วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2554


รีบ ๆ ดูภาพหายากคนไทยร่วมแรงร่วมใจฝ่าวิกฤต

ผู้นำยามวิกฤต-นายกรัฐมนตรี ผบ.ทบ.และผู้ว่า กทม.เดินทางมาตรวจการทำงานที่โรงสูบน้ำพระโขนง และอุโมงค์ยักษ์ พระราม9 เพื่อเร่งระบายน้ำออกจาก กทม. (ที่มา:facebook Yingluck Shinawatra )

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
24 ตุลาคม 2554

ภาครัฐ-ภาคเอกชน:เรียกเจ้าของห้างคุยอย่าให้สินค้าขาดแคลนซ้ำเติมคนไทย

วันนี้นายกรัฐมนตรีประชุมสมาคมผู้ค้าปลีกไทย Makro, Tesco, Big C, Tops & Watson เพื่อขอความร่วมมือในการบริหารจัดการและกระจายสินค้าให้ถึงมือผู้บริโภคและผู้ประสบภัย (ที่มา:facebook Yingluck Shinawatra)


ภาคประชาชน:แถลงการณ์ฉบับที่ 1 ถึงผู้ประสบภัย,เจ้าของหอ และรัฐบาล

ภาพข่าวและคลิปYoutubeโดย prainn2011


วันนี้มีแถลงการณ์ ศปภ.ภาคประชาชนฉบับที่ 1 โดยสมบัติ บุญงามอนงค์ ประธานมูลนิธิกระจกเงา เมื่อเวลา 11.20 น. ณ ศปภ.ดอนเมือง ดังนี้

ให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย เตรียมความพร้อม ดังต่อไปนี้

1. เก็บของมีค่าไว้ในที่สูงหรือฝากเพื่อนบ้าน หรือไปอยู่ในที่ไม่เสี่ยงภัย
2. จอดรถในพื้นที่สูงและไม่ควรจอดบนสะพานหรือทางด่วน ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อการสัญจรในสภาวะวิกฤติ หรือควรไปต่างจังหวัด
3. ให้ตัดกระแสไฟฟ้าบ้านทันทีเมื่อน้ำท่วมถึงหรือทำการแก้ไขระบบไฟฟ้าให้ปลอดภัย โดยตัดกระแสไฟบ้านชั้นที่1 หรือในพื้นที่ที่เสี่ยง
4. ให้ออกนอกพื้นที่ก่อนที่น้ำจะท่วมถึง โดยการไปอาศัยกับญาติพี่น้อง หรือเพื่อนในต่างจังหวัดที่อยู่ในพื้นที่ปลอดภัย

ให้บริษัทฯ ห้างร้าน นายจ้าง ช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างเต็มที่ เช่น

1. ให้ผู้ประกอบการ อพาร์ทเมนต์ หอพัก คอนโด งดการเก็บเงินค่าเช่าห้องล่วงหน้า หรือเงินประกันสำหรับผู้เดือดร้อนจากอุทกภัย
2. ประกาศเป็นวันหยุด เพื่อให้ลูกจ้างที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยง ได้เตรียมความพร้อมหรือเดินทางออกต่างจังหวัดไปอยู่ในที่ปลอดภัย

เสนอแนะต่อรัฐบาล ดังนี้

1. รบ.ควรส่งเสริมและสนับสนุนให้ปชช.ในพื้นที่เสี่ยงเดินทางไปท่องเที่ยวในตจว.หรือพื้นที่ปลอดภัย โดยให้ททท.จัดแพ็คเก็จในราคาถูกให้ผู้ประสบภัย
2. ให้ภูมิภาคต่างๆที่ประกอบการท่องเที่ยวจัดโปรแกรมท่องเที่ยวพิเศษ เพื่อต้อนรับผู้ประสบภัยให้ท่องเที่ยวในประเทศ
3. รัฐบาลต้องดำเนินการควบคุมการขายสินค้าอย่างเคร่งครัด

จบแถลงการณ์ศปภ.ภาคประชาชน


ภาคพลเมือง:ไม่เลือกสีหรือฝ่ายในการช่วยเหลือ


นายแพทย์พงษ์ศักดิ์ ภูสิทธิ์สกุล ผู้ประสานงานคนเสื้อแดงราชบุรีกล่าวแสดงความเห็นว่า ได้ติดต่ามข่าวเรื่องสลิ่มตั้งประเด็นโจมตีว่า แดงช่วยแต่แดง แล้วรู้สึกสมเพช ไม่รู้ว่าคนพวกนี้ จิตใจยังเป็น"คน"อยู่หรือเปล่า ในยามนี้ คนไทยทั้งหลาย ไม่ว่าจะสีอะไร กลุ่มใด คงไม่มีใครคิดต่ำ คิดทรามได้เหมือนพวกนี้อีกแล้ว

ตัวอย่างเช่นที่พวกเรา"แดงราชบุรี รวบรวมสิ่งของบริจาคได้แล้วไปช่วยผู้ประสบภัยที่อยุธยา ไปช่วยกัน ไม่มีใครแม้แต่คนเดียว ที่จะคิดหรือถามว่า ชุมชนที่เราไปช่วยนี่แดงหรือไม่แดง ช่วยใครได้ก็ช่วยกันไปเลย

ผมฝากรูปให้ดู จะเห็นว่า พี่น้องประชาชนที่มารับของช่วยนั้น ไม่มีใครใส่เสื้อแดงมาเลย แต่แน่นอน พี่น้องที่ออกไปช่วยๆกัน ทุกคนเป็นคนเสื้อแดง การใส่แดงออกช่วยน้ำท่วม ผมว่าเป็นความภูมิใจในความเป็นคนเสื้อแดงของหมู่คณะ และเป็นความรู้สึกว่าเป็นพวกเราเป็นเสมือนตัวแทนของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่มาแสดงน้ำใจ รวมกันช่วยพี่น้องที่ประสบภัยน้ำท่วมโดยไม่เลือกสีเลือกข้าง

กลุ่มเส้นทางสีแดงปลื้มคนเสื้อเหลืองร่วมบริจาค

กลุ่มเส้นทางสีแดงรายงานการจัดกิจกรรมปั่นจักรยานจากราชประสงค์ถึงดอนเมือง เมื่อวานนี้ว่า พวกเราพร้อมกันในเวลา 9.00 น.ที่หน้าเวิลด์เทรดตามกำหนด มีทั้งสมาชิกเก่าและใหม่มาร่วมกิจกรรม มีทั้งนักปั่นจักรยานที่เป็นอดีตนายทหารอากาศ ทหารบก อดีตสารวัตรตำรวจตระเวณชายแดนที่เกษียนอายุ ทั้งพ่อค้าแม่ขายมาร่วมทำกิจกรรมนี้ เริ่มมีผู้ทยอยนำสิ่งของบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสพภัยน้ำท่วม


ที่น่าสนใจมากคือมีผู้หญิงที่ใส่เสื้อเหลืองนำนมผงยี่ห้อเอ็นฟาโกรจำนวน 96 กล่องมูลค่าเกือบหนึ่งหมื่นสี่พันบาทมาให้ตามรูปถ่าย

พวกเราได้รับการสนับสนุนรถโมบายติดเครื่องขยายเสียงจากสส.ฉะเชิงเทราที่ส่งเข้าร่วมกิจกรรม รวมถึงรถหกล้อ และรถกระบะหลายคันที่มาช่วยขนสิ่งของบริจาค มีพี่ๆน้องๆในเฟซบุ้คหลายคนมาร่วมทำกิจกรรมรวมถึงคุณจอย ติตัส


ขบวนเคลื่อนออกจากราชประสงค์ในเวลาประมาณ 10.30 น.และมุ่งหน้าไปประตูน้ำ และแวะจุดแรกที่ตลาดโบ๊เบ้ มีพ่อค้าแม่ขยายที่ตลาดโบ๊เบ๊น้ำสิ่งของมาบริจาคจำนวนมาก

โบ๊เบ๊เป็นแหล่งขายส่งเสื้อผ้ารายใหญ่ของประเทศ มีพ่อค้าบางคนนำเสื้อเหลืองมาบริจาคให้พวกเราประมาณ 12 โหล

จากโบ๊เบ้มุ่งหน้าเยาวราช เมื่อถึงเยาวราชดีเจหนุ่มแอลเอได้ประกาศขอรับบริจาคโดยไม่แบ่งแยกสีเสื้อ เขาบอกว่าในวันนี้คนไทยต้องเก็บความแตกต่างทางอุดมการณ์ไว้ก่อน โยนสีเสือทิ้งและร่วมมือกันช่วยเหลือคนไทยทุกคนที่เดือดร้อนเพราะน้ำท่วม พูดจบมีผู้หญิงใส่เสื้อเหลืองกระโดดขึ้นไปบนรถโมบายร่วมร้องเพลงน้ำท่วมกับดีเจหนุ่มแอลเอ ภาพนี้ประทับใจคนที่เห็นเหตุการณ์มาก

ในเวลาบ่ายพวกเราได้มุ่งหน้าอนุสาวรีย์ชัยฯ ได้นำรถโมบายและรถหกล้อรับสิ่งของบริจาคไปจอดที่บริเวณป้ายรถเมล์ พวกเราทุกคนได้ลงจากรถและแยกย้ายออกเป็น 2 สาย และได้เดินขอรับบริจาคจากคนไทยที่อยู่บริเวณนั้น ทั้งผู้ที่สัญจรไปมา พ่อค้าแม่ขาย ได้บันทึกภาพและรอยยิ้่มที่ที่น่าประทับใจทั้งผู้ให้และผู้รับ จากนั้นได้มุ่งหน้าตลาดจตุจักร และตระเวณเข้าไปรับน้ำใจถึงด้านในของตลาด มีทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ความสนใจกิจกรรมนี้

ภาพที่น่าประทับใจมากที่สุดในกิจกรรมครั้งนี้เกิดขึ้นที่นี่ ขณะที่พวกเราเดินขอรับบริจาคน้นได้มีเด็กผู้ชายคนหนึ่ง อายุไม่เกิน 8 ขวบใบหน้าและลำแขนมีรอยแผลเป็นจากไฟไหม้ น้องคนนี้เป่าแคนขอเงินบริจาคจากผู้ผ่านไปผ่านมา พอได้ยินเสียงของพวกเราที่ช่วยกันร้องบอกว่ามาขอรับน้ำใจเพื่อนำไปมอบให้กับผู้ที่ประสพภัยน้ำท่วมที่ศปภ.ดอนเมืองก่อนหกโมงเย็น น้องคนนี้หยุดเป่าแคนและหยิบเงินบริจาคของเขามามอบให้เราเป็นจำนวน 40 บาท และวิ่งไปเป่าแคนต่อ พวกเราถ่ายภาพที่ิน้องคนนี้เอาเงิน 40 บาทหยอดตู้ไม่ทัน แต่ได้ถ่ายภาพเด็กคนนี้พร้อมกับแคนคู่ชีพไว้เป็นที่ระลึก

หลังจากนั้นพวกเราได้มุ่งหน้าไปที่ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสพอุทกภัยน้ำท่วมที่ดอนเมืองเพื่อนำเงินและสิ่งของบริจาคไปมอบให้ก่อน 6 โมงเย็น ถึงศปภ.ดอนเมืองในเวลา 17.30 น.ได้รวบรวมสิ่งของบริจาคทั้งหมดมอบให้กับศปภ.บริเวณชั้นล่าง และนำเงินบริจาคทั้งหมดไปมอบให้กับกองอำนวยการของศปภ.

มีเจ้าหน้าที่ของกองอำนวยการมานับเงินบริจาคให้ ได้ทั้งหมดจำนวน 40,083.75 บาท (สี่หมื่นแปดสิบสามบาทเจ็ดสิบห้าสตางค์) ออกใบเสร็จรับเงินโดยกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสพภัยสำนักนายกรัฐมนตรี เล่มที่ 293 เลขที่ 9 มีผู้อำนวยการกองคลังเซ็นต์รับ

ขอบคุณเสธดำ คุณหนุ่มแอลเอ คุณจอย ติตัส คุณโต คุณครีม และพี่ๆน้องๆลุงป้าน้าอาทุกคนที่ได้เสียสละเวลาและแรงกายมาทำกิจกรรมในครั้งนี้


ภาคต่างประเทศ:น้ำตาท่วมเมืองไทย-น้ำใจท่วมแอลเอ ผ้าป่ามหากุศลคนรักบ้่านเกิดผนึกทุกศาสนาสู่ผู้ประสบภัยข้ามทวีป


ผ้าป่ามหากุศล กลุ่มรักบ้านเกิด - Heart for Homeland วัดพุทธ - โบสถ์คริสต์ - มัสยิดไทย ทั่วแอลเอ ร่วมเป็นเจ้าภาพ



ชาวไทยนอกประเทศ ซึ่งอาศัยในท้องที่มหานครลอส แองเจลีส สหรัฐอเมริกา และใกล้เคียง ได้รวมตัวเฉพาะกิจในนาม “กลุ่มรักบ้านเกิด” หรือ Heart for Homeland ด้วยการสนับสนุนจากวัดพุทธ 9 แห่ง โบสถ์คริสต์เมืองแวนนายส์ และมัสยิดไทยในพื้นที่ ร่วมกันทอดผ้าป่ามหากุศล 500 กอง เป็นเวลา 5 สัปดาห์ เพื่อระดมทุนช่วยพี่น้องคนไทยผู้ประสบอุทกภัย

โดยจัดกระถางรับบริจาคพร้อมโปสเตอร์สีสวยงามวางไว้ตามจุดต่าง ๆ กระจายไปทั่วอาณาบริเวณ ให้เข้าถึงผู้มีจิตศรัทธาบริจาคอย่างถ้วนทั่วที่สุด

การนี้รายรับจากการบริจาคทั้งหมด ไม่มีการหักค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น จะนำมอบให้แก่ ศูนย์อำนวยการป้องกันอุทกภัย (ศปภ.) โดยผ่านทางสถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอส แองเจลีส โดยที่คณะกรรมการร่วมกันรับภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และชักชวนธุรกิจ พร้อมผู้มีจิตกุศลให้การสนับสนุนทางการเงินด้วย

ทั้งนี้ได้มีการแบ่งหน้าที่ดูแลกระถางผ้าป่า และการจัดเก็บออกเป็น 5 เขต อีกทั้งมีกรรมการตรวจสอบ และรับมอบก่อนส่งให้แก่สถานกงสุลอย่างโปร่งใส ซึ่งมาจากตัวแทนของภาคส่วนต่างๆ ที่มาร่วมมือกันเป็นอันหนึ่งเดียวนี้

จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความพร้อมใจของคนไทยภาคส่วนต่างๆ ในนครลอส แองเจลีส จะเป็นพลังหนุนกำลังใจแก่ผู้ประสพภัยพิบัติในประเทศให้ยืนหยัดเผชิญกับความเสียหายอย่างสุขุมมั่นคงจนกว่าจะผ่านพ้นไป อีกทั้งเป็นปัจจัยเกื้อกูลในส่วนที่ขาดแคลน ต้องฟื้นฟู และเยียวยา

นอกเหนือจากนั้นยังเชื่อว่ากิจกรรมอันร่วมกันกระทำเพื่อพี่น้องร่วมชาติถ้วนหน้าครั้งนี้จักก่อให้เกิดความร่วมใจในวงกว้างในหมู่ผู้บริจาค หรือเพียงแต่อนุโมทนา อันจะทำให้ประเทศชาติของเราก้าวพ้นวิกฤติไปสู่อนาคตอันสดใสข้างหน้าอย่างสมานฉันท์

คณะกรรมการที่ปรึกษา

เจ้าอาวาสวัดไทยลอสแองเจลิส
เจ้าอาวาสวัดป่าธรรมชาติ
เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายแคลิฟอร์เนีย
เจ้าอาวาสวัดพุทธวิปัสสนา
เจ้าอาวาสวัดโพธิวารีรังสฤษฏ์
เจ้าอาวาสวัดสุทธาวาส
เจ้าอาวาสวัดพุทธคุณ
เจ้าอาวาสวัดพุทธธัมโม
เจ้าอาวาสวัดมอญรามัญ
พระมหาบุญเริ่ม กิตฺติญาโณ
อนุศาสนาจารย์โบสถ์ Van Nuys
อิหม่ามเราะห์มัติ พโยม พยกุล
กงสุลใหญ่ ณ นครลอสแองเจลิส
สุรพล เมฆพงษ์สาธร
เชาว์ ซื่อแท้
ชัชวาลย์ ศรีพาณิชย์
เพ็ญพิมพ์ จิตรธร
สุรพงษ์ ชิโนทัยกุล
ประสงค์ สุวรรณพานิช
ไพรัช พันธุ์นรา

คณะกรรมการดำเนินงาน

ดอลลี่ ไพรสุวรรณ-วรฉัตร
วาสนา อารยตานนท์
รุจิราภา พัฑฒนะ
ประสงค์ จตุระบุล
ลิลลี่ เลิศสมิติวันท์
สุ พงศ์
สุกิจ วราปัญญาเสนีย์
เนตร ภูตินันท์
นิยม วันทนา
สุพัตรา กฤติยาชวลิต


"น้ำตาท่วมเมืองไทย น้ำใจท่วมแอลเอ"

แดงนิวยอร์คจัดงาน29ตุลาฯช่วยน้ำท่วม
แดงนิวยอร์ค จัดงาน ขอเชิญชวน ร่วมบริจาค ช่วยผู้ประสปภัยน้ำท่วม 29 ตุลาคม 2554

*******
เรื่องเกี่ยวเนื่อง:อีกหนึ่งกิจกรรมที่LA(คลิ้กดูรายละเอียดในโปสเตอร์ด้านล่าง)
http://redusala.blogspot.com

ไทยในLAแห่กลองยาวทอดผ้าป่าซับน้ำตาข้ามทวีป



เพื่อนมนุษยชาติร่วมโลกส่งข้อความให้กำลังใจชาวไทยที่ประสบพิบัีติภัยน้ำท่วมครั้งใหญ่(ที่มา:ประชาทอล์ก)


โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
25 ตุลาคม 2554

พี่น้องชาวไทยในสหรัฐฯได้จัดกิจกรรมระดมทุนส่งมาช่วยเหลือผู้ประสบภัียน้ำท่วม โดยเมื่อวันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคมที่ผ่านมา คนไทยในมหานครลอสแอนเจิลลีสในนาม"กลุ่มรักบ้านเกิด - Heart for Homeland" ได้จัดขบวนแห่กลองยาวที่ไทยแลนด์พลาซ่า บนถนนฮอลลีวู้ด โดยมีน้อง ๆ นักเรียนแผนกดนตรีไทยของวัดไทยใน แอลเอ และจาก Pasadena City College มาร่วมขบวนด้วย

เพื่อนำกล่องรับบริจาคพร้อมโปสเตอร์สีสวยงามไปวางไว้ตามจุดต่างๆ กระจายไปทั่วอาณาบริเวณธุรกิจของคนไทยย่านไทยทาวน์ บนถนนฮอลลีวู้ด ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดียิ่งจากทุกท่านในละแวกนั้นเป็นอย่างดียิ่ง

รายได้ทั้งหมดไม่มีการหักค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น จึงขอเชิญชวนนักธุรกิจไทย และพี่น้องชาวไทย รวมทั้งพี่น้องมนุษยชาติในย่านนี้ร่วมบริจาคเพื่อการนี้ได้ตามกล่องบริจาคที่ตั้งไว้

ชมภาพชุด





ผ้าป่ามหากุศล กลุ่มรักบ้านเกิด - Heart for Homeland วัดพุทธ - โบสถ์คริสต์ - มัสยิดไทย ทั่วแอลเอ ร่วมเป็นเจ้าภาพ



ชาวไทยนอกประเทศ ซึ่งอาศัยในท้องที่มหานครลอส แองเจลีส สหรัฐอเมริกา และใกล้เคียง ได้รวมตัวเฉพาะกิจในนาม “กลุ่มรักบ้านเกิด” หรือ Heart for Homeland ด้วยการสนับสนุนจากวัดพุทธ 9 แห่ง โบสถ์คริสต์เมืองแวนนายส์ และมัสยิดไทยในพื้นที่ ร่วมกันทอดผ้าป่ามหากุศล 500 กอง เป็นเวลา 5 สัปดาห์ เพื่อระดมทุนช่วยพี่น้องคนไทยผู้ประสบอุทกภัย

โดยจัดกระถางรับบริจาคพร้อมโปสเตอร์สีสวยงามวางไว้ตามจุดต่าง ๆ กระจายไปทั่วอาณาบริเวณ ให้เข้าถึงผู้มีจิตศรัทธาบริจาคอย่างถ้วนทั่วที่สุด

การนี้รายรับจากการบริจาคทั้งหมด ไม่มีการหักค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น จะนำมอบให้แก่ ศูนย์อำนวยการป้องกันอุทกภัย (ศปภ.) โดยผ่านทางสถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอส แองเจลีส โดยที่คณะกรรมการร่วมกันรับภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และชักชวนธุรกิจ พร้อมผู้มีจิตกุศลให้การสนับสนุนทางการเงินด้วย

ทั้งนี้ได้มีการแบ่งหน้าที่ดูแลกระถางผ้าป่า และการจัดเก็บออกเป็น 5 เขต อีกทั้งมีกรรมการตรวจสอบ และรับมอบก่อนส่งให้แก่สถานกงสุลอย่างโปร่งใส ซึ่งมาจากตัวแทนของภาคส่วนต่างๆ ที่มาร่วมมือกันเป็นอันหนึ่งเดียวนี้

จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความพร้อมใจของคนไทยภาคส่วนต่างๆ ในนครลอส แองเจลีส จะเป็นพลังหนุนกำลังใจแก่ผู้ประสพภัยพิบัติในประเทศให้ยืนหยัดเผชิญกับความเสียหายอย่างสุขุมมั่นคงจนกว่าจะผ่านพ้นไป อีกทั้งเป็นปัจจัยเกื้อกูลในส่วนที่ขาดแคลน ต้องฟื้นฟู และเยียวยา

นอกเหนือจากนั้นยังเชื่อว่ากิจกรรมอันร่วมกันกระทำเพื่อพี่น้องร่วมชาติถ้วนหน้าครั้งนี้จักก่อให้เกิดความร่วมใจในวงกว้างในหมู่ผู้บริจาค หรือเพียงแต่อนุโมทนา อันจะทำให้ประเทศชาติของเราก้าวพ้นวิกฤติไปสู่อนาคตอันสดใสข้างหน้าอย่างสมานฉันท์

คณะกรรมการที่ปรึกษา 

เจ้าอาวาสวัดไทยลอสแองเจลิส
เจ้าอาวาสวัดป่าธรรมชาติ
เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายแคลิฟอร์เนีย
เจ้าอาวาสวัดพุทธวิปัสสนา
เจ้าอาวาสวัดโพธิวารีรังสฤษฏ์
เจ้าอาวาสวัดสุทธาวาส
เจ้าอาวาสวัดพุทธคุณ
เจ้าอาวาสวัดพุทธธัมโม
เจ้าอาวาสวัดมอญรามัญ
พระมหาบุญเริ่ม กิตฺติญาโณ
อนุศาสนาจารย์โบสถ์ Van Nuys
อิหม่ามเราะห์มัติ พโยม พยกุล
กงสุลใหญ่ ณ นครลอสแองเจลิส
สุรพล เมฆพงษ์สาธร
เชาว์ ซื่อแท้
ชัชวาลย์ ศรีพาณิชย์
เพ็ญพิมพ์ จิตรธร
สุรพงษ์ ชิโนทัยกุล
ประสงค์ สุวรรณพานิช
ไพรัช พันธุ์นรา

คณะกรรมการดำเนินงาน 

ดอลลี่ ไพรสุวรรณ-วรฉัตร
วาสนา อารยตานนท์
รุจิราภา พัฑฒนะ
ประสงค์ จตุระบุล
ลิลลี่ เลิศสมิติวันท์
สุ พงศ์
สุกิจ วราปัญญาเสนีย์
เนตร ภูตินันท์
นิยม วันทนา
สุพัตรา กฤติยาชวลิต


"น้ำตาท่วมเมืองไทย น้ำใจท่วมแอลเอ"

แดงนิวยอร์คจัดงาน29ตุลาฯช่วยน้ำท่วม
เสื้อแดงนิวยอร์ค จัดงานช่วยน้ำท่วม ขอเชิญชวนชาวไทยในนิวยอร์ก ร่วมบริจาค ช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม 29 ตุลาคม 2554 นี้(คลิ้่กที่ภาพดูรายละเอียด)

*******
เรื่องเกี่ยวเนื่อง:อีกหนึ่งกิจกรรมที่LA ในวันที่ 31 ตุลาคมนี้ (คลิ้กดูรายละเอียดในโปสเตอร์ด้านล่าง)

-ภาพหายากคนไทยร่วมแรงร่วมใจฝ่าวิกฤต
http://redusala.blogspot.com

ฝรั่งคาใจภาพปริศนามาร์คพบปธน.มัลดีฟ

ล่าสุด Andrew Spooner เขียนบทความเรื่องนี้ต่อเนื่องเป็นตอนที่ 3โดยตั้งข้อสังเกตภาพที่นายศิริโชคนำมาเผยแพร่ทางทวิตเตอร์ว่า นายอภิสิทธิ์อยู่ในชุดที่ไม่เป็นทางการเอามากๆ ทั้งเสื้อผ้าลินินที่ใส่ลอยชายและยับย่น ซึ่งชาวพรรคประชาธิปัตย์อ้างภาพถ่ายนี้เป็นหลักฐานการเข้าพบกับประธานาธิบดีมัลดีฟอย่างเป็นทางการ เสียทีแต่้ไม่ยอมบอกว่าถ่ายเอาไว้ตอนไหน ทำไมการเข้าพบนี้จึงไม่ปรากฎในข่าวเข้าเยี่ยมคารวะในเว็บไซต์ของประธานาธิบดีมัลดีฟเลย

เปรียบเทียบภาพปธน.มัลดีฟรับแขกเมืองช่วง19-24ต.ค.54

ปธน.มัลดีฟต้อนรับอดีตรัฐมนตรีคลังมาเลเซีย 24 ต.ค.(ที่มา:presidencymaldives)

ปธน.มัลดีฟต้อนรับทูตอิหร่าน 23 ต.ค.(ที่มา:presidencymaldives)
ปธน.มัลดีฟต้อนรับรัฐมนตรีช่วยสื่อสารของญี่ปุ่น 19 ต.ค.(ที่มา:presidencymaldives.gov )
ปธน.มัลดีฟต้อนรับทูตจีนคนใหม่ 19 ต.ค.(ที่มา:presidencymaldives)

ปธน.มัลดีฟต้อนรับอดีตนายกฯไทย ไม่ระบุวันที่ (ที่มา:ศิริโชค โสภา คนใกล้ชิดนายอภิสิทธิ์ได้โพสต์ลงทวีตเตอร์)

การแต่งกายเสื้อเชิ้ตขาวและไทแบบเดียวกับที่ปธน.มัลดีฟถ่ายคู่กับนายอภิสิทธิ์ ปรากฎในข่าวโปรโมตการเป็นผู้แสดงภาพยนตร์เรื่อง The Island Presidentภาพยนตร์สารคดีต่อสู้กับภาวะโลกร้อน กำหนดฉาย 8 พ.ย.ที่จะถึงนี้ในเทศกาลหนังสารคดีที่นิวยอร์ก ภาพยนตร์ถูกถ่ายทำในปี2009 ส่วนภาพใส่เชิ้ตขาวและไทแบบที่พบกับนายอภิสิทธิ์ไม่แน่ชัดว่าถ่ายไว้เมื่อใด แต่เว็บไซต์ thenational โพสต์ไว้เมื่อวันที่ 14 กันยายนที่ผ่านมานี้

ฺิชัวร์หรือไม่ ใช่หรือมั่ว?-นายศิริโชค โสภา ส.ส.ประชาธิปัตย์คนสนิท นายอภิสิทธิ์ได้โพสต์รูปนายอภิสิทธิ์พบกับประธานาธิบดีมัลดีฟลงทางทวิตเตอร์ (รูปล่างสุด) แต่ก็เกิดคำถามสำคัญตามมาอีกว่า ทำไมข่าวการพบของอดีตนายกฯไทยไม่มีความสำคัญพอที่ทำเนียบประธานาธิบดีมัลดีฟจะนำไปลงข่าวเว็บไซต์ทางการของประธานาธิบดีเหมือนแขกเมืองรายอื่นๆ ที่บางรายเป็นเพียงอดีตรัฐมนตรีคลังประเทศเพื่อนบ้านของไทย และสังเกตการแต่งกายของปธน.มัลดีฟพบปะแขกเมืองรายอื่นก็จะพบว่าเป็นทางการ ต่างจากภาพพบนายอภิสิทธิ์ ลักษณะแต่งกายคล้านกับตอนถ่ายทำภาพยนตร์สารคดีเมื่อ 2 ปีก่อน
ปธน.Mohamed Nasheed อายุ 44 ในปีนี้ (เกิดปี ค.ศ. 1967 ปีเดียวกับนายศิริโชค หลังนายอภิสิทธิ์ 3 ปี) มีการศึกษาตั้งแต่เด็กจนจบระดับปริญญาตรีในอังกฤษเช่นเดียวกับนายอภิสิทธิ์และนายศิริโชค แต่คนละสถาบัน เป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยคนสำคัญ ถูกอดีตรัฐบาลเผด็จการจับกุมคุมขัง 3 ครั้ง เคยลี้ภัยไปอยู่อังกฤษ ก่อนชนะเลือกตั้งเหนือผู้เผด็จการที่ครองอำนาจมานาน30ปีแบบสันติในปี2008 นิตยสารNewsweekยกย่องให้เขาเป็น1ใน10ผู้นำที่ดีที่สุดของโลก(ที่มา:ประวัติของ President Mohamed Nasheed)
***


โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
26 ตุลาคม 2554

หลังจากถูกนักข่าวต่างประเทศตั้งข้อสงสัยว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เข้าพบหารือกับประธานาธิบดีมัลดีฟจริงหรือไม่ เพราะไม่มีกำหนดการเข้าพบอย่างเป็นทางการ

วันนี้ (26 ตุลาคม) นายศิริโชค โสภา ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ คนใกล้ชิดนายอภิสิทธิ์ ได้ทวีตภาพนายอภิสิทธิ์ ถ่ายภาพคู่กับนายโมฮัมเหม็ด นาชีด (Mohamed Nasheed) ประธานาธิบดีมัลดีฟส์ พร้อมกับข้อความว่า "ผู้นำฝ่ายค้านหารือปัญหาน้ำท่วมกับปธนมัลดิฟประเด็นที่มัลดีฟได้เงิน100 ล้านบาทจากUNDP เพื่อแก้ไขปัญหาโลกร้อนและน้ำท่วม "

ก่อนหน้านี้ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงยอมรับว่านายอภิสิทธิ์ เดินทางไปมัลดีฟส์จริง โดยเป็นไปตามคำเชิญของประธานาธิบดีมัลดีฟส์ และมีการหารือเรื่องปัญหาน้ำท่วมกันเป็นหลัก แต่ผู้สื่อข่าวต่างประเทศคือAndrew Spooner แห่งเว็บไซต์Asiancorrespondent.comตั้งข้อสงสัยว่า จริงหรือ?ิเพราัะเมื่อตรวจสอบในหมายกำหนดการที่เป็นทางการของประธานาธิืบดีมัลดีฟช่วงวีนที่ 20-23 ตุลาคมที่นายอภิสิทธิ์เดืนทางไปที่เกาะแห่งนี้ ไม่พบกำหนดการเข้าพบหารือกับประธานาธิบดีมัลดีฟแต่อย่างใด

ล่าสุด Andrew Spooner เขียนบทความเรื่องนี้ต่อเนื่องเป็นตอนที่ 3 โดยตั้งข้อสังเกตภาพที่นายศิริโชคนำมาเผยแพร่ทางทวิตเตอร์ว่า นายอภิสิทธิ์อยู่ในชุดที่ไม่เป็นทางการเอามากๆ ทั้งเสื้อที่ใส่ลอยชายและยับย่น ซึ่งชาวพรรคประชาธิปัตย์อ้างภาพถ่ายนี้เป็นหลักฐานการเข้าพบกับประธานาธิบดีมัลดีฟอย่างเป็นทางการ เสียทีแต่้ไม่ยอมบอกว่าถ่ายเอาไว้ตอนไหน ทำไมการเข้าพบนี้จึงไม่ปรากฎในข่าวเข้าเยี่ยมคารวะในเว็บไซต์ของประธานาธิบดีมัลดีฟเลย ทำไมอภิสิทธิ์และชาวประชาธิปัตย์ถึงได้ปกปิดกำหนดการนี้ และไม่สามารถอธิบายแจกแจงได้เมื่อกลับมาถึงเมืองไทย มีคำถามตั้งมากมาย และความรับผิดชอบ ตลอดทั้งความโปร่งใสจากอภิสิทธิ์ที่ต้องอธิบาย

นายอภิสิทธิ์สู้อุตส่าห์บินไปบินมาตั้ง2วันเพื่อขอทราบประสบการณ์แก้น้ำท่วมจากประธานาธิบดีมัลดีฟ แบบนี้จะทันการณ์ดอกหรือ หากจะยังงั้นไม่สู้รอจนน้ำลดซะก่อนเลยหละ แทนที่จะลำบากขนาดนั้นทำไม่ยกหูโทรศัพท์หาประธานาธิบดีมัลดีฟ ก็ได้์เรื่องเหมือนกันและทันการณ์กว่า

หากชาวประชาธิปัตย์จะมีหลักฐานของการเดินทางเข้าพบประธานาธิบดีมับลดีฟอย่างเป็นทางกา่ร เราจึุงควรเชื่อเรื่องนี้อย่างที่พวกเขาอยากให้เชืื่อ ไม่ใช่การนำเสนอความจริงเพียงครึ่งเดียว และปฏิเสธอย่างไร้สาระในการแก้ตัวด้วยภาพถ่ายใบเดียว

อย่างไรก็ดี Andrew Spooner ยังติดใจเรื่องเว็บไซต์ทำเนียบประธานาธิบดีมัลดีฟไม่ได้ลงข่าวคราวการเข้าเยี่ยมคำนับหารือของอดีตนายกรัฐมนตรีไทย หากมีการเดินทางไปพบจริงเหมือนภาพถ่ายที่นายศิริโชคนำมาอ้าง เพราะขนาดอดีตรัฐมนตรีคลังมาเลเซียเข้าเยี่ยมคำนับก็ยังลงข่าวไว้ หรือเพราะประธานาธิบดีมัลดีฟอับอายที่ต้องให้ใครรู้ว่าคบหาสมาคมกับอดีตนายกรัฐมนตรีไทยผู้รับผิดชอบสั่งการการสังหารพลเรือน 85 รายในกรุงเทพฯเมื่อปีกลาย เลยสู้ไม่ยอมเผยแพร่ข่าวซะจะดีกว่า

ซึ่งว่าไปแล้วก็อาจเป็นไปได้หากพิจารณาจากปูมประวัติการเมืองของ ปธน.Mohamed Nasheed อายุ 44 ในปีนี้ (เกิดปี ค.ศ. 1967 ปีเดียวกับนายศิริโชค หลังนายอภิสิทธิ์ 3 ปี) มีการศึกษาตั้งแต่เด็กจนจบระดับปริญญาตรีในอังกฤษเช่นเดียวกับนายอภิสิทธิ์และนายศิริโชค แต่คนละสถาบัน เป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยคนสำคัญ ถูกอดีตรัฐบาลเผด็จการจับกุมคุมขัง 3 ครั้ง เคยลี้ภัยไปอยู่อังกฤษ ก่อนชนะเลือกตั้งเหนือผู้เผด็จการที่ครองอำนาจมานาน30ปีแบบสันติในปี2008 นิตยสารNewsweekยกย่องให้เขาเป็น1ใน10ผู้นำที่ดีที่สุดของโลก(ที่มา:ประวัติของ President Mohamed Nasheed)
http://redusala.blogspot.com

ร้าวลึกการเมืองเรื่องน้ำท่วมนับถอยหลังพังกันไปข้าง

การไม่หยุดปัดแข้งปัดขาแม้ในสภาวะวิกฤตที่สุดของชาติ แสดงให้เห็นถึงความจริงข้อหนึ่งของประเทศไทย ที่ว่าความแตกแยกในสังคมไทยตอนนี้มันบาดลึกยากเยียวยา เสียจนทำให้ ความเชื่อทางการเมือง สามารถอยู่เหนือ ความรับผิดชอบต่อสาธารณะ และ ความฉุกเฉินในการเยียวยาประเทศได้



ประเทศไทยไม่ได้เป็นประเทศที่ประชาชนยินดีที่จะทิ้งความแตกแยกไว้ข้างหลังแล้วจับมือฟันฝ่ามหันตภัยไปด้วยกันอีกต่อไปแล้ว การอาศัยภัยภิบัติของชาติเพื่อกำจัดศัตรูทางการเมืองจึงกลายเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ในปัจจุบัน-ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์’ นักวิจัยจากสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาแห่งสิงคโปร์



ความขัดแย้งทางการเมืองในหลายปีที่ผ่านมา ยัง "ร้าวลึก" เพราะขนาดน้ำท่วมระดับ "หายนะ" เช่นนี้ ความขัดแย้งก็ยังแสดงออกรุนแรงมาก...ลำพังการชูเรื่อง "ปรองดอง" นี่ มันคงไมใช่คำตอบจริงๆ..
เรื่องน่าเศร้าคือ ในประวัติศาสตร์ เมื่อมีความขัดแย้งในลักษณะ "มูลฐาน" (fundamental) เช่นที่เรากำลังเห็นในขณะนี้ มันต้องลงเอย หรือ "ยุติ" ลงด้วยการที่ ฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่ง "พัง" ไป-ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักวิชาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
***********

ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์: แม้แต่หายนภัยของประเทศ ก็ไม่วายถูกใช้เป็นอาวุธทางการเมือง

‘ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์’ นักวิจัยจากสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาแห่งสิงคโปร์ เขียนบทความวิเคราะห์สถานการณ์น้ำท่วมในไทย ที่ได้กลายเป็น ‘อาวุธทางการเมือง’ ที่ฝ่ายตรงข้ามนำมาโจมตีนายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และสะท้อนถึงความแตกแยกอันร้าวลึกในสังคมไทย

"แม้แต่หายนภัยของประเทศ ก็ไม่วายถูกใช้เป็นอาวุธทางการเมือง"

เว็บไซต์ประชาไท แปลจาก Pavin Chachavalpongpun. Even this national disaster is being used as a political weapon. ตีพิมพ์ครั้งแรกในนสพ. The Nation, 26/10/54
http://www.nationmultimedia.com/opinion/Even-this-national-disaster-is-being-used-as-a-pol-30168516.html

เธอมันชะนีปัญญาทึบ

เธอโง่เหมือนควาย, สวยไร้สมอง, บาร์บี้หัวกลวง , ผู้นำหญิงเป็นกาลกิณี ทำให้เกิดหายนะของชาติฯลฯ

นี่คือสิ่งที่เหล่าบรรดาขาประจำชนชั้นกลาง-สูงกำลังเรียกขานนายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อยู่ในเวลานี้

พื้นที่บางส่วนของประเทศไทยได้กลายเป็นทะเลมาระยะหนึ่งแล้ว กรุงเทพฯเองก็กำลังเตรียมตัวรับน้ำก้อนใหญ่นี้ ในไม่ช้ามหานครแห่งนี้อาจจะไม่แคล้วกลายเป็นสระว่ายน้ำยักษ์ ขณะเดียวกันยิ่งลักษณ์ก็กำลังจมจวนขาดใจภายใต้สายวาีรีการเมือง นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของมหันตภัยธรรมชาติอีกต่อไป แต่มันกลายเป็นเกมการเมืองอันบ้าคลั่ง

การวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่อง "ความโง่" กลายเป็นที่แพร่หลายอย่างไม่หยุดหย่อน ภาพลักษณ์ของยิ่งลักษณ์ถูกทำให้กลายเป็นตัวแทนของ "ความโง่" โดยมีเป้าหมายที่เดาไม่ยากคือทำลายความน่าเชื่อถือส่วนตัว และ ทำให้ความพยายามในการแก้ปัญหากลายเป็นเหมือนเรื่องเด็กเล่น

แต่การจะใช้เรื่องของระดับสติปัญหา "ความโง่" มาประเมินผลงานของยิ่งลักษณ์ จะต้องตั้งอยู่บนสมมติฐานว่าปกติการเมืองไทยเป็นอาณาจักรแห่งคนอัจฉริยะ ซึ่งก็น่าสงสัยว่าแล้วเหตุไฉน ผู้นำในอดีตเกือบทั้งหมดต่างก็ล้มเหลวในการแก้ปัญหาเรื้อรังอันเนื่องมาจากภัยน้ำท่วม

ถ้าเราจะตัดสินยิ่งลักษณ์ด้วยคำสักคำ บางทีคำว่า "อ่อนแอ" น่าจะเหมาะสมกว่าสำหรับการบ่งชี้ภาวะผู้นำของเธอ เป็นเรื่องจริงที่ว่าเธอตอบสนองต่อปัญหาน้ำท่วมได้ช้าไม่ทันท่วงที ถึงแม้การลงพื้นที่อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยจะแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่น แต่ในยามวิกฤตอย่างนี้เธอกลับล้มเหลวในการบรูณาการหาทางผ่อนหนักให้เป็นเบา แต่เนื่องจากมันง่ายกว่าที่จะโทษคนอื่นในยามวิกฤต ทุกคนจึงพากันโทษไปที่ยิ่งลักษณ์กับการขาดความสามารถในการบริหารจัดการวิกฤตของเธอ

แต่มันยุติธรรมหรือเปล่าทีจะโยนความผิดทั้งหมดไปให้กับยิ่งลักษณ์ เธอควรจะรับผิดเพียงผู้เดียวต่อผลจากอุทกภัยครั้งประวัติการณ์นี้หรือ? แล้ว ทำไมกรมชลประทานจึงยังกักเก็บน้ำไว้ในเขื่อนที่สำคัญในช่วงต้นฤดูฝน และไม่ยอมระบายน้ำออกทั้งที่มีพายุฝนกระหน่ำต่อเนื่องในปีนี้? ทำไมรัฐบาลก่อนหน้าซึ่งก็พึ่งเผชิญหน้ากับปัญหาอุทกภัยมาจึงไม่ได้วางระบบการบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพ?

ข่าวลือ ข่าวลวง ข่าวเท็จ ที่เกี่ยวกับน้ำท่วมครั้งนี้มากมายในโซเชียลเนทเวิร์กต่างๆ ภาพซึ่งถูกถ่ายไว้ตั้งแต่ช่วงหาเสียงเลือกตั้งของยิ่งลักษณ์ขณะกำลังใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพจากเฮลิคอปเตอร์ถูกส่งต่อไปทั่วในเฟสบุ๊คโดยมีคำอธิบายว่า
"ประเทศกำลังวิกฤติ แต่ชีกลับแฮปปี้แก้มปริ"
นอกจากนี้ภาพของสาวฟิลิปปินส์ที่ดูเผลินๆคล้ายยิ่งลักษณ์ ขณะกำลังปาร์ตี้และกระดกวิสกี้จากขวด ก็ถูกแชร์ไปทั่วอินเตอร์เนท

ข่าวเรื่องพระราชดำรัสของในหลวงที่ว่าถ้าหากน้ำท่วมกรุงเทพฯให้ปล่อยน้ำให้ท่วมวังจิตรดาได้เลยไม่ต้องป้องกัน ที่สุดท้ายกลายเป็นเรื่องโอละพ่อ ถูกปฏิเสธโดยสำนักพระราชวัง

ภาพขณะที่พระเทพฯทรงพระราชทานถุงยังชีพในปีที่แล้ว (2553) ก็ถูกแพร่กระจายอย่างตั้งใจที่จะทำให้คนไทยเข้าใจผิด

นี่จะเป็นส่วนหนึ่งของการร่วมกันโจมตียิ่งลักษณ์โดยมีจุดหมายที่การทำลายความเชื่อมั่นในรัฐบาลหรือไม่? แน่นอนที่สุดว่าพรรคฝ่ายค้านอย่างประชาธิปัตย์กำลังสารวลในการแย่งความชอบธรรมจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ หัวหน้าพรรคอย่างอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเองก็ผลักดันอย่างสุดลิ่มทิ่มประตูให้ประกาศ พรก.ฉุกเฉิน เพื่อสู้กับภัยน้ำท่วม ภายใต้พรก.นี้ กองทัพจะได้รับอำนาจให้สามารถปฏิบัติการได้อย่างที่กองทัพต้องการ ซึ่งในบางเรื่องอาจจะไม่ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลขณะนี้ อย่างไรก็ตามอภิสิทธิ์ไม่ได้อธิบายว่ากองทัพจะสามารถรับมือกับปัญหาน้ำท่วมได้ดีกว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้อย่างไร

อภิสิทธิ์ยังได้ทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับ มรว.สุขุมพันธ์ (บริพัตร) เพื่อ"แข่งขัน" ไม่ใช่ "ร่วมมือ" กับรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ถูกหลายคนตราหน้าว่า "โง่" แต่ขณะเดียวกันสุขุมพันธ์ก็แสดงให้เห็นถึงความศรัทธาในพิธีกรรมที่มีรากมาจากขอมเพื่อ "ไล่น้ำ" ว่าเป็นหนึ่งในมาตรการป้องกันมหานครจากน้ำท่วม เขายังแสดงความหวงพื้นที่อย่างมาก จนคราหนึ่งถึงกับประกาศกร้าวว่า
"ขอให้ทุกคนฟังผมคนเดียวเท่านั้น ผมจะเป็นคนบอกให้อพยพเอง"

ในเวลาเดียวกัน ภาพของทหารที่ลงไปในพื้นที่เพื่อช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมเป็นที่ประทับใจอย่างมาก แต่ทหารก็เช่นเดียวกับผู้ว่า กทม. คือ ทำงานอย่างเป็นอิสระจากรัฐบาล แสดงให้เห็นภาพของการแข่งขันอย่างดุเดือดระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายตรงข้าม และเสียงวิจารณ์ที่แรงที่สุดคือการขอให้ยิ่งลักษณ์ลาออก

ในขณะที่ฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลก็ตีความภาพการแก่งแข่งชิงผลงาน และ แรงกดดันให้นายกลาออก เป็นส่วนหนึ่งของแผนการ "รัฐประหารด้วยน้ำ"

การไม่หยุดปัดแข้งปัดขาแม้ในสภาวะวิกฤตที่สุดของชาติ แสดงให้เห็นถึงความจริงข้อหนึ่งของประเทศไทย ที่ว่าความแตกแยกในสังคมไทยตอนนี้มันบาดลึกยากเยียวยา เสียจนทำให้ ความเชื่อทางการเมือง สามารถอยู่เหนือ ความรับผิดชอบต่อสาธารณะ และ ความฉุกเฉินในการเยียวยาประเทศได้

ประเทศไทยไม่ได้เป็นประเทศที่ประชาชนยินดีที่จะทิ้งความแตกแยกไว้ข้างหลังแล้วจับมือฟันฝ่ามหันตภัยไปด้วยกันอีกต่อไปแล้ว การอาศัยภัยภิบัติของชาติเพื่อกำจัดศัตรูทางการเมืองจึงกลายเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ในปัจจุบัน

การทุ่มเทสรรพกำลังทั้งหมดเพื่อป้องกันเมืองหลวงจากการจมอยู่ใต้น้ำนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติที่นึกถึงแต่ตัวเองของชาวกรุง กรุงเทพที่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของความขัดแย้งทางการเมือง ในขณะที่จังหวัดอื่นต่างต้องทนทุกข์อยู่ใต้น้ำที่ไม่มีวี่แววว่าจะลดมานาน มันแสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำอย่างมากระหว่างคนต่างจังหวัดกับคนเมืองหลวง

ตอนนี้ดูเหมือนว่า คนที่บ่นมากที่สุด โวยวายเสียงดังที่สุด กลับกลายเป็นคนกรุงเทพ ทั้งที่สวรรค์เป็นใจให้กว่าสองเดือนมาแล้ว พื้นที่ส่วนใหญ่ในเมืองกรุงยังถูกปกป้องให้คงความแห้งสนิทไว้ได้ ยิ่งลักษณ์เองกำลังตกอยู่ในกับดักความเหลื่อมล้ำทางการเมือง เธอเข้าใจถึงความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่จะต้องป้องกันกรุงเทพไว้เพื่อเอาใจเหล่าขาประจำชาวกรุง

แต่การทำงานที่ล่าช้าก่อนหน้านี้ไม่สามารถป้องกันจังหวัดรอบข้างไม่ให้จมอยู่ใต้น้ำได้

**********

สมศักดิ์ เจียมฯ:ลึกๆลงไปในการเมืองเรื่องน้ำท่วม
ความขัดแย้งทางการเมืองในหลายปีที่ผ่านมา ยัง "ร้าวลึก" เพราะขนาดน้ำท่วมระดับ "หายนะ" เช่นนี้ ความขัดแย้งก็ยังแสดงออกรุนแรงมาก...ลำพังการชูเรื่อง "ปรองดอง" นี่ มันคงไมใช่คำตอบจริงๆ.. เรื่องน่าเศร้าคือ ในประวัติศาสตร์ เมื่อมีความขัดแย้งในลักษณะ "มูลฐาน" (fundamental) เช่นที่เรากำลังเห็นในขณะนี้ มันต้องลงเอย หรือ "ยุติ" ลงด้วยการที่ ฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่ง "พัง" ไป

ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เขียนลงในเฟซบุ๊คสมศักดิ์ เจียมธีรสกุลว่า ทุกคน คงเห็นกันแล้วว่า ความขัดแย้งทางการเมืองในหลายปีที่ผ่านมา ยัง "ร้าวลึก" เพราะขนาดน้ำท่วมระดับ "หายนะ" เช่นนี้ ความขัดแย้งก็ยังแสดงออกรุนแรงมาก โดยเฉพาะในสังคมระดับ "ในเมือง" และ "ออนไลน์" ทั้งหลาย

ผมเห็นคุณ @Apichet Piyasri โพสต์ไว้ที่ไหนสักแห่ง ว่า เป็นเพราะคุณยิ่งลักษณ์เป็นผู้หญิง

ผมคิดว่า ปัญหามัน "ลึก" กว่านั้นนะครับ (ผมว่า ถ้า ตอนนี้ ปชป. เป็นรัฐบาล และมีผุ้นำเป็นผู้หญิง ก็คงไม่มีปัญหาออกมาในลักษณะนี้)

อย่างที่แสดงออกเรื่อง คนระดับ อ.จุฬา ออกมาพูดเรื่อง "ต้องใส่เสื้อแดงถึงเข้าไปที่ ศปภ ได้" แล้ว ทีสำคัญ มีคนเชื่อเยอะมาก (ผมดูจาก Twitter คนที่มาเชียร์คุณ ปรเมศวร์ หลายคน ยังยกเรื่องนี้ขึั้นมาพูด ทั้่งๆที่ ประชาไท และสื่อเสื้อแดงหลายแห่ง เอาหลักฐานมาแสดงให้เห็นว่า ไม่จริง แล้ว หลายวัน)

หรือกรณีที่ มีการเชียร์ทหารพร้อมๆกับการด่ายิ่งลักษณ์ไปด้วย (แม้แต่กรณีคุณ ปรเมศวร์ เอง)


เดี๋ยวจะหาว่า ผมชอบโยงเข้าเรือ่ง "สถาบัน" อยู่เรื่อย แต่ผมว่า ความขัดแย้งที่ร้าวลึกนี้ ในที่สุด มันมี "เส้นแบ่ง" สำคัญ ตรงนี้จริงๆ

คือระหว่าง การยอมรับ อำนาจที่มาจากการเมืองเปิด ทีให้คนเลือกตั้ง คนส่วนใหญ่ตัดสิน

หรืออำนาจ ที่ไม่ได้มาจากการเลือก แต่มาจากการสร้างระบบบังคับ "โปรแกรม" ให้จงรักภักดี

นี่คือ "ทวิอำนาจ" หรือ Dual Power ที่ผมเคยพูดถึงบ่อยๆว่า เป็น "สาเหตุ" พื้่นฐานที่สุด ของรัฐประหาร 19 กันยา และวิกฤต 5 ปีทีผ่านมา

ผมคิดว่า ถ้าพูดกันให้ถึงที่สุด ระหว่าง "2 ฟาก" ที่เถียงๆกันอยู่นี้ ในทีสุด จะมา "ลง" ที่เรื่องนี้แหละ

(ผมไม่นับเรื่อง "ทหาร" เพราะ ดังที่ผมพูดหลายครั้งแล้วว่า ผมว่า "ทหาร" ในปริบทประวัติศาสตร์ปัจจุบัน ไมใช่พลังการเมืองที่เป็นเอกเทศ ทีสามารถแสดงบทบาทนำทางการเมืองได้แท้จริง เอาง่ายๆนะ บรรดา คนที่ออกมาเชียร์ทหาร ด่ายิ่งลักษณ์ ตอนนี้ ถ้าถามว่า ให้ตั้งรัฐบาลทหารเต็มที่เลยไหม ผมว่า พวกเขาก็ไม่เอา และไม่นับว่า ทหารเอง ก็ไม่มีความสามารถในการตั้งรัฐบาลเองด้วย .... อย่าง 19 กันยา นี่ รัฐบาลทหาร ที่ไหน "รัฐบาลพระราชทาน" นายกฯ มาจากองคมนตรี ต่างหาก)

ทีผมพยายามคิดคือ ในการเมืองปัจจุบัน ทีมีลักษณะ "มวลชน" สูง ทั้ง 2 ฝ่าย คือ ไม่ใช่เรื่องทีระดับ "นำๆ" จะไป ตกลง หรือ ทำอะไรกันเองได้เฉยๆ แต่มีคนระดับธรรมดาๆ - เอาง่ายๆทีเห็นๆกัน คนเล่น fb เป็นแสนเป็นล้าน - เข้ามามีส่วนร่วมด้วยอยู่นี้

อย่างการเลือกตั้งครั้งหลัง ฝ่าย เพื่อไทย นี่ชนะ "ถล่มทลาย" จริง แต่ถ้าเราดูตัวเลข ที่ ปชป. ได้รับเลือกตั้ง ก็หมายถึงคนเป็นสิบล้านเช่นกัน

จริงๆ ถ้าในสถานการณ์อื่น การมีพรรค หรือ "ฟาก" การเมืองใหญ่ 2 ฟาก แล้วมีคนสนับสนุนกันเยอะๆ เป็นสิบๆล้าน ในแต่ละฟาก (นึกถึงอังกฤษ หรือ อเมริกา หรือ ประเทศ ตต.จำนวนมาก)

ก็คงไม่เป็นไร ใครชนะเลือกตั้ง ก็เป็นรัฐบาลไป คนอีกเป็น 10 ล้าน อีกฟากที่แพ้ ถึงไม่ชอบ ก็ไม่มีปัญหาอะไร

แต่ปัญหาคือ ในสถานการณ์ประเทศไทย อย่างที่ผมเสนอข้างต้นว่า ความขัดแย้งนี้ มีลักษณะที่เป็น "มูลฐาน" หรือ fundamental มากๆ .. ปัญหา จะยอมรับ อำนาจที่มาจากการเลือกตั้ง เป็นอำนาจนำของประเทศ หรือจะยังคง ยืนยันให้อำนาจที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ที่รวมศูนย์ที่สถานะ/อำนาจ ของสถาบันฯ เป็นอำนาจทีนำประเทศ

ปัญหาลักษณะ fundamental หรือ "มูลฐาน" ระดับนี้ ถ้าเกิดเป็นความขัดแย้ง อย่างทีเราเห็นในปัจจุบัน

ลำพัง เลือกตั้งแล้ว ใครชนะ เป็นรัฐบาล จะไม่สามารถทำให้เกิดภาวะ "ปกติ" ได้

อย่างที่เห็นว่า แม้แต่ วิกฤติหายนะ ระดับน้ำท่วมใหญ่ขนาดนี้ ยังไม่ทำให้ปัญหาลดความรุนแรงแหลมคมลงไปแต่อย่างใด ....


ในที่สุดแล้ว เราจะ "อยู่ร่วมกัน" อย่างไรดี?


คือ ถ้าเราดูย้อนไปก่อน น้ำท่วม นิดหนึ่ง ช่วงดีเบต เรื่อง "ข้อเสนอนิติราษฎร์" ความจริง ก็มีลักษณะคล้ายๆกัน คือเหมือนพูดกันคนละภาษา คนละเรื่อง (คนละประเทศ) อะไรขนาดนั้นเลยจริงๆ

หลายวันนี้ ผมคิดถึงเรื่องนี้เยอะนะว่า ต้องยอมรับว่า ในภาวะสังคม "ปกติ" ไม่ว่าประเทศไหน ก็มีความแตกต่างทางการเมืองอยู่ อย่างที่ผมเขียนไปว่า ในประเทศตะวันตก เราเองก็เห็น การแบ่งเป็นเสียงสนับสนุนพรรคการเมือง หรือ ขั้วการเมืองใหญ่ๆ 2 พรรคหรือ 2 ขั้ว โดยทัวไป

แต่ว่า ในภาวะปกติ ไม่ว่าจะเชียร์พรรคไหน หรือขั้วไหน ท้ัง 2 ฟาก จะมี "จุดร่วม" ที่ยอมรับร่วมกันบางอย่างอยู่

ปัญหาประเทศไทยตอนนี้ และลักษณะที่ แหลมคม และ "ลึก" และเป็น "มูลฐาน" ของความขัดแย้งทางการเมืองในขณะนี้คือ

มันไม่มี "จุดร่วม" ทียอมรับร่วมกันจริงๆ โดยเฉพาะ คือ "จุดร่วม" ที่มีลักษณะผมเรียกว่า fundamental หรือ "มูลฐาน"

คือ เรื่อง "อำนาจ" แบบไหน จะถือเป็นอำนาจในการนำประเทศ (อย่างใน ตะวันตก ในยามปกติ ไม่ว่า เชียร์พรรคไหน ทุกฝ่าย ก็ยอมรับ อำนาจทีมาจากกติกาเลือกตั้ง รัฐสภา และ ระบบศาล อันเดียวกัน)

คือตอนนี้ ในประเทศเรา ไมมีจุดที่ "ยอมรับร่วมกันได้" จริงๆ ในเรื่อง "มูลฐาน" เชิงอำนาจทีว่านี้

ไล่เรียงกันมาเลย ตั้งแต่ปัญหาสถานะสถาบันฯ ถึงศาล ถึง กองทัพ (และทีแสดงออกรวมศูนย์ คือ เรื่อง รัฐประหาร)

ผมว่า ในที่สุด ภาวะนี้ มันต้องหาทางออก หรือไม่งั้น ก็ต้องเสี่ยงลงเอยทีการปะทะ และความรุนแรงอีก

และที่แนๆ ลำพังการชูเรื่อง "ปรองดอง" นี่ มันคงไมใช่คำตอบจริงๆ
******
อันนี้ เป็น "สรุป" - ไมใช่คำตอบนะครับ


Bad News หรือ "ข่าวร้าย" หรือ "เรื่องน่าเศร้าคือ ในประวัติศาสตร์ ไม่ว่า ในประเทศไทยหรือประเทศไหนๆ เมื่อมีความขัดแย้งในลักษณะ "มูลฐาน" (fundamental) เช่นที่เรากำลังเห็นในประเทศไทยขณะนี้

มันต้องลงเอย หรือ "ยุติ" ลงด้วยการที่ ฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่ง "พัง" ไป

อย่างครั้งสุดท้าย ในประเทศไทย ที่มีความขัดแย้ง "มูลฐาน" ทำนองนี้ ยืดเยื้อเป็น 10-20 ปี คือ ระหว่างรัฐ กับ ขบวนการปฏิวัติ ที่นำโดย พคท. และแนวร่วมต่างๆ

ในที่สุด ความขัดแย้งที่มีลักษณะ "มูลฐาน" นั้น ก็ยุติ ลงด้วยการที่ฝ่ายหลัง "พัง" ไป

ไม่เคยมีการ "ประนีประนอม" ที่ "ลงตัว" ในลักษณะ "แบ่งๆกันไป" ได้เลย เพราะความขัดแย้งมันมีลักษณะ "มูลฐาน" เกินกว่าจะ "แบ่งๆกันไป" ได้ - อันนี้ ไม่ได้แปลว่า ต้อง "รุนแรง" หรือ เปลี่ยนอย่างสันติ ไม่ได้นะครับ อย่างกรณี อัฟริกาได้ ในที่สุด ระบอบ Apartheid ก็ "พัง" ไป และ เปลี่ยนเป็น majority rule หรือ ระบอบปกครองโดยคนส่วนมาก ช่วง "เปลียน" ก็เรียกว่า "สันติ" แม้ว่า ก่อนหน้าน้น หลายสิบปี ก็เสียชีวิตผู้คนไปนับไม่ถ้วน


ความขัดแย้งในปัจจุบัน จะ "ยุติ" อย่างไร?


(ภาพประกอบชื่อภาพ facing a crossroad หรือ "เมื่อมาถึงทางแยก" เครดิตภาพ http://arnel113.wordpress.com/2009/12/05/at-the-crossroad-proverbs-14-12/ ได้มาจากการสุ่ม search Google)
http://redusala.blogspot.com