้าแย่งอย่างนี้ก็ตาย ไม่แย่ง ต้องฟัง สั่งไปแล้วเซ็นไปแล้ว ประชุมไปแล้ว อนุมัติไปแล้วก็จบแค่นั้น ปีหน้าสู้กันด้วยเรื่องการทำงานใหม่ ทำงานให้ผู้บังคับบัญชาเห็น ให้นายเห็น เพราะฉะนั้นทุกอย่างต้องมีกติกาทั้งสิ้น  อย่าไปเขียนตามความเห็นส่วนตัวว่า ถ้าเป็นตัวเองตั้งอย่างนี้ ๆ พวกเราไม่มี ผมไม่เคยบอก ถ้าผมมีพวกป่านนี้ไม่ได้ ผมไม่ใช้คำว่าพวก ผมใช้คำว่าเป็นครอบครัว เราเป็นครอบครัวเดียวกัน ทหารคือครอบครัวทหาร ตำรวจคือครอบครัวตำรวจ ก็เป็นสังคมระหว่างครอบครัวทหารตำรวจก็ต้องมารู้จักต้องมาเจอกัน ทำงานด้วยกันไปได้ ฉะนั้นเป็นเรื่องธรรมดา อย่าไปพูดมากเสียหาย ทุกอย่างมีระเบียบข้อบังคับกฎหมายวินัยต่าง ๆ มากมาย

ขอบคุณนะครับ ก่อนจะถึงเวลานี้ผมเหนื่อยมาก พูดก็เหนื่อย ทำก็เหนื่อย ขอบคุณที่ทุกคนกรุณาฟังผม แต่จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ต้องคอยดูกันต่อไป แต่ขออย่าพึ่งมาต่อต้านเรา อย่าพึ่งอะไรทั้งสิ้นเราก็รู้ทั้งหมด แต่เราไม่อยากใช้ความรุนแรงอะไรกับท่าน  ถ้าบังคับใช้กฎหมายมาก ๆ ก็น่าเบื่อ ท่านอาจจะไม่เบื่อแต่ผมเบื่อ เบื่อการใช้กฎหมายมาก ๆ ทำให้สังคมมีปัญหาหมด เป็นเรื่องของท่าน ต้องพิจารณาใคร่ครวญในความเป็นจริง อย่ามองโลกด้านเดียว ฟังใครอย่างเดียว บางอย่างต้องใช้ทั้งรัฐศาสตร์  นิติศาสตร์ ในการทำงาน ในการบริหารราชการ แต่ต้องมีหลักธรรมาภิบาลในการแก้ไขปัญหาการเดินหน้าประเทศไทยต่อไป

ขอความร่วมมือเรื่องการปฏิรูปนะครับ ผมไม่ต้องการบังคับใคร ผมชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นไปแล้ว หากทุกคนเป็นคนไทย ไม่ว่าจะกลุ่มใด พวกใด ควรจะเข้ามาสมัครเข้ามาทำให้สำเร็จเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ผมเรียนแล้วว่าเราจะไม่เข้าไปก้าวก่ายในขบวนการปฏิรูปทั้งสิ้น ถือว่าเป็นเรื่องของคนไทยทุกคนต้องช่วยกัน คงมีเท่านี้ที่คุยกับพวกเราใช้เวลานานพอสมควร คนฟังก็เหนื่อย คนพูดก็เหนื่อย ผมอาจจะพูดเร็วไปบ้าง ช้าไปบ้าง ส่วนใหญ่จะเร็ว พยายามฟังให้ทันหน่อยแล้วกัน จะเห็นได้ว่าผมคิดทั้งหมดและทำให้เร็ว พูดยังเร็วยังไม่ทันใจท่านเลย แต่บางคนไม่ฟังเลย ติอย่างเดียวก็สวนทางกันหมด ขอบคุณนะครับ ขอบคุณ  พ่อแม่พี่น้องทุกคน  สวัสดีครับ  คิดถึงนะครับ