หม่อมหลวงชโยทิต กฤดากร หนึ่งในเส้นทางขายหุ้นชินคอร์ป | |
หม่อมหลวงชโยทิต กฤดากร ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัดในปี 2549 ในฐานะตัวแทนบริษัทซีดาร์ โฮลดิ้งส์ จำกัด และ บริษัทแอสเพน โฮลดิ้งส์ จำกัด ได้รายงาน (14 มีนาคม 2549) ผลการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ (เทนเดอร์ออฟเฟอร์) บริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในราคาหุ้นละ 49.25 บาท ตั้งแต่วันที่ 2 ก.พ.-9 มี.ค.49 ปรากฏว่า มีผู้แสดงเจตนาขาย 46.91% ของจำนวนหุ้นที่ทำคำเสนอซื้อทั้งหมด 50.01% ทำให้ภายหลังจากการเสนอขายครั้งนี้แล้ว ซีดาร์ โฮลดิ้งส ถือหุ้นชิน คอร์ป 1,571 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 51.98% และบริษัท แอสเพน โฮลดิ้งส์ ถือหุ้นชิน คอร์ป 1,334 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 44.14% รวมทั้ง 2 บริษัทถือหุ้นชิน คอร์ป อยู่ 2,905 ล้านหุ้น หรือ 96.12% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ส่วนใบสำคัญแสดงสิทธิ์ที่จะซื้อหุ้นสามัญของชินคอร์ป (SHIN-W1) มีผู้แสดงเจตจำนงขาย 159,121,700 หน่วย หรือ 5.26% จากจำนวนที่เสนอซื้อ 159,416,441 หน่วย หรือ 5.27% ซึ่งหากซีดาร์ และแอสเพน ใช้สิทธิ์แปลงสภาพ จะมีจำนวนหุ้นสามัญเพิ่มขึ้นจาก 2,905 ล้านหุ้น เป็น 3,064 ล้านหุ้น หรือ 96.31% ทั้งนี้มีรายงานผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกของปี 2550 ของ บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด พบว่า มีกำไรสุทธิ 193.09 ล้านบาท ลดลงจาก 6 เดือนแรกของปี 2549 ที่มีกำไรสุทธิ 500.06 ล้านบาท ส่วนผลการดำเนินงานงวดปี 2549 ซึ่งเป็นปีที่ บล.ไทยพาณิชย์ ทำดีลบิ๊กล็อตหุ้นชินคอร์ป พบว่ามีกำไรสุทธิ 596.13 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2548 ที่มีกำไร 388.90 ล้านบาท ขณะที่ด้านส่วนแบ่งตลาดนายหน้าซื้อขายหุ้น พบว่า ปี 2548 บล.ไทยพาณิชย์มีมาร์เก็ตแชร์ 5% เพิ่มขึ้นเป็น 6.41% ในปี 2549 แต่ลดลงเหลือ 5.10% ในปี 2550 และล่าสุดช่วงไตรมาสแรกของปี 2551 มีมาร์เก็ตแชร์ 4.91% หม่อมหลวงชโยทิตสมรสกับ มนทกานติ์ กฤดากร (ปราโมช) บุตรสาวของ หม่อมหลวงอัศนี ปราโมช องคมนตรี และท่านผู้หญิงวราพร ปราโมช ณ อยุธยา มีบุตรชาย 1 คนคือ ปิยกร กฤดากร ณ อยุธยา หม่อมหลวงชโยทิต เป็น 1 ใน 17 พระประยูรญาติผู้อัญเชิญเครื่องราชอิสริยาภรณ์ และเครื่องพระอิสริยยศ ประกอบริ้วขบวนเชิญพระโกศ ในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ โดยรับหน้าที่อัญเชิญพระสุพรรณีศรีทองคำลงยา เป็นเครื่องราชูปโภคสำหรับสมเด็จเจ้าฟ้า สร้างขึ้นมาตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หม่อมหลวงชโยทิต กฤดากร เป็นบุตรของหม่อมราชวงศ์ยงสวาสดิ์ กฤดากร อดีตรองผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โอรสของ หม่อมเจ้าเสริมสวาสดิ์ กฤดากร (พระโอรสองค์ใหญ่ใน พระบรมวงศ์ เธอพระองค์เจ้ากฤษดาภินิหาร กรมพระนเรศวรฤทธิ์ กับ หม่อมเจิม) กับ หม่อมหลวงแส กฤดากร (สกุลเดิม สนิทวงศ์ โดยมีศักดิ์เป็นพี่ของ หม่อมหลวงบัว กิติยากร พระราชชนนีในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ) พระบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้ากฤษดาภินิหาร กรมพระนเรศวรฤทธิ์ ต้นราชสกุล "กฤดากร" ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 17 ใน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่ หัว ประสูติแด่เจ้าจอมมารดากลิ่น หรือ ส้อนกลิ่น หรือ ซ่อนกลิ่น ธิดา พระยาดำรงค์ราชพลขันธ์ (จุ้ย คชเสนี) หลานปู่ของ เจ้าพระยามหาโยธา (ทอเรีย) ทรงว่าราชการกรมพระนครบาล ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะนั้นเรียกชื่อว่า "คอมมิตตี กรมพระนครบาล" ต่อมาได้พัฒนามาเป็นกิจการตำรวจไทย นอกเหนือจากหม่อมเจิมแล้ว พระบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้ากฤษดาภินิหารยังมีพระโอรส-ธิดากับหม่อมสุภาพ 7 องค์ พระโอรสองค์ที่ 2 คือ พลเอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช และพระโอรสองค์ที่ 4 คือ หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร และพระโอรส-ธิดากับหม่อมแช่ม 4 องค์ พระธิดาองค์สุดท้องคือ หม่อมเจ้าหญิงลีลาศหงษ์ กฤดากร เษกสมรสกับหม่อมเจ้าปรีดิเทพย์พงษ์ เทวกุล ซึ่งทรงมีหม่อมอีกหนึ่งคน คือ หม่อมแตงไทย เดชผล และมีโอรส คือ หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล หรือ "หม่อมอุ๋ย" (อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาล พล.อ.สุ รยุทธ์ จุลานนท์ ซึ่งมาด้วยการรัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ต่อมาได้ยื่นใบลาออกเนื่องจากไม่พอใจที่ต้องร่วมงานกับ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ หนึ่งในคณะรัฐมนตรีร่วมรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธรมีบุตรชายซึ่งเป็นที่รู้จักของสังคม คือ หม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ เทวกุล หรือ "คุณปลื้ม" หม่อมราชวงศ์ยงสวาสดิ์ สมรสกับ ท่านผู้หญิงวิยะฎา กฤดากร ณ อยุธยา นางสนองพระโอษฐ์ในสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ เฮลิคอปเตอร์ผู้ตามเสด็จตก ที่จังหวัดนราธิวาส เมื่อปี พ.ศ. 2541 มีบุตรธิดาคือหม่อมหลวงปิยาภัสร์ ภิรมย์ภักดี และ หม่อมหลวงชโยทิต กฤดากร ม.ร.ว.ยงสวาสดิ์ ถึงแก่อนิจกรรมด้วยโรคหัวใจวายเฉียบพลัน เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 สิริรวมอายุ 82 ปี บุตรีของม.ร.ว.ยงสวาสดิ์กับท่านผู้หญิงวิยะฎา คือ หม่อมหลวงปิยาภัสร์ กฤดากร สมรสกับ นายจุตินันท์ ภิรมย์ภักดีทายาทของนายจำนงค์ ภิรมย์ภักดี และคุณหญิงสุภัจฉรี ภิรมย์ภักดี มีบุตร 3 คนคือ จิตภัสร์ นันทญา และณัยณัพ ม.ล.ปิยาภัสร์ เป็นที่รู้จักโดยทั่วไปจากการรับบทเป็น "สมเด็จพระสุริโยทัย" ในภาพยนตร์ "สุริโยไท" ของ หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล ในชีวิตจริงหลังการเสียชีวิตของท่านผู้หญิงวิยะฎาผู้เป็นมารดา จึงเข้าถวายงานบางส่วนในสมเด็จพระบรมราชินีนาถ พิมพ์ครั้งแรกในคอลัมน์ "คือใครในแผ่นดิน" นิตยสาร THAIFREEDOM ฉบับที่ 3, มีนาคม 2553 | |
http://redusala.blogspot.com |
ดาวน์โหลดคลิ๊ปคนเสื้อแดง
วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2554
ปูมชีวิต อานันท์ ปันยารชุน นายกรัฐมนตรี "ผู้ดีรัตนโกสินทร์" | |
สังเขปครอบครัว นายอานันท์ ปันยารชุน เกิดเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2475 เป็นบุตรคนสุดท้องในจำนวน 12 คนของ มหาอำมาตย์ตรี พระยาปรีชานุสาสน์ (เสริญ ปันยารชุน) และ คุณหญิงปรีชานุสาสน์ (ปฤกษ์ โชติกเสถียร) นายอานันท์สมรสกับหม่อมราชวงศ์สดศรีสุริยา จักรพันธุ์ ธิดาหม่อมเจ้าคัสตาวัส จักรพันธุ์ (พลโท หม่อมเจ้าคัสตาวัส จักรพันธุ์ ทรงเป็นโอรสในพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นอนุวัตรจาตุรนต์ กับ หม่อมหวน จักรพันธุ์ ณ อยุธยา) มีธิดา 2 คนคือนางนันดา ไกรฤกษ์ (สมรสกับ ไกรทิพย์ ไกรฤกษ์) และนางดารณี เจริญรัชตภาคย์ (สมรสกับ ชัชวิน เจริญรัชตภาคย์) ประวัติฝ่ายพ่อ มหาอำมาตย์ตรี พระยาปรีชานุสาสน์ มีนามเดิมว่า เสริญ ปันยารชุน เป็นบุตรของ พระยาเทพประชุน (ปั้น) และคุณหญิงจัน เกิดเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2433 ณ บ้านคลองบางหลวง จังหวัดธนบุรี ได้รับการศึกษาอย่างดีแต่วัยเด็ก จากโรงเรียนอัสสัมชัญ โรงเรียนสวนกุหลาบ โรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ สอบได้ทุนเล่าเรียนหลวงของกระทรวงศึกษาธิการ จึงได้ไปศึกษาต่อ ณ มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ เมื่ออายุเพียง19 ปี เมื่อปี 2452 ในวิชาครูคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ สอบได้คะแนนดีเยี่ยม จนได้รับรางวัลพิเศษ คือเหรียญรัชมังคลาภิเษกจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ กลับมารับราชการในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นครูอยู่หลายโรงเรียน อาทิ เทพศิรินทร์ สวนกุหลาบ มหาดเล็กหลวง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้บังคับการโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย ตำแหน่งสุดท้ายคือ ปลัดทูลฉลอง กระทรวงศึกษาธิการ เมื่อปี พ.ศ.2476 ขณะมีอายุเพียง 43 ปี เป็นปลัดกระทรวงอยู่เพียงปีเดียวก็ลาออก ขอรับบำนาญ เพื่อไปประกอบอาชีพส่วนตัว คือธุรกิจด้านหนังสือพิมพ์ จากนั้น ได้ก่อตั้ง บริษัทสยามพาณิชยการ (ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัทไทยพาณิชยการ) ขึ้นเมื่อปี 2478 นอกจากรับจ้างงานพิมพ์ทั่วๆไปแล้ว ยังออกหนังสือพิมพ์ทั้งรายวันและรายสัปดาห์ครบทั้ง 3 ภาษา คือ สยามนิกร และ สุภาพสตรีในภาษาไทย, ไทยฮั้วเซี่ยงป่อ ในภาษาจีน, และ บางกอกโครนิเกิล ในภาษาอังกฤษ ฯลฯ ทังนี้ถือเป็นแหล่วงรวมนักหนังสือพิมพ์สำคัญในยุคนั้น อาทิ เฉลิม วุฒิโฆษิต สมญานาม "บรรณาธิการมืออาชีพ", โชติ แพร่พันธุ์ เจ้าของนามปากกา "ยาขอบ", มาลัย ชูพินิจ เจ้าของนามปากกา "น้อย อินทนนท์" "แม่อนงค์" และ "เรียมเอง" และ สุภา ศิริมานนท์ ปูชีนยบุคคลและนักหนังสือพิมพ์ฝ่ายประชาธิปไตยคนสำคัญ เป็นต้น ร่วมกับเพื่อนๆนักหนังสือพิมพ์ก่อตั้งสมาคมหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยขึ้น เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2484 โดยรับตำแหน่งเป็นนายกสมาคมคนแรก และเป็นติดต่อกันมา 2 สมัย ถึงปี 2485 พร้อมกับการวางมือด้านกิจการหนังสือพิมพ์โดยโอนบริษัทไทยพาณิชยการ ให้ นายอารีย์ ลีวีระ (ต่อมาเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ สยามนิกร และ พิมพ์ไทย ซึ่งหลังจากถูกปล่อยตัวในคราว กบฏสันติภาพ 10 พฤศจิกายน 2495 เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ก็ได้เข้าพิธีมงคลสมรสกับ นางสาวกานดา บุญรัตน์ เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ และเดินทางไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ที่ชายทะเลบ้านหนองแก อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ถูกยิงเสียชีวิตที่เรือนพัก โดยตำรวจยศสิบตำรวจโทและพลตำรวจอีก 4 นาย จากกองกำกับการจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งอ้างคำสั่งของ พ.ต.ท.ศิริชัย กระจ่างวงศ์ หนึ่งในนายตำรวจอัศวินแหวนเพชร ลูกน้องของ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์) ดำเนินการสืบแทน ต่อมาโดยท่านหันไปประกอบอาชีพด้านธุรกิจท่องเที่ยวแทน พระยาปรีชานุสาส์น ถึงแก่อนิจกรรม เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2517 สิริอายุได้ 85 ปี สาแหรกข้างแม่ พระยาโชฎึกราชเศรษฐี (เถียน) บุตรจีนจือ ในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้ถวายตัวอยู่ในกรมสมเด็จพระเทพศิรินนทรามาตย์ ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นที่ขุนสมุทรโคจร ในกรมท่าซ้าย และเป็นหลวงภาษีวิเศษในปี 2402 ตำแหน่งเจ้าภาษีนายอากรอยู่ในกรมท่าซ้าย ต่อมาในสมัยรัชการที่ 5 ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรครั้งแรกเป็นพระพิบูลย์พัฒนากรในปี 2411 และเป็นพระยานรนาถภัคดีศรีรัชฎากรในปี 2416 ช่วยราชการคลังในหอรัษฎากรพิพัฒน์ด้านภาษีอากร และเงินรายได้ของแผ่นดิน เมื่อ ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) ได้เป็นจางวางกรมสรรพภาษี กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ได้เป็นองคมนตรีที่ปรึกษาราชการในพระองค์ เป็นผู้ทำน้ำประปาจำหน่ายเป็นครั้งแรกในสำเพ็ง โดยสูบน้ำขึ้นถังแล้วต่อท่อไปตามบ้าน พระยาทิพย์โกษา (โต โชติกเสถียร) เป็นบุตรชายคนโตของพระยาโชฎึกราชเศรษฐี (เถียน) เคยรับราชการทางฝ่ายปกครองมาแล้ว ในหัวเมืองสังกัดกรมท่า เป็นผู้ว่าราชการเมืองนครชัยศรี (นครปฐม) มีบรรดาศักดิ์เป็นพระยาสุนทรบุรีศรีพิไชยสงคราม ต่อมาถึงปี 2434 ได้โอนมารับราชการในกรมท่าถลาง และเปลี่ยนราชทินนามใหม่เป็นพระยาทิพย์โกษา เป็นผู้ชำนาญการภาษีอากร ซึ่งเป็นตำแหน่งลอยๆ ในปีเดียวกันนั่นเอง ก็ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้กำกับข้าหลวงใหญ่หัวเมืองฝ่ายทะเลตะวันตก มีอำนาจมากกว่าข้าหลวงใหญ่และข้าหลวงทั้งหมด ในฐานะข้าหลวงใหญ่มณฑลภูเก็ตคนแรก พระยาทิพย์โกษาได้กลายเป็นผู้ริเริ่มจัดตั้งมณฑลภูเก็ต ตั้งแต่การแบ่งเขตการปกครองเมืองต่างๆออกเป็นอำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน การจัดตั้งคณะผู้บริหารมณฑลขึ้นมาเรียกว่า กองมณฑล ซึ่งประกอบด้วย ข้าหลวงใหญ่ และข้าหลวงฝ่ายต่างๆ ของเมืองต่างๆ พระยาทิพโกษา (โต) สมรสกับ คุณหญิงกุหลาบ โชติกเสถียร มีบุตรธิดาดังนี้ 1.พระยาพิพิธภัณฑ์วิจารณ์ 2.พระยาสรรพกิจปรีชา (ชื่น โชติกเสถียร) ถวายตัวเป็นมหาดเล็กหลวง แล้วไปศึกษา ณ ประเทศอังกฤษ สอบไล่ได้ชั้นเนติบัณฑิต กลับมารับราชการ ประจำในกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ในตำแหน่งเลขาธิการเสนาบดีผู้ช่วยที่ปรึกษาราชการกระทรวง มีหน้าที่เกี่ยวกับภาษาต่างประเทศเป็นพื้น ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ไปรับราชการประจำในกระทรวงการต่างประเทศ ภริยาคนแรก คุณหญิงฉลวย สรรพกิจปรีชา ธิดาคนที่ 4 คือ นางสิริ ภรรยานายพจน์ สารสิน ฯลฯ 6.คุณหญิงปฤกษ ปรีชานุสาสน์ ต.จ. ฯลฯ สาแหรกข้างเมีย พันเอก พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าออศคาร์นุทิศ กรมหมื่นอนุวัตรจาตุรนต์ (2 ธันวาคม 2426 - 12 สิงหาคม 2478) อดีตประธานคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล เป็นพระโอรสในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงษ์ ประสูติแต่ หม่อมราชวงศ์สว่าง จักรพันธุ์ (ศิริวงศ์) พระนามเดิมว่า หม่อมเจ้าออศคาร์นุทิศ เป็นพระนามพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตามพระนามของสมเด็จพระราชาธิบดีออศคาร์ที่ 2 แห่งสวีเดนและนอร์เวย์ เพื่อเป็นที่ระลึกในเหตุการณ์ที่ เจ้าชายออสคาร์แบร์นาด็อต พระราชโอรสในสมเด็จพระราชาธิบดีออศคาร์ที่ 2 เสด็จฯ เยือนประเทศไทยในปี พ.ศ. 2427 ซึ่งสมเด็จเจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมีฯ ได้ถวายการรับเสด็จ พระองค์เจ้าออศคาร์นุทิศ ทรงเสกสมรสกับ หม่อมจำรัส จักรพันธุ์ ณ อยุธยา (สกุลเดิม ปิยะวัตร) และ หม่อมหวน จักรพันธุ์ ณ อยุธยา (สกุลเดิม บุนนาค) มีพระโอรสธิดาดังนี้ 1. หม่อมเจ้าหญิงดวงตา (14 ต.ค. 2448 - 22 ต.ค. 2485) สมรสกับ หม่อมเจ้าสวัสดีประดิษฐ์ สวัสดิวัตน์ 2. หม่อมเจ้าคัสตาวัส (10 ส.ค. 2449 - 23 ก.พ. 2526) สมรสกับ หม่อมเจ้าทิตยาทรงกลด รพีพัฒน์ 3. หม่อมเจ้าหญิงสรัทกาล (? - 4 ก.ค. 2454) 4. หม่อมเจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ หรือในเวลาต่อมาได้รับการโปรดเกล้าฯสถาปนาเป็นที่ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ (27 ก.ค. 2452 - 13 ต.ค. 2536) สมรสกับหม่อมวิภา [ธิดาของ พลโทหลวงกาจสงคราม (เทียน เก่งระดมยิง) สมาชิกผู้ก่อการอภิวัฒน์สยาม 2475 ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการปรากบฏบวรเดช (ตุลาคม 2476) หากต่อมาเป็นรองหัวหน้าคณะรัฐประหาร 2490 ซึ่งมีพลโท ผิน ชุณหะวันเป็นหัวหน้า] และหม่อมประพาล (รจนานนท์) มีธิดาคนเดียวคือ หม่อมราชวงศ์เพ็ญศิริ กรัยวิเชียร (สมรสกับ นิติกร กรัยวิเชียร บุตรชายคนโตของ นายธานินทร์ กรัยวิเชียร) 5. หม่อมเจ้าหญิงลุอิสาณ์ (18 ม.ค. 2453 - 23 ธ.ค. 2537) สมรสกับ หม่อมเจ้าดิศศานุวัติ ดิศกุล พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นอนุวัตรจาตุรนต์ ทรงปลงพระชนม์เองเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2478 เนื่องจากทรงคับแค้นพระทัยที่ถูกอำนาจการเมืองในขณะนั้น (พระยาพหลพลพยุหเสนา) บีบคั้นให้กดดัน และฟ้องร้องดำเนินคดี ดำเนินการริบทรัพย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงสละราชสมบัติไปก่อนหน้านั้น ชีวิตราชการ นายอานันท์จบการศึกษาชั้นมัธยมจากโรงเรียนอำนวยศิลป์ และโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย จากนั้นไปศึกษาต่อที่ลอนดอน กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร จากดัลลิชคอจเลจ และปริญญาตรีด้านกฎหมาย (เกียรตินิยม) จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ เมื่อปี 2498 หลังจบการศึกษา เข้ารับราชการที่กระทรวงการต่างประเทศ ได้รับแต่งตั้งเป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำสหประชาชาติ เมื่อ พ.ศ. 2510 จากนั้นย้ายไปเป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศแคนาดา ประจำประเทศสหรัฐอเมริกา และเป็นผู้แทนถาวรแห่งประเทศไทยประจำสหประชาชาติ ในปี พ.ศ. 2518 เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย เดินทางไปเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ก่อนที่หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช จะเดินทางไปสถาปนาความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการในเวลาต่อมา ในปี พ.ศ. 2519 ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงการต่างประเทศในรัฐบาลนายธานินทร์ กรัยวิชียร ก่อนจะถูกสั่งพักราชการในปี พ.ศ. 2520 ด้วยข้อหาพัวพันและฝักใฝ่ในลัทธิคิมมิวนิสต์ และถูกย้ายไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทย ประจำสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ก่อนจะลาออกจากราชการในปี 2522 หันมาทำงานด้านธุรกิจกับกลุ่มบริษัทสหยูเนี่ยนฯ จนกระทั่งเป็นประธานกรรมกลุ่มบริษัทเมื่อปี 2534 และดำรงตำแหน่งประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นายอานันท์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีถือเป็นคนที่ 19 สมัยแรกระหว่างวันที่ 2 มีนาคม 2534 ถึง 22 มีนาคม 2535 ภายหลังการรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2534 จากการเสนอชื่อโดย พลเอกสุจินดา คราประยูร (ศิษย์เก่าร่วมโรงเรียนอำนวยศิลป์) และเคยร่วมงานกับนายอานันท์ เมื่อ พ.ศ. 2514 ขณะพันโทสุจินดา (ยศขณะนั้น) เป็นรองผู้ช่วยทูตทหารบก ประจำสถานเอกเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงวอชิงตัน และนายอานันท์ เป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกา คณะรัฐมนตรีในรัฐบาลนายอานันท์ ประกอบด้วยบุคคลที่มีชื่อเสียงทางด้านการเงินการคลัง เช่น นายนุกูล ประจวบเหมาะ นายเสนาะ อูนากูล นายโฆษิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ขณะที่นายอานันท์เองได้รับฉายาว่า "ผู้ดีรัตนโกสินทร์" นายอานันท์พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 22 มีนาคม 2535 ซึ่ง พรรคสามัคคีธรรมไ ด้รับเลือกตั้งมากที่สุด 79 คน เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่ นายณรงค์ วงศ์วรรณ หัวหน้าพรรคกลับไม่สามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ หลังจากนางมาร์กาเร็ต แท็ตไวเลอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ออกมาประกาศว่า นายณรงค์ เป็นหนึ่งในบัญชีดำ ผู้ไม่สามารถขอวีซ่าเดินทางเข้าสหรัฐฯ ได้ เนื่องจากมีความใกล้ชิดกับการค้ายาเสพติด พรรคร่วมเสียงข้างมาก ซึ่งประกอบด้วย พรรคสามัคคีธรรม พรรคชาติไทย พรรคกิจสังคม พรรคประชากรไทย พรรคราษฎร จึงสนับสนุนให้พลเอกสุจินดา คราประยูร ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 19 ซึ่งเป็นที่มาของวาทกรรมสีดำทางการเมือง "เสียสัตย์เพื่อชาติ" และนำมาสู่การชุมนุมคัดค้านโดยประชาชนจำนวนมากในกรุงเทพ และรัฐบาลใช้กำลังเข้าปราบ ใน เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 17 พฤษภาคม 2535 พลเอกสุจินดาลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจากการกดดันทางการเมืองภาคประชาชน ฝ่ายพรรคร่วมเสียงข้างมากร่วมกันสนับสนุนให้ พลอากาศเอกสมบุญ ระหงษ์ หัวหน้าพรรคชาติไทย ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่แล้ว นายอาทิตย์ อุไรรัตน์ รองหัวหน้าพรรคสามัคคีธรรม ประธานสภาผู้แทนราษฎร ผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ มีการ "พลิกโผกลางอากาศ" เสนอชื่อนายอานันท์ ปันยารชุน ขึ้นทูลเกล้าฯ ในวินาทีสุดท้าย นายอานันท์ได้รับพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่สอง ในวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2535 จัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกิจ เพื่อจัดการเลือกตั้งใหม่ โดยรัฐมนตรีส่วนใหญ่เคยดำรงตำแหน่งมาก่อนในสมัยแรก นายอานันท์ พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่สองในวันที่ 23 กันยายน 2535 ภายหลังการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2535 ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ได้รับเลือกตั้งเข้ามามากที่สุด และ นายชวน หลีกภัย หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 20 พี่น้อง พี่น้องของนายอานันท์ ปันยารชุนมีดังนี้ 1. สุธีรา เกษมศรี ณ อยุธยา สมรสกับ หม่อมราชวงศ์ระพีพรรณ เกษมศรี มีบุตร-ธิดาดังนี้ 1.1 หม่อมหลวงพีระพงศ์ เกษมศรี สมรสกับ หม่อมราชวงศ์รำพิอาภา สวัสดิวัตน์ เกษมศรี ธิดา หม่อมเจ้านนทิยาวัด สวัสดิวัตน์ พระอนุชาในสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ 7 1.2 หม่อมหลวงสุรธี อิศรเสนา สมรสกับ พชร อิศรเสนา ณ อยุธยา อดีตปลัดกระทรวงพาณิชย์ 2. ปฏดา วัชราภัย สมรสกับ กระแสร์ วัชราภัย 2.1 จรัสศรี วัชราภัย 3. กุนตี พิชเยนทรโยธิน สมรสกับ เกริกอิทธิ์ พิชเยนทร์โยธิน (บุตร พลเอก เจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน อดีตผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์) มีบุตร-ธิดา 3.1 อาภา พุกกะมาน สมรสกับ สหัส พุกกะมาน ที่ปรึกษาสำนักพระราชวัง 3.2 อิทธิ พิชเยนทรโยธิน อดีตอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงวิทยาศาสตร์ สมรสกับ ถวิดา (คอมันตร์) พิชเยนทรโยธิน - ธิดา พันเอกถนัด คอมันตร์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กับท่านผู้หญิงโมลี 4. จิตรา วรวรรณ ณ อยุธยา สมรสกับ หม่อมเจ้าโวฒยากร วรวรรณ มีบุตร 1 คน 4.1 หม่อมราชวงศ์ชาญวุฒิ วรวรรณ สมรสกับ คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ธิดาศาสตราจารย์นายแพทย์กษานและท่านผู้หญิงสุมาลี จาติกวณิช) 5. ดุษฎี โอสถานนท์ สมรสกับ ศ.นพ.ชัชวาลย์ โอสถานนท์ มีบุตร-ธิดา 5.1 ทิพย์สุดา สุวรรณรักษ์ สมรสกับ นายแพทย์จินดา สุวรรณรักษ์ 5.2 นายแพทย์ระพินทร์ โอสถานนท์ 6. กรรถนา อิศรเสนา ณ อยุธยา สมรสกับ อายุศ อิศรเสนา ณ อยุธยา บุตร พระยาภรตราชา (หม่อมหลวงทศทิศ อิศรเสนา) 6.1 ชุติมา ลี้ถาวร สมรสกับ วิทย์ ลี้ถาวร บุตร นายชาญชัย ลี้ถาวร อดีตปลัดกระทรวงการคลัง กับ นางประมวล 7. สุภาพรรณ ชุมพล ณ อยุธยา สมรสกับ นายแพทย์พัชรีสาร ชุมพล ณ อยุธยา 8. ดร.รักษ์ ปันยารชุน สมรสกับ จีรวัสส์ (พิบูลสงคราม) ปันยารชุน ธิดาจอมพล ป.พิบูลสงครามและท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม 9. กุศะ ปันยารชุน สมรสกับ สุพรรณี เบญจฤทธิ์ และ นฤวร ทวีสิน 10. พันตำรวจเอก ประสัตถ์ ปันยารชุน สมรสกับ สุขศรี ปันยารชุน 11. ชัช ปันยารชุน สมรสกับ มัลลิกา (สนิทวงศ์ ณ อยุธยา) ปันยารชุน ธิดาหม่อมหลวงเต่อ สนิทวงศ์ สาแหรกข้างแม่ พระยาโชฎึกราชเศรษฐี (เถียน) บุตรจีนจือ ในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้ถวายตัวอยู่ในกรมสมเด็จพระเทพศิรินนทรามาตย์ ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นที่ขุนสมุทรโคจร ในกรมท่าซ้าย และเป็นหลวงภาษีวิเศษในปี 2402 ตำแหน่งเจ้าภาษีนายอากรอยู่ในกรมท่าซ้าย ต่อมาในสมัยรัชการที่ 5 ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรครั้งแรกเป็นพระพิบูลย์พัฒนากรในปี 2411 และเป็นพระยานรนาถภัคดีศรีรัชฎากรในปี 2416 ช่วยราชการคลังในหอรัษฎากรพิพัฒน์ด้านภาษีอากร และเงินรายได้ของแผ่นดิน เมื่อ ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) ได้เป็นจางวางกรมสรรพภาษี กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ได้เป็นองคมนตรีที่ปรึกษาราชการในพระองค์ เป็นผู้ทำน้ำประปาจำหน่ายเป็นครั้งแรกในสำเพ็ง โดยสูบน้ำขึ้นถังแล้วต่อท่อไปตามบ้าน พระยาทิพย์โกษา (โต โชติกเสถียร) เป็นบุตรชายคนโตของพระยาโชฎึกราชเศรษฐี (เถียน) เคยรับราชการทางฝ่ายปกครองมาแล้ว ในหัวเมืองสังกัดกรมท่า เป็นผู้ว่าราชการเมืองนครชัยศรี (นครปฐม) มีบรรดาศักดิ์เป็นพระยาสุนทรบุรีศรีพิไชยสงคราม ต่อมาถึงปี 2434 ได้โอนมารับราชการในกรมท่าถลาง และเปลี่ยนราชทินนามใหม่เป็นพระยาทิพย์โกษา เป็นผู้ชำนาญการภาษีอากร ซึ่งเป็นตำแหน่งลอยๆ ในปีเดียวกันนั่นเอง ก็ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้กำกับข้าหลวงใหญ่หัวเมืองฝ่ายทะเลตะวันตก มีอำนาจมากกว่าข้าหลวงใหญ่และข้าหลวงทั้งหมด ในฐานะข้าหลวงใหญ่มณฑลภูเก็ตคนแรก พระยาทิพย์โกษาได้กลายเป็นผู้ริเริ่มจัดตั้งมณฑลภูเก็ต ตั้งแต่การแบ่งเขตการปกครองเมืองต่างๆออกเป็นอำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน การจัดตั้งคณะผู้บริหารมณฑลขึ้นมาเรียกว่า กองมณฑล ซึ่งประกอบด้วย ข้าหลวงใหญ่ และข้าหลวงฝ่ายต่างๆ ของเมืองต่างๆ พระยาทิพโกษา (โต) สมรสกับ คุณหญิงกุหลาบ โชติกเสถียร มีบุตรธิดาดังนี้ 1.พระยาพิพิธภัณฑ์วิจารณ์ 2.พระยาสรรพกิจปรีชา (ชื่น โชติกเสถียร) ถวายตัวเป็นมหาดเล็กหลวง แล้วไปศึกษา ณ ประเทศอังกฤษ สอบไล่ได้ชั้นเนติบัณฑิต กลับมารับราชการ ประจำในกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ในตำแหน่งเลขาธิการเสนาบดีผู้ช่วยที่ปรึกษาราชการกระทรวง มีหน้าที่เกี่ยวกับภาษาต่างประเทศเป็นพื้น ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ไปรับราชการประจำในกระทรวงการต่างประเทศ ภริยาคนแรก คุณหญิงฉลวย สรรพกิจปรีชา ธิดาคนที่ 4 คือ นางสิริ ภรรยานายพจน์ สารสิน | |
http://redusala.blogspot.com |
ปูมชีวิตสายเลือด "เฉกอะหมัด" : จากประธาน "คมช." สู่หัวหน้าพรรค "มาตุภูมิ" | |
ชีวิตและงาน พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เกิดเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ.2489 เป็นบุตรของ พันเอกสนั่น (เดิมนามสกุล อหะหมัดจุฬา) และ นางมณี บุญยรัตกลิน เติบโตในครอบครัวมุสลิมในจังหวัดปทุมธานี (บิดานับถือนิกายชีอะห์) แต่ตัวพลเอกสนธินับถือศาสนาอิสลามนิกายซุนนีย์ตามมารดา ต้นตระกูลคือเฉกอะหมัด หรือ เจ้าพระยาบวรราชนายก ขุนนางเชื้อสายเปอร์เซีย ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรี และ สมุหนายกในสมัยกรุงศรีอยุธยาลูกหลานบางส่วน เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ เช่น ตระกูลบุนนาค ตระกูลจุฬารัตน์ โดยนามสกุลบุญยรัตกลิน (อ่านว่า บุน-ยะ-รัด-กะ-ลิน) จริงๆแล้วคือบุณยรัตกลิน แต่พิมพ์ผิดเป็น "ญ" นั้น เป็นนามสกุลพระราชทานจากรัชกาลที่ 6 ลำดับที่ 2798 มีที่มาจากการที่หนึ่งในสาแหรกฝั่งย่าเป็นทหารเรือสังกัดพรรคกลิน คือ น.ต.หลวงพินิจกลไก (บุญรอด) หรือชื่อมุสลิมว่า อับดุลเลาะห์ อหะหมัดจุฬา พล.อ.สนธิมีภรรยาทั้งหมด 3 คนภรรยาคนแรกชื่อ สุกัญญา จดทะเบียนสมรสขณะที่ พล.อ.สนธิยังเป็นพันโท ภรรยาคนที่สองชื่อ ปิยะดา จดทะเบียนสมรสเมื่อเป็นนายพล ภรรยาคนที่สามชื่อ วรรณา ปัจจุบันอาศัยอยู่ด้วยกันทั้งหมดแม้ว่าการมีภรรยาสามคนจะเป็นเรื่องผิดกฎหมายในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ.2550 พล.อ.สนธิให้เหตุผลที่ไม่ยื่นแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินของภรรยาคนที่ 3 ต่อ ป.ป.ช. เนื่องจากไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางกฎหมาย พล.อ.สนธิเข้าศึกษาต่อโรงเรียนเตรียมทหาร (รุ่นที่ 6) และศึกษาต่อโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เหล่าทหารราบ (รุ่นที่ 17) และได้ศึกษาในระดับอุดมศึกษาสำหรับปริญญาโท สาขาศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต (การทหาร) โรงเรียนเสนาธิการทหารบก สถาบันวิชาการทหารบกชั้นสูงและวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (รุ่นที่ 42) และระดับปริญญาเอก สาขารัฐศาสตร์ (สาขาวิชาการเมือง) มหาวิทยาลัยรามคำแหง รุ่นแรกของคณะ โดยมีพลเอกสนธิเป็นประธานรุ่นที่มีอายุมากที่สุดคือ 63 ปี เริ่มต้นชีวิตการรับราชการจาก ผู้บังคับหมวดปืนเล็กกองร้อยอาวุธเบา กองพันทหารราบ ศูนย์การทหารราบ, พ.ศ.2512 เป็นผู้บังคับหมวดปืนเล็กกองร้อยอาวุธเบา กองพันทหารราบที่ 2 กองพลอาสาสมัครเสือดำ, พ.ศ.2513 เป็นรองผู้บังคับกองร้อยลาดตระเวนระยะไกลที่ 9 กาญจนบุรี นายทหารคนสนิทแม่ทัพภาคที่ 4 (พล.ท.ปิ่น ธรรมศรี ในขณะนั้น), พ.ศ.2526 เป็นผู้บังคับกองพันรบพิเศษที่ 2 กรมรบพิเศษที่ 1 รองผู้บังคับการกรมรบพิเศษที่ 1, พ.ศ.2530 เป็นผู้บังคับการกรมรบพิเศษที่ 1 รองผู้บัญชาการกองพลรบพิเศษที่ 1, พ.ศ.2542 เป็นผู้บัญชาการกองพลรบพิเศษที่ 1 รองผู้บัญชาการ หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ, พ.ศ.2545 เป็นผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษและในปี พ.ศ.2548 ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกและผู้บัญชาการทหารบก ที่สำคัญ นับเป็นผู้บัญชาการทหารบกไทยคนแรกที่นับถือศาสนาอิสลาม วันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549 พล.อ.สนธิประกาศตัวเป็นหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ก่อรัฐประหาร ยึดอำนาจการปกครองของรัฐบาลรักษาการ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งอยู่ระหว่างการประชุมสหประชาชาติที่นครนิวยอร์ก หลังจากมีการจัดตั้งรัฐบาลแล้วจึงแปรรูปคณะรัฐประหารและเปลี่ยนฐานะไปเป็นประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) หลังเกษียณอายุราชการในปี พ.ศ.2550 พล.อ.สนธิได้รับพระราชทานโปรดเกล้า ฯ ให้ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ในรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่คณะรัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ.2549 ตั้งมาเองกับมือ ต่อมาในวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ.2550 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของคณะรัฐมนตรี โดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ยื่นบัญชีทรัพย์สินเข้ารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีมีทรัพย์สิน 38,796,977 บาท ประกอบด้วยเงินฝากในธนาคารพาณิชย์ 10,241,195 บาท เงินฝากในสถาบันการเงินอื่น 13,355,541 บาท หลักทรัพย์รัฐบาล และรัฐบาลค้ำประกัน 142,600 บาท หลักทรัพย์จดทะเบียนและรับอนุญาต 6,393,240 บาท หลักทรัพย์และเงินลงทุนอื่น 4,664,400 บาท สิ่งปลูกสร้าง 1 หลัง มูลค่า 4 ล้านบาท สำหรับภรรยาทั้ง 2 คนที่จดทะเบียนสมรสคือ นางสุกัญญา มีทรัพย์สินกว่า 14 ล้านบาท และ นางปิยะดา 42 ล้านบาท บุตรสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะกว่า 3 แสนบาท รวมทั้งครอบครัว มีทรัพย์สินกว่า 94 ล้านบาท ในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2552 พล.อ.สนธิก็รับตำแหน่งประธานพรรคมาตุภูมิ ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่ก่อตั้งโดยนักการเมืองใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เป็นมุสลิม โดยมีเป้าหมายหวังฐานเสียงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคในปี 2554 สาแหรกบรรพบุรุษ หนังสือ "ชีวิตและผลงาน พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก" เขียนถึงที่มาที่ไปของนามสกุลนี้ว่า เป็นการขอยืมมาเพราะเดิมนั้น บิดาของพลเอกสนธิ คือ พันเอกสนั่น บุญยรัตกลิน ใช้นามสกุล "อหะหมัดจุฬา" แต่เนื่องจากนโยบายของรัฐสมัย จอมพล ป.พิบูลสงคราม ที่กำหนดให้ข้าราชการที่ใช้ "...นามสกุลที่ไม่คล้ายกับคนไทยให้เปลี่ยน ห้ามใช้" พันเอกสนั่นจึงมาใช้นามสกุลแม่โดยในหนังสือบันทึกไว้ตามคำพูดของพลเอกสนธิว่า "นามสกุลจริงๆของคุณย่าคือ 'บุณยรัตกลิน' ในสมัยก่อนเป็น 'ณ' แต่ไม่รู้ว่าพิมพ์ผิดอย่างไร เลยกลายมาเป็น 'ญ' ฉะนั้นอาน้องของคุณพ่อทั้ง 2 คน ก็ยังใช้ 'ณ' อยู่ มันผิดมาเรื่อย จนกระทั่งผมเลยกลายเป็น 'ญ' ทาง คุณพ่อพี่เกาะ (พลเอกสมทัต อัตนันทน์) เป็นคนให้คุณพ่อผมใช้นามสกุลนี้ คุณพ่อก็เลยไปขอจากน้องย่าหรือพี่ของย่าไม่ทราบขอมาใช้นามสกุลนี้ แล้วก็ใช้มาโดยตลอด..." พลเอกสนธิเป็นมุสลิม "ชีอะห์อิสนาอะชะรี" (นิกายสิบสองอิหม่าม) สายเฉกอะหมัด ซึ่งมาแต่อาณาจักรเปอร์เซีย-อิหร่านและรับราชการจนได้เป็นที่ "เจ้าพระยาบวรราชนายก" เพราะความดีความชอบในการปราบปรามกบฏแขกปักษ์ใต้สมัยแผ่นดินพระเจ้าปราสาททอง เฉกอะหมัด มีเชื้อสายต่อมาคือ เจ้าพระยาอภัยราชา (ชื่น) มีลูกต่อมา คือ เจ้าพระยาชำนาญภักดี (สมบุญ) ที่สมุหนายกอัครมหาเสนาบดีฝ่ายเหนือ ในแผ่นดินพระเจ้าทรงธรรม ต่อมามีลูกคือ พระยาเพ็ชรพิไชย (ใจ) จางวางกรมล้อมพระราชวัง และให้ว่าที่กรมอาสาจามและอาญาญี่ปุ่นในแผ่นดินพระเจ้าอยู่บรมโกศ "พระยาเพ็ชรพิไชย" นี่เอง ที่ตอนหลังได้เข้ามานับถือศาสนาพุทธทำให้ลูกสืบสายสกุลแบ่งแยกออกเป็น 2 สาย คือ สายของพระยาจุฬาราชมนตรี (เชน) ที่นับถืออิสลามต่อไป และสายของเจ้าพระยามหาเสนา (เสน) ที่นับถือพุทธตามพ่อ โดยสายพุทธนั้นต่อมา ได้รับพระราชทานนามสกุลว่า "บุนนาค" และต่อมายังมีการแตกจากสายนี้ไปเป็นหลายสาย เช่น นามสกุล "จุฬารัตน" "ศรีเพ็ญ" "บุรานนท์" "จาติกรัตน์" เชน บุตรชายคนที่ 2 ของเจ้าพระยาเพชรพิไชยยังคงนับถือศาสนาอิสลาม จนถึงแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ได้เป็นพระยาวิชิตณรงค์ แล้วเลื่อนเป็นพระยาจุฬาราชมนตรี มีบุตรชื่อ ก้อนแก้ว (มุฮัมมัตมะอซูม) เป็นต้นตระกูล อหะหมัดจุฬา, อากาหยี, จุฬารัตน, ช่วงรัศมี, ชิตานุวัตร, สุวกูล ฯลฯต่อมาถวายตัวต่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี รับตำแหน่งสืบทอดจากบิดาเป็นพระยาจุฬาราชมนตรีคนที่ 1 ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์และได้รับพระราชทานที่ดินสร้าง กุฎีเจ้าเซ็น (กุฎีหลวง) ขึ้นเป็นแห่งแรกในกรุงรัตนโกสินทร์ ส่วนบุตรชายคนที่ 3 ของเจ้าพระยาเพชรพิไชยกับคุณหญิงแฉ่ง ที่ชื่อ เสน ได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธเช่นเดียวกับบิดา และเข้ารับราชการในแผ่นดินสมเด็จพระบรมโกศ มีบรรดาศักดิ์เป็นพระยาเสน่หาภูธร ต่อมาในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร ได้บรรดาศักดิ์เป็นพระยาจ่าแสนยากร ครั้นถึงรัชกาลสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ กษัตริย์องค์สุดท้ายของกรุงศรีอยุธยา ได้เลื่อนเป็นเจ้าพระยามหาเสนา (เสน) มีบุตรธิดา 5 คน ธิดา 3 คนถูกพม่าจับเป็นเชลยส่วนบุตร 2 คน ได้แก่เจ้าพระยาอรรคมหาเสนา (บุนมา) และเจ้าพระยาอรรคมหาเสนา (บุนนาค) รอดพ้นการถูกจับเป็นเชลยเพราะถูกส่งตัวให้ไปอยู่กับญาติที่ราชบุรีก่อนหน้านั้น เป็นต้นสกุล ศรีเพ็ญ, บุนนาค, บุรานนท์, จาติกรัตน์, ศุภมิตร, วิชยาภัย, บุนนาค, ภาณุวงศ์ ฯลฯ จนในสมัยรัตนโกสินทร์ถือว่าผู้สืบเชื้อสายเฉกอะหมัดนับเป็นสายวงศ์สกุลที่มี อิทธิพลมากที่สุดในการบริหารราชการแผ่นดินโดยสายมุสลิมส่วนใหญ่ลูกหลานจะสืบตำแหน่ง "จุฬาราชมนตรี" จางวางกรมท่าขวา ซึ่งรับผิดชอบงานด้านการค้าขายทางเรือและการต่างประเทศมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนสายพุทธ ส่วนใหญ่ก็จะได้ครองตำแหน่ง "สมุหนายก" หรือ "สมุหพระกลาโหม" ซึ่งเป็นอัครมหาเสนาบดี ดูแลทั้งฝ่ายเหนือ และฝ่ายใต้ นอกจากนั้นเหล่าบุตรีของวงศ์เฉกอะหมัด ยังได้เป็นทั้งหม่อมห้าม นางใน พระสนมอยู่หลายองค์ ส่วนบิดาของพลเอกสนธิ คือพันเอกสนั่นนั้น สืบเชื้อสายมาจากท่านสง่า อะหะหมัดจุฬา ลูกของท่านช่วง ซึ่งเป็นลูกของท่านครูชื่น ที่นับถือกันเป็นนักปราชญ์ของมุสลิมฝ่ายชีอะห์โดยสาแหรกนี้ถูกบันทึกไว้อย่างชัดเจน ในศูนย์ข้อมูลประวัติศาสตร์ชุมชนธนบุรีโดยนายทำเนียบ แสงเงิน ปรากฏอยู่ที่มัสยิดต้นสน สำหรับสายสกุลบุนนาคนั้น เป็นตระกูลอำมาตย์เก่าแก่ที่รับราชการต่อเนื่องกันมาตลอดจนได้ครองตำแหน่งเสนาบดีที่ทรงอำนาจในหลายรัชกาลจนได้รับพระราชทานตำแหน่งสูงสุดคือ "สมเด็จเจ้าพระยา" หรือเทียบเท่าตำแหน่ง "นายกรัฐมนตรี" ถึง 3 คน สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยุรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) เป็นบุตรเจ้าพระยาอรรคมหาเสนาบดี (บุนนาค) กับเจ้าคุณนวล เริ่มรับราชการเป็นนายสุดจินดาหุ้มแพรมหาดเล็ก ในรัชกาลที่ 1 และเลื่อนตำแหน่งตามลำดับจนถึงรัชกาลที่ 4 จึงได้เลื่อนขึ้นเป็น "สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยุรวงศ์" ให้สำเร็จราชการตลอดทั่วทั้งพระราชอาณาจักร ใช้ตราสุริยมณฑลเทพบุตรชักรถ คนทั่วไปนิยมเรียกว่า "สมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่" และเป็นสมเด็จเจ้าพระยาองค์แรกของวังหลวง มีอำนาจและอิทธิพลมากที่สุดในพระราชอาณาจักรรองจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสองพระองค์ซึ่งเป็นเจ้าแผ่นดินและเจ้าชีวิต ถัดมา คือ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิไชยญาติฯ (ทัด บุนนาค) คนทั่วไปนิยมเรียกขานว่า "สมเด็จเจ้าพระยาองค์น้อย" เป็นน้องชายของสมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่ซึ่งเป็นบุตรชายคนสุดท้องของ เจ้าพระยาอรรคมหาเสนา (บุนนาค)อีกคนหนึ่งที่เกิดกับเจ้าคุณนวล เข้ารับราชการในสมัยรัชกาลที่ 1 เป็นนายสนิทหุ้มแพรมหาดเล็ก จนถึงรัชกาลที่ 4 ได้เลื่อนตำแหน่งจากพระยาศรีพิพัฒน์รัตนโกษา ขึ้นเป็น "สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิไชยญาติฯ" สำหรับตำแหน่งสมเด็จเจ้าพระยาคนสุดท้ายของสกุลบุนนาคคือ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)ซึ่งเป็นบุตรคนโตของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยุรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) กับท่านผู้หญิงจันทร์ เข้าถวายตัวเป็นมหาเล็กในรัชกาลที่ 2 เมื่อถึงสมัยรัชกาลที่ 3 ได้เลื่อนเป็นหลวงสิทธิ์นายเวรมหาดเล็ก ต่อมารัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯให้เป็นพระยาศรีสุริยวงศ์ จางวางมหาดเล็ก โดยรัชกาลที่ 3 รับสั่งให้เข้าเฝ้าฯอย่างใกล้ชิด หลังจากที่รัชกาลที่ 3 เสด็จสวรรคตกลุ่มขุนนางตระกูลบุนนาคซึ่งนำโดย 3 พระยา คือ เจ้าพระยาพระคลัง (ดิส บุนนาค) เจ้าพระยาศรีพิพัฒน์ราชโกษา (ทัด บุนนาค) รวมทั้งพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ได้พากันไปเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในขณะที่ทรงครองสมณเพศเป็นวชิรญาณภิกขุเพื่อให้ขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติด้วยความพร้อมใจเป็นหนึ่งเดียว ในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้โปรดเกล้าฯให้พระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ว่าที่สมุหพระกลาโหม หลังจากรัชกาลที่ 4 เสด็จสวรรคต พระบรมวงศานุวงศ์และเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ได้ทูลเชิญสมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์กรมขุนพินิตประชานาถ เสด็จเสวยราชย์แต่เนื่องจากพระองค์ยังทรงพระเยาว์มีพระชนม์เพียง 15 พรรษาดังนั้นที่ประชุมจึงลงมติแต่งตั้งให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จนปี พ.ศ.2416 เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงบรรลุนิติภาวะขณะนั้นพระยาศรีสุริยวงศ์มีอายุได้ 64 ปีเศษจึงได้รับพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้เป็นสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ และนับเป็นสมเด็จเจ้าพระยาคนสุดท้ายในประวัติศาสตร์ไทย นอกจากนี้ยังได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ดวงดารานพรัตน์ดวงดารามหาสุริยมณฑล ปฐมจุลจอมเกล้า สำหรับสายสกุลบุนนาคอีกคนที่มีความสำคัญในช่วงคาบเกี่ยวการเปลี่ยนแปลงการปกครองคือเจ้าพระยาพิชัยญาติ (ดั่น บุนนาค) เป็นบุตรพระยาไพบูลย์สมบัติ (เดช บุนนาค) กับคุณหญิงสวน (สกุลเดิม ศิริวิสูตร) ถวายตัวเป็นมหาดเล็กวิเศษในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้เข้าฝึกหัดรับราชการในกรมบัญชีกลาง กระทรวงยุติธรรม ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 เจ้าพระยาพิชัยญาติ (ดั่น บุนนาค) ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม เสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการ และอุปนายกสภากาชาดไทยหลายสมัย ภายหลังการอภิวัฒน์สยาม พ.ศ. 2475 ได้เป็นผู้รับพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับแรกจากพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 และเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรคนแรกของราชอาณาจักรไทย. เจ้าพระยาบวรราชนายก (เฉกอะหมัด) เป็นมุสลิมชีอะหฺอิษนาอะชะรียะหฺ (สิบสองอิมาม) เกิดเมื่อ พ.ศ. 2086 ณ ตำบลปาอีเนะชาฮาร ในเมืองกุม ซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางของศาสนาอิสลามตั้งอยู่บนที่ราบต่ำทางตอนเหนือของเตหะราน ในประเทศอิหร่าน ในยุคสมัยที่ท่านเฉกอะหมัดเดินทางเข้ามากรุงศรีอยุธยานั้น เป็นยุคที่โปรตุเกสเรืองอำนาจทางทะเลในแถบมหาสมุทรอินเดีย ทำให้พ่อค้าชาวพื้นเมืองต้องใช้เส้นทางขนส่งสินค้าทางบกเป็นช่วงๆ เส้นทางที่เป็นไปได้ในการเดินทางจากอิหร่านเข้าสู่กรุงศรีอยุธยาในสมัยนั้น คือเดินเท้าจากเมืองแอสตะราบาดเข้าสู่แคว้นคุชราตในอินเดียตะวันตก จากนั้น เดินเท้าตัดข้ามประเทศอินเดียมายังฝั่งตะวันออกทางด้านโจฬมณฑล จากนั้นลงเรือข้ามอ่าวเบงกอลและทะเลอันดามันมายังเมืองตะนาวศรีหรือเมืองมะริด แล้วจึงเข้าสู่กรุงศรีอยุธยา ปลายแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เฉกอะหมัดและบริวารได้เข้ามายังกรุงศรีอยุธยา ตั้งบ้านเรือนและห้างร้านค้าขาย อยู่ที่ตำบลท่ากายี ท่านค้าขายจนกระทั่งมีฐานะเป็นเศรษฐีใหญ่ในกรุงศรีอยุธยา ท่านสมรสกับท่านเชย มีบุตร 2 คนและธิดา 1 คน ปลายแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ท่านเฉกอะหมัดได้ช่วยปรับปรุงราชการกรมท่า จนได้ผลดี จึงโปรดเกล้าฯให้เป็นพระยาเฉกอะหมัดรัตนราชเศรษฐีเจ้ากรมท่าขวาและ จุฬาราชมนตรี นับได้ว่าท่านเป็นปฐมจุฬาราชมนตรี (พ.ศ. 2145-2170) และเป็นผู้นำพาศาสนาอิสลามนิกายชีอะหฺอิษนาอะชะรียะหฺ มาสู่ประเทศไทย ต่อมาท่านเฉกอะหมัดพร้อมด้วยมิตรสหาย ร่วมใจกันปราบปรามชาวต่างชาติกลุ่มหนึ่ง ที่ก่อการจลาจล และจะยึดพระบรมมหาราชวัง จึงโปรดเกล้าฯ ให้เป็น เจ้าพระยาเฉกอะหมัดรัตนาธิบดี สมุหนายกอัครมหาเสนาบดีฝ่ายเหนือ ในปลายแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าปราสาททองโปรดเกล้า ฯ ให้ท่านเฉกอะหมัดซึ่งมีอายุ 87 ปี เป็นเจ้าพระยาบวรราชนายกจางวางกรมมหาดไทย ท่านได้ถึงแก่อสัญกรรม เมื่อ พ.ศ. 2174 รวมอายุ 88 ปี ท่านเฉกอะหมัดนี้ท่านเป็นต้นสกุลของไทยมุสลิมหลายนามสกุลและสกุลบุนนาค เป็นต้นสกุลของเจ้าพระยาหลายท่านในระยะเวลาต่อมา อาทิ เจ้าพระยาอภัยราชา (ชื่น) เจ้าพระยาชำนาญภักดี (สมบุญ) เจ้าพระยาเพชรพิไชย (ใจ) และมีบรรดาศักดิ์เป็นสมเด็จเจ้าพระยาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ถึง 3 ท่าน คือ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ) สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ (ทัต บุนนาค) และสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) รวมทั้งเป็นต้นสกุลของสายสกุลที่มีความสำคัญต่อการปกครองประเทศตลอดมา สถานที่ฝังศพของท่านเฉกอะหมัด ตั้งอยู่ในบริเวณมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา พระยาจุฬาราชมนตรี (แก้ว) เกิดเมื่อปีใดไม่ปรากฏ บิดาคือพระยาศรีเนาวรัตน์ (อากามะหะหมัด) มารดาชื่อท่านชี เป็นน้องชายของเจ้าพระยาศรีไสยหาญณรงค์ (ยี) มีศักดิ์เป็นหลานตาของเจ้าพระยาบวรราชนายก (เฉกอะหมัด) เริ่มรับราชการโดยถวายตัวเป็นมหาดเล็กในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จนได้เป็นหลวงศรียศ (แก้ว) ท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นจุฬาราชมนตรี (พ.ศ. 2199-2225) ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จนถึงสมัยสมเด็จพระเพทราชา ไม่ทราบว่าเสียชีวิตเมื่อใด ช่วงที่ท่านเป็นจุฬาราชมนตรีอยู่นั้น เป็นช่วงที่เจ้าพระยาวิชาเยนทร์เรืองอำนาจและมีความขัดแย้งระหว่างชาวคริสต์และมุสลิมในราชอาณาจักรมาก และคาดว่าท่านเป็นจุฬาราชมนตรีคนที่เจ้าพระยาวิชาเยนทร์เอ่ยถึงว่าลงไปเจรจาที่เมืองปัตตาเวียเกี่ยวกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในมะละกาในจดหมายที่เขาส่งถึงบาทหลวงเดอลาแซส พระยาจุฬาราชมนตรี (สน) เกิดเมื่อปีใดไม่ปรากฏ บิดาคือพระยาศรีไสยหาญณรงค์ (ยี) มารดาชื่อคุณหญิงแสง มีศักดิ์เป็นหลานของพระยาจุฬาราชมนตรี (แก้ว) เข้ารับราชการในกรมท่าขวาเป็นหลวงศรียศ ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ จนได้รับตำแหน่งพระยาจุฬาราชมนตรี (พ.ศ. 2275-2301) ไม่ปรากฏว่าเสียชีวิตเมื่อใด พระยาจุฬาราชมนตรี (เซน) เป็นบุตรของพระยาเพชรพิชัย (ใจ) กับคุณหญิงแฉ่ง เกิดเมื่อปีใดไม่ปรากฏ บิดาและน้องชายของท่านเปลี่ยนไปนับถือศาสนาพุทธในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ส่วนท่านยังนับถือศาสนาอิสลาม นิกายชีอะหฺ ต่อมา เข้ารับราชการในกรมท่าขวาและกองอาสาจามจนได้รับตำแหน่งจุฬาราชมนตรี ได้รับพระราชทานเกียรติยศเสมอเจ้าพระยาพระคลังแต่มิได้ตั้งให้เป็นเจ้าพระยา ไม่ทราบว่าเสียชีวิตเมื่อใด บุตรของท่านชื่อ ก้อนแก้ว ได้เป็นจุฬาราชมนตรีคนแรกในสมัยรัตนโกสินทร์ พระยาจุฬาราชมนตรี (ก้อนแก้ว) เป็นบุตรพระยาจุฬาราชมนตรี (เซน) และคุณหญิงก้อนทอง รับราชการเป็นมหาดเล็กตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ ตอนปลายกรุงศรีอยุธยาจนเสียกรุงเมื่อ พ.ศ. 2310 เมื่อเสียกรุงได้หลบหนีข้าศึกมารับราชการกับสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ต่อมาได้เป็นขุนป้องพลขันธ์ และหลวงศรีเนาวรัตน์ตามลำดับ ได้ร่วมรบกับข้าศึกจนผลัดแผ่นดินเข้าสู่สมัยรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 ทรงโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้เป็นพระยาจุฬาราชมนตรี มีหน้าที่กำกับราชการกรมท่าขวาและดูแลมุสลิมทั่วราชอาณาจักร ถือเป็นจุฬาราชมนตรีท่านแรกในสมัยรัตนโกสินทร์ ท่านถึงแก่อนิจกรรมในสมัยรัชกาลที่ 1 เมื่ออายุได้ 82 ปี ศพของท่านฝังอยู่ที่มัสยิดต้นสน พระยาจุฬาราชมนตรี (อากายี) หรืออากาหยี่ เป็นบุตรของพระยาจุฬาราชมนตรี (เซน) และเป็นน้องชายของพระยาจุฬาราชมนตรี (ก้อนแก้ว) ได้เป็นจุฬาราชมนตรีต่อจากพี่ชายจนกระทั่งถึงแก่อนิจกรรมในสมัยรัชกาลที่ 2 มีบุตรธิดารวม 15 คน บุตรของท่านคนหนึ่งชื่อ กลิ่น ได้เป็นหลวงโกชาอิศหากในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ส่วนบุตรอีกคนชื่อน้อย ได้เป็นจุฬาราชมนตรี พระยาจุฬาราชมนตรี (เถื่อน) เกิดในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เป็นบุตรของพระยาจุฬาราชมนตรี (ก้อนแก้ว) ท่านถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยเมื่อครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาขณะอายุเพียง 13 -14 ปี ต่อมาได้บวชเป็นสามเณรเรียนวิชาไสยศาสตร์กับอาจารย์ชาวเขมร อยู่พม่า 7 ปี จนอายุ 19 ปีจึงหนีกลับเข้าไทยทางแม่สอดไปหาบิดาที่ขณะนั้นไปราชการทัพที่เชียงใหม่และเชียงแสน เมื่อกลับมา ท่านได้เรียนวิชาทางศาสนาอิสลามใหม่ และได้เข้ารับราชการในกรมทหารอาทมาตในสมัยรัชกาลที่ 1 ในสมัยรัชกาลที่ 2ได้เป็นหลวงภักดีสุนทร ได้ร่วมรบในสงครามตีเมืองถลางและไทรบุรี เมื่อเสร็จศึกได้เป็นพระยาวรเชษฐ์ภักดีศรีวรข่าน ต่อมาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นจุฬาราชมนตรี ถึงแก่อนิจกรรมในสมัยรัชกาลที่ 3 ท่านมีชื่อทางศาสนาอิสลามว่า อามิรระชามุฮัมหมัด สมรสกับคุณหญิงนก มีบุตรธิดา 4 คน ถึงแก่อสัญกรรมในช่วงปลายสมัยรัชกาลที่ 3 พระยาจุฬาราชมนตรี (น้อย) เป็นบุตรของพระยาจุฬาราชมนตรี (อากายี) มารดาชื่อคุณหญิงสะ มีชื่อทางศาสนาว่ามูหะหมัดบาเกร เกิดเมื่อปีใดไม่ปรากฏ เริ่มรับราชการในกรมท่าขวา สมัยรัชกาลที่ 4 ได้เป็นหลวงศรีเนาวรัตน์ และได้เป็นจุฬาราชมนตรีเมื่อพระยาจุฬาราชมนตรี (นาม) ถึงแก่อนิจกรรม ท่านเป็นจุฬาราชมนตรีจนถึงแก่อนิจกรรมเมื่อ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2410 พระยาจุฬาราชมนตรี (นาม) เป็นบุตรของพระยาจุฬาราชมนตรี (เถื่อน) มารดาคือคุณหญิงนก เกิดในสมัยรัชกาลที่ 2 แต่ไม่ทราบปี เข้ารับราชการในกรมท่าขวาในสมัยรัชกาลที่ 3เป็นพระราชเศรษฐี ได้ว่าการคลังวิเศษในกรมท่าหลวง และกำกับชำระตั๋วเฮียชำระฝิ่นและได้เลื่อนเป็นจางวางคลังวิเศษกำกับราชการกรมพระคลังนอก คลังพิเศษ คลังในซ้าย พระคลังใน คลังคำนวณ กำกับภาษีร้อยชักสาม ในสมัยรัชกาลที่ 4 นอกจากนั้น ท่านยังมีส่วนร่วมในการปราบจลาจลภาคใต้ และวางระเบียบปกครองหัวเมืองฝ่ายใต้ และเป็นข้าหลวงตรวจการภาคใต้จนเหตุการณ์สงบ จนกระทั่งพระยาจุฬาราชมนตรี (น้อย)ถึงแก่อนิจกรรมใน พ.ศ. 2410 ท่านจึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นจุฬาราชมนตรีสืบแทนจนถึงแก่อนิจกรรมใน พ.ศ. 2432 ศพของท่านฝังอยู่ที่มัสยิดต้นสน พระยาจุฬาราชมนตรี (สิน อหะหมัดจุฬา) เป็นบุตรพระยาจุฬาราชมนตรี (นาม) กับคุณหญิงกลิ่น เกิดเมื่อ พ.ศ. 2391 เข้าถวายตัวเป็นมหาดเล็กตั้งแต่อายุ 18 ปี เข้ารับราชการ มียศเป็นนายฉลองไนยนารถ ในสมัยรัชกาลที่ 4 ย้ายมากรมท่าขวา ได้เป็นหลวงราชเศรษฐี เมื่อบิดาถึงแก่กรรมจึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระยาจุฬาราชมนตรี เมื่อ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2432 นอกจากนั้นยังเป็นผู้พิพากษาศาลคดีต่างประเทศในกระทรวงยุติธรรมอีก ตำแหน่งหนึ่ง ท่านเป็นข้าราชการที่สนิทชิดเชิ้อกับรัชกาลที่ 5 เป็นพิเศษ ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์และพานทองเทียบชั้นเจ้าพระยาพานทอง เมื่อท่านเจ็บป่วย โปรดให้แพทย์หลวงมาดูแลรักษา ถึงแก่กรรมเมื่อ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2453 รวมอายุ 65 ปี รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดให้มีการแห่ศพทางน้ำอย่างสมเกียรติ พระราชทานไม้นิซ่านปักที่หลุมศพของท่านและทรงเป็นประธานในพิธีฝังศพด้วยพระองค์เอง พระยาจุฬาราชมนตรี (สัน อหะหมัดจุฬา) เป็นบุตรพระยาจุฬาราชมนตรี (สิน อหะหมัดจุฬา) มีชื่อทางศาสนาว่า มิซซา อาลีระชา เกิดเมื่อ พ.ศ. 2411 เริ่มรับราชการเป็นมหาดเล็กในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้เป็นปลัดกรมท่าขวาตำแหน่งหลวงราชาเศรษฐี เมื่อ พ.ศ. 2432 ต่อมาย้ายไปรับราชการกระทรวงยุติธรรมฝ่ายการเงินแล้วเลื่อนขึ้นเป็นจ่าศาลต่างประเทศ ทรงโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้เป็นพระยาจุฬาราชมนตรีเมื่อ พ.ศ. 2454 นอกจากนี้ยังเป็นที่ปรึกษาในด้านศาสนาอิสลามให้กับรัชกาลที่ 6 จนได้รับพระราชทานนามสกุล "อหะหมัดจุฬา" เมื่อ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2456 มีบุตรหลายคน ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อ 22 เมษายน พ.ศ. 2466 รวมอายุได้ 55 ปี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เสด็จมาเป็นประธานในพิธีฝังศพแทนพระองค์ด้วย พระจุฬาราชมนตรี (เกษม อหะหมัดจุฬา) เป็นบุตรพระยาจุฬาราชมนตรี (สิน อหะหมัดจุฬา) กับนางแดง อหะหมัดจุฬา มีชื่อทางศาสนาว่า มุฮัมมัดระชา เกิดเมื่อ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2433 เริ่มรับราชการเป็นมหาดเล็ก ในสมัยรัชกาลที่ 5 ต่อมาได้รับราชการในกระทรวงยุติธรรมสังกัดกรมกองแสตมป์ มีบรรดาศักดิ์เป็น หลวงศรีเนาวรัตน์ ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นจุฬาราชมนตรีเมื่อ พ.ศ. 2466 โดยดำรงตำแหน่งเจ้ากรมกองแสตมป์ สังกัดกระทรวงยุติธรรมด้วย ถึงแก่กรรมเมื่อ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2469 รวมอายุได้ 36 ปี พระจุฬาราชมนตรี (สอน อหะหมัดจุฬา) เป็นบุตรพระยาจุฬาราชมนตรี (สัน อหะหมัดจุฬา) กับคุณหญิงถนอม เกิดเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2437 เข้ารับราชการในกรมท่าขวา ได้เป็นหลวงราชเศรษฐีเมื่อ พ.ศ. 2456 ได้รับการแต่งตั้งเป็นจุฬาราชมนตรีเมื่อ พ.ศ. 2473 ถือเป็นจุฬาราชมนตรีคนสุดท้ายในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ถึงแก่กรรมเมื่อ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2493 รวมอายุได้ 56 ปี ********************************************* หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ตำแหน่งจุฬาราชมนตรีได้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่เคยแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์และเป็นคนในสายสกุลเฉกอะหมัดที่นับถือนิกายชีอะหฺมาตลอด เปลี่ยนมาเป็นการเลือกตั้งโดยตัวแทนคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดและผู้ที่ได้รับเลือกเป็นผู้นับถือนิกายสุหนี่ซึ่งเป็นชนส่วนใหญ่ของมุสลิมในประเทศไทย เริ่มแรกในรัฐบาลของนายปรีดี พนมยงค์ ได้รื้อฟื้นตำแหน่งจุฬาราชมนตรีเมื่อ พ.ศ. 2488 โดยให้เป็นที่ปรึกษาราชการขององค์พระมหากษัตริย์ ในด้านกิจการศาสนาอิสลาม จนกระทั่ง พ.ศ. 2491 รัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้เปลี่ยนให้จุฬาราชมนตรีเป็นที่ปรึกษากรมการศาสนาในกระทรวงศึกษาธิการ หลังจากที่พระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลามประกาศใช้ ได้มีการระบุไว้ในกฎหมายนี้ว่า จุฬาราชมนตรีเป็นผู้นำกิจการศาสนาอิสลามในประเทศไทย มีหน้าที่ดังต่อไปนี้
นอกจากนั้น กฎหมายฉบับนี้ ยังให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยที่มีจุฬาราชมนตรีเป็นประธาน ซึ่งจะมีบทบาทในด้านการบริหารองค์กรศาสนาอิสลามมากกว่า [สำนักจุฬาราชมนตรี] ต่อมามีการประกาศใช้กฎหมายฉบับใหม่คือ พระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 นายสวาสดิ์ สุมาลยศักดิ์ ได้รับเลือกให้เป็นจุฬาราชมนตรีเมื่อ พ.ศ. 2540 ขณะมีอายุได้ 82 ปีเศษ เป็นจุฬาราชมนตรีคนแรกที่ได้รับการเลือกตั้งตามกฎหมายฉบับนี้ และเป็นประธานกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยด้วย โดยดำรงตำแหน่งจนถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2553 [ขอบคุณข้อมูลจาก วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี] | |
http://redusala.blogspot.com |
เจาะเบื้องหลังคลิปฉาวภาค 2 ศึกชิงเก้าอี้ประมุขศาล รธน. | |||
| |||
http://redusala.blogspot.com |
เจาะเครือข่ายขุมทรัพย์ "สนธิ ลิ้มทองกุล | |||
| |||
http://redusala.blogspot.com |
เดินเครื่องยกเลิก112 คืนอิสรภาพสุรชัย | |||
| |||
http://redusala.blogspot.com |
"เปรม จาบจ้วงสถาบันอย่างชัดเจน" แต่ทางรัฐบาลและกองทัพไม่? | |
http://www.thairedsweden.com/2011/04/blog-post_976.htmlนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. แถลงข่าวยืนยันการต่อสู้ของกลุ่ม นปช. ว่า เป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และต่อต้านระบบอำมาตยาธิปไตย ซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องกับสถาบันแต่อย่างใด ยืนยันว่า การต่อสู้ดังกล่าวนั้น เป็นการต่อสู้ทางการเมือง และพร้อมพิสูจน์ทุกข้อกล่าวหา ตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งหลังจากนี้ไป ทางกลุ่ม นปช. จะไม่ออกมาตอบโต้ทางวาจา ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสถาบัน พร้อมยืนยันว่า แกนนำ นปช. ทุกคน ที่ขึ้นเวทีปราศรัย ไม่มีเจตนาจาบจ้วงสถาบันแต่อย่างใด ทางกลุ่ม นปช. เรียกร้องให้ทางรัฐบาลและกองทัพ ออกมาปกป้องสถาบัน ในกรณีของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่ออกมาสนทนากับเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย และถูกนำมาเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ วิกิลีกส์ ซึ่งมีถ้อยคำที่แสดงถึงการจาบจ้วงสถาบันอย่างชัดเจน แต่ทางรัฐบาลและกองทัพไม่ดำเนินคดีใดๆ กับ พล.อ.เปรม ซึ่งแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลและกองทัพ มี 2 มาตรฐาน ส่วนกรณีการลาออกจากการเป็นประธานพรรคเพื่อไทย ของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ทางกลุ่ม นปช. นั้น เคารพการตัดสินใจดังกล่าว และไม่ติดใจแต่อย่างใด ซึ่ง อย่างไรก็ตามนั้น ทางกลุ่ม นปช. ก็ยังสนับสนุนพรรคเพื่อไทย โดยอย่าหวั่นไหวกับสิ่งที่เกิดขึ้น รวมไปถึงสนับสนุนการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย และพร้อมต่อต้านกลุ่มที่มีความคิด จะล้มการเลือกตั้งทุกกรณี (Dialyworldtoday 20-04-54) | |
http://redusala.blogspot.com |
Thai Military make threats against pro-democracy Red Shirts | |
http://redusala.blogspot.com |
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)