25 ม.ค.2559 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า เมื่อเวลา 14.00น. นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ พร้อมนายอานนท์ นำภา ทนายความ เดินทางเข้าแจ้งความที่ สถานีตำรวจภูธรคลองหลวง ดำเนินคดีต่อเจ้าหน้าที่ทหารที่เข้าจับกุมตัวนายสิรวิชญ์เมื่อเวลา 22.30น. ของวันที่ 20 ม.ค. ที่ผ่านมาในความผิดฐาน เจ้าพนักงานปฏิบัติโดยมิชอบและกักขังหน่วงเหนี่ยวและทำร้ายร่างกาย ข่มขืนใจผู้อื่น
โดย นายสิรวิชญ์ ให้การว่าตนถูกเจ้าหน้าที่ทหารจาก ร.2 พัน 2 รอ. เข้าจับกุมระหว่างเดินกลับจากทานอาหารที่บริเวณประตูเชียงราก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิตเมื่อเวลา 22.30 น. เมื่อวันที่ 20 ม.ค. ในการจับกุมมีรถยนต์ 2 คัน ขับมาจอดขวางประตูทางเข้าและมีชายแต่งกายชุดลายพรางทหารสวมหน้ากากสีขาว 4-5 นาย ลงมาจากรถตรงเข้าหานายสิรวิชญ์และบอกให้ขึ้นรถ นยสิรวิชญ์จึงถามว่ามีหมายจับหรือไม่ และใช้อำนาจอะไร แต่ไมได้รับคำตอบ
จากนั้นชายคนดังกล่าวเข้าล็อกตัวและนำตัวนายสิรวิชญ์ขึ้นรถไป เมื่อถูกนำตัวขึ้นไปบนรถแล้วนายสิรวิชญ์ถูกคลุมหน้าด้วยหมวกไหมพรมและใช้ผ้ามัดตาอีกที เขาถูกชายชุดทหารนั่งประกบสองข้างและถูกล็อกแขนไว้ และขับรถพาไปเป็นเวลานาน และเมื่อรถจอดนายสิรวิชญ์ไม่ทราบว่าเป็นสถานที่ใด เขาถูกนำตัวลงจากรถโดยที่ยังถูกปิดตาอยู่ นายสิรวิชญ์เพียงรู้สึกว่าพื้นที่เขาเหยียบเป็นป่าหญ้าสูง เขาถูกล็อกแขนเอาไว้ทั้งสองข้าง และถูกลากไป แล้วถูกบังคับให้นั่งลงกับพื้นแต่เขาไม่ยอมนั่งเพราะว่าคัน จากนั้นมีอีกคนถีบนายสิรวิชญ์จากข้างหลังทำให้ทรุดนั่งลงไป และถูกทุบที่กลางศีรษะ และทุบที่หลังอีก 1 ครั้ง
ชายอีกคนพูดกับนายสิรวิชญ์ว่าจะไปตรวจสอบอุทยานราชภักดิ์อีกไหม สมคบกับนักข่าวให้เป็นประเด็นใช่ไหม ไม่มีศาสนาใช่ไหม ไม่มีศรัทธามึงมันไร้ค่า ทำไมไม่ไปตรวจสอบเรื่องรับจำนำข้าว และชาวคนดังกล่าวได้มาผลักที่ไหล่ของนายสิรวิชญ์อย่างแรงและรู้สึกว่าชายคนดังกล่าวได้เดินออกไป และมีชายอีกคนหนึ่งถือของแข็งมาจิ้มที่ศีรษะหลายครั้ง นายสิรวิชญ์รู้สึกว่าน่าจะเป็นอาวุธปืนและยังได้ยินเสียงกระชากลำกล้องหลายครั้งเพื่อขู่ให้กลัว
นายสิรวิชญ์ถูกปล่อยให้นั่งอยู่ในป่าหญ้าเกือบชั่วโมง จึงถูกนำตัวขึ้นรถอีกครั้งและรถจอดอีกครั้งและถูกนำตัวขึ้นรถยนต์อีกคันหนึ่ง เมื่อรถยนต์ขับออกไปได้ราว15นาที รถยนต์คันที่นายสิรวิชญ์นั่งมาจอดอีกครั้งและเขาถูกนำตัวลงจากรถ จากนั้นจึงถูกถอดหมวกไหมพรมและผ้าปิดตาออก จึงเห็นว่าเป็นสถานีตำรวจนครบาลนิมิตรใหม่ และคนที่ถอดหมวกไหมพรมออกไม่ใช่ทหาร แต่เป็นชายแต่งชุดไปรเวทสวมทับด้วยเสื้อเกราะที่เขียนว่า “POLICE” จากนั้นนำตัวนายสิรวิชญ์ขึ้นไปยังสถานี
เมื่อขึ้นไปบนสถานีแล้วตำรวจได้นำหมายจับแสดงให้นายสิรวิชญ์ดูและถามว่าเป็นบุคคลตามหมายจับใช่หรือไม่ แต่นายสิรวิชญ์ถามว่าใครเป็นคนนำตัวเขามาที่สน.นิมิตรใหม่ ตำรวจตอบว่าทหารเป็นคนเชิญตัวมา จากนั้นตำรวจได้ทำบันทึกจับกุม นายสิรวิชชญ์จึงได้ถามว่าได้รวมถึงขั้นตอนของทหารด้วยหรือไม่ แต่ตำรวจตอบว่าไม่เกี่ยว เป็นเฉพาะของตำรวจ จากนั้นนายสิรวิชญ์จึงถามต่อว่าหมวกไหมพรมที่คลุมหัวเขามาอยู่ที่ไหนแล้วให้เก็บเป็นหลักฐานด้วย แต่ตำรวจก็ตอบว่าให้ลืมๆ ไป รู้กันอยู่ว่าใครมีอำนาจ จากนั้นตำรวจได้นำตัวนายสิรวิชญ์ไปขึ้นรถและพาตัวไปส่งให้พนักงานสอบสวนที่สถานีตำรวจรถไฟธนบุรี พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหา
นายสิรวิชญ์ให้การอีกว่าระหว่างที่ถูกทหารจับกุมตัวไปขึ้นรถยังมีเพื่อนของเขาอีกสองคนที่ไปกินข้าวด้วยกันในวันนั้นเป็นพยาน และไม่มีตำรวจเข้าร่วมการจับกุมนอกจากทหารที่สวมชุดลายพราง 4-5 นาย และใช้รถยนต์ยี่ห้ออีซูซุ มิวเซเว่น สีขาว ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน อีกคันหนึ่งเป็นรถยนต์กระบะแต่ไม่แน่ใจว่าเป็นสีน้ำเงินหรือดำ และทราบว่าเป็นเจ้าหน้าที่ทหารของร.2พัน2รอ. จากสำเนาบันทึกการจับกุมของ สน.นิมิตรใหม่
ด้านพนักงานสอบสวนแจ้งว่าหลังจากนี้จะมีการสอบพยานเพิ่ม ส่วนสำนวนคดีอาจจะมีการส่งสำนวนให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ปปช. เนื่องจากเป็นการกระทำความผิดโดยเจ้าหน้าที่รัฐ
ผู้สื่ข่าวรายงานเพิ่มเติมด้วยว่า ในวันเดียกัน นายสิรวิชญ์ ได้เดินทางเข้าชี้แจงเหตุการณ์ที่ตัวเองถูกอุ้มตัว กับ นายชาลี เจริญลาภนพรัตน์ รองอธิการบดีฝ่ายการนักศึกษาและการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ซึ่งก่อนหน้านั้นได้ให้สัมภาษณ์โดยระบุว่าเจ้าหน้าที่ทำตามขั้นตอน ซึ่งระหว่างที่ นายสิรวิชญ์ ชี้แจงได้มีการนำหมวกไหมพรมมาคลุมทั้งหัวด้วย เพื่อเป็นสัญลักษณ์ รวมทั้งช่วงเช้ากลุ่มประชาชน ในฐานะผู้โดยสารขบวนรถไฟ 255 ซึ่งถูกพนักงานการรถไฟตัดขบวนรถ ระหว่างเดินทางตรวจสอบข้อกล่าวหาทุจริตอุทยานราชภักดิ์ เข้ายื่นหนังสือต่อการรถไฟแห่งประเทศไทยให้สอบข้อเท็จจริง และเอาผิดทางวินัยเจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องด้วย (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)