วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2556

108 เหตุผล ที่ต้่องออกกฏหมายนิรโทษกรรม




        ชมวิดีโอการอภิปรายของนักวิชาการถึงเหตุผลที่จะต้องนิรโทษกรรมนักโทษการเมือง กฤตยา อาชวนิจกุล จากสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล การอภิปรายนี้เป็นส่วนหนึ่งของงาน “108 เหตุผล ทำไมต้องนิรโทษกรรมนักโทษการเมือง” จัดโดยศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม เมษา-พฤษภา 2553 (ศปช.) เมื่อวันที่ 26 ก.ค.56 ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ ถนนราชดำเนิน(ที่มา:ประชาไท)



         ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ (จากงานเสวนา 108 เหตุผล ทำไมต้องนิรโทษกรรมนักโทษการเมือง จัดโดย ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม เมษา-พฤษภา 2553 "108 เหตุผลทำไมต้องต้องนิรโทษกรรมนักโทษการเมื­อง" วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม 2556 เวลา 13.00 - 16.30 น.ห้องราชา โรงแรมรัตนโกสินทร์ ถนนราชดำเนิน thaivoice.org ถ่ายทอดสดโดยคุณแดงสิงห์ อัพโหลดลงyoutube โดย RuMiCBR)





จาตุรนต์ ฉายแสง

ศ.ดร.ธงชัย วินิจจะกูล

รศ.ดร.ปวิน ชัชวาลย์พงศ์พันธุ์
อภิชาตพงศ์ วีระเศรษฐกุล

นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ
ศ.ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์

อภินันท์ บัวหภักดี

วาสนา มาบุตร แม่ของปัทมา มูลมิล ผู้ถูกตัดสินคุก33ปีคดีเผาศาลากลางอุบลราชธานี
ผศ.ดร.สุดา รังกุพันธุ์

108เหตุผล



ศปช.แถลง นิรโทษกรรมแก้ไขความผิดพลาดปฎิบัติการของรัฐ คืนความยุติธรรมให้กับประชาชน

          ย้ำการประกาศกฎหมายความมั่นคงขาดความชอบธรรม ระบุยังมีข้อมูลผู้ถูกดำเนินคดีด้วย กม.ที่ไม่เป็นธรรมที่ไม่เป็นที่เปิดเผย อีกมาก ย้ำหลักการนิรโทษกรรมต้องเป็นการแก้ไขความผิดพลาดของฝ่ายรัฐ และคืนความยุติธรรมให้กับประชาชน ไม่ใช่เหมาเข่งอ้างปรองดอง ต้องปฏิรูประบบยุติธรรมทั้งระบบ
         วันที่ 26 ก.ค. 2556 ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมเมษา-พฤษภา 2553 (ศปช.) จัดเสวนาหัวข้อ 108 เหตุผลทำไมต้องนิรโทษกรรมนักโทษการเมือง
         โดย กฤตยา อาชวณิชกุล ประธาน ศปช. กล่าวถึงเหตุผลที่จัดการเสวนาขึ้นว่า แม้ ศปช. จะจัดตั้งขึ้นมาเพื่อหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการสลายการชุมนุมเมื่อเดือน เม.ย.–พ.ค. 2553 จะได้จัดทำรายงานเผยแพร่แล้ว ศปช. ก็ยังไม่ปิดตัว เพราะพบว่ายังมีประชาชนจำนวนมากที่ประสบชะตากรรมเรื่องคดีความ ศปช.จึงยังคงทำงานต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน เพื่อติดตามคดีความต่างๆที่ประชาชนทั้งผู้เข้าร่วมชุมนุมและไม่ได้เข้าร่วมชุมนุมถูกจับกุม อันมีสาเหตุเกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์เมษา – พฤษภา 2553 สรุปได้ว่า มีการจับกุมตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2553 ถึงวันที่ 30 เมษายน 2555 รวม 1,763 คน เป็นจำนวนคดีรวม 1,381 คดี และเมื่อรวมตัวเลขผู้ถูกจับกุมภายหลังด้วย ทำให้มี จำนวนผู้ถูกดำเนินคดีรวม 1,833 คน (1,451 คดี) ในจำนวนนี้ เป็นผู้ถูกดำเนินคดีคดีสิ้นสุดแล้ว 1,644 คน อยู่ระหว่างจำคุก 5 คน และ คดีที่คดียังไม่สิ้นสุดประมาณ 150 คน  ได้ประกันตัว 137 คน (คดีก่อการร้าย 24 คน) ไม่ได้ประกันตัว ยังอยู่ในเรือนจำต่างๆ 13 คน นอกจากนี้ ศปช. พบว่ายังมีจำนวนหมายจับที่ยังจับกุมไม่ได้อีกหลายร้อย ในหลายจังหวัด ได้แก่ จ.มุกดาหาร อุดรฯ จ.อุบลฯ จ.ขอนแก่น และเชียงใหม่
          ถ้านับจำนวนผู้ถูกดำเนินคดีในเหตุการณ์อื่นๆ อันเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมืองหลังรัฐประหาร พบว่า มีผู้ถูกดำเนินคดี เท่าที่รวบรวมได้ 55 ราย เป็นคดีที่คดีสิ้นสุดแล้ว 23 ราย ยังไม่สิ้นสุด 23 ราย และไม่ทราบสถานะคดี 9 ราย
           ดังนั้นถ้ารวมตัวเลขทั้งหมด คือ 1,833 และ 55 ราย สรุปได้ว่ามีประชาชนถูกดำเนินคดีเนื่องจากความขัดแย้งทางการเมืองหลังรัฐประหาร รวม 1,888 คน
           ดร. กฤตยา กล่าวว่า ศปช. มีข้อสังเกตและข้อเสนอจากการเก็บรวบรวมข้อมูลผู้ได้รับผลกระทบจากการถูกดำเนินคดีอันเกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมปี 2553 ของ ศปช. ว่า  ข้อมูลของ ศปช.จึงอาจยังไม่ครอบคลุมจำนวนผู้ได้รับผลกระทบอย่างแท้จริง โดยเฉพาะจำนวนและรายชื่อของผู้ที่ถูกออกหมายจับแต่ยังไม่มีการจับกุม และผู้ถูกดำเนินคดีในเหตุการณ์อื่นๆ เนื่องจาก ศปช.ไม่สามารถเข้าถึงรายละเอียดของข้อมูลเหล่านี้ได้ ดังนั้น หน่วยงานอื่นๆ ได้แก่ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ที่มีสถานะเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญจึงควรต้องใช้กลไกของตนในการแสวงหาข้อมูล ผ่านทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด   ศาลยุติธรรม  หรือเปิดรับข้อมูลจากผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง
         ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ศปช.พบว่า ปัญหาการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนมีสาเหตุสำคัญมาจาก

  • 1.การประกาศใช้กฎหมายความมั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งนอกจากจะประกาศใช้โดยขาดความจำเป็นแล้ว การที่ พ.ร.ก.ฉุกเฉินให้อำนาจเจ้าพนักงานอย่างกว้างขวาง โดยไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวินัย เปิดช่องให้เจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจตามอำเภอใจในการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนอย่างกว้างขวาง ทั้งสิทธิในชีวิต สิทธิในร่างกาย สิทธิในการชุมนุม เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น โดยไม่คำนึงถึงหลักการประชาธิปไตย และหลักนิติธรรม เช่น ทำให้เสียชีวิต จับกุมอย่างเหวี่ยงแห จับกุมโดยไม่มีหลักฐานอย่างชัดเจน ซ้อมทรมานในขณะจับกุม ยัดของกลาง เป็นต้น ส่งผลให้ภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินมีผู้ถูกจับกุมและดำเนินคดีเป็นจำนวนมาก
  • 2. หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมไม่ได้ทำหน้าที่เอื้ออำนวยให้เกิดความยุติธรรม ปกป้องและขยายสิทธิเสรีภาพของประชาชน หรือเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หากแต่ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการจำกัดสิทธิเสรีภาพ ป้องปราม และกดทับประชาชน ปัญหาเหล่านี้ดำรงอยู่ในกระบวนการยุติธรรมมาเนิ่นนาน หากแต่ภายใต้สภาพความขัดแย้งทางการเมือง ปัญหาเหล่านี้ได้ประทุขึ้นมาให้เห็นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการใช้กฎหมายต่อกลุ่มคนที่เห็นต่าง เช่น บังคับหรือหลอกล่อให้รับสารภาพ บิดเบือนคำให้การ ไม่ให้ประกันตัว ไม่แจ้งสิทธิในการติดต่อทนายหรือญาติ ตั้งข้อหาเกินจริง การใช้ดุลยพินิจของศาลที่ก่อให้เกิดความเคลือบแคลงใจ และไม่คำนึงถึงบริบททางการเมือง ตลอดจนถึงการที่ศาลไม่ตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ส่งผลให้ผู้ที่ถูกจับกุมและดำเนินคดีถูกศาลพิพากษาลงโทษเป็นส่วนใหญ่
          แม้ในปัจจุบันปัญหาของกระบวนการยุติธรรมในคดีที่เกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมืองเหล่านี้ก็ยังปรากฏให้เห็น การไม่อนุญาตให้ประกันตัวในบางคดี ทั้งคดีที่มีโทษหนักและโทษเบาเพียง 1 ปี โดยที่บางคดีที่มีโทษหนักกว่าได้รับการประกันตัว พนักงานอัยการยังมีการสั่งฟ้องอยู่เรื่อยๆ ทั้งที่บางกรณีได้สั่งไม่ฟ้องไปแล้ว เช่น มุกดาหาร 1 ราย, ขอนแก่น (เตรียมฟ้อง) 39 ราย, กรุงเทพฯ 2 ราย พนักงานอัยการยังคงอุทธรณ์ในคดีที่ศาลพิพากษายกฟ้องไปแล้ว เช่น คดีเผาเซ็นทรัลเวิร์ล เป็นต้น
           “ดังนั้น การผลักดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมจึงเป็นความจำเป็น ไม่ใช่เพื่อลบล้างความผิดให้ผู้ชุมนุมทุกฝ่ายเพื่อให้หันหน้ากลับมาปรองดองกัน แต่เพื่อเป็นการแก้ไขความผิดพลาดของฝ่ายรัฐ และคืนความยุติธรรมให้กับผู้ที่ถูกจับกุมดำเนินคดี
“ศปช.เห็นว่า ในระยะยาว ไม่เพียงแต่ต้องผลักดันให้มีการยกเลิกกฎหมายความมั่นคง แต่ต้องผลักดันให้เกิดการปฏิรูประบบยุติธรรมทั้งยวง ตั้งแต่ชั้นเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุม พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ ศาล และเรือนจำ เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมสามารถทำหน้าที่อำนวยความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในสังคมได้อย่างแท้จริง” ดร. กฤตยา กล่าวในที่สุด ******************************************************

คำแถลงวัตถุประสงค์การจัดอภิปรายระดมทุนเพื่อช่วยนักโทษการเมือง
เรื่อง ‘108 เหตุผล ทำไมต้องนิรโทษกรรมนักโทษการเมือง’
26 กรกฎาคม 2556 เวลา 13.00-16.30 น.
            ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมกรณี เม.ย. - พ.ค. 53 (ศปช.) ถือกำเนิดขึ้นเมื่อ 19 กรกฎาคม 2553 เพื่อมุ่งรวบรวมข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับเหตุการณ์การสลายการชุมนุมเมื่อเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 และที่ผ่านมา ศปช.ได้จัดงานแถลงความคืบหน้าเกี่ยวกับข้อเท็จจริงของเหตุการณ์เป็นระยะๆ จนในที่สุดได้ตีพิมพ์ออกมาเป็นหนังสือชื่อ “ความจริงเพื่อความยุติธรรม” เมื่อปีที่แล้วและกำลังทยอย upload ฉบับออนไลน์ที่มีการพิสูจน์อักษรอย่างละเอียดอีกครั้ง ปรับแก้ไขคำผิด และเพิ่มเติมการอ้างอิงให้ครบถ้วนสมบูรณ์ บนเว็บไซต์ของ ศปช. คือ www.pic2010.org
            อย่างไรก็ตาม ศปช. ตัดสินใจยังไม่ปิดตัวลง เพราะพบว่ายังมีประชาชนจำนวนมากที่ประสบชะตากรรมเรื่องคดีความ ศปช.จึงยังคงทำงานต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน เพื่อติดตามคดีความต่างๆที่ประชาชนทั้งผู้เข้าร่วมชุมนุมและไม่ได้เข้าร่วมชุมนุมถูกจับกุม อันมีสาเหตุเกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์เมษา – พฤษภา 2553 สรุปได้ว่า มีการจับกุมตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2553 ถึงวันที่ 30 เมษายน 2555 รวม 1,763 คน เป็นจำนวนคดีรวม 1,381 คดีและเมื่อรวมตัวเลขผู้ถูกจับกุมภายหลังด้วย ทำให้มี จำนวนผู้ถูกดำเนินคดีรวม 1,833 คน (1,451 คดี) ในจำนวนนี้ เป็นผู้ถูกดำเนินคดีคดีสิ้นสุดแล้ว 1,644 คน อยู่ระหว่างจำคุก 5 คน และ คดีที่คดียังไม่สิ้นสุดประมาณ 150 คน  ได้ประกันตัว 137 คน (คดีก่อการร้าย 24 คน) ไม่ได้ประกันตัว ยังอยู่ในเรือนจำต่างๆ 13 คน นอกจากนี้ ศปช. พบว่ายังมีจำนวนหมายจับที่ยังจับกุมไม่ได้อีกหลายร้อย ในหลายจังหวัด ได้แก่ จ.มุกดาหาร อุดรฯ จ.อุบลฯ จ.ขอนแก่น และเชียงใหม่
          ถ้านับจำนวนผู้ถูกดำเนินคดีในเหตุการณ์อื่นๆ อันเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมืองหลังรัฐประหาร พบว่า มีผู้ถูกดำเนินคดี เท่าที่รวบรวมได้ 55 ราย เป็นคดีที่คดีสิ้นสุดแล้ว 23 ราย ยังไม่สิ้นสุด 23 ราย และไม่ทราบสถานะคดี 9 ราย
         ดังนั้นถ้ารวมตัวเลขทั้งหมด คือ 1,833 และ 55 ราย สรุปได้ว่ามีประชาชนถูกดำเนินคดีเนื่องจากความขัดแย้งทางการเมืองหลังรัฐประหาร รวม 1,888 คน

ศปช. มีข้อสังเกตและข้อเสนอดังนี้

  • การเก็บรวบรวมข้อมูลผู้ได้รับผลกระทบจากการถูกดำเนินคดีอันเกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมปี 2553 ของ ศปช. เป็นเพียงความพยายามขององค์กรภาคประชาชนเล็กๆ ในการทำให้สังคมได้มองเห็นภาพรวมของปัญหาการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนโดยใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ ผ่านเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง ดังนั้น ข้อมูลของ ศปช.จึงอาจยังไม่ครอบคลุมจำนวนผู้ได้รับผลกระทบอย่างแท้จริง โดยเฉพาะจำนวนและรายชื่อของผู้ที่ถูกออกหมายจับแต่ยังไม่มีการจับกุม และผู้ถูกดำเนินคดีในเหตุการณ์อื่นๆ เนื่องจาก ศปช.ไม่สามารถเข้าถึงรายละเอียดของข้อมูลเหล่านี้ได้ ดังนั้น หน่วยงานอื่นๆ ได้แก่ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ที่มีสถานะเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญจึงควรต้องใช้กลไกของตนในการแสวงหาข้อมูล ผ่านทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด   ศาลยุติธรรม  หรือเปิดรับข้อมูลจากผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง
  • ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ศปช.พบว่า ปัญหาการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนมีสาเหตุสำคัญมาจาก

  • 1. การประกาศใช้กฎหมายความมั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งนอกจากจะประกาศใช้โดยขาดความจำเป็นแล้ว การที่ พ.ร.ก.ฉุกเฉินให้อำนาจเจ้าพนักงานอย่างกว้างขวาง โดยไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวินัย เปิดช่องให้เจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจตามอำเภอใจในการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนอย่างกว้างขวาง ทั้งสิทธิในชีวิต สิทธิในร่างกาย สิทธิในการชุมนุม เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น โดยไม่คำนึงถึงหลักการประชาธิปไตย และหลักนิติธรรม เช่น ทำให้เสียชีวิต จับกุมอย่างเหวี่ยงแห จับกุมโดยไม่มีหลักฐานอย่างชัดเจน ซ้อมทรมานในขณะจับกุม ยัดของกลาง เป็นต้น ส่งผลให้ภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินมีผู้ถูกจับกุมและดำเนินคดีเป็นจำนวนมาก
  • 2. หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมไม่ได้ทำหน้าที่เอื้ออำนวยให้เกิดความยุติธรรม ปกป้องและขยายสิทธิเสรีภาพของประชาชน หรือเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หากแต่ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการจำกัดสิทธิเสรีภาพ ป้องปราม และกดทับประชาชน ปัญหาเหล่านี้ดำรงอยู่ในกระบวนการยุติธรรมมาเนิ่นนาน หากแต่ภายใต้สภาพความขัดแย้งทางการเมือง ปัญหาเหล่านี้ได้ประทุขึ้นมาให้เห็นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการใช้กฎหมายต่อกลุ่มคนที่เห็นต่าง เช่น บังคับหรือหลอกล่อให้รับสารภาพ บิดเบือนคำให้การ ไม่ให้ประกันตัว ไม่แจ้งสิทธิในการติดต่อทนายหรือญาติ ตั้งข้อหาเกินจริง การใช้ดุลยพินิจของศาลที่ก่อให้เกิดความเคลือบแคลงใจ และไม่คำนึงถึงบริบททางการเมือง ตลอดจนถึงการที่ศาลไม่ตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ส่งผลให้ผู้ที่ถูกจับกุมและดำเนินคดีถูกศาลพิพากษาลงโทษเป็นส่วนใหญ่
           แม้ในปัจจุบันปัญหาของกระบวนการยุติธรรมในคดีที่เกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมืองเหล่านี้ก็ยังปรากฏให้เห็น การไม่อนุญาตให้ประกันตัวในบางคดี ทั้งคดีที่มีโทษหนักและโทษเบาเพียง 1 ปี โดยที่บางคดีที่มีโทษหนักกว่าได้รับการประกันตัว พนักงานอัยการยังมีการสั่งฟ้องอยู่เรื่อยๆ ทั้งที่บางกรณีได้สั่งไม่ฟ้องไปแล้ว เช่น มุกดาหาร 1 ราย, ขอนแก่น (เตรียมฟ้อง) 39 ราย, กรุงเทพฯ 2 ราย พนักงานอัยการยังคงอุทธรณ์ในคดีที่ศาลพิพากษายกฟ้องไปแล้ว เช่น คดีเผาเซ็นทรัลเวิร์ล เป็นต้น
         ดังนั้น การผลักดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมจึงเป็นความจำเป็น ไม่ใช่เพื่อลบล้างความผิดให้ผู้ชุมนุมทุกฝ่ายเพื่อให้หันหน้ากลับมาปรองดองกัน แต่เพื่อเป็นการแก้ไขความผิดพลาดของฝ่ายรัฐ และคืนความยุติธรรมให้กับผู้ที่ถูกจับกุมดำเนินคดี
          ศปช.เห็นว่า ในระยะยาว ไม่เพียงแต่ต้องผลักดันให้มีการยกเลิกกฎหมายความมั่นคง แต่ต้องผลักดันให้เกิดการปฏิรูประบบยุติธรรมทั้งยวง ตั้งแต่ชั้นเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุม พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ ศาล และเรือนจำ เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมสามารถทำหน้าที่อำนวยความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในสังคมได้อย่างแท้จริง  
สวัสดีท่านสุภาพบุรุษ สุภาพสตรี และสุภาพชน

          ผมขอเริ่มด้วยข่าวของสำนักข่าว วอยส์ออฟอเมริกา เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2556 รายงานข่าว ประธานาธิบดีพม่าให้สัญญาว่าจะไม่มีนักโทษการเมืองเหลืออยู่ภายในสิ้นปี http://www.voathai.com/content/burma-cameron-ct/1703325.html

         ประธานาธิบดีเต็งเส่ง กล่าวระหว่างการปราศรัยที่ Chatham House ในกรุงลอนดอน ให้สัญญาด้วยว่า จะไม่มีนักโทษการเมือง หรือผู้ที่ถูกคุมขังเนื่องจากมีความคิดเห็นแตกต่างจากรัฐบาล เหลืออยู่ในพม่าภายในสิ้นปีนี้


        โดยก่อนหน้านั้น 1 วัน เวปไซต์ของประธานาธิบดีพม่า ระบุว่าประธานาธิบดีเต็งเส่ง ได้สั่งยุบเลิกกองกำลังด้านความมั่นคง ที่ถูกกล่าวหาว่าละเมิดสิทธิของชาวโรฮิงยาไปแล้ว และว่าความขัดแย้งต่างๆ ที่ยังมีอยู่ในประเทศขณะนี้ ล้วนแต่มีลักษณะและที่มาจากความไม่พอใจ และความต้องการของชนต่างเชื้อชาติในประเทศทั้งสิ้น

         แน่นอนว่าเราอาจจะไม่เชื่อทั้งหมดของข่าวสาร ที่มาจากรัฐบาลประเทศพม่า แต่ก็นับว่าเป็นนิมิตรหมายที่ดี สำหรับประชาชนชาวพม่า ที่เผชิญกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงมากกว่า เสี้ยวศตวรรษ นับตั้งแต่เหตุการณ์ 8/8/88อนึ่ง เราทั้งหลาย ก็ทราบกันดีว่า กัมพูชาเอง พระมหากษัตริย์ก็พระราชทานอภัยโทษ ให้กับผู้นำพรรคฝ่ายค้าน สม รังสี ทั้งนี้โดยข้อเสนอของ นรม ฮุนเซ็น ซึ่งนับได้ว่าภูมิภาคอาเซียนของเรา กำลังมีความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น

         แต่สำหรับสยามประเทศไทย ในพ.ศ. 2556 เรากลับต้องมาพูดถึง “108 เหตุผล ทำไมต้องนิรโทษกรรมนักโทษการเมือง” นับเป้นความน่าเศร้าอย่างยิ่ง เพราะแท้ที่จริงแล้ว เราไม่ควรจะมีเหตุผลใด ๆ ที่จะมี “นักโทษการเมือง” ที่เกิดจากการคิด พูด อ่าน เขียน ที่มีความเห็นไม่ตรงกับอุดมการณ์รัฐแล้วในโลกปัจจุบัน ดังเช่นที่รัฐบาลพม่า กำลังดำเนินการแก้ไขอยู่ในขณะนี้

         ในฐานะนักประวัติศาสตร์ ผมได้พบข้อมูล ระหว่าง พ.ศ. 2475 จนกระทั่งถึงปัจจุบัน พ.ศ. 2556 เป็นเวลา 81 ปี ว่าเรามีการ การออกกฎหมายนิรโทษกรรมมาแล้ว 22 ฉบับ โดยแบ่งออกเป็น พ.ร.ก. 4 ฉบับ, พ.ร.บ. 17 ฉบับ และรัฐธรรมนูญ 1 ฉบับ

       สาระสำคัญของ กม.นิรโทษกรรม ทั้ง 22 ฉบับคือ การนิรโทษกรรมให้กับการกระทำผิดต่างๆ โดยแบ่งออกเป็น

  • - ความผิดฐานเปลี่ยนแปลงการปกครอง 1 ฉบับ
  • - ความผิดฐานก่อกบฏ 6 ฉบับ
  • - ความผิดจากการก่อรัฐประหาร 10 ฉบับ
  • - ความผิดจากการต่อต้านสงครามของญี่ปุ่น 1 ฉบับ
  • - ความผิดจากการชุมนุมทางการเมือง 3 ฉบับ
  • - ความผิดจากการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ 1 ฉบับ

        ถ้านับกันตามเวลาแล้ว ในระยะเวลา 81 ปี เฉลี่ยแล้ว 3 ปีครึ่ง เรามีกฎหมายนิรโทษกรรม 1 ฉบับ โดยเหตุที่มากเช่นนั้น ก็เพราะเป็นการรวมเอาการรัฐประหาร 10 ฉบับ และความผิดฐานกบฎ 6 ฉบับ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นความขัดแย้งของชนชั้นนำเข้ามาไว้ ซึ่งคิดเป็น 72.7 เปอร์เซ็น ขณะที่การนิรโทษกรรมความผิดจากการชุมนุมทางการเมือง 3 ฉบับ ในเหตุการณ์สำคัญคือ

เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516

       พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่นักเรียนนิสิต นักศึกษาและประชาชน ซึ่งกระทำความผิดเกี่ยวเนื่องกับการเดินขบวนเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ.2516

เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519
        พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องในการชุมนุมในมหาวิทยาลัยธรรม ศาสตร์ระหว่างวันที่ 4 ถึงวันที่ 6 ตุลาคม 2519

เหตุการณ์ พฤษภาคม 2535
       พ.ร.ก.นิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำความผิดเนื่องในการชุมนุมกันระหว่างวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ.2535 ถึงวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ.2535

       ที่กลายเป็นตลกร้ายในการเมืองไทยคือ กฎหมายที่มุ่งจะนิรโทษกรรมความผิดจากการชุมนุมทางการเมือง 3 ฉบับ กลายเป็นว่าเป็นการ นิรโทษกรรมเจ้าหน้าที่รัฐไปพร้อมกันด้วย

      กฎหมายนิรโทษกรรมกลายเป็น “ใบอนุญาตฆ่าประชาชน” ผู้ซึ่งใช้สิทธ์ในทางการเมืองอย่างสุจริตไปโดยปริยาย


      หลังกาการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ตามมาด้วยความขัดแย้งทางการเมืองที่ยืดเยื้อมาเกือบ 7 ปี ที่มีการล้มตายของประชาชนกลางเมืองหลวง และหัวเมืองต่าง ๆ ในเหตุการณ์ เมษา-พฤษภา 2535 จนกลายมาเป็นประวัติศาสตร์บาดแผล ที่ยากที่จะสมานได้ในเร็ววัน แต่ผลพวงจากเหตุการณ์ดังกล่าว ยังปรากฏนักโทษการเมืองที่ถูกจองจำมาเป็นเวลานานนับปี อยู่หลายร้อยคน

         นี่เป็นเหตุผลที่เรามารวมตัวกัน ณ ที่นี่ เพื่อจะบอกว่า นักโทษการเมือง จะต้องหมดไปจากประเทศไทยด้วยการออกฏหมายนิรโทษกรรม

          ขณะเดียวกันการนิรโทษกรรมในปี 2556 ต้องไม่ใช้การนิรโทษกรรมเช่นในเหตุการณ์ เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516, เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519, เหตุการณ์ พฤษภาคม 2535 ที่เป็นการนิรโทษกรรมแบบ “เหมาเข่ง” ที่ผู้ก่อความรุนแรงต่อผู้ชุมนุมทางการเมืองได้รับนิรโทษรรมไปด้วย เพราะประวัติศาสตร์บอกเราชัดเจนแล้วว่า ตราบใดที่ผู้กระทำผิดไม่ถูกลงโทษ ก็จะมีความรุนแรงตามมา

อย่าให้ประวัติศาสตร์สอนเราว่า เราไม่เคยเรียนรู้อะไรจากประวัติศาสตร์ต่อไปอีกเลย
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ

26 กรกฎาคม 2556
หมายเหตุ
ขอขอบคุณธนาพล อิ๋วสกุล ที่ช่วยเหลือในการตระเตรียมข้อคิดนี้

เจ้าของรางวัลโนเบลคนแรกของไทย อาจเป็น "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"

เจ้าของรางวัลโนเบลคนแรกของไทย
อาจเป็น "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"


[IMG]


       บรรยากาศทางการเมืองไทยที่กำลังร้อนแรงอยู่ในปัจจุบัน จะเพิ่มดีกรีความเข้มข้นมากขึ้นหรือไม่ หากมีใครสักคนประกาศว่าเจ้าของรางวัลโนเบลคนแรกของประเทศไทยอาจเป็น "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นายกรัฐมนตรีคนที่ 28 ของไทย
       ความเห็นข้างต้น ดูเสมือนเป็นการสอพลอ ยกยอเกินจริง ที่บรรดาเผด็จการอำมาตย์ พรรคฝ่ายค้าน คนเสื้อเหลืองและสลิ่มทุกเฉดสี คงทนไม่ได้ต้องออกมาระเบงเซ็งแซ่ส่งเสียงสาปแช่งกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา โหมประนามหยามเหยีย "ความเป็นยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ให้ตายคาตีน ว่าคนอย่าง "อีปู" นะหรือจะได้รับรางวัลเกียรติยศระดับโลกรางวัลนี้ "อีโง่ อีปลวก อีกระหรี่ขายชาติอย่างนังนี่นะหรือ" จะได้รับรางวัลโนเบล ฝันไปหรือเปล่า หญ้าแฝกยังออกเสียงเป็นหญ้าแพรก ประเทศซีดนีย์มันมีที่ไหน ยิ่ง thank you three times ทำให้คนไทยขายหน้ากันไปทั้งสามโลก ทั้งยังแสดงความงี่เง่าอีกมากมายสุดจะบรรยาย เสื่อมเสียภาพลักษณ์หญิงไทย อับอายกันไปทั้งแผ่นดิน ยังฝันจะได้รับรางวัลโนเบล....โอ้แม่เจ้า

        จากวันที่ 16 พฤษภาคม 2554  วันที่ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรได้รับการเสนอชื่อให้อยู่ในอันดับ ของผู้สมัคร สส.ระบบบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย อันเป็นความหมายที่เข้าใจกันทางการเมืองว่าเธอคือ ว่าที่ นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทยนั่นเอง 

          เพียง 49 วันนับจากวันนั้น ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็นำพาพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งทั่วไปอย่างถล่มทลาย ผลการเลือกตั้งที่มีขึ้นเมื่อวันที่ กรกฎาคม 2554 พรรคเพื่อไทยได้ สส. จำนวน 265 ที่นั่งเกินกึ่งหนึ่งของจำนวน สส.ทั้งหมดในสภาผู้แทนราษฎร ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล

        จากวันที่ สิงหาคม 2554  วันที่ทรงลงพระปรมาภิไธยโปรดเกล้าแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 28 ของประเทศไทย แม้การสนองพระบรมราชโองการฯอย่างเป็นทางการจะมีขึ้นในอีกสามวันต่อมาในวันที่ สิงหาคม 2554 ก็ตาม

       นับถึงวันนี้ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทยมาแล้วครบ ปีเต็ม จากวันแรกที่เปิดตัวสมัคร สส. ในระบบบัญชีรายชื่อจนถึงวันแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในวันอังคารที่ 23 สิงหาคม 2554 ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ได้ประกาศย้ำจุดยืนของเธอให้คนไทยทั้งชาติและนานาประเทศ ได้รับรู้กันอีกครั้งว่าเธอมา "แก้ไข ไม่แก้แค้น"

       เสียงประกาศของเธอในวันนั้นหนักแน่นผู้ฟังสามารถสัมผัสได้ ถึงความมุ่งมั่นและความจริงใจที่หล่อหลอมอยู่ในน้ำเสียงแห่งคำประกาศนั้น การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติและการฟื้นฟูประชาธิปไตย คือนโยบายเร่งด่วนประการแรกของรัฐบาลที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประกาศก้องกลางรัฐสภาในวันนั้น

        ในวันอังคารที่ 23 สิงหาคม 2554 ที่บรรดาสมาชิกของรัฐสภาไทยต่างได้รับรู้รับฟังกันถ้วนทั่วทุกรูปนาม คำแถลงที่ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มุ่งมั่นทุ่มเทเพื่อให้เกิดความสมานฉันท์และประชาธิปไตยจากวันนั้นจนถึงวันนี้ ที่ผู้รักประชาธิปไตยและผู้รักความเป็นธรรมสามารถพิสูจน์ได้ในปัจจุบัน รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เยียวยาผู้บาดเจ็บล้มตายจากเหตุการณ์ทางการเมือง ให้กับคนไทยทุกกลุ่มทุกสีเสื้อ ย้อนหลังไปนับสิบปีไม่เว้นแม้แต่เหตุการณ์กรือเซะ ตากใบ เพื่อลบบาดแผลในใจและสมานร้อยร้าวที่เกิดจากการกระทบกระทั่งทางความคิดที่แตกต่าง เยียวยาผู้คนทุกสีเสื้อที่ได้รับความเสียหายและผลกระทบจากภัยธรรมชาติโดยไม่แบ่งเขาแบ่งเราเธอก้มหน้าทำงานเพื่อประชาชนอย่างมุ่งมั่นอดทน ไม่ตอบโต้คำให้ร้ายป้ายสีจากฝ่ายค้านและผู้เห็นต่าง เพราะเธอคือนายกรัฐมนตรีของคนไทยทั้งประเทศ ของคนไทยทุกกลุ่มและของคนไทยทุกสีเสื้อ และเธอไม่ใช่ตัวแทนของกลุ่มผลประโยชน์ใด นอกจากเป็นนายกรัฐมนตรีของคนไทยทุกคน

         สงครามและความระหองระแหงกับประเทศเพื่อนบ้านจางหายไป เมื่อยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยต่อจากรัฐบาลอำมาตย์อุ้มสมเสียงปืนสงบ ความสัมพันธ์ฉันท์มิตรกลับคืนมา ด่านชายแดนเปิดทำมาค้าขายกันคึกคักอีกครั้ง หลังจากที่ผู้คนล้มตายในสงครามระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ด่านการค้าขายชายแดนปิดตายหลายแห่งจากพม่าทางตะวันตกยันชายแดนกัมพูชาทางตะวันออก สร้างความยากลำบากให้กับประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณตะเข็บที่เชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน

         ความกังวลของประเทศสมาชิกอาเซียนต่อความมั่นคงของภูมิภาคคลี่คลายมลายไปเมื่อยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เดินสายเยี่ยมเยือนประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียนทุกชาติเรียกความเชื่อมั่นให้กับทั้งบรรดาประเทศสมาชิกอาเซียนและนานาประเทศว่าไทยจะไม่เป็นปัญหาต่อการดำรงอยู่ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจและการค้าของภูมิภาคเอเชีย

         โครงการ AECที่อาเซียน+อาเซียน+จนถึงอาเซียน+10 เป็นกังวล จะดำเนินไปอย่างราบรื่น นโยบายต่างประเทศที่ล้มเหลวในรัฐบาลก่อน ได้รับการฟื้นฟูจนเป็นที่ยอมรับของนานาอารยะประเทศ 

         เพียง ปีที่เข้ามาบริหารประเทศ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย สามารถทำให้นานาประเทศ ทั้งประเทศมหาอำนาจและประเทศน้อยใหญ่ในทุกภูมิภาคของโลก ยอมรับความเป็น "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" และพร้อมรับมิตรไมตรีที่เธอหยิบยื่นให้ในนามของประเทศไทย โดยไม่นำเอาการพูดผิดพูดถูกในการปราศรัยของเธอที่เพื่อนร่วมชาติประนามหยามเหยียดมาเป็นสาระ

         เป็นความจริงที่ไม่มีผู้นำคนใดในโลกกล้าปฏิเสธว่า ผู้ที่ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งใหญ่โตระดับผู้นำประเทศไม่เคยผ่านประสบการณ์นี้ ไม่เว้นแม้แต่ผู้ที่มีชื่อเสียงระดับโลกนับร้อยนับพันคนล้วนเคยพูดผิดพูดถูกมาด้วยกันทั้งนั้น 

         นิตยสาร FORBES จัดอันดับให้ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นผู้หญิงที่ทรงอิทธิพลอันดับที่ 31 ของโลก" โดยไม่เอาการพูดผิดพูดถูกในการปราศรัยของเธอมาเป็นมาตรฐานวัดความเป็นผู้นำคือข้อพิสูจน์ตัวตนของผู้หญิงคนนี้ ผู้หญิงที่ใช้เวลาเพียง 49 วันก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง ผู้นำของประเทศ ในฐานะนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย

         ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เดินทางไปเยือนนานาชาติกว่า 40 ประเทศในรอบ ปีและทุกแห่งที่ไปเยือน เธอได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติเทียบเท่าผู้นำประเทศชั้นนำพึงได้รับ เธอเดินบนพรมแดงเคียงข้างผู้นำประเทศทั้งเล็กและใหญ่ตรวจแถวทหารกองเกียรติยศประดุจนางพญาที่อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยอย่าง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่เคยมีโอกาสแม้แต่ครั้งเดียว

          การไปเยือนต่างประเทศของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คือการสร้างโอกาสให้ประเทศไทยยกระดับความสำคัญของนโยบายต่างประเทศที่ตกต่ำเสื่อมทรุดในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้ฟื้นคืนกลับและพัฒนาต่อยอดให้แน่นแฟ้นมั่นคงยิ่งขึ้น ทั้งด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและการค้าการลงทุน มีการลงนามความร่วมมือกับทุกประเทศที่ไปเยือน ฉบับแล้วฉบับเล่าทั้งในลักษณะของทวิภาคีและในรูปแบบของพยุหภาคี 

          ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เดินสายป่าวประกาศให้นานาประเทศได้รับรู้ว่า ไทยเป็นประเทศประชาธิปไตย ปกครองด้วยระบอบประชาธิไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เป็นประเทศที่น่าลงทุนพรั่งพร้อมด้วยวัตถุดิบ ทรัพยากรธรรมชาติและทรัพยากรบุคคลากรที่มีคุณภาพ

           ปาฐกถาอันลือลั่น ณ กรุงอูลันบาตู ประเทศมองโกเลียเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2556  คือการประกาศจุดยืนอันมั่นคงของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ต่อผู้นำของทุกประเทศที่เข้าร่วมในการประชุมของ "ประชาคมประชาธิปไตยโลก" ในครั้งนั้นว่า ประเทศไทยจะเดินอยู่บนเส้นทางประชาธิปไตยอย่างมั่นคงแม้จะมีองค์กรอิสระที่ทำงานเกินหน้าที่

          แม้รัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศยังขัดขวางการเติบโตของประชาธิปไตยก็ตาม ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังให้คำมั่นต่อที่ประชุม ว่าโศกนาฏกรรมการฆ่าหมู่ประชาชนกลางเมืองหลวงอย่างเหตุการณ์ "เมษา-พฤษภา 2553" จะไม่เกิดขึ้นอีกะหนึ่งให้คำมั่นว่าสังคมไทยจะสมานสามัคคี ให้ความเชื่อมั่นและความปลอดภัยต่อทั้งนักลงทุนและนักท่องเที่ยว

          วันที่ สิงหาคม 2556 ความเพียรพยายามเพื่อสร้างความปรองดองของคนในชาติไม่เคยหยุดนิ่ง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เสนอแนวทางเพื่อหาทางออกให้กับประเทศไทยอย่างยั่งยืนโดยเสนอให้เชิญตัวแทนจากกลุ่มบุคคลฝ่ายต่างๆ ทั้งฝ่ายรัฐบาล พรรคการเมืองนปช. พธม. นักวิชาการตลอดจน สว. องค์กรอิสระและภาคเอกชนมาเปิดเวทีเพื่อระดมความคิดร่วมกันออกแบบหาทางออกให้ประเทศที่สอดคล้องกับสภาพสังคมในขณะเดียวกันก็ให้เป็นที่ยอมรับของสังคมโลกและนานาอารยะประเทศ ปลดปล่อยประเทศไทยให้หลุดพ้นจากความขัดแย้งแตกแยกที่ร้าวลึกขึ้นทุกวัน เพื่อให้คนรุ่นลูกสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบ มีชีวิตร่วมกันในสังคมอย่างเป็นสุข

          วันที่ สิงหาคม 2556 ร่าง พรบ.นิรโทษกรรม ฉบับของ สส.วรชัยเหมะได้ถูกนำเข้าสู่การพิจารณาของสภาในวาระ จากการผลักดันของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ของสส.พรรคเพื่อไทย และจากมติของพรรคเพื่อไทย เพื่อปลดปล่อยประชาชนที่ต้องคดีและถูกคุมขังจากการประชุมทางการเมือง ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2549 ถึงวัน  10 พฤษภาคม 2554 ให้พ้นผิดและความรับผิดชอบใดๆ เพื่อความสมัครสมานของประชาชน แม้พรรคฝ่ายค้านจะมุ่งมั่นคัดค้านอย่างเอาเป็นเอาตาย ทั้งในสภาและนอกสภา ถึงขั้นก่อม็อบขู่นำกองทัพประชาชนเพื่อโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้นำรัฐบาล ก็ไม่ย่นย่อยังเดินหน้าหวังให้ ร่าง พรบ.ฉบับนี้ออกมาประกาศใช้ ความมุ่งมั่นให้เกิดความสามัคคีของคนในชาติ การเสริมสร้างสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อยุติการสู้รบ สร้างสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย การเดินทางเยี่ยมเยือนนานาประเทศเพื่อเพิ่มสัมพันธ์ทางการฑูตระหว่างประเทศทั่วทุกภูมิภาค ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรสมควรได้รับรางวัลระดับโลกรางวัลใดรางวัลหนึ่งในผลงานอันยิ่งใหญ่เหล่านี้

          ปี พ.ศ. 2534 ออง ซาน ซูจีผู้นำฝ่ายค้านของประเทศพม่าได้รับรางโนเบลสาขาสันติภาพ "สำหรับการต่อสู้ที่ไม่รุนแรงในการเรียกร้องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน"

          ปี พ.ศ. 2552 บารัค โอบามาประธานาธิบดีคนที่ 44 ของสหรัฐอเมริกาได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ "สำหรับความพยายามในการสร้างความเข้มแข็งให้กับการฑูตระหว่างประเทศและความ ร่วมมือระหว่างผู้คนทั่วโลก" จากเหตุผลที่ทำให้ ออง ซาน ซูจี และ บารัค โอบามา ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพข้างต้น "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทยจะมีสิทธิบ้างไหม"

RED USA

August 8, 2013

สุดถ่อย แมลงสาป บุญยอด



นาทีที่ 35.00 น. สส.บุญยอด สุขถิ่นไทย สส.จากพรรค ปชป.แสดงอาการควบคุมตัวเองไม่ได้ ในช่วงที่ นายวรชัย เหมมะ กำลังปราศรัย
***********

คลิป บุญยอด สุขถิ่นไทย ประท้วง ตะโกน ในสภา








osted by yakratchaprasong at 2:31 AM

ความวุ่นวายเกิดขึ้นในสภา เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่เริ่มการประชุม สภา มีการประท้วง พยายามเสนอ ยัติ อื่นขึ้นมาแทรก และ หาข้ออ้างว่า ยัตินี้ เกี่ยวข้องกับการเงิน พอ ท่านประธาน วินิจฉัย ก็มีการโห่ ตะโกน โหวกเหวก ซึ่ง นายบุญยอด สุขถิ่นไทย เป็นตัวอย่าง







"สจ.กุยบุรี" สับ "มัลลิกา" เละ! หลังโพสต์รูปนายกฯ บิดเบือน บี้ประชาธิปัตย์รับผิดชอบ

"สจ.กุยบุรี" สับ "มัลลิกา" เละ! หลังโพสต์รูปนายกฯ บิดเบือน บี้ประชาธิปัตย์รับผิดชอบ




11 สิงหาคม 2556 go6TV - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมหมาย แดงโชติ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เขตอำเภอกุยบุรี ว่าที่ผู้สมัคร สส.พรรคเพื่อไทย เขต 1 จ.ประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า จากกรณีที่ น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) โพสต์รูป น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีขณะเดินทางไปอุทยานแห่งชาติกุยบุรี จ.ประจวบฯ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ที่ผ่านมา เพื่อดูช้างป่าและฝูงกระทิงเป็นจำนวนมากที่จุดชมวิว ก่อนถ่ายภาพคู่กับป้ายอุทยานแห่งชาติกุยบุรี ไว้เป็นที่ระลึก 

โดยมีภาพปรากฎในเฟซบุ๊กของ น.ส.มัลลิกา ( Mallika Boonmeetrakool ) โดยป้ายจุดชมวิวมีคำว่า เสือ สิงห์ กระทิง และมีภาพนายกรัฐมนตรียืนข้างป้าย ซึ่งมีข้อความคลาดเคลื่อน ทำให้ชาวบ้าน อ.กุยบุรี จำนวนมากที่เดินทางไปต้อนรับนายกรัฐมนตรีไม่พอใจเป็นอย่างมาก 

นายสมหมายกล่าวต่อไปว่า การเดินทางลงพื้นที่ อ.กุยบุรีนายกรัฐมนตรีมีแนวทางในการพัฒนาพื้นที่อุทยานแห่งชาติกุยบุรี เนื่องจากมีความอุดมสมบูรณ์เป็นที่อาศัยของช้างป่าและสัตว์ป่าหายากจำนวนมาก ซึ่งที่ผ่านมาชาวบ้านกุยบุรีได้ร่วมใจกันฟื้นฟูป่ากุยบุรีตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงเหมาะสมที่จะเป็นตัวอย่างในการบริหารจัดการกับผืนป่าทั่วประเทศ 

ขณะนี้นักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติให้ความสนใจมาเที่ยวชมสัตว์ป่าในอุทยานแห่งชาติกุยบุรีที่ได้รับการขนานนามให้เป็น "ซาฟารีเมืองไทย" ดังนั้นเรื่องดังกล่าว ผู้บริหารของพรรคประชาธิปัตย์ควรจะออกมาแสดงความรับผิดชอบหลังจากรองโฆษกพรรคนำภาพไปบิดเบือนตัดต่อสื่อเชิงความหมายคลาดเคลื่อนจากข้อความที่ปรากฎในป้าย และที่ผ่านมานักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะถ่ายภาพคู่กับป้ายเพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึก หากพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยสนับสนุนแนวทางในการพัฒนาพื้นที่ในป่ากุยบุรีก็ขอร้องว่าอย่าทำลายภาพลักษณ์ของการท่องเที่ยวให้เกิดความเสียหายและนำภาพของนายกรัฐมนตรีไปบิดเบือน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สจ.กุยบุรี โวย มัลลิกา โพสต์รูปนายกฯ บิดเบือน ขณะเยือนป่ากุยบุรี เรียกร้อง ปชป.รับผิดชอบ
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1376183316&grpid&catid=01&subcatid=0100

ยุคนี้การตัดต่อภาพมันง่ายมาก อย่าหลงเชื่อนะครับ ด้วยความปรารถนาดี
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=718505351496457&set=pb.173829542630710.-2207520000.1376192537.&type=3&theater


สุดเงียบเหงา! "ม็อบตังค์ทอน" กร่อย ผู้คนผวา ไม่กล้าร่วมชุมนุม หวั่นอาหารไม่สะอาด

สุดเงียบเหงา! "ม็อบตังค์ทอน" กร่อย ผู้คนผวา ไม่กล้าร่วมชุมนุม หวั่นอาหารไม่สะอาด


            11 สิงหาคม 2556 go6TV - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจาก กลุ่มผุ้ชุมนุม "ม็อบตังค์ทอน"อ้างว่าได้ยกระดับความเข้มข้นของการชุมนุมให้มากขึ้น ปรากฏว่าบรรยากาศบริเวณสวมลุมพินีและหน้าลานพระบรมราชานุสาวรีย์ ร.6 เป็นไปด้วยความเงียบเหงา มีผู้ร่วมชุมนุมบางตาเพียง 30 คน ส่วนใหญ่เป็นการ์ดของกลุ่มผู้ชุมนุม ขณะเดียวกันทางกลุ่มผู้ชุมนุมได้มีการแจกจ่ายอาหารห่อด้วยเศษกระดาษหนังสือพิมพ์และนิตยสาร ทำให้ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตที่ทราบข่าวต่างโพสต์ข้อความแสดงความไม่พอใจเป็นจำนวนมาก เพราะเกรงว่าหากผู้ชุมนุมได้รับอันตรายจากสารตะกั่วและสารพิษของหมึกที่อาจปนเปื้อน แกนนำผู้ชุมนุมอาจจะไม่แสดงความรับผิดชอบ