วันพุธที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

พุทธไทยยิ่งกว่า “สุขนิยม"


พุทธไทยยิ่งกว่า “สุขนิยม"

 
สุรพศ ทวีศักดิ์ : พุทธไทยยิ่งกว่า “สุขนิยม” 
ในมติชน ออนไลน์ วันอาทิตย์ที่ 08 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 เวลา 12:00:00 น.


          อาจารย์ชาวต่างชาติคนหนึ่งแสดงความเห็นเกี่ยวกับบ้านเราว่า "ผมไปมาหลายประเทศ แต่ไทยเป็นประเทศที่แปลกประหลาดที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา" 
อะไรคือความแปลกประหลาดที่เขามองเห็น ผมคิดว่าหากเราพิจารณาปรากฏการณ์สำคัญๆ ที่เกิดขึ้นในบ้านเราก็จะเห็นหลายเรื่องมาก

           เช่น เรานิยมปลูกฝังความรักชาติด้วยเรื่องเล่าสร้างความเกลียดชัง ดูถูกเพื่อนบ้าน กระตุ้นสำนึกปกป้องพุทธศาสนาด้วยเรื่องเล่าถึงภัยของศาสนาอื่นๆ ปลุกเร้าความรักสถาบันกษัตริย์ด้วยวาทกรรม "ล้มเจ้า" เราเรียกรัฐประหารโดยทหารล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งว่าเป็นการ "ปฏิรูปการปกครองระบอบประชาธิปไตย" แต่กล่าวหาการแก้รัฐธรรมนูญโดยรัฐสภาว่าเป็นการ "ล้มการปกครองระบอบประชาธิปไตย" และ "ล้มเจ้า" ฯลฯ นี่เป็นเพียงบางตัวอย่างของ "มายาคติ" ที่เราสร้างขึ้น


            ความแปลกประหลาดของสังคมเรา จึงได้แก่ความเป็นสังคมที่อยู่กับ "มายาคติ" ขัดแย้ง แตกแยก และเข่นฆ่ากันครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยเรื่องราวของมายาคติต่างๆ ที่เราสร้างขึ้น โดยเฉพาะมายาคติเกี่ยวกับความรัก "ชาติ ศาสน์ กษัตริย์" อันเป็นเรื่องราวความรักที่ไม่จำเป็นต้องเคารพความจริง และสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค อำนาจของประชาชน

             มายาคติที่ครอบงำ "มโนสำนึก" และทำลาย "ความมีเหตุผล" ของสังคมอีกอย่าง คือ "มายาคติทางศาสนา" มายาคตินี้เห็นได้จากการที่ชาวพุทธบ้านเราทั้งพระและฆราวาส ต่างมองความสุขทางเนื้อหนังร่างกาย หรือวิจารณ์สุขนิยม วัตถุนิยม บริโภคนิยมด้วยท่าทีดูแคลน แล้วปากก็พร่ำสรรเสริญความมักน้อย สันโดษ เรียบง่าย พอดี พอเพียง ปล่อยวาง ฯลฯ แต่การใช้ชีวิตจริงกลับตรงข้ามกับคุณธรรมที่พร่ำสรรเสริญ


            ที่จริงแล้ว ความสุขทางเนื้อหนังร่างกาย หรือความสุขจากความมั่งคั่ง ร่ำรวย มีเกียรติยศ ชื่อเสียง ความสุขสบายพรั่งพร้อมทางวัตถุ หรือที่มักเรียกรวมๆ ว่า วัตถุนิยม บริโภคนิยมที่เราโจมตีกันนั้น ในสายตาของ "ปรัชญาศีลธรรม" (moral philosophy) ตะวันตกที่เรียกว่า "สุขนิยม" (hedonism) เขามองเรื่องการแสวงหาความสุขเหล่านี้อย่างตรงไปตรงมาว่า เป็นข้อเท็จจริงปกติที่มนุษย์ต่างก็แสวงหาความสุข เพราะการแสวงหาความสุขย่อมสอดคล้องกับธรรมชาติทางจิตวิทยาของมนุษย์ที่ "เกลียดทุกข์ต้องการสุข"

            ฉะนั้น จากข้อเท็จจริงที่ว่ามนุษย์ต่างหลีกหนีความทุกข์ ปรารถนา และแสวงหาความสุขกันทั้งนั้น เขาจึงเสนอว่า "ความสุขคือสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรแสวงหา" การกระทำที่ดี หรือการกระทำที่มีศีลธรรม คือการกระทำที่ก่อให้เกิดความสุข และ/หรือลดทอนความทุกข์ ความเจ็บปวดต่างๆ


             เราจะเห็นด้วยกับเหตุผลและข้อเสนอดังกล่าวของสุขนิยมหรือไม่ก็ตาม แต่ผมคิดว่าอย่างน้อยที่สุดพวกสุขนิยมเขา "ไม่ดัดจริต" ที่จะยืนยันว่า สิ่งที่เขาชอบและมุ่งแสวงหาคือ "สิ่งที่ดี" และควรค่าแก่การแสวงหา ต่างจากชาวพุทธในบ้านเรา ไม่ว่าพระหรือฆราวาสที่มักมีท่าทีเหยียดสุขนิยม วัตถุนิยม บริโภคนิยม ทว่ากลับเป็นคนประเภทที่ "เกลียดตัวกินไข่"

             เช่นที่วิจารณ์กันว่า ความสุขทางเนื้อหนังร่างกาย ความสะดวกสบายพรั่งพร้อมทางวัตถุ หรือมักพูดรวมๆ ว่า วัตถุนิยม บริโภคนิยมนั้น เป็นความสุขชั้นต่ำ ส่งเสริมกิเลสตัณหา ความโลภไม่รู้จักพอ เห็นแก่ตัว แก่งแย่ง เอาเปรียบ เป็นค่านิยมแบบตะวันตกทำให้คนตกเป็นทาสวัตถุ ศีลธรรมเสื่อม เครียด ขาดความสงบทางจิตใจ ฯลฯ

             แต่เมื่อนำเสนอศีลธรรมหรือ "ความดี" ทางศาสนา กลับกลายเป็นการ "โปรสุขนิยมอย่างสุดโต่ง" เช่นว่า จงสั่งสมความดีด้วยการทำบุญแล้วชีวิตจะมีความสุขความเจริญสมปรารถนาทุกอย่าง บุญเป็นชื่อของความสุข การสั่งสมบุญจะนำความสุขมาให้ ชีวิตที่ "อยู่ในบุญ" คือชีวิตที่ปราศจากทุกข์โศก โรคภัย อานุภาพแห่งบุญจะดลบันดาลให้ชีวิตเจริญด้วยรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ บริวารสมบัติ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ การบำเพ็ญบุญบารมีจะช่วยให้ตายไปแล้วเกิดในสวรรค์ พรั่งพร้อมด้วยความสุข ทรัพย์ศฤงคารทุกภพทุกชาติไป ตราบกระทั่งบรรลุพระนิพพานอันเป็น “ความสุขสูงสุด” หรือ “บรมสุข”

              บนแผงหนังสือธรรมะที่เป็นหนังสือขายดีระดับ best seller คือหนังสือที่เป็นงานเขียนของพระเซเลบริตี้ที่นิยมเสนอ “ธรรมะฮาวทู” สู่ความสำเร็จและความสุขในชีวิต บางทีก็เกาะกระแสคนดังระดับโลก เช่น บิล เกตส์ สตีฟ จ๊อบส์ หรือบุคคลที่มีชื่อเสียงในความสำเร็จทางโลก แล้วอ้างว่าคนเหล่านั้นปฏิบัติธรรมข้อไหน เจริญสติอย่างไร ราวกับว่าคนเหล่านั้นเป็น "ชาวพุทธชั้นเลิศ" ทั้งที่เขาอาจไม่เคยสนใจพุทธศาสนาเลยด้วยซ้ำ นอกนั้นก็จะเป็นหนังสือเกี่ยวกับพระเกจิอาจารย์ที่มีอภินิหารบันดาลสุข หรือหนังสือเซเลบฆราวาสประเภทเชี่ยวชาญเรื่อง "กรรม" ที่พยากรณ์กรรมเก่ากรรมใหม่ได้ทุกเรื่อง แม้กระทั่งเรื่องว่าชาติก่อนทำ "กรรมดี" อะไรมาจึงมีอานิสงส์ให้ชาตินี้มี "องคชาติขนาดพอเหมาะ" ฯลฯ

             นี่คือความเป็นจริงของพุทธไทยที่ดัดจริตรังเกียจสุขนิยม วัตถุนิยม บริโภคนิยม แต่กลับแปรเปลี่ยนความหมายของ "ธรรมะ" แห่งพุทธะให้มีค่าเป็นเพียง "เครื่องมือ" แสวงหาความสุขโลกย์ๆ แบบสุขนิยม หรืออาจพิสดารยิ่งกว่าสุขนิยมด้วยซ้ำ เพราะศีลธรรมของสุขนิยมใช้แสวงหาความสุขได้เฉพาะชาตินี้เท่านั้น แต่ศีลธรรมของพุทธไทยใช้เป็นเครื่องมือแสวงหาความสุขแม้กระทั่งให้มีชาติกำเนิดสูงศักดิ์ รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ บริวารสมบัติได้แบบข้ามภพข้ามชาตินับไม่ถ้วน


พุทธะแสดงสัจจะเพื่อให้ชาวพุทธซื่อสัตย์ต่อความจริง ไม่ใช่เพื่อสร้างมายาคติขึ้นมาครอบงำ และถูกพันธนาการด้วยมายาคติที่สร้างขึ้นนั้น

สัจจะนั้นสัมพันธ์กับเสรีภาพในความหมายว่า
          (1) เสรีภาพเป็นเงื่อนไขให้ค้นพบสัจจะ คือต้องมีเสรีภาพจากอำนาจกดขี่ บังคับ หรือพันธนาการครอบงำทางความคิดความเชื่อ จารีตต่างๆ ก่อน  มีอิสระมีความเป็นตัวของตัวเองเต็มที่ที่จะค้นหาก่อนจึงจะพบสัจจะหรือความจริง ไม่ว่าจะเป็นความจริงเกี่ยวกับปัญหาด้านในของชีวิตและปัญหาต่างๆ ทางสังคมการเมือง
          (2) เมื่อค้นพบสัจจะหรือความจริงเกี่ยวกับปัญหานั้นๆ แล้ว จึงจะแก้ปัญหาได้ หรือจึงจะมีเสรีภาพอีกแบบหนึ่ง คือความเป็นอิสระจากทุกข์หรือการบีบคั้นพันธนาการของปัญหาต่างๆ

           ฉะนั้น พุทธศาสนาจึงเป็นศาสนาแห่งการปลดปล่อยจากมายาคติทั้งปวง ธรรมะของพุทธะที่เรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา นั้น คือวิถีการฝึกฝนเพื่อให้เกิดปัญญามองเห็นมายาคติที่ครอบงำตนเองและสังคม เพื่อที่จะให้เรากล้าหาญที่จะมีชีวิตอยู่กับความเป็นจริง แก้ปัญหาชีวิตและปัญหาต่างๆ ทางสังคมบนพื้นฐานของการใช้ปัญญาเข้าใจ ยอมรับ เคารพความจริง ความถูกต้อง 


           ไม่ใช่ด้วยการสร้างมายาคติกลบเกลื่อนความจริง และบิดเบือนหลักการ เบี่ยงเบนความถูกต้องไปเสียแทบทุกอย่าง บิดเบือนหลักประชาธิปไตย นิติรัฐ นิติธรรม หลักกฎหมายรัฐธรรมนูญ ฯลฯ


            และบิดเบือนหลักศาสนารับใช้ชนชั้นปกครอง บิดเบือนธรรมะซึ่งเป็นหน้าที่ของมนุษย์ที่ต้องปฏิบัติเพื่อมีเสรีภาพจากพันธนาการภายนอกภายใน และเพื่อสันติภาพทางสังคม ให้กลายเป็นเพียง "เครื่องมือ" แสวงหาความสุขความสำเร็จแบบโลกย์ๆ เท่านั้น 
โดยละเลย "คุณค่าทางจิตวิญญาณ" และความเป็นมนุษย์ที่มีมโนสำนึกในความยุติธรรม
จนทำให้สังคมเราเป็นสังคมแปลกประหลาด เจ็บป่วยทางมโนธรรมและความมีเหตุผล ดัดจริต หลอกตัวเองไปวันๆ ดังที่เป็นกันมากในปัจจุบัน!
http://redusala.blogspot.com

ก่อแก้ว จะขอให้ตำรวจจับกุมตุลาการ ข้อหากบฏ(ถ้ายังไม่เลิกละเมิดกฎหมาย)


ก่อแก้ว จะขอให้ตำรวจจับกุมตุลาการ ข้อหากบฏ (ถ้ายังไม่เลิกละเมิดกฎหมาย)

ก่อแก้ว จะขอให้ตำรวจจับกุมตุลาการ ข้อหากบฏ(ถ้ายังไม่เลิกละเมิดกฎหมาย)


             นายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทยและแกนนำนปช. แถลงถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ในวันศุกร์ที่ 13 ก.ค.นี้ ว่า จากข้อมูลของตน เชื่อว่า คำวินิจฉัย จะไม่เลวร้ายเกินไป แต่ก็ได้เตรียมความพร้อมกรณีคำวินิจฉัยออกมาเลวร้ายที่สุด ว่า เป็นการล้มล้างการปกครอง โดยจะแนะนำให้คนที่ตนรู้จัก เบิกเงินสด ตุนน้ำ ตุนยา หยุดการลงทุน หยุดงาน บอกครอบครัวให้เตรียมรองรับสถานการณ์เพราะอาจจะเลวร้ายอย่างที่สุด ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งจากข้อมูลของตน คำวินิจฉัย น่าจะออกใน 2. แนวทาง 1.ศาลวินิจฉัยว่า ศาลมีสิทธิ์รับคำร้อง มาตรา 68 และแก้ไขทั้งฉบับไม่ได้ต้องแก้รายมาตรา 2.แก้ไขได้แต่ศาลต้องเป็นผู้ชี้ขาดว่า ล้มล้างการปกครองหรือไม่


         นายก่อแก้ว กล่าวต่อว่า หากศาลมีคำวินิจฉัยที่เลวร้ายที่สุด เหตุการณ์ที่ตามมาคือ ฝ่ายบริหารจะไม่ยอมรับคำสั่งศาล ประชาชนที่เป็นกองเชียร์รัฐบาลก็จะไม่ยอมรับ และโต้ตอบอย่างรุนแรง คือแจ้งความดำเนินคดีศาลข้อหากบฏ และขอให้ตำรวจจับกุม ถ้าตำรวจไม่จับกุม ประชาชนก็จะจับเอง ซึ่งฝ่ายอำมาตย์ก็จะจัดมวลชนมาปกป้องศาล ทำให้ประชาชนปะทะกัน และตำรวจเอาไม่อยู่ ทำให้ทหารต้องออกมาควบคุม ด้วยการยึดอำนาจ จากนั้นมวลชนก็จะต่อสู้กับทหาร ทุกรูปแบบ จนกลายเป็น สงครามกลางเมือง ซึ่งตนไม่ได้ขู่แต่เป็นการประเมินจากข้อมูลหลายส่วน หวังว่าศุกร์ 13 คงไม่เกิดเหตุสยองขวัญ


        นายก่อแก้วกล่าวต่อว่าทั้งนี้อยากขอร้องเสื้อแดงทุกคน อย่าไปอยู่ใกล้ศูนย์ราชการ โดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญ เพียงสวมเสื้อแดงอยู่บ้าน ไปทำงาน เชิงสัญลักษณ์เท่านั้น ส่วนกลุ่มที่จะมาชุมนุม บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า ก็ไม่มีปัญหา แต่คนที่อยู่ต่างจังหวัดตนก็ไม่อยากให้มา อยากให้รอหากพวกตนเป่านกหวีด ก็เตรียมเก็บกระเป๋า ร่ำลาครอบครัว เพราะถ้าคำวินิจฉัยออกมาเลวร้ายที่สุด ก็ต้องต่อสู้แตกหักอย่างเดียว แต่ตนเชื่อว่าจะไม่เกิดขึ้นแบบนั้น อย่าได้วิตก แต่ก็ให้เตรียมตัว
http://redusala.blogspot.com

แดงเชียงใหม่ ซ้อมต้านรัฐประหาร


แดงเชียงใหม่ ซ้อมต้านรัฐประหาร







แถลงการณ์ ประชาชนชาวเชียงใหม่ผู้รักประชาธิปไตย

เรื่อง การซ้อมแผนการต้านรัฐประหารที่จังหวัดเชียงใหม่



        ประเทศไทยมีการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยมากว่า 80 ปี แต่ก็มีการรัฐประหารล้มคณะรัฐบาลทั้งที่สำเร็จและเป็นกบฏมีมากว่า 24 ครั้ง และการรัฐประหารแต่ละครั้งฝ่ายผู้ก่อการ มักนำเอาผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติมากล่าวอ้างเสมอ แต่ความจริงที่ปรากฏทุกครั้งนั้น กลับเป็นผู้ก่อการและบริวารพวกพ้อง ที่กลัวสูญเสียผลประโยชน์ส่วนตน มากกว่าส่วนรวม และเมื่อทำการรัฐประหารเป็นผลสำเร็จก็ทำการกอบโกยเบียดบังเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติเอาไปเป็นสมบัติส่วนตัวแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการรัฐประหารครั้งไหนก็ตามที่ผ่านมา

        ยิ่งการรัฐประหารครั้งสุดท้ายเมื่อ วันที่ 19 กันยายน 2549 ที่มีการก่อการร้ายรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลของ นายกฯทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นรัฐบาลที่ประชาชนทั่วประเทศเลือกตั้งเข้ามา ก็มีการกล่าวอ้างถึงผลประโยชน์ของประชาชน ประเทศชาติและสถาบันฯ แต่เมื่อเวลาผ่านไปกว่า 6 ปี ข้อหาต่างๆที่นำมากล่าวอ้างนั้นกลับไม่สามารถพิสูจน์ความเป็นจริงได้ แต่ประเทศชาติกลับเกิดการสูญเสียอย่างมากมาย ทั้งทางกฎหมาย ทางเศรษฐกิจและทางสังคม ประชาชนคนไทยเกิดการแตกแยก แตกความสามัคคีอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศไทย หนำซ้ำฝ่ายที่ก่อการรัฐประหารในครั้งนั้นก็ยังไม่หยุดการทำลายประเทศชาติ ทั้งๆที่ผ่านมา 6 ปีนี้ พวกเขาล้วนแต่แพ้การตัดสินใจของประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง แต่พวกเขาก็ยังคิดการทำลายและทำร้ายต่อประเทศชาติ ขัดขวางแนวทางการสร้างชาติสร้างความปรองดองของประชาชน ทั้งบนดินและใต้ดิน ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ทั้งทางรัฐสภาและทั้งทางกฎหมาย

        บัดนี้พวกเรากลุ่มคนเสื้อแดงเชียงใหม่ได้เห็นพ้องต้องกันว่า เราจะไม่ยอมรับการกล่าวอ้างของคนบางพวกบางกลุ่มในการแก้ไขปัญหาของประเทศชาติด้วยการรัฐประหารทั้งทางการใช้กำลังอาวุธ หรือการใช้กฎหมายอย่างฉ้อฉล เพื่อโค่นล้มรัฐบาลที่ประชาชนเลือกตั้งเข้าไปบริหารประเทศชาติ เราจะปกป้องระบอบประชาธิปไตยและรัฐบาลของประชาชนอย่างถึงที่สุด

โดยมีแนวทางดังนี้

         1. เราประชาชนชาวเชียงใหม่ไม่ยอมรับการรัฐประหารทุกรูปแบบที่จะมีขึ้นในประเทศไทย
         2. ถ้ามีการรัฐประหารเกิดขึ้น ประชาชนชาวเชียงใหม่จะต่อต้านการรัฐประหารในทุกวิธีการ
         3. เราจะปกป้องคณะรัฐบาลของประชาชน โดยจัดตั้งกองบัญชาการปราบกบฏที่จังหวัดเชียงใหม่
        ทั้งนี้เราจึงเตรียมแผนการซักซ้อมประชาชนชาวเชียงใหม่ในการต่อต้านการก่อการร้ายทำรัฐประหาร ที่ถนนเข้าสู่จังหวัดเชียงใหม่ตรงแยก ดอนจั่น ในวันที่ 12 ก.ค. 2555 เวลา 10.00 – 10.05 น เป็นเวลา 5 นาที เราจึงกราบเรียนขออภัยมายังประชาชน ที่สัญจรผ่านทางในการทำกิจกรรมในครั้งนี้ และขอเรียกร้องต่อคนไทยทุกหมู่เหล่า ให้ช่วยกันปกป้องระบอบประชาธิปไตยของประชาชน อย่าให้ใครใช้ไปแอบอ้างหาผลประโยชน์เหมือนในอดีตได้อีก



โดยความเคารพ

ประชาชนชาวเชียงใหม่ผู้รักประชาธิปไตย
ศูนย์ประสานงานกลาง นปช. แดงเชียงใหม่เพื่อประชาธิปไตย
เสื้อแดงเชียงใหม่ทุกกลุ่มอำเภอ
สมาพันธ์ชาวเหนือเพื่อประชาธิปไตย
สถาบันล้านนาเพื่อประชาธิปไตย
ภาคีราษฎรล้านนา
แนวร่วมนักเรียนนิสิตนักศึกษาเสรีชนล้านนา

เครดิตภาพ คุณพรหมศักดิ์ แสงโพธิ์
http://redusala.blogspot.com

ศุกร์ 13 ..ป่วยการถามหาข้อกฏหมาย..เพราะเขายึดถือ ธงที่บงการ ไม่ใช่กฏหมาย


ศุกร์ 13 ..ป่วยการถามหาข้อกฏหมาย..เพราะเขายึดถือ ธงที่บงการ ไม่ใช่กฏหมาย



 

 สานรัดทำมะนวย ...ไม่ได้ยึดข้อ กฏหมายมาตั้งแต่ต้น รู้ดีกันอยู่แล้ว เขายึด ธง ที่บงการ ฉะนั้นป่วยการที่จะอ้าง ข้อกฏหมาย นัก กม. ระดับทั่วๆไป ที่ออกมาต้านมาค้าน กันระงม อย่าว่าแต่เข้าข่ายล้มล้างระบอบ แค่ ตลก. รับก็ไม่ถูกต้องแล้ว ด้วยเหตุผลต่างๆ แม้แต่เว็บไซต์ ของ ตลก. ก็บอกไว้อย่างนั้น

แต่ก็นั่นแหละ เขายึดธง ที่คนบงการ ไม่ได้ยึดข้อกฏหมาย

ฉะนั้นไม่ว่า ปรมาจารย์ อย่าง ดร.โภคิน และ ดร.ทางกฏหมายมหาชนหลายคนออกมาวิพากษ์ ก็ไม่เป็นผลอะไรดอก

ถามว่า ตลก. รู้ไม๊ ก็รู้ไม่แตกต่างจากนัก กฏหมายทั้งหลายที่คัดด้านนั่นแหละ ไม่ใช่ไม่รู้ข้อกฏหมาย รู้อยู่เต็มอกนั่นแหละ ว่าไม่ถูกต้อง ไม่ใช่ไม่รู้

แต่ ตลก. ไม่ตัดสินตาม กฏหมายนี่ จะเอานักกฏหมายทั้งประเทศมาค้าน ก็ไม่เป็นผลอะไร ฉะนั้นวันศุกร์ที่จะถึง ก็ตัดสินโดยไม่ได้คำนึงถึงหลักการทาง กม. อะไรทั้งนั้นแหละ ตัดสินตาม ธง ของคนที่บงการ ยกเว้น คน บงการ จะให้ลด ธง ลงมานั่นแหละ ก็อาจะผ่อนลง แต่จะผ่อนลงขนาดไหน หรือไม่ผ่อน วันศุกร์ก็รู้

เป็นธรรมดาของฝ่ายอำมาตย์ ทุกชาติในโลกนี้ ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาก็บ่งชัดอยู่แล้ว อำมาตย์มักจะยอมเดินเข้าสู่ความล่มจม และสูญสลายของของระบอบตัวเองด้วยวิธีการนี้ สร้างความ อยุติธรรม จนมวลชนต้องลุกขึ้นมา เข่นฆ่าอำมาตย์กันทั้งประเทศ เหมือน ปฏิวัติฝรั่งเศส รัสเซีย ฯลฯ

เมืองไทยของเรา ก็กำลังเดินไปสู่แนวนั้น อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

สำหรับมวลชนคนเสื้อแดง ก็เตรียมตัวไว้เถิด คงหลีกไม่พ้นที่มวลชนคนเสื้อแดงจะต้อง เดินหน้าต่อสู้และขับไล่อำมาตย์เหมือนชาติอื่นๆ ตามประวัติศาสตร์..นั่นแหละ..



http://redusala.blogspot.com

ศาลเจ้า


ศาลเจ้า
ศาลเจ้า
โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
ในมติชนสุดสัปดาห์ 
ฉบับวันศุกร์ที่ 06 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 32 ฉบับที่ 1664 หน้า 30


เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ที่ผ่านมา เพื่อฉลองวันที่ให้กำเนิดความเป็น "ชาติ" ของเราอย่างแท้จริง อย่างน้อยก็โดยหลักการ เพราะความเป็นพลเมืองซึ่งเป็นเจ้าของประเทศโดยเท่าเทียมกันได้รับการรับรองเป็นครั้งแรก อาจารย์ชาญวิทย์ เกษตรศิริ และผมได้ขึ้นเวทีอภิปรายร่วมกัน เพื่อตอบปัญหาของนักวิชาการรุ่นใหม่
มีคำถามที่ทั้งผมและอาจารย์ชาญวิทย์ไม่ได้ตอบหลายข้อ เพราะหมดเวลาลงเสียก่อน มีหลายคำถามที่ผมอยากตอบมากทีเดียว
จึงขอนำบางคำถามมาตอบในที่นี้

อาจารย์ชาญวิทย์และผมจะถูกถามว่า "การที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินเกินขอบเขตอำนาจศาลนั้น เป็นเพราะสังคมเห็นว่าศาลเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นมรดกของยุคเก่าใช่หรือไม่"

หากผมมีโอกาสได้ตอบ ผมก็จะตอบว่า ไม่ใช่
ตรงกันข้ามกับที่เข้าใจกันทั่วไป "ศาล" หรือ "ตุลาการ" ในสมัยโบราณ (ก่อนการปฏิรูปของ ร.5) เป็นที่ดูถูกเหยียดหยามของคนทุกชนชั้น สุนทรภู่เปรียบตุลาการเหมือนเหยี่ยว บินอยู่สูงคอยจ้องหาเหยื่อและอาหารของชาวบ้าน แล้วก็ถลามาโฉบเอาไปอย่างหน้าด้านๆ

ตุลาการและ "ผู้ปรับ" (ผู้พิพากษา) นั้น เป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายบริหาร เหมือนรัฐโบราณโดยทั่วไป การตัดสินคดีพิพาทคือส่วนสำคัญที่แยกไม่ออกจากการบริหารบ้านเมือง ฉะนั้น ในหัวเมืองทั้งหมด ผู้พิพากษาคือเจ้าเมืองซึ่งจะพลิกกฎหมายลงโทษผู้ที่ตุลาการชี้ว่าผิด ส่วนคณะตุลาการคือตำแหน่งราชการฝ่ายบริหาร ซึ่งมีกฎหมายกำหนดไว้ชัดเจนว่า ใครเป็นบ้าง เช่นในหัวเมืองก็มักจะเป็นกรมการเมือง

คนเหล่านี้ไม่มีเงินเดือน บางคนในกลุ่มคนเหล่านี้อาจได้รับ "เบี้ยหวัด" เป็นรายปี ซึ่งก็มีจำนวนน้อยเกินกว่าจะเลี้ยงชีพได้จริง รายได้ของเขาจึงมาจากการ "ทำราชการ" ซึ่งมีส่วนแบ่งผลประโยชน์ ทั้งถูกกฎหมายและไม่ถูกกฎหมายหลายอย่าง นับตั้งแต่มีแรงงานไพร่ไว้ใช้ฟรี ไปจนถึงเก็บเบี้ยบ้ายรายทางกับราษฎรในเรื่องจิปาถะ งานพิจารณาพิพากษาอรรถคดีก็เป็นแหล่งรายได้อย่างหนึ่ง
รายได้ชนิดที่ถูกกฎหมายก็คือ ได้ส่วนแบ่งเงินค่าปรับและค่าพิจารณาคดีจากคู่ความ แต่รายได้หลักมาจากส่วนที่ไม่ถูกกฎหมาย คือเรียกรับสินบนจากคู่ความ

หนทางที่จะใช้บริการของกระบวนการยุติธรรมที่เหมือนเหยี่ยวนี้ ก็ไม่ได้เปิดกว้างแก่ทุกคนโดยเท่าเทียมกัน ทาสจะฟ้องร้องได้ต้องได้รับอนุญาตจากนายเงิน ไพร่จะฟ้องร้องคดีได้ก็ต้องได้รับอนุญาตจากมูลนายเหมือนกัน
เจตนาเดิมคงไม่ใช่เพื่อกดขี่ไพร่-ทาส แต่เพราะไม่ได้แยกหน้าที่การระงับข้อพิพาทออกไปจากการบริหารกำลังคน นายเงินและมูลนายคือผู้บริหารกำลังคนนั่นเอง จึงมีหน้าที่ตัดสินคดีพิพาทของคนในสังกัดด้วย จะโดยไกล่เกลี่ยหรือกระทืบสั่งสอน หรืออนุญาตให้นำเรื่องขึ้นศาลก็ตาม

"ศาล" โบราณไม่เคยศักดิ์สิทธิ์เป็นที่นับถือของใคร ความศักดิ์สิทธิ์เพิ่งถูกสร้างขึ้นในภายหลัง และยังพยายามสร้างสืบมาจนถึงทุกวันนี้ โดยกลุ่มคนที่เป็นตุลาการ ซึ่งเป็นคนกลุ่มใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นหลังการปฏิรูปสู่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของ ร.5 เช่นเดียวกันกับ "ข้าราชการ" สายอื่นๆ ซึ่งพยายามสถาปนา "ความศักดิ์สิทธิ์" ของตนขึ้นเหมือนกัน แต่ทำได้ไม่สำเร็จเท่ากับสายตุลาการ

ผมจะขอพูดถึงเฉพาะความศักดิ์สิทธิ์ของพนักงานสายตุลาการเท่านั้น ว่าเกิดขึ้น และสั่งสมกันมาอย่างไร

ขอให้สังเกตนะครับว่า โดยทฤษฎีแล้ว ทั้งตุลาการและ "ผู้ปรับ" (ผู้พิพากษา) ในสมัยโบราณ ล้วนเป็นคนของพระเจ้าแผ่นดิน ก็ทรงแต่งตั้งเจ้าเมืองเอง หรืออนุมัติตำแหน่งกรมการเมืองต่างๆ เป็นอย่างน้อย ระเบียบปฏิบัติในการอุทธรณ์ฎีกา คือการนำเรื่องขึ้นสู่พระเนตรพระกรรณโดยตรงมากขึ้นตามลำดับ สรุปก็คือพระเจ้าแผ่นดินเป็นองค์ประธานสูงสุดของกระบวนการยุติธรรม

แต่โดยทางปฏิบัติแล้ว มิได้มีพระราชอำนาจที่จะแต่งตั้งคนที่ไว้วางพระทัยไปได้ทั้งหมด ต้องทรงประนีประนอมกับอำนาจท้องถิ่นซึ่งมีอยู่หลากหลายและชุกชุม โดยตั้งขึ้นให้ดำรงตำแหน่งราชการ

การปฏิรูปไปสู่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ คือการรวบอำนาจทั้งหมดในราชอาณาจักรไว้ใต้ราชบัลลังก์ การปฏิรูประบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมในสมัยนั้น กับโลกภายนอกคือทำให้ฝรั่งยอมรับ กับโลกภายในคือการทำลายอำนาจอื่นๆ ที่มีอยู่มาก่อนให้หมดไป หรือดึงมาอยู่ใต้การบังคับควบคุมของพระเจ้าแผ่นดินแต่ผู้เดียว

เมื่อทำให้การบริหารราชการฝ่ายทหารและพลเรือนอยู่ภายใต้การบังคับควบคุมของราชบัลลังก์ ราชการฝ่ายตุลาการก็ต้องปฏิรูปเพื่อจุดมุ่งหมายอย่างเดียวกัน อย่าลืมว่าในคติแบบเก่า ฝ่ายตุลาการเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจบริหาร ตุลาการคือคนของพระเจ้าแผ่นดิน ที่โปรดให้มาทำหน้าที่แทนเท่านั้น

การปฏิรูประบบกฎหมายและการยุติธรรมใน ร.5 ไม่ได้แตะต้องหลักการข้อนี้ ตุลาการซึ่งบัดนี้ไม่ได้อยู่ในราชการปกครองอีกแล้ว แยกมาเป็นกระทรวงต่างหาก ได้รับการศึกษาอบรมมาเฉพาะสำหรับทำหน้าที่ของตน แต่ก็ยังเป็น "ข้าราชการ" เหมือนเดิม คือทำงานแทนพระเจ้าแผ่นดินในการบริหารความยุติธรรม ไม่ต่างจาก "ข้าหลวง" ที่ไปว่าราชการตามหัวเมือง
ระบบราชการทั้งระบบผูกติดอยู่กับพระราชอำนาจ เพราะอำนาจในการปฏิบัติงานของข้าราชการแต่ละคน ล้วนมาจากการแต่งตั้งของพระราชอำนาจทั้งสิ้น ในแง่นี้จะสร้างความศักดิ์สิทธิ์ให้ตำแหน่งราชการได้ทุกตำแหน่ง

ในสมัย ร.5 เคยมีข้อขัดแย้งระหว่างผู้นำฝ่ายตุลาการกับฝ่ายบริหารว่า ฝ่ายตุลาการควรเป็นอิสระจากฝ่ายบริหาร แต่ ร.5 ก็ทรงชี้แจงแสดงเหตุผลให้เห็นว่า ยังไม่เหมาะที่ฝ่ายตุลาการจะเป็นอิสระเช่นนั้น ในที่สุดฝ่ายตุลาการก็ยอม และคงเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายบริหารสืบมา
ในฐานะส่วนหนึ่งของฝ่ายบริหารในรัฐสมบูรณาญาสิทธิ์ ตุลาการไทยย่อมยืนอยู่ข้างเดียวกับรัฐเสมอ วิธีคิดเช่นนี้แฝงอยู่ในการทำหน้าที่ของตุลาการ ไล่ไปได้จนถึงการเรียนกฎหมาย คือจะรักษาอำนาจของรัฐ-ไม่ว่าจะเป็นรัฐสมบูรณาญาสิทธิ์หรือรัฐประชาธิปไตย-ไว้ได้อย่างไร คำพิพากษาของศาลไทยจึงไม่ค่อยมีส่วนในการพัฒนาสิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่มักยืนยันจะรักษาอำนาจรัฐไว้เหนือสิทธิเสรีภาพ (แม้แต่ตามรัฐธรรมนูญ) ของประชาชนเสมอ

ลองย้อนกลับไปคิดถึงความก้าวหน้าด้านประชาธิปไตยในประเทศตะวันตกหลายประเทศดูเถิดครับ ว่าเกี่ยวพันกับคำพิพากษาของศาลอย่างไร ... สิทธิเสมอภาคของคนผิวดำในสหรัฐ, สิทธิเสรีภาพในชีวิตส่วนตัวในยุโรปและอเมริกา, สิทธิเสรีภาพการประท้วงรัฐ, สิทธิในการเข้าถึงการศึกษา, ฯลฯ ส่วนสำคัญของความก้าวหน้าในเรื่องเหล่านี้มาจากคำพิพากษาของศาลสูง
จะอ้างว่าเพราะเขาใช้ระบบกฎหมายแบบ common law จึงทำให้เกิดขึ้นได้ ก็ไม่จริง เพราะหลายประเทศเช่นฝรั่งเศสก็ใช้ระบบกฎหมายแบบเดียวกับเรา และเอาเข้าจริงระบบกฎหมายทั้งสองก็ไม่ได้ต่างกันมากเหมือนที่สอนนักเรียนกฎหมายปี 1 ซ้ำนับวันมันก็ยิ่งเหลื่อมเข้าหากันทุกที

หลังวันที่ 24 มิถุนายน 2475 อำนาจอธิปไตยกลายเป็นของปวงชนชาวไทย และผู้ถืออำนาจนี้กลายเป็นนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งหรือมาจากปลายกระบอกปืน นับจากนั้นมาฝ่ายตุลาการก็พยายามแสวงหาอิสรภาพจากฝ่ายบริหาร (และในที่สุดก็ประสบความสำเร็จ) ฝ่ายตุลาการจึงเป็นฝ่ายเดียวที่สามารถรักษาความ "ศักดิ์สิทธิ์" ของตำแหน่งเอาไว้ได้

แต่ความศักดิ์สิทธิ์ของฝ่ายตุลาการ เป็นความศักดิ์สิทธิ์ที่ผูกไว้กับสถาบันพระมหากษัตริย์เหมือนกับสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ จึงเป็นความศักดิ์สิทธิ์ที่คลุมเครือในระบอบประชาธิปไตย เพราะพระมหากษัตริย์ที่เป็นฐานของความศักดิ์สิทธิ์นั้น คือพระมหากษัตริย์ในระบอบอื่น ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย

ศาลมักอ้างเสมอว่า พิจารณาพิพากษาคดี "ในพระปรมาภิไธย" ซึ่งแปลว่าอะไรไม่ชัดนักระหว่างผู้พิพากษาเป็นเพียง "ข้าหลวง" ที่โปรดให้มาทำหน้าที่แทน หรือพระปรมาภิไธยในฐานะที่เป็นตัวแทนของอำนาจอธิปไตยของปวงชน พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ "The People" ในศาลอเมริกัน หรือ "The Crown" ในศาลอังกฤษ

เช่นเดียวกับพระบรมฉายาลักษณ์ที่ติดไว้ในห้องพิจารณาคดีของศาลทุกแห่ง หมายถึง องค์พระมหากษัตริย์ หรือ บุคลาธิษฐานของอำนาจอธิปไตยซึ่งเป็นของปวงชนชาวไทย
ความคลุมเครือเช่นนี้ลามไปถึงการแต่งกาย, ท่านั่ง, หรือคำพูดของผู้เข้าฟังหรือร่วมในการพิจารณาคดีด้วย เช่น ห้ามแต่งกาย "ไม่เรียบร้อย", ห้ามนั่งไขว่ห้าง, ฯลฯ ทำให้ไม่ชัดนักว่าผู้เข้าฟังหรือร่วมในการพิจารณาคดี กำลัง "เข้าเฝ้า" หรือเพียงแต่อยู่ในห้องพิจารณาคดีของศาลในประเทศประชาธิปไตยกันแน่

"หมิ่นศาล" หมายถึงอะไรกันแน่ ระหว่างการหมิ่น "ข้า-หลวง" ซึ่งกำลังทำหน้าที่แทนพระเจ้าแผ่นดิน หรือ "ศาล" ในความหมายถึงกระบวนการพิจารณาคดี ที่หากไปขัดขวางด้วยประการต่างๆ ย่อมถือว่า "หมิ่น" เพราะทำให้กระบวนการดังกล่าวไม่อาจดำเนินไปอย่างเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายได้

ความคลุมเครือนั้นเป็นจราจรสองทางครับ นอกจากทำให้ฝ่ายหนึ่งงงแล้ว ก็ยังทำให้ตัวเองงงด้วย อำนาจวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ หรือศาลอะไรก็ตามแต่ ในระบอบประชาธิปไตย ย่อมตั้งอยู่บนกฎหมายอย่างเคร่งครัด ไม่มากและไม่น้อยไปกว่าที่กฎหมายกำหนด
แตกต่างจากรับสั่งของพระเจ้าแผ่นดินซึ่ง "ข้าหลวง" ต้องตีความเอาเองว่า ทรงมุ่งประสงค์สิ่งใดกันแน่ แล้วก็ปฏิบัติให้ต้องตามพระราชประสงค์


ความ "ศักดิ์สิทธิ์" ของศาลเพิ่งสร้างขึ้นไม่นานมานี้เอง หาได้เป็นมรดกตกทอดมาจากยุคโบราณไม่

แต่ความศักดิ์สิทธิ์นี้ถูกสร้างขึ้นไม่ใช่เพื่อบรรลุเป้าหมายในการทำหน้าที่ของตนตามระบอบประชาธิปไตย

แต่สร้างขึ้นเพื่อทำให้พ้นจากการถูกตรวจสอบ จึงเอาไปผูกไว้กับสถาบันพระมหากษัตริย์
ซึ่งย่อมอยู่พ้นไปจากการถูกตรวจสอบเช่นกัน
http://redusala.blogspot.com